ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ทัณฑ์รัก.........เกอิชา

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 3

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.04K
      1
      10 ก.ค. 53

    “แม่…..แม่ ทำไมแม่จะต้องทำแบบนี้อีกแล้ว”เสียงตะโกนลั่นของชายหนุ่มอายุประมาณ 25 ปีในชุดเสื้อคลุมยาวสีดำสนิท พร้อมๆกับที่เขาวิ่งเหยียดเต็มฝีเท้าโผเข้ารวบร่างผอมๆ ของสตรีนางหนึ่งที่ห้อยโหนตัวเองอยู่กับขื่อของตัวบ้าน ร่างนั้นหมดสติคอพับคออ่อนไปแล้วเมื่อเขาได้มาถึง

    “ยูซุป! เร็วเข้า ใครอยู่ข้างนอก เอารถออก ข้าจะพาแม่ไปหาหมอ แม่อย่าพึ่งทิ้งผมไปนะครับ”ชายหนุ่มผู้นั้นตะโกนก้องราวกับคนบ้าคลั่ง ค่อยๆวางร่างไร้สติของมารดาลงกับเตียงนอน จัดการผายปอดช่วยชีวิตเบื้องต้นตามที่ได้ขอให้หมอช่วยสอน เพราะนี่ไม่ใช่เพียงครั้งแรกที่ซายีน่าแม่ของเขาคิดฆ่าตัวตาย

    เพราะความรักตัวเดียว ที่ทำให้แม่ของเขาต้องตกอยู่ในสภาพอย่างนี้ ตั้งแต่จำความได้ ฮัสซาร์ผู้เป็นพ่อ  คหบดีที่ร่ำรวยที่สุดในสหรัฐอาหรับดิลิยะห์ เมืองแห่งทะเลทรายร้อนแรง ที่เต็มไปด้วยน้ำมันดิบอันล้ำค่า พ่อผู้ปรนเปรอลูกเมีย ด้วยเงินทองแต่ไม่เคยมอบความรักอันแท้จริงให้สักครั้ง

    ชีวิตของชายผู้นี้ มีแต่เรื่องผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ซ้ำหน้า แม่ของเขาต้องพบกับความทุกข์ใจอย่างแสนสาหัส ทุกคืน เขาจะเห็นผู้เป็นแม่นอนร้องไห้ รอคอยว่าเมื่อไหร่ผู้เป็นสามีถึงจะกลับมานอนบ้าน

    จากความเครียดที่กดดันอยู่ภายในใจของซายีน่ามาหลายปี นับตั้งแต่คลอดบุตรชายคนเดียวคืออัสมาน ความทุกข์สะสมมาเรื่อยๆ จนมาถึงขีดสุดเกินกว่าที่สติสัมปชัญญะของนางจะทนทานได้เมื่อ ฮัสซาร์นั้นพาผู้หญิงคนหนึ่งเข้าบ้าน และทำอะไรกันบนตียงนอนของแม่ บนเตียงที่แม่หวงนักหนาเพราะเป็นสถานที่แห่งความทรงจำที่งดงามของเธอ

    ภาพที่เห็นตำตานั้นทำให้ซายีน่ากรีดร้องสุดเสียง หมดสติและไม่รับรู้อะไรอีกเลย แม้แต่ลูกชายคนเดียวอย่างอัสมานนางยังจำไม่ได้ ความคิดของนางเฝ้าวนเวียนอยู่อย่างเดียวคือการรอคอยว่าเมื่อไหร่สามีถึงจะกลับมารักตัวเองอย่างเดิม อาการซึมเศร้าทำให้ความคิดฆ่าตัวตายของนางมีอยู่ทุกขณะจิต

    “ฮัสซาร์……”เสียงพึมพำของซายีน่าดังขึ้นแผ่วๆ พร้อมด้วยอาการสะอื้นฮักอย่างอ่อนแรง ดูเอาเถอะ แม้แต่วาระสุดท้ายของชีวิตกำลังจะมาถึง นางก็ยังละเมอชื่อของสามี ผู้ไม่เคยเอาใจใส่ตัวเอง

                “โธ่…..แม่ครับ ทำไมแม่จะต้องยอมทำถึงขนาดนี้”อัสมานครางลึกภายในลำคอ ความสงสารผู้เป็นแม่มีมากเท่าใด ความโกรธและเกลียดชังที่มีต่อผู้หญิงไร้ค่าที่ยอมเอาตัวเป็นเมียน้อยของคนอื่นยิ่งมีขึ้นเป็นทวีคูณ แม้ศาสนาจะอนุญาตให้ชาวอิสลามมีภรรยาได้ถึงสี่คนแต่พ่อของเขาก็ไม่เคยหยุด

                ดูเหมือนอายุจะไม่ใช่ปัญหาสำหรับนังผู้หญิงพวกนั้น เพราะพ่อของเขานั้นยิ่งแก่ยิ่งเนื้อหอม หอมเงินอย่างไรล่ะ

    นับว่ายังดีที่ตั้งแต่แม่ป่วยด้วยอาการทางจิต พ่อของเขาก็ไม่พาผู้หญิงเข้ามาที่บ้านอีกแต่เลือกไปหาความสำราญยังนอกบ้านแทน อย่าให้เจอก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นนังพวกนั้นมันได้โดนดีแน่

    “หมอมาพอดีครับ”ยูซุปคนสนิทของเขาวิ่งเข้ามารายงานพร้อมด้วยหมอประจำตัว ชายร่างท้วมวางกระเป๋ายาลงข้างตัวพร้อมกับตรวจดูอาการของคนเจ็บ

    “ปลอดภัยแล้วล่ะครับ โชคดีที่คุณมาช่วยทันเวลา”หมอเงยหน้าขึ้นพร้อมระบายลมหายใจยาวเหยียดออกมาอย่างโล่งใจ อัสมานรักแม่มาก ใครๆก็ย่อมทราบดี

    หากแม่ซายีน่าเป็นอะไรไป อิทธิพลของอัสมาน ในตำแหน่งนักธุรกิจ เจ้าของบริษัทน้ำมัน ที่ถือเป็นเจ้าพ่อในวงการจนแม้แต่สุลต่านอย่างฮุลยาตยังต้องเกรงใจ คงจะทำให้ตำแหน่งหมอของเขาสั่นคลอนเอาได้ง่ายๆ

    “แม่ครับ เป็นยังไงบ้าง เจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า”ชายหนุ่มกระซิบถามและลูบศีรษะมารดาอย่างอ่อนโยนแตกต่างจากยามอื่นโดยสิ้นเชิง

    เขาเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลา ใบหน้าออกเหลี่ยมนั้นดูคมเข้ม คิ้วหนาดกดำ ริมฝีปากบางเฉียบ เหมาะกันไปทุกสัดส่วนแต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็คือ ดวงตาคมดุ ประดุจดวงตาปีศาจที่พร้อมจะสังหารศัตรูที่มาเข้าใกล้แม้เพียงแค่ได้สบตาสีเหล็กคู่นั้น แต่หากมองให้ลึกซึ่ง เขาเป็นแค่ชายหนุ่มที่โหยหาความรักเท่านั้น

    ความทรงจำเลวร้ายในวัยเด็กทำให้อัสมานกลายเป็นชายหนุ่มผู้เย็นชา ไม่ศรัทธาในความรัก ผู้หญิงเป็นเพียงวัตถุชิ้นหนึ่งสำหรับเขา ที่สามารถซื้อมาหาความสำราญได้ด้วยเงินเท่านั้น

    “ใคร……อ้อ…..อัสมาน”เสียงนั้นบอกแผ่วๆ แต่ชายหนุ่มก็ยังอุตส่าห์ได้ยิน หลายปีมาแล้วที่ซายีน่าไม่เคยเอื้อนเอ่ยชื่อของเขา อัสมานโผเข้ากอดร่างของมารดาแนบแน่น หยาดน้ำตาแห่งอารมณ์อ่อนไหวที่ซุกซ่อนอยู่ภายในหลั่งริน

    “แม่จำได้แล้ว”ชายหนุ่มละจากอ้อมกอดของมารดาหันมาบอกหมอมูลราห์อย่างดีใจ ต่อให้ต้องแลกกับทุกอย่างที่มีเพื่อให้ผู้เป็นแม่หายดีแล้ว เขาก็ยินยอม

    “นับว่าเป็นเรื่องดีมากครับ ผมจะให้พยาบาลมาดูแลอย่างใกล้ชิดมากขึ้น คิดว่าไม่นาน ความทรงจำต่างๆของคุณซายีน่าจะต้องกลับมา”หมอให้ความหวัง

    “ขอบคุณมากหมอ ถ้าแม่ผมหายดี เมื่อไหร่ หมออยากได้อะไรขอให้บอก”อัสมานบอกขึ้น ก่อนจะมอบภาระหน้าที่ดูแลแม่ให้กับหมอและพยาบาลต่อไป

    ตัวเขานั้นมีงานด่วนที่ผู้เป็นพ่อมอบหมายให้ดูแล ส่วนตัวเองนั้นไปเที่ยวต่างประเทศเพื่อหาความสำราญโดยไม่สนใจว่าซายีน่าผู้เป็นภรรยานั้นจะมีสภาพเป็นอย่างไร

    ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ฮัสซาร์บินไปบ่อยที่สุด อยากจะรู้เหมือนกันว่าที่นั่นมีอะไรดี!

    *****************************************************************************************************

    เสียงฝีเท้าเดินกลับไปกลับมาของมิกะทำให้ซายูริต้องวางหนังสืออ่านเล่นลงแล้วหันมามองยิ้มๆ เวลานี้จิตใจของเธอเย็นขึ้นมากแล้วจึงไม่กระวนกระวายอย่างมิกะ

    “เป็นอะไรไปมิกะ ถูกกักบริเวณอยู่ในห้องมาหลายวันแล้ว นี่ยังไม่ชินอีกหรือ”

    “เย็นสิ เย็นจนจะลวกเธอได้อยู่แล้ว ดูสิ ริเอะ….ได้ยินเสียงคนอื่นๆ เขากำลังแต่งตัวออกไปแสดงโชว์คืนนี้หรือเปล่า ฉันใจจะขาดอยู่แล้วนะ รู้ไหม”

    “เห็นและก็ได้ยินเหมือนๆ กับเธอนั่นแหละ แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ก็เราสองคนกำลังถูกลงโทษอยู่นี่นา อย่าคิดมากเลยน่า ดูอย่างฉันสิยังทำใจได้เลย มาดูนี่มา….. ท้องฟ้าวันนี้ช่างสวยงามเหลือเกิน เธอเคยได้ยินตำนานเรื่องดาวลูกไก่หรือไม่มิกะ หากฉันตายไปฉันจะไปรอเธออยู่ที่นั่นนะ เธอจะได้ตามหาฉันมายาก แค่มองขึ้นไปบนท้องฟ้า เห็นกลุ่มดาวเล็กๆ ที่ไหน ฉันก็อยู่ที่นั่น”ซายูริลุกเดินจากเก้าอี้มาจูงมือของมิกะออกมายังริมหน้าต่างแล้วชี้ชวนให้ดูพระจันทร์เต็มดวงบนท้องฟ้า

    “การเป็นเกอิชาเต็มตัว มันเป็นความฝันสูงสุดของพวกเรา ฉันรู้ว่าเธอเองก็เสียใจแล้วยังจะมีอารมณ์ชมพระจันทร์อีก”มิกะหน้ายุ่ง ซายูริยิ้มเย็น

    “คนขายศิลปะอย่างเราก็ต้องมองทุกสิ่งทุกอย่างให้สวยงาม นี่อย่างไรล่ะเสียงลมพัดหวีดหวิว ทอประสานกับเสียงแมลงที่ร้องระงม พระจันทร์กลมโต ประดุจโคมทองที่จะส่องแสงสว่างนำทางให้เราเดินไปยังจุดหมายปลายทาง ดวงจันทร์ไม่มีวันดับ ตราบใดเราก็ยังมีความฝัน”หญิงสาวหลับตาพริ้ม ใช้สมาธิและหัวใจฟังสรรพสิ่งรอบกายอย่างผ่อนคลายไม่ร้อนรนอย่างมิกะ

    “ชุดกิโมโนที่เราสองคนอุตส่าห์เลือกมา จะมีประโยชน์อะไรล่ะ ถ้าไม่มีโอกาสได้สวมใส่ ชุดนี้มันช่างน่าเย้ายวนใสวมใส่เหลือเกิน”มือเรียวของคนพูดลูบคลำชุดกิโมโนสีส้มสดกับโอบิสีเขียวเข้มและปิ่นปักผมประดับมุกอันใหญ่อย่างเสียดาย ซายูริเองก็เหลือบมองกิโมโนสีดำลายต้นหลิวของตัวเองอย่างเศร้าใจเช่นกัน

    “เฮ้อ……การถูกขังอยู่ในห้องแบบนี้ ทำให้นึกถึงตอนเด็กๆ ที่เรา ทะเลาะกับเกอิชารุ่นพี่จนต้องถูกลงโทษเนอะ”ซายูรีบเปลี่ยนเรื่อง ก่อนที่หยาดน้ำตาของตัวเองจะไหลออกมาบ้าง

    “ไม่ใช่ความผิดของเราสักหน่อย พี่ฮารินะ ต้องการจะแกล้งเรา”เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น เธอกับซายูริและไมกะรุ่นเดียวกันได้รับการฝึกอย่างหนัก ต้องคอยรับใช้เหล่าเกอิชารุ่นพี่งกๆ บางคนที่ไม่ชอบหน้าเธอทั้งสองอย่าง ฮารินะก็แกล้งใช้งานหนักๆ โดยไม่สั่งสอนวิชาอะไรให้เลย ตรงข้ามกับมารีนและเพื่อนของหล่อน ที่ฮารินะนั้นเฝ้าสอนทุกอย่างให้อย่างหมดเปลือก

    “พี่ฮารินะ รุ่นพี่ขา……มาดูนี่สิคะ นังสองคนนั่นมันแกล้งทำชุดกิโมโนของพี่ขาด”เสียงร้องของมารีน ในวัยสิบเอ็ดปี ไมโกะรุ่นเดียวกัน ร้องตะโกนโวยวายขณะถือชุดกิโมโนราคาแพงของฮารีนะติดมือมาด้วย ฮารินะเองก็วางมือจากการชงชาสูตรใหม่ลงเมื่อได้ยินเสียงไมโกะคนโปรดร้องเอะอะ

    “มีอะไรกันมารีน ฉันกำลังพักผ่อนอยู่ ไม่เห็นหรือ”ร้องถามแต่สายตาเหลือบมองชุดโปรดในมือของอีกฝ่ายเขม็ง มือเรียวรีบคว้ามันขึ้นมาดูอย่างสังหรณ์ใจ ดวงตาคู่งามนั้นสาวโรจน์ขึ้นอย่างน่ากลัว ริมฝีปากบางบิดโค้งตามแรงโทสะที่แล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆก่อนจะระเบิดออกมาเป็นเสียงกรีดร้อง

    “ใครทำชุดกิโมโนของฉัน”

    “นังสองคนนั่นค่ะ ซายูริกับมิกะ”มารีนรีบฟ้อง ฮารีนะกำมือแน่นสาวเท้าเร็วๆออกไปหาซายูริกับมิกะที่กำลังง่วนอยู่กับการตั้งหน้าตั้งตานวดแป้งในครัวกับยายเฒ่าคนครัว

    “นังซายูริ นังมิกะ แกสองคนโดนดีแน่”เสียงตวาดดังขึ้นจนสองเด็กหญิงสะดุ้งเฮือก เร็วเท่าความคิดเมื่อฮารีนะจิกผมของซายูริขึ้นมาจนหน้าหงายพร้อมกับระดมตบไม่ยั้ง ท่ามกลางความตกใจของทุกคน โดยเฉพาะมิกะที่อุตส่าห์เข้าไปช่วยจนถูกผลักกระเด็นไปจนศีรษะกระแทกเข้ากับข้างฝา

    “อะไรกันคะ”ซายูริน้ำตานอง เงยใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาและรอยบวมช้ำขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ แวบหนึ่งที่เธอแอบเห็นแววตาสาสมใจปรากฏขึ้นบนดวงตาของมารีน

    “แหกตาดูนี่สิ ชุดนี้แกรู้ไหมว่ามันราคาเท่าไหร่ ฉันต้องทำงานชดใช้โอคาซังกี่ปี ถึงจะพอค่ากิโมโน”ฮารินะปาชุดสวยของเธอใส่หน้าอีกฝ่ายเต็มแรง

    ซายูริงงงันหนักขึ้น รีบคว้าเสื้อตัวนั้นขึ้นมาดูอย่างตกใจ กิโมโนตัวสวยที่เธอได้รับมอบหมายให้ซักและพับเก็บเอาไว้ซึ่งเธอก็ทำมันแล้วอย่างเรียบร้อยทุกอย่างและเมื่อก่อนหน้านี้มันก็อยู่ในสภาพปกติดี แต่ทำไมเวลานี้มันถึงได้ขาดรุ่งริ่งราวกับถูกไฟไหม้อย่างนั้น จะเป็นไปได้อย่างไรกัน

    “ฉันไม่รู้เรื่องนะคะ”ซายูริปฏิเสธปากคอสั่น

    “ไม่รู้เรื่องแล้วเสื้อมันจะขาดอย่างนี้ได้ยังไง ฉันให้แกเอาไปซักให้แล้วมันก็มีสภาพอย่างนี้”ฮารินะเสียงดัง ความเสียดายชุดมีมากจนอยากจะบีบคอเล็กๆ นั่นให้ตายคามือ

    “ฉันซักมันแห้งและพับมันเก็บในชั้นให้อย่างดีแล้วนะคะ”

    “โกหก ก็เห็นอยู่ว่าหลักฐานเป็นชุดขาดอยู่ในมือ เห็นตำตาอย่างนี้ยังจะมาปฏิเสธ”เสียงนั้นเป็นของมารีน ผู้วิ่งหน้าแป้นเอาหลักฐานนี้มาให้ดูก่อนใคร

    “แต่ฉันเป็นพยานให้ได้นะคะ ฉันเป็นคนช่วยริเอะซักเอง มันไม่ได้เป็นแบบนี้เลย”มิกะคลำศีรษะบวมโนตัวเองป้อยๆ แล้วรีบเสนอตัวเองเป็นพยาน

    “ถ้าแกสองคนซักมันอย่างดีแล้วมันจะขาดอย่างนี้ได้ยังไง”

    “ใช่…….แกจงใจจะแกล้งพี่ฮารินะใช่ไหม แกสองคึนไม่ชอบรุ่นพี่”มารีนชี้หน้า แววตาสะใจของอีกฝ่ายทำให้ซายูริต้องมองเขม็งอย่างจับผิด

    “ใครเอาชุดนี้มาให้พี่คะ มารีนใช่ไหมคะ”ซายูริร้องถาม มารีนอึกอักก่อนจะรีบปรับสีหน้าเมื่อเห็นสายตาของฮารินะมองมาที่เธอเช่นเดียวกัน

    “ฉันเอาชุดของพี่โอชุนไปเก็บ แล้วบังเอิญเห็นชุดของพี่ฮารินะขาดก็เลยรีบถือมาให้ดู แกอย่ามากล่าวหาฉันนะ ทำผิดแล้วยังไม่ยอมรับอีก”มารีนเถียงกลับได้ทันควัน แม้น้ำหนักคำพูดจะดูไม่น่าเชื่อถือแต่เมื่อหัวใจมันลำเอียงอยู่แล้ว ฮารินะจึงเลือกที่จะเชื่อไมกะคนโปรดอย่างมารีนมากกว่า

    “ฉันจะไปฟ้องโอคาซัง พวกแกทั้งสองคนโดนดีแน่ คอยดู”ฮารินะบอกเสียงกร้าว ดังนั้นเมื่อเรื่องนี้ถึงหูของโอคาซัง ซายูริกับมิกะเลยต้องถูกลงโทษกักบริเวณและทำงานหนักเป็นการชดใช้ค่าเสียหาย เท่ากับราคาของกิโมโนชุดนั้น กว่าจะใช้ได้หมดก็เป็นเวลาเกือบห้าปีทีเดียว.,………….

    “นึกแล้วยังเจ็บใจไม่หาย ครั้งนั้นเราสองคนถูกนังมารีนมันแกล้ง มาครั้งนี้เหตุการณ์ซ้ำรอยเดิมก็เกิดอีก แล้วก็เหมือนเดิม เราสองคนต้องถูกขังอยู่ในนี้”

    “ไม่เอาน่า โอคาซังก็มีเหตุผลที่ต้องขังเรา ไม่อย่างนั้นใครจะเชื่อฟัง”ซายูริบอกอย่างเข้าใจ มิกะทำท่าจะเถียงแต่แล้วเสียงเอะอะที่ดังขึ้นมาจากทางด้านห้องแต่งตัวของคาเนดะก็ดังขึ้น

     เสียงนั้นบ่งบอกว่าจะต้องเกิดเรื่องร้ายแรงอะไรขึ้นอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นคนที่วางตัวด้วยกิริยาแช่มช้อยอย่างคาเนดะผู้เป็นโอคาซังของที่นี่คงไม่มีทางปล่อยเสียงกรีดร้องออกมาอย่างนี้แน่ๆ เสียงนั้นเงียบลงตามด้วยเสียงอื้ออึงของคนอื่นๆ สองสาวรีบวิ่งไปทางประตูและแนบใบหูชิดเพื่อแอบฟังเหตุการณ์จากภายนอก

    “ท้องเสียหนักอย่างนี้แล้วทีนี้จะออกแสดงได้ยังไง รู้อยู่แล้วว่าคืนนี้จะมีงานแล้วยังจะกินอะไรแสลงเข้าไปอีก”นางคาเนดะโวยวายหนักยิ่งขึ้น เมื่อสองสาวในสำนักที่จะเปิดตัวคืนแรกในวันนี้มีอาการท้องเสียหนักจนต้องวิ่งเข้าห้องน้ำทุกชั่วโมง แล้วอย่างนี้การแสดงรำพัดที่จะจัดขึ้นจะมีใครขึ้นแสดง

    “ไหวไหม”เพื่อนที่ร่วมแสดงรำพัดด้วยกันกระซิบถามอย่างวิตก หากมีตัวแสดงไม่ครบการร่ายรำนั้นจะสวยงามและครบองค์ประกอบได้อย่างไร

    “ไหว……ไหวจริงๆ ค่ะเสียงนั้นแหบระโหยและพยายามจะลุกขึ้นแต่แล้วก็กลับนอนแบ็บลงไปใหม่ หลายคนที่มองลุ้นเลยต้องม่อยหน้าไปตามๆกัน

    “ซายูริกับมิกะยังไงล่ะคะ”อีกคนหนึ่งโพล่งขึ้น ช่วยจุดประกายความหวังที่ริบหรี่ของคาเนดะที่มีเท่ารูเข็มให้ขยายกว้างขึ้น ไม่รอช้าเมื่อนางสาวเท้าไปยังห้องพักของซายูริ ไขกุญแจและผลักมันเปิดออกอย่างรวดเร็ว ทำให้ซายูริกับมิกะที่กำลังเงี่ยหูฟังแนบชิดกับขอบประตูนั้นหลบไม่ทัน ล้มระเนระนาดไปคนละทาง

    “อะไรอีกล่ะแม่สองคนนี่ มาแอบฟังอย่างนี้ คิดจะก่อเรื่องอะไรอีก รีบไปอาบน้ำแต่งตัวเร็วเข้า”คาเนดะกวาดสายตามองสภาพเด็กในสังกัดอย่างระอาก่อนจะบอกขึ้นอย่างรีบร้อน

    “คะ? หมายความว่ายังไง”ซายูริเลิกคิ้วขึ้นถามอย่างไม่แน่ใจ เพราะถึงจะแอบฟังแต่ผนังหนาที่กั้นก็ทำให้ได้ยินไม่ชัดนัก ว่าพวกเขาคุยอะไรกันบ้าง

    “ถ้าเจ้าสองคนยังชักช้าอีก คืนนี้ฉันจะไม่ให้ทำการแสดง”

    “หมายความว่า?”มิกะตาโตแต่ไม่ทันได้ซักถามก็ถูกมือเรียวของซายูริลากออกไปยังห้องอาบน้ำทันที สองสาวผลัดเปลี่ยนกันอาบน้ำด้วยความสุขใจ

    “ฉันยังไม่อยากจะเชื่อเลยนะริเอะ ว่าพระเจ้าจะเข้าข้างเราสองคนอย่างนี้”มิกะยังพึมพำไม่เลิกด้วยความตื่นเต้นจนกระทั่งมาถึงห้องแต่งตัวแล้วก็ตาม

    “เธอพูดมารอบที่สิบแล้วมิกะ มาช่วยดูสายโอบิของฉันหน่อยสิ ว่ามันตรงดีไหม”ซายูริบอกขึ้นอย่างร่าเริง มิกะตรงเข้าผูกสายคาดโอบิสีเขียวสดนั้นให้เพื่อนรัก

    ชุดกิโมโนสีดำลายดอกเมเปิ้ลสีเขียวที่ซายูริเลือก ช่วยขับผิวของหญิงสาวให้ขาวนวลผุดผ่องมากยิ่งขึ้น ผมยาวสลวยของเธอถูกเกล้าขึ้นสูงตามแบบฉบับของเกอิชาที่เรียบง่ายและมีเครื่องประดับตกแต่งน้อยกว่าตอนเป็นไมโกะมาก มิกะช่วยเสียบปิ่นปักผมรูปผีเสื้ออันใหญ่สองอันให้เพื่อนรัก

    “เฮ้อ……ใครจะรู้บ้างนะว่าภายใต้ความงามของพวกเราต้องเจอกับอะไรบ้าง แค่ทรงผมของเราก็ต้องใช้เวลาเกล้าหลายชั่วโมง รวมเครื่องประดับแล้วก็หลายกิโล นอนก็ต้องนอนหัวสูงไม่ให้ผมเสียทรง หากแก่ตัวไปเราคงจะต้องเป็นโรคอะไรสักอย่างแน่ๆ”ซายูริแตะมวยผมตัวเองขำๆ

    “อย่ามัวแต่ขำกับทรงผมของฉันอยู่เลย หน้าเธอยังไม่ลงแป้งขาวสักเม็ด มานี่เถอะฉันจะลงให้”มิกะที่แต่งตัวเสร็จแล้ว ดุนตัวเพื่อนรักให้นั่งลงบนโต๊ะ

    มิกะเริ่มต้นลงแป้งขาวให้อย่างตั้งใจจนใบหน้านวลนั้นขาวผุดผ่อง ดูหลอกตา เสน่ห์ของเกอิชา การลงแป้งขาวเอาไว้เพื่อให้แขกที่มาไม่เห็นใบหน้าจริง นั่นยิ่งช่วยเร่งเร้าให้พวกเธอดูน่าค้นหายิ่งขึ้น

    “ขนาดลงแป้งจนขาวจั๊ว มองไม่เห็นใบหน้าจริง เธอยังงามขนาดนี้เลยนะซายูริ ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง เริ่มต้นจากการเป็นไมโกะ ก้าวมาเป็น มินาราอิซัง จนวันนี้ใกล้จะได้เป็นเกอิชาเต็มตัว ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะ”มิกะมีสีหน้าชวนฝัน

    “อืม……ฉันก็ดีใจ ต่อไปนี้ฉันจะตั้งใจเก็บเงินให้ได้มากที่สุด ฉันจะออกไปตามหาแม่”

    “นึกว่าเธอลืมไปแล้วเสียอีกนะ”

    “ถ้าฉันไม่อยากได้เงินเยอะๆ คงไม่ขายตัวเองมาที่นี่ เพราะฉะนั้นนอกจากความตายแล้ว ไม่มีอะไรมาขัดขวางความคิดของฉันได้หรอก อย่าลืมสิ แม่กับน้องยังรอฉันอยู่นะ"ซายูริว่าอย่างนั้นมาแล้ว มิกะเลยได้แต่ยิ้มอย่างเห็นใจ

    ทั้งที่ในความจริงแล้ว อยากจะบอกอย่างที่ใจคิดเหลือเกินว่าแม่ของซายูริอาจจะไม่ได้ต้องการพบหน้าลูกสาวคนนี้เลยก็ได้แต่คำพูดที่หลุดรอดออกมาก็คือ

    “จ้า……งั้นก็ตามใจเธอเถอะ ดูรองเท้าของฉันสิ มันสูงเกินไปหรือเปล่านะ มันทำให้ฉันเดินตัวแทบไม่ตรงแล้ว”มิกะผู้แสนจะช่างบน บ่นได้แทบทุกเรื่องแต่ซายูริก็ชินชากับนิสัยของเพื่อนเสียแล้วจึงได้ถอดของตัวเองออกแล้วเปลี่ยนให้ ขนาดของมันแทบจะไม่ต่างกันเลยแต่เจ้าตัวนั้นพอใจนักหนา

    “คู่นี้ค่อยพอดีหน่อย”

    “จ้ะ…..ฉันเองก็คิดอย่างนั้น”ซายูริส่ายหน้า

    “นี่ รู้ไหมริเอะ ว่าทำไมโอคาซังจะต้องย้ำนักหนาว่าต้องให้พวกเราทาปากแค่ครึ่งเดียว”มิกะถามขึ้นด้วยความสงสัยและทุกครั้งที่อยากรู้อะไรเพียงแค่คิดคำถามขึ้นมา ซายูริก็สามารถไขข้อข้องใจให้ได้ทุกครั้งไปและครั้งนี้เธอก็ไม่ผิดหวัง

    การแต่งหน้าและการแต่งตัวของเกอิชาจะต้องแต่งหน้าให้ดูหนาเตอะเหมือนสวมหน้ากาก มันจะได้ดูเร้นลับเพื่อรอการเปิดเผยจากผู้ชายที่สามารถประมูลราคาพรมจารีของเธอได้อย่างไรล่ะ ทาริมฝีปากครึ่งเดียวเพื่อให้ดูคล้ายการเชื้อเชิญ ยิ่งถ้ามีการเผยให้เห็นไรผมเล็กน้อยจะทำให้หน้าดูเด่นขึ้น”

    “เธอรู้มาจากไหนน่ะ”

    “โอคาซังบอก เพราะว่าฉันเองก็เคยสงสัยมาก่อนเธอ”

    “เฮ้อ……ใครกันนะบอกว่าเกอิชาเป็นกันง่ายๆ เที่ยวมาดูถูกพวกเราว่าขายเรือนร่าง เราไม่เหมือนกันกับพวกโออิรันสักหน่อย พวกนั้นให้เพราะขายแต่พวกเราให้เพราะความรักหรือความพอใจ

    “อย่าไปคิดมากเลยน่า คนภายนอกจะมองพวกเราว่าอย่างไรมันไม่สำคัญหรอก แต่พวกเราย่อมรู้ดีว่าเราไม่เหมือนพวกโออิรันสักนิด ดูแค่โอบิพวกนี้สิ พวกเรามัดไว้ข้างหลังแต่พวกนั้นมัดไว้ข้างหน้าเพื่อง่ายต่อการถอดเข้าถอดออกวันละหลายครั้ง ทรงผมเราก็ไม่ต้องอลังการเท่า เท่านี้คนก็ดูออกแล้วล่ะ”

    “ฮึ…….ถึงอย่างไรคนก็ชอบมองว่าเราขายเรือนร่างอยู่ดีเป็นเพราะเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน เกอิชาปลอมๆมีเกลื่อนเมืองเลยพลอยทำให้เกอิชาแท้อย่างพวกเราพลอยเสื่อมเสีย แต่จะว่าไปฉันก็ไม่คิดว่าจะมีใครมารักชอบเราจริงๆหรอกนะ อย่างดีพวกเราก็แค่หาดันนะมาอุปถัมภ์ได้สักคน ไอ้จะหวังถึงเรื่องแต่งงานคงยาก”มิกะบอกขึ้นอย่างไร้ศรัทธาในรักแท้แต่ซายูริกลับส่ายหน้า

    “ฉันเชื่อว่าสักวันพวกเราจะต้องเจอรักแท้ และฉันก็จะมอบพรมจารีที่ล้ำค่าเอาไว้รอเขา หากเขารักฉันจริง เขาจะต้องเชื่อใจฉัน”ซายูริบอกอย่างที่ใจคิด

    “เธอนี่คิดอะไรไม่เหมือนคนอื่นอยู่เรื่อย”

    “เพราะว่าพ่อกับแม่ก็เป็นคู่รักที่น่ายกย่อง แม่เป็นเกอิชาที่ได้แต่งงานกับดันนะอย่างพ่อยังไงล่ะ”ความเชื่อที่หยั่งรากฝังลึกในใจของซายูริยากที่ใครจะห้ามได้

    “แต่ฉันจะมอบให้คนที่ประมูลราคาของมันได้มากที่สุด ยิ่งแพงก็ยิ่งดี เรื่องอะไรที่ฉันจะเก็บไว้ให้กับคนที่เราไม่รู้ว่าจะเจอหรือเปล่า ฉันไม่อยากจะแห้งเหี่ยวจนไม่มีใครมาประมูล ไม่ต่างจากม้าแก่โง่ๆที่ไม่มีใครเขาอยากขี่”มิกะกล่าวขึ้น สองสาวสวยที่นิสัยแตกต่างแต่ความสัมพันธุ์แน้นแฟ้นยาวนาน

    “หญิงสาวอย่างเราเมื่อแรกเริ่มก็เหมือนผืนแผ่นดินที่ยังใหม่ ยังน่าสนใจและน่าค้นหา เป็นดินแดนที่ทำให้พวกผู้ชายมีความตื่นเต้นและอยากจะสำรวจไม่มีที่สิ้นสุด ต่อมาก็กลายเป็นดินแดนที่ถูกสำรวจมาจนคุ้นทางกันดีแล้ว รู้งานและใช้ได้ในทันที และในเวลาต่องานเราก็คงจะเป็นดินแดนที่ถูกใช้งานมาจนลุ่ย หมดปุ๋ย หมดธาตุอาหาร เป็นที่ให้ต้นไม้เกิดได้แต่ไม่งอกงามและในวาระสุดท้ายเราก็คงจะเป็นแผ่นดินร้างที่ไม่อยากจะมีใครย่างกรายเข้ามาใกล้”ซายูริแค่นยิ้ม

    เธอไม่มีทางที่จะมอบความรักให้กับผู้ชายที่มาเที่ยวสถานที่แห่งนี้ เพราะนั่นแสดงให้เห็นได้ว่าเขายอมละทิ้งครอบครัวเพื่อออกมาหาความสำราญนอกบ้าน ย่อมไม่ใช่คนที่เธอจะฝากชีวิตเอาไว้

    “พร้อมหรือยังจ๊ะ เด็กๆ ของแม่”เสียงคาเนดะดังขึ้น ทำให้การสนทนาของเหล่าสาวๆจบลงและพร้อมจะออกแสดงในคืนแรกกับชีวิตเกอิชาเต็มตัว

    “ไปเถอะ มิกะ”ซายูริจูงมือเย็นเฉียบของมิกะให้ออกเดิน คืนแรกของโชว์พวกเธอจะแสดงรำพัดกัน ทั้งที่ได้ฝึกซ้อมมาอย่างดีแล้วแต่ก็อดตื่นเต้นไม่ได้

    “คืนนี้ ท่านคหบดีและเหล่าชีคทั้งหลายจากสหรัฐอาหรับดิลิยะห์จะมาที่นี่ เพราะฉะนั้นพวกเจ้าจะต้องต้อนรับให้ดีๆ พวกนี้น่ะตัวเงินตัวท้องทั้งนั้น เงินจากการขายน้ำมันมีมากมายจนสามารถซื้อสำนักเกอิชาของพวกเราไปไว้ที่บ้านได้อย่างสบาย อย่าลืมคำสอนของแม่ล่ะ”นางคาเนดะบอกขึ้นอย่างตื่นเต้น

     นานมาแล้วที่สำนักเกอิชาของเธอไม่ได้ต้อนรับแขกที่ร่ำรวยระดับโลกอย่างนี้ แต่แขกประจำของที่นี่ก็คงจะเป็นคหบดีฮัสซาร์ ที่แวะเวียนมาปีละหลายครั้งแต่ครั้งล่าสุดก็เมื่อปีที่แล้วและทุกครั้งที่มาเด็กๆของเธอก็มีกินมีใช้ไปหลายเดือน เขาแจกจ่ายเงินราวกับว่าตัวเขานั้นสามารถผลิตมันได้เสียเอง

    เมื่อก่อนนี้สำนักเกอิชาใช่ว่าจะเป็นสถานที่ที่ใครๆจะเข้าออกกันได้ง่ายๆ โดยเฉพาะคนต่างชาติ แต่ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองจบลง พวกคนต่างชาติโดยเฉพาะอเมริกันก็เข้ามาครอบครอง เป็นใหญ่

    อารยธรรมตะวันตกหลั่งไหลเข้ามาแทนที่ประเพณีอันดีงามที่สืบทอดกันมา ผับบาร์ถูกเปิดขึ้นเกลื่อนเมือง เกอิชาหลายคนต้องผันตัวเองไปเป็นนางโชว์ตามสถานที่เหล่านั้นหรือไม่ก็เป็นโออิรันกันอย่างเปิดเผยแล้วอ้างตัวว่าเป็นเกอิชา

    สำนักเกอิชาของนางคาเนดะจึงต้องปรับตัวรับคนต่างชาติให้เข้ามาใช้บริการตามยุคสมัย ไม่อย่างนั้นกิจการก็อาจจะต้องปิดตัวไปอย่างของคนอื่นๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×