คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : ตอน 12
อัสมานยอมนำอูฐตัวโปรดของเขามาฝากไว้กับชาวบ้านคนหนึ่งในบริเวณสถานีรถไฟแถบชานเมือง สภาพของเขาเวลานี้แทบจะไม่มีใครจดจำได้
เขาอยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ขาดวิ่น ผ้าโพกศีรษะที่เรียกว่ากัฟฟีเยของเขาสีขาวมัวซัว เขาเปลี่ยนจากอูฐมาเป็นม้าตัวอ้วนพีมาจนถึงทางรถไฟ เขาสับเปลี่ยนม้าทุกระยะด้วยอำนาจเงินเพื่อไม่ให้ถูกจับตาได้ ใครที่สัญจรไปมาต่างคิดว่าเขาเป็นเพียงพวกเร่ร่อนในทะเลทรายที่เดินทางมาค้าขายเท่านั้น
เขาจะต้องเดินทางโดยรถไฟไปลงยังสนามบินแล้วค่อยจัดการลอกคราบตัวเองให้กลายเป็นอัสมาน บินญา ลานิลห์ คนเดิม เขาต้องเดินทางหลากหลายรูปแบบเพื่อหลบหลีกการติดตามจากคนของฮัสซาร์และการตรวจจับของเจ้าหน้าที่ เขาวางแผนและติดต่อเจ้าหน้าที่ของสนามบินมาแล้วล่วงหน้าก่อนเริ่มแผนการ
ใจหนึ่งเขาก็อดรู้สึกผิดกับผู้เป็นพ่อขึ้นมาไม่ได้ ฮัสซาร์คงตกใจและเสียใจไม่น้อยที่พลาดโอกาสในการเข้าหอกับสาวสวยอย่างซายูริ เขาคงต้องกักขังตัวเธอเอาไว้จนกว่าพ่อเขาจะยกเลิกการแต่งงาน
ไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้อีกแล้ว ที่จะช่วยรักษาอาการทางด้านจิตใจของซายีน่าให้ดีขึ้น เพราะนางรักฮัสซาร์ยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก แม้แต่ชีวิตของนางเองก็คงจะรักน้อยกว่า
ลมจากภายนอกพัดผ่านเข้ามาในรถไฟจนผ้าโพกผมของเขาปลิวสะบัด ผู้คนในรถไฟแออัดยัดเยียด ทุกคนล้วนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเก่าๆ มอซอและไร้ความเป็นระเบียบ เพราะเบียดเสียดกันเข้ามาแย่งที่นั่งกันอย่างไม่มีใครยอมใคร บางคนมีเงินค่าโดยสารไม่พอก็โหนตัวอยู่ตามขั้นบันไดหรือนั่งตามพื้น
ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างหนักหน่วง ความรู้สึกเวทนาต่อความทุกข์ยากของผู้อื่นเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก หากไม่เพราะต้องมาลำบากอย่างนี้เขาก็คงจะไม่มีโอกาสได้เห็น
เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ต่อไปข้างหน้าอนาคตของเขาจะเป็นอย่างไร หากแผนการนี้ไม่สำเร็จและถูกจับได้ เขาอาจไม่สามารถกลับมาที่นี่ได้อีก เขาเป็นลูกชายของฮัสซาร์ก็จริง แต่เรื่องของศักดิ์ศรีมันก็เป็นสิ่งที่ลูกผู้ชายยอมกันไม่ได้ บางทีเขาอาจจะตายในทันทีที่ผู้เป็นพ่อรู้ว่าเขาเป็นคนพาตัวซายูริมาก็ได้
ได้โปรดเถิดอัลเลาะห์
ลูกกระทำครั้งนี้ไม่ได้ตั้งใจดูหมิ่นพ่อของตัวเองเลยจริงๆ การที่ต้องทำร้ายความรู้สึกของพ่อลูกก็ปวดใจมากพออยู่แล้ว
หากลูกไม่สามารถเอาชีวิตรอดกลับไปได้ ขอให้ท่านโปรดคุ้มครองซายีน่ามารดาของลูกและ
..ผู้หญิงคนนั้น ที่ลูกเป็นคนผลักดันเขาออกจากอิสรภาพ
หากเป็นไปตามข้อตกลงที่เขาได้วางแผนการเอาไว้ เมื่อไปถึงสนามบินแล้ว เขาจะเข้าไปหลบในห้องส่วนตัวของเจ้าหน้าที่ที่นั่นและจัดการผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าและโกนหนวดเคราให้เรียบร้อยดังเดิม เครื่องบินจากอเมริกาที่เป็นกำหนดเดินทางของเขาจะลงจอดในเวลาบ่ายโมงตรง เขาจะรออยู่ที่จุดนัดพบ
คนของเขาที่ได้ว่าจ้างเอาไว้จะมารอรับตามกำหนดการ ต่อจากนั้นจะเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องตบตาลูกน้องของฮัสซาร์ที่คงจะรออยู่สนามบินกันเพื่อติดตามเขา
หากผิดพลาดแม้แต่วินาทีเดียว
นั่น
..อาจหมายถึงชีวิตของเขา!
“อีกหนึ่งชั่วโมง รถไฟจะเข้าจอดในเมือง หวังว่าคนที่เราจ้างมาจะมารอรับตรงเวลา”ชายหนุ่มครางเบาๆ กับตัวเอง โชคดีที่ฮัสซาร์คาดไม่ถึงว่าเขาจะพาตัวซายูริไปยังทะเลทรายลึกที่เต็มไปด้วยอันตรายอย่างนั้น
เพราะความไม่ใส่ใจในตัวลูกชายคนเดียว ถึงได้ไม่รู้ว่าเขาชื่นชอบการเดินทางในทะเลทราย และสามารถใช้ชีวิตในทะเลทรายที่แห้งแล้งและยากลำบากได้ไม่แพ้พวกคาราวานต่างๆ เลยทีเดียว
เมื่อพาตัวเองมาถึงสนามบินได้ ชายหนุ่มก็มาหยุดอยู่ทางด้านหลังของสนามบิน อัสมานกวาดสายตามองหาผู้ที่เขาว่าจ้างเอาไว้ หัวใจของเขาเต้นแรงด้วยความรู้สึกตื่นเต้น
ความเป็นและความตายใกล้เข้ามาทุกขณะจิต เขาจะต้องตบตาคนของฮัสซาร์ให้ได้ด้วยสภาพซอมซ่อของชายยากจนที่เดินทางอ้อมเข้าสู่ทางด้านหลังของประตูทางเข้า
“เจ้ามาขายอะไรแถวนี้ออกไปนะ”เสียงของคนที่เขาจ้างวานแกล้งเอ่ยถามขึ้น
“มีขอรับนายท่าน เอ่อ
..ข้าเอาของเก่าแก่มาขายให้ ของนี้สำคัญมากจะให้ผู้อื่นเห็นไม่ได้”อัสมานตอบขึ้นด้วยภาษาพื้นเมืองที่ถูกดัดให้ทุ้มและแหบพร่าราวคนแก่อายุสักหกสิบปี
“ข้าไม่อยากได้หรอก”
“ได้โปรดเถิดนายท่าน ดูสักนิดเถิด ข้าขอรับรองว่าท่านจะพอใจมาก”อัสมานทำท่าเหลียวหน้าเหลียวหลัง ตาสบกับชายคนนั้นแน่วแน่อย่างรู้กัน
“จะสักแค่ไหนกันเชียว เข้ามาซิ
หากไม่ดีจริง ข้าจะตะเพิดไปให้ไกล”เจ้าคนนั้นว่าพลางแกล้งส่งเสียงดังเมื่อลูกน้องของฮัสซาร์ยังคงเตร็ดเตร่อยู่แถวนั้น
“ขอบคุณนายท่าน”อัสมานทำท่าดีอกดีใจก่อนจะสะพายย่ามสกปรกนั้นตามหลังชายคนนั้นเข้าไปโดยมีสายตาของลูกน้องฮัสซาร์มองตามหลังไปอย่างไม่แน่ใจ
“มีอะไรหรือ”อีกคนหนึ่งหันมาถามเมื่อเห็นสายตาของเพื่อน
“แค่พ่อค้าสกปรก แต่ข้าแปลกใจทำไมเจ้าอ้วนนั่นมันถึงยอมให้เข้าไปง่ายดายนัก”
“คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง แค่ตาแก่ยากจนคนหนึ่ง มันคงสงสารน่ะ”
“ผู้คนเข้าออกมากเหลือเกิน เราตามดูอย่างไม่คลาดสายตาแต่ก็ยังไม่เห็นร่องรอยความผิดปกติอะไรคนมากมายออกอย่างนั้น ทำอย่างไรจะหาคนเจอได้”อีกฝ่ายถอดใจ
“เห็นว่าท่านอัสมานมีกำหนดการกลับมาวันนี้ ถ้าเขาออกมาเที่ยวบินนี้ก็เป็นอันว่าหมดภาระหน้าที่ของเรา แต่ถ้าไม่เราคงต้องลำบากอีกยาวเชียวล่ะ”
“นั่นสิ แต่ถึงอย่างไร เราก้ต้องจับตาดูให้ดี ถ้าเกิดมีใครที่มีรูปร่างและลักษณะคล้ายท่านอัสมานล่ะก็ เข้าไปประกบได้ทันที อย่าให้พลาดล่ะ ไม่อย่างนั้นท่านฮัสซาร์เอาพวกเราตายแน่”ชายขี้สงสัยว่าพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ สนามบินอย่างระแวดระวัง เขาเดินเกร่ไปมาอยู่เป็นนานแต่ก็ไม่พบเห็นสิ่งใดผิดปกติ
“อีกนานไหมกว่าเครื่องจะลงจอด?”
“ตามกำหนดการก็คงราวๆ บ่ายโมง หากไม่มีอะไรคลาดเคลื่อน”
“หากท่านอัสมานมาจริงๆ เราต้องทำยังไงต่อไป”
“ก็ติดตามไปเรื่อยๆ ดูทุกฝีก้าวว่าท่านอัสมานจะไปที่ไหนบ้าง คราวนี้ต่อให้ท่านอัสมานมีปีกบินก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาของพวกเราไปได้หรอก”คนพูดบอกอย่างมั่นใจ
“ขอให้มันเป็นอย่างนั้นเถอะ หากเราหาคุณซายูริเจอ เราคงได้รางวัลจากท่านฮัสซาร์อย่างงาม”เจ้าคนช่างซักถามกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างหมายมาด ทั้งสองคุยกันต่ออีกหลายประโยคก็มีวิทยุเข้ามารายงานว่า อัสมานได้ลงมาจากเครื่องบินเที่ยวที่มาจากอเมริกาตามหมายกำหนดการทุกอย่าง
อัสมานเดินออกมาจากภายนอกสนามบินด้วยท่าทางองอาจ รถยนต์คันหรูที่สั่งให้ยูซุปคนสนิทเอามารอรับก็มาได้ตามกำหนดเวลาพอดี ชายหนุ่มก้าวขึ้นรถไปด้วยสีหน้าปกติ เรียบเฉยแต่ยูซุปกลับมองซีกหน้าเฉยเมยของเจ้านายหนุ่มอย่างไม่ไว้ใจ เขาขับรถไปตามท้องถนนเรื่อยๆ เป็นนานกว่าจะกล้าเอ่ยถาม
“นายท่านไปอเมริกาจริงๆหรือขอรับ”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไรยูซุป หากไม่ไปอเมริกาแล้วเจ้าคิดว่าฉันไปที่ใด”อัสมานแกล้งถามพลางเอนหลังลงกับเบาะนุ่มๆของรถยนต์คันงามอย่างสบายอารมณ์
“ท่านไม่ทราบหรือขอรับว่าที่นี่เกิดอะไรขึ้นบ้าง”ยูซุปหยั่งเชิง
“มีเรื่องอะไรกันล่ะ นอกจากที่พ่อแต่งงานกับผู้หญิงคนใหม่ โดยไม่สนใจจะไปเยี่ยมเยียนแม่ของฉัน ทั้งที่ท่านเข้าโรงพยาบาล ป่านนี้แม่คงกำลังเสียใจหนัก”สีหน้าของเจ้าชายหนุ่มดูไร้พิรุธจนยูซุปหาข้อจับผิดไม่ได้
“คุณซายูริหายตัวไปครับ”สายตาของยูซุปลอบมองซีกหน้าของอัสมานอย่างพยายามจับผิด
“อย่างนั้นหรือ ป่านนี้พ่อไม่อาละวาดหนักไปแล้วหรือ อย่างว่าคนสาวๆ สวยๆ อย่างนั้นคงไม่อยากจะแต่งงานกับคนแก่หรอก บางทีนางอาจจะหนีไปกับคนรักแล้วก็เป็นได้”
“แต่ท่านฮัสซาร์สงสัยนายท่าน”
“ฉันไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น ทุกคนก็เห็นนี่นาว่าฉันไปอเมริกา”
“ครับ ผมก็คิดอย่างนั้น เอ่อ
..ท่านจะไปที่บ้านเลยไหมครับ ตอนนี้คุณซายีน่าอยู่ที่บ้านแล้ว ดูเหมือนเธอจะแจ่มใสขึ้นมากเพราะเมื่อวานคุณยะนีระห์มาเยี่ยม”ยูซุปบอกขึ้น
“งั้นก็รีบไป”อัสมานบอกเพียงแค่นั้น
และเมื่อรถเลี้ยวเข้ามาจอดในบ้าน ชายหนุ่มก็เดินเร็วๆ จนเกือบจะกลายเป็นวิ่ง เมื่อเห็นรถของฮัสซาร์ผู้เป็นพ่อจอดอยู่ เขาจะต้องไปให้ทัน ก่อนที่พ่อจะพูดเรื่องของซายูริขึ้นมา
ทางด้านซายีน่านั้นเมื่อสาวใช้ขึ้นมารายงานว่าผู้เป็นสามีมาหา นางก็ถึงกับตื่นเต้นยินดีเป็นยิ่งนัก รีบร้องหาให้เหล่าสาวใช้มาแต่งตัวให้เป็นพัลวัน
และเมื่อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงได้รีบลงบันไดออกไปหาผู้เป็นสามีซึ่งนั่งรอคอยอยู่ก่อนแล้วด้วยสีหน้าบึ้งตึง ทันทีที่ผู้เป็นภรรยามาถึงเขาก็เอ่ยถามเสียงกร้าว
“เจ้าอัสมานไปไหน”
“อะไรกันคะท่านพี่ ทำไมจะต้องทำสีหน้าดุดันอย่างนั้นด้วยล่ะคะ อัสมานทำอะไรผิดนักหนาหรือ”นางซายีน่าเอ่ยถามขึ้นด้วยความตกใจ ฮัสซาร์มองหน้าซายีน่าอย่างแปลกใจกับท่าทางเหมือนไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นของเธอ
“เจ้าทำหน้าราวกับไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น”
“เรื่องอะไรหรือคะ อัสมานก่อเรื่องอะไรให้ท่านพี่ขุ่นเคืองใจอย่างนั้นหรือ”
“ซายูริหายตัวไป เป็นเพราะอัสมานใช่ไหม เธอเป็นคนบงการให้มันพาตัวนางไปใช่หรือไม่ ที่ฉันไม่ออกมาไต่ถามด้วยตัวเองแต่แรกเพราะเห็นว่าเธอไม่สบายมากหรอกนะแต่ในเมื่อเวลานี้เธอสบายดีแล้ว ก็ควรจะบอกความจริงแก่ฉัน ไม่อย่างนั้น ฉันจะลงโทษลูกชายสารเลวคนนี้อย่างสาสมที่สุด”น้ำเสียงดุดันของสามีทำเอาซายีน่าตัวสั่นแต่ยังไม่เข้าใจถึงความหมายนั้นอยู่ดี
“ซายูริ? ใครกัน”
“นี่
เจ้าเสียสติถึงขนาดไม่รู้ว่านางเป็นใครงั้นหรือ เจ้าลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่านางเป็น
”
“เป็นสาวใช้คนใหม่ครับแม่”เสียงทุ้มของอัสมานดังขึ้นก่อนที่ฮัสซาร์จะทันได้บอกให้จบประโยค นางซายีนามีสีหน้าดีขึ้นแต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าสาวใช้คนหนึ่งทำไมถึงทำให้สามีของนางโกรธเกรี้ยวถึงขนาดนี้
“อัสมานลูกรัก”นางซายีน่าสวมกอดบุตรชายและหอมแก้มซ้ายขวาด้วยความรัก
“แม่ดูสดชื่นขึ้นมากเลยครับ คงดีใจที่พ่อมาเยี่ยม”อัสมานบอกพลางลอบมองสบตากับผู้เป็นพ่อเป็นเชิงขอร้องไม่ให้เขาเอ่ยถึงซายูริให้ผู้เป็นแม่กระทบกระเทือนใจ
“แต่พ่อของเจ้าดูท่าทางจะโกรธลูกมากนะ ทำอะไรให้พ่อโกรธงั้นหรืออัสมาน”
“พ่อคงโกรธที่ผมเจรจาการค้าไม่สำเร็จน่ะครับ”ชายหนุ่มเอ่ยแก้
“โธ่
นึกว่าเรื่องอะไรกัน สองพ่อลูกคู่นี้แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ชอบทะเลาะกันด้วยเรื่องงานอยู่เรื่อยเชียว พอเถอะค่ะ นานๆ ได้อยู่กันพร้อมหน้าสักที ฉันมีความสุขมาก”นางซายีน่ายิ้มแย้มเป็นสุข ทำให้ฮัสซาร์ถึงกับพูดไม่ออก เขาเองไม่คาดคิดมาก่อนว่าเพียงแค่การมาของเขาจะทำให้ผู้เป็นภรรยาดูมีความสุขถึงเพียงนี้
“ครับแม่ เห็นด้วยไหมครับพ่อ”อัสมานหันมาหาฮัสซาร์ในประโยคสุดท้าย
“อืม”ฮัสซาร์จำเป็นต้องพยักหน้าและนั่งลงรับประทานอาหารตามคำเรียกร้องของซายีน่า ซึ่งหันไปบงการให้สาวใช้ลำเลียงอาหารเข้ามาอย่างยินดี
“เร็วสิจ๊ะโซซี อาหารของโปรดของท่านพี่ที่ฉันให้เตรียมรอเอาไว้ได้หรือยัง”
“เธอรู้หรือว่าฉันจะมา”ฮัสซาร์เอ่ยถามขึ้นด้วยความแปลกใจ เมื่ออาหารที่เหล่าสาวใช้นำมาเรียงรายให้นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นอาหารที่เขาชอบและโปรดปรานทั้งนั้น
“ไม่หรอกค่ะ แต่ฉันให้คนเตรียมเอาไว้ให้ท่านพี่ทุกวัน เพราะไม่รู้ว่าจะว่างมาวันไหน อัสมานบอกว่าท่านพี่ทำงานหนักมาก เพราะฉะนั้นฉันถึงต้องจัดอาหารที่ดีที่สุดเอาไว้ให้”นางซายีน่าบอกพลางตักอาหารให้อย่างเอาใจ
“ใช่ครับแม่ พ่อทำงานหนักมากทีเดียว”อัสมานมองหน้าผู้เป็นพ่อแล้วบอกขึ้นอย่างประชดอยู่ในที ฮัสซาร์รู้สึกละอายใจขึ้นมาวูบหนึ่ง ถ้อยคำที่เตรียมจะถามบุตรชายถึงซายูริจึงต้องถูกพับเก็บเอาไว้โดยปริยาย
“ขอบใจมากซายีน่า”เขาบอกได้เพียงแค่นั้น เมื่อความรู้สึกบางอย่างเต็มตื้นขึ้นมากะทันหัน
“เรื่องเล็กน้อยค่ะ มันเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่ท่านพี่ทำ”
“งั้นหรือ”ฮัสซาร์ยิ้มรับแล้วตักอาหารคืนให้ผู้เป็นภรรยาบ้าง ซายีน่าเองก็ทานจนหมดทุกคำจนหมดจานในที่สุด อัสมานถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกแล้วยิ้มให้ผู้เป็นแม่
“แม่ทานข้าวได้มากอย่างนี้ทุกวันคงจะดีนะครับ”
“แม่สัญญาจ้ะว่าจะทานให้ได้มาก โดยเฉพาะวันไหนที่ท่านพี่กับลูกมาทานอาหารด้วยอย่างนี้”
“คงต้องแล้วแต่พอแล้วล่ะครับ”
“ฉันจะพยายาม”ฮัสซาร์บอกสั้นๆ ด้วยความรู้สึกอึดอัดกับสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักและความหวังนั้น เขาไม่ใจร้ายถึงขนาดจะทำร้ายจิตใจของภรรยาถึงเพียงนั้น
“โซซีเอายามาให้ท่านแม่เถอะ”อัสมานร้องสั่ง นางโซซีรีบจัดยามากมายใส่ในถ้วยแก้วเล็กๆ แล้วยื่นให้ นางซายีน่ารับมาทานอย่างเต็มใจผิดกับทุกครั้งที่ต้องใช้เวลาเกลี่ยกล่อมกันนานทีเดียวกว่าจะยอมกินได้
“ทานยาแล้วก็ควรจะนอนพักนะครับแม่”ชายหนุ่มแตะแขนมารดาและบอกอย่างอ่อนโยน
“แต่
”นางซายีน่าอิดออด เพราะอยากจะอยู่กับสามีและลูกชายต่อ
“หมอสั่งนะครับ ถ้าแม่ไม่ทำตามจะไม่หายเป็นปกติ หากร่างกายไม่แข็งแรงแล้วล่ะก็ผมกับท่านพ่อจะไม่สบายใจนะครับ”อัสมานกล่าวอ้างอย่างนั้น นางจึงจับต้องรับคำ
“ไปเถอะค่ะนายหญิง เอาไว้ให้ร่างกายแข็งแรงมากกว่านี้ก่อนนะคะ”นางโซซีแตะแขนผู้เป็นเจ้านายและพากลับไปนอนพักผ่อนบนห้องนอน
“ขอบคุณนะครับพ่อที่ไม่พูดเรื่องผู้หญิงคนนั้น”อัสมานบอกเสียงเรียบ
“ทำไมซายีน่าถึงจำเหตุการณ์วันนั้นไม่ได้”
“แม่ตกใจมาก สมองได้รับความกระทบกระเทือนจนจำเหตุการณ์สะเทือนใจเหล่านั้นไม่ได้ สมองของแม่ถึงได้เลือกจะจดจำแต่สิ่งที่ทำให้มีความสุข”
“เรื่องของซายูริ
.”
“พ่อคิดว่าผมเป็นคนทำ?”
“แล้วแกคิดว่านอกจากแกแล้ว ฉันควรจะสงสัยใคร”ฮัสซาร์บอกเสียงห้วน เกือบจะตะคอกแต่ยั้งเอาไว้ได้ทัน เพราะไม่อยากให้ซายีน่าตื่นขึ้นมา
“แล้วถ้าผมบอกว่าไม่รู้เรื่องพ่อจะเชื่อรึเปล่า”ชายหนุ่มยียวน
“ฉันบอกตามตรงว่าแกน่าสงสัยที่สุด วันนี้ฉันยังไม่มีหลักฐานแต่หากฉันรู้และแกพลาดเมื่อไหร่ ฉันเอาแกตายแน่ อัสมาน
..”ฮัสซาร์บอกด้วยน้ำเสียงดุดัน
“พ่อจะฆ่าลูกชายตัวเอง เพราะผู้หญิงคนเดียวเชียวหรือครับ”ชายหนุ่มย้อนถามอย่างเจ็บช้ำ
“นั่นมันไม่สำคัญหรอก แต่ศักดิ์ศรีของฉันจะถูกใครย่ำยีอย่างนี้ไม่ได้ จำเอาไว้นะอัสมาน แกอย่าพลาดให้ฉันจับได้เป็นอันขาด เพราะถ้าวันนั้นมาถึงฉันจะไม่อภัยให้แก”ฮัสซาร์กล่าวโทษก่อนจะเดินจากไปด้วยความหงุดหงิด ที่จับผิดอะไรอัสมานไม่ได้ คนของเขารายงานมาว่าอัสมานเดินลงมาจากเครื่องบินเที่ยวนั้นจริงๆ
ซายูริ
ป่านนี้แล้วเธอจะอยู่ที่ไหนกันนะ
******
ซายูริทอดมองสายน้ำนิ่งสนิทเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกเหงาหงอย ก้อนหินในมือก้อนแล้วก้อนเล่าถูกโยนลงไปในน้ำและจมหายไป นางซาวานกอดอกมองอาการนั้นอย่างรู้เท่าทัน
“คิดถึงท่านอัสมานรึยังไง”
“เอ๊ะ
....อย่าพูดอย่างนี้อีกนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่พูดกับท่านอีกเลย”ซายูริทำสีหน้าบึ้งตึงกลบเกลื่อน เพราะความเป็นจริงแล้ว เมื่อไม่มีใครให้ลับฝีปากด้วยเธอกลับรู้สึกเหงาอย่างประหลาด
ทั้งที่ควรจะดีใจและโล่งใจที่เขาไปจากเธอเสียได้ ชีวิตที่แสนอิสระไม่ใช่เชลยที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาตลอดเวลา มันน่าจะดีและมีความสุขจะตายไปแต่ทำไมภายในใจของเธอมันถึงได้รู้สึกหงอยเหงาอย่างนี้
“ข้าแค่ล้อเล่นทำไมจะต้องโกรธด้วยเล่า”
“ไม่ได้โกรธแต่ฉันแค่ไม่อยากได้ยินชื่อเขา รู้หรือไม่ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันที่ฉันมีความสุขและรู้สึกปลอดโปร่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเลย หากเขาจะไม่กลับมาอีกเลยยิ่งดี”
“ให้มันจริงเถอะ”นางซาวานว่า
“เอ๊ะ
..”หญิงสาวจุ๊ปากด้วยความขัดใจก่อนจะเดินลุกหนีไปทางอื่นก่อนที่สีหน้าของเธอจะปิดความรู้สึกเอาไว้ได้ไม่มิด นางซาวานส่ายหน้าและมองตามหลังหญิงสาวไปยิ้มๆ
“เบื่อซะจริงไอ้พวกปากแข็ง”นางซาวานแกล้งส่งเสียงดังแหวกอากาศเข้าไปกระทบโสตประสาทของซายูริ หญิงสาวค้อนกลับให้ลมให้แล้งแต่ก็อดนึกกลัวใจตัวเองขึ้นมาไม่ได้
หรือว่าตอนนี้เธอกำลังคิดถึงผู้ชายปากร้าย ป่าเถื่อนคนนั้นจริงๆ
.
เพราะความไม่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเอง ดังนั้นในวันนี้หญิงสาวจึงได้พยายามหลบหน้าของนางซาวานอยู่ตลอดเวลา เพราะกลัวว่าตัวเองจะเผลอมีพิรุธอะไรออกไปทางสายตา จนกระทั่งงานบ้านทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว เธอจึงได้หมดข้ออ้างที่จะหลบนางซาวานอีกจึงได้เดินเตร่อยู่ไม่ไกลนัก
“ทำอะไรค่ะ”หญิงสาวเลิกคิ้วถามเมื่อเห็นนางซาวานใช้อะไรบางอย่างลักษณะคล้ายฉมวกลงเดินลุยน้ำลงไปและพุ่งมันลงไปในน้ำครั้งแล้วครั้งเล่า
“จับปลาน่ะสิ เรากินแต่ขนมปังกับอินทผลัมอย่างเดียวไม่ได้หรอก มีหวังไม่มีเรี่ยวแรง กว่าท่านอัสมานจะมาก็คงอีกหลายวัน”นางซาวานยกปลาที่เพิ่งเสียบมาได้ขึ้นโชว์ ซายูริมองเจ้าปลาโชคร้ายที่ถูกเสียบทะลุถึงกึ่งกลางทอง ตัวของมันดิ้นขลุกขลักอย่างน่าสงสาร เมื่อเห็นอย่างนั้นหญิงสาวถึงกับแบะหน้าทำท่าจะร้องไห้ออกมาเสียให้ได้
“เป็นอะไรของเจ้าน่ะ”นางซาวานทำหน้าแปลกใจกับอาการของหญิงสาว
“ฉันสงสารมันค่ะ เรากินขนมปังกับอินทผลัมอย่างเดิมเถอะนะคะท่านน้าซาวาน”ซายูริเสียงอ่อย นางซาวานส่ายหน้าแล้วจัดการปลดเจ้าปลาถึงฆาตออกจากปลายเหล็กแหลมนั้นพร้อมกับโยนมันขึ้นบนฝั่ง
“มันเกิดมาเพื่อเป็นอาหารของเรา เจ้าจงจัดการย่างมันเสียเร็วๆ เข้า ข้าจะรีบหามาเพิ่ม อย่าแอบปล่อยมันล่ะ โดนเสียบจนไส้ทะลุแบบนั้น ขืนปล่อยมันก็ต้องตายอยู่ดี”นางซาวานสั่งแล้วหันไปให้ความสนใจกับการจับปลาต่อ ซายูริรีบวิ่งลุยน้ำลงไปหาแล้วแย่งฉมวกนั้นมาถือเอาไว้เสียเอง
“อะไรอีกล่ะ”
“เอ่อ
ฉันทำแทนเองจ้ะ อากาศมันร้อนฉันจะได้เล่นน้ำไปด้วย”
“แกแน่ใจนะว่าทำได้ ไหนเมื่อกี้ถึงได้ทำหน้าราวกับจะตายตามปลาไปอย่างนั้น”นางซาวานมองหน้าซายูริอย่างหวาดระแวงทำให้หญิงสาวต้องรีบทำหน้าขึงขังแทนที่
“ท่านน้าพูดถูกนี่คะว่ามันเกิดมาเพื่อเป็นอาหารของเรา”
“งั้นก็แล้วไป”ผู้สูงวัยกว่ายื่นฉมวกให้
ซายูริรับมาด้วยสีหน้าดีใจเกินเหตุแต่เมื่อเห็นนางซาวานมองมาอย่างจับผิดจึงต้องเสเสียบฉมวกลงไปในน้ำด้วยท่าทางเอาจริง นางซาวานจึงได้ละความสงสัยเอาไว้แล้วขึ้นฝั่งไปจัดการก่อไฟขึ้นเพื่อย่างปลาตัวโตนั้น กลิ่นหอมของมันยั่วยวนชวนน้ำลายสอยิ่งนัก อาหารโปรตีนที่ร่างกายของเธอกับซายูริกำลังต้องการ
“รีบๆ หามาล่ะ ตัวนี้ข้าจะเหลือเอาไว้ให้ครึ่งหนึ่ง”นางซาวานร้องบอก
“ค่ะ”ซายูริรับคำก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาจับปลาตามวิธีของนางซาวานแต่เอาเข้าจริงแล้วมันคือการกวัดแกว่งฉมวกนั้นเพื่อไล่ให้พวกปลาเหล่านั้นมันไม่เข้ามาใกล้แถวนี้ต่างหาก
“รีบๆ หนีไปซะ ถ้าพวกแกไม่อยากตาย ท่านน้าซาวานจับปลาเก่งจะตายรู้ไหม”ซายูริกระซิบบอกกับผืนน้ำ ราวกับว่าตัวเธอเองนั้นจะสามารถสื่อสารกับพวกมันรู้เรื่องกระนั้น
“ได้หรือยังปลาน่ะ มัวแต่เล่นน้ำตากแดดอยู่นั่นล่ะ ประเดี๋ยวก็จับไข้หรอก ที่นี่ไม่มีหมอ ไม่มียาหรอกนะ”นางซาวานเงยหน้าขึ้นจากการนั่งแทะปลาไปครึ่งตัวนั้นแล้วร้องถาม เมื่อเห็นว่าหญิงสาวชักจะแช่อยู่ในน้ำกลางแดดเปลี้ยงๆ นานเกินไปเสียแล้ว ร่างกายบอบบางอย่างนั้นจะทนทานแดดจัดๆ ของดิลิยะห์ได้สักแค่ไหนกันเชียว
“จ้า
..ขึ้นเดี๋ยวนี้ล่ะ”ซายูริขึ้นจากสระน้ำอย่างเสียดายกับความเย็นชุ่มฉ่ำนั้น
“ไหนล่ะปลาของเจ้า”นางซาวานมองมือเปล่าของซายูริเขม็ง
“ปลามันไม่มีเลยสักตัวค่ะ สงสัยว่ามันคงจะหนีไปกันหมดแล้ว เพราะเห็นเพื่อมันถูกจับไป”ซายูริตีหน้าเซ่อบอกขึ้นแต่นางซาวานก็มองมาอย่างรู้เท่าทัน
“มันหนีเพราะเห็นว่าเพื่อนมันถูกจับไปหรือเป็นเพราะว่าตัวเจ้าไล่มันไปกันแน่”
“เปล่านะคะ
ฮัดเช้ย!”ซายูริจามฟุดฟิดไปมาจนนางซาวานต้องเลิกซักถาม
“ว่ายังไม่ทันขาดคำ เป็นหวัดซะแล้ว พวกคนต่างชาตินี่มันช่างผิวบอบบางกันเสียจริงๆ เชียว ไปนอนซะเถอะไป๊ ก่อนที่จะไม่สบายไปมากกว่านี้”นางซาวานโบกมือไล่
ซายูริรับคำเพราะเริ่มรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เช่นกัน หญิงสาวตรงเข้าไปในกระโจมและลงมือผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลมตัวลงนอนบนผ้าหยาบๆที่ปูอยู่ภายในกระโจมนั้นและไม่นานหญิงสาวก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย เป็นเวลานานเท่าใดแล้วเธอก็ไม่อาจคาดเดาได้ รู้แต่ว่าเมื่อตอนมานั้นฟ้ายังคงสว่างจ้าอยู่แต่พอตื่นขึ้นท้องฟ้าก็กลับมืดครึ้มลงไปถนัดตา
“ซายูริ ตื่นรึยัง ออกมาทานอาหารเถอะ”นางซาวานร้องเรียก ซายูริได้ยินเสียงเรียกของนางซาวานแต่เรี่ยวแรงเพียงแค่จะเปล่งเสียงออกไปให้ได้ยินนั้นแทบจะไม่มี
“ฉันปวดหัวค่ะ”ซายูริส่งเสียงร้องตอบ แต่ทั้งที่คิดว่าตัวเองได้ตะโกนตอบออกไปแล้วแต่ความจริงเป็นเพียงเสียงแผ่วเบาที่ผ่านรอดไรฟันออกไปเท่านั้นเอง
นางซาวานเห็นท่าจะไม่ได้การจึงได้แหวกกระโจมเข้ามาแล้วขยับเข้าไปใกล้ แล้วนางผู้มีผิวสีดำสนิทก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตื่นตกใจกับเนื้อตัวที่ร้อนราวกับไฟนั้น
“ซายูริ ตายแล้ว
ทำไมตัวร้อนอย่างนี้”
“ฉันปวดหัวเหลือเกินค่ะ หนาวมากด้วย
”หญิงสาวครางเสียงแผ่วพลางพยายามซุกตัวเข้าไปอยู่ใต้ผ้าห่มเพื่อหาความอบอุ่นให้กับร่างกาย
“แน่ล่ะสิ ตัวร้อนราวกับถูกไฟเผาแบบนี้ ทำอย่างไรล่ะ ท่านอัสมานก็ไม่อยู่ โธ่เอ้ย
”นางซาวานหันรีหันขวางแล้วเดินออกไปหาผ้ามาชุบน้ำเช็ดเนื้อเช็ดตัวเพื่อบรรเทาอาการไข้ให้
********************************************************************************************************************
อาหารมากมายถูกลำเลียงมาไม่ขาดสายบนโต๊ะอาหารของนางซายีน่า มีทั้งอาหารพื้นเมืองของดิลิยะห์และอาหารฝรั่งเศสที่สั่งตรงมาเป็นพิเศษเพื่อเอาใจว่าที่ลูกสะใภ้ วันนี้นางยิ้มแก้มแทบปริ รู้สึกมีความสุขและอิ่มเอมเป็นยิ่งนักที่วันนี้ลูกชายของนางออกไปรับยะนีระห์มาร่วมรับประทานอาหารด้วย
“ทานเยอะๆนะจ๊ะหลานรัก อย่าให้ผอมนัก”
“เท่านี้ก็เริ่มจะอ้วนแล้วล่ะค่ะท่านป้า”ยะนีระห์ตอบอ่อนหวานพลางมองสบตากับอัสมานเป็นระยะ ซึ่งชายหนุ่มก็ยิ้มตอบด้วยไมตรีจิตเป็นอันดี
“ไม่เห็นจะอ้วนเลย พี่ว่ากำลังดีแล้ว”
“เห็นไหมจ๊ะ ไม่ว่าอะไรที่เป็นตัวหลานยะนีระห์แล้วล่ะก็ อัสมานเขาก็ชอบทั้งนั้นแหละ”นางซายีหน้าบอกขึ้นทำเอาหญิงสาวสวยหน้าแดงก่ำชม้ายชายตามองอัสมานสลับกับมองอาหารตรงหน้าไปมา
“เมื่อไหร่ถึงจะย้ายมาอยู่เป็นเพื่อนป้ากันเล่า ป้าเหงามากรู้ไหม อัสมานกับท่านพี่ฮัสซาร์ก็เอาแต่ทำงานไม่ค่อยจะสนใจป้า หากมีลูกสะใภ้หรือว่าหลานตัวเล็กๆ ให้เลี้ยงก็คงจะดี”
“ท่านป้า
”ยะนีระห์เอียงอาย นางซายีน่ามองตามอย่างเอ็นดูแต่อัสมานนั้นอึดอัดใจอย่างที่สุด เขารักและเอ็นดูหญิงสาวผู้นี้และเคยคิดว่าหากจะคิดมีภรรยาสักคนก็จะต้องเป็นยะนีระห์เพียงคนเดียว แต่เพราะอะไรหนอ ในวันนี้เขาถึงไม่แน่ใจเอาเสียเลย จิตใจส่วนลึกของเขามันกลับร่ำร้องหาใครบางคน
สองวันที่ผ่านมาหัวใจของเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเอาเสียเลย ใจมันมักล่องลอยออกไปยังท้องทะเลทรายกว้าง ล่องลอยไปหาใครคนหนึ่งที่เขาไม่อยากจะยอมรับ
“ดูสิ เขินใหญ่แล้ว จะไม่พูดอะไรให้น้องหายเขินเลยหรืออัสมาน”นางซายีน่าหันมาถามบุตรชายยิ้มๆ อัสมานยิ้มตอบมารดาสลับกับมองใบหน้าแดงเรื่อของยะนีระห์แล้วกลายเป็นคนติดอ่างขึ้นมาทันที
“เอ่อ
..หากท่านแม่เหงา ลูกจะพาไปเที่ยวข้างนอกบ่อยๆ”เขาตอบขึ้นมาในที่สุด
ถ้อยคำตอบไม่ตรงประเด็นของอัสมานทำให้ยะนีระห์ชะงักมือที่กำลังจะตักอาหาร ท่าทางอึดอัดของชายหนุ่มทำให้เธอรู้สึกไม่พอใจแต่ต้องเก็บเอาไว้ภายใต้สีหน้าอ่อนหวานดังเดิม
“แม่ไม่ต้องการไปเที่ยว ลูกก็รู้นี่จ๊ะว่าแม่หมายถึงอะไร”นางซายีน่าส่งสายตาดุๆ มาให้บุตรชาย อัสมานกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น แต่เพราะซายีน่ามีอาการดีวันดีคืน เพราะยะนีระห์ดังนั้นเขาถึงไม่กล้าจะขัดใจ
“ครับ”
“ดีจ้ะ
.ยะนีระห์ จะรังเกียจหรือไม่ หากว่าป้าจะขอหมั้นหมายเจ้าให้กับอัสมานลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของป้า หากเจ้าเต็มใจพรุ่งนี้ป้าจะรีบไปสู่ขอ”นางซายีน่าหันมาถาม ยะนีระห์ใจเต้นตูมตามด้วยความดีใจนักหนา ใจอยากจะกรีดร้องออกมาให้ดังๆ แต่ที่ทำได้ก็คือแสดงอาการเขินอายได้อย่างน่าเอ็นดู
“แล้วแต่ท่านป้ากับพี่อัสมานค่ะ”
“น่ารักจริงหลานรัก ถ้าอย่างนั้นป้าจะรีบจัดการหมั้นหมายให้เร็วที่สุด”นางซายีน่ายิ้มกว้างและต้องเปิดยิ้มกว้างหนักยิ่งขึ้นเมื่อเสียงรถยนต์คุ้นหูที่เธอรอคอยมาจวบชั่วชีวิตแต่งงานแล่นเข้ามาจอดพร้อมๆ กับที่ชายผู้เป็นเจ้าของเดินอย่างองอาจเข้ามาภายใน นางซายีน่าแทบจะกระโจนออกไปรับด้วยความตื่นเต้น
“ท่านพี่”
“สวัสดีค่ะท่านลุง ขอพระผู้เป็นเจ้าจงประทานพรแก่ท่านลุง”ยะนีระห์ลุกจากเก้าอี้นั่ง เดินเข้ามาใกล้และค้อมศีรษะลงทำความเคารพผู้สูงวัยกว่า
“ขออัลเลาะห์ประทานพรแก่เจ้าเช่นกันยะนีระห์ ไม่รู้มาก่อนว่าเจ้ากลับมาจากฝรั่งเศสแล้ว”ฮัสซาร์ยิ้มรับและทักทายหญิงสาว ยะนีระห์ยิ้มแย้มก่อนจะตอบ
“กลับมาเกือบเดือนแล้วล่ะค่ะ แต่กลับมาเงียบๆ ไม่อยากให้เอิกเกริก”
“ดีแล้วล่ะ โยฮานจะได้ไม่เหงา”ท่านฮัสซาร์มองไปยังโต๊ะอาหารที่ผู้ร่วมโต๊ะเพิ่งจะเริ่มลงมือกันได้เพียงแค่คนละไม่กี่คำ นางซายีน่ารีบเอ่ยถามอย่างเอาใจ
“ท่านพี่รับประทานอาหารมาหรือยังคะ ฉันจะดีใจมากหากท่านพี่ร่วมรับประทานด้วย วันนี้เรามีข่าวดีอย่างที่สุดนะคะ”ท่าทางเปี่ยมสุขของภรรยาทำให้ฮัสซาร์ต้องแปลกใจ นับครั้งได้ที่จะเห็นซายีน่าอยู่ในสภาพเป็นผู้เป็นคนอย่างนี้ เพราะทุกครั้งเขาจะเห็นซายีน่าอยู่ในสภาพอมทุกข์และเศร้าสร้อยจนน่ารำคาญ
“ดีเหมือนกัน ฉันก็ชักจะหิว”
“โซซีเร็วเข้า”นางซายีน่าหันไปหาสาวใช้คนสนิทที่รีบตักข้าวให้ด้วยความดีใจแทนผู้เป็นเจ้านาย
หมู่นี้อาการของซายีน่าดีวันดีคืน ยอมทานยาและอาหารอย่างว่าง่าย หากเป็นอย่างนี้ได้ตลอดอาการซึมเศร้าและอาการทางจิตก็คงจะหายเป็นปกติได้ในเร็ววัน
“พ่อไม่ไปทำงานหรือครับ”อัสมานเอ่ยถามขึ้นเป็นประโยคแรก สายตาของเขาจับจ้องไปบนใบหน้าของผู้เป็นพ่ออย่างไม่ค่อยไว้วางใจนัก กลัวเหลือเกินว่าฮัสซาร์จะเผลอเอ่ยถึงซายูริขึ้นมาให้แม่ของเขาไม่สบายใจ
“ไป
..แต่ยังไม่อยากไปในตอนนี้ หมู่นี้รู้สึกเบื่อๆ เรื่องงาน เห็นทีว่าฉันคงจะแก่ไปแล้วจริงๆ อีกไม่นานคงต้องวางมือให้อัสมานจัดการ”น้ำเสียงของฮัสซาร์ดูเหนื่อยหน่ายอย่างที่พูดจริงๆ
“เหนื่อยจริงๆ ก็ดีน่ะสิคะท่านพี่ ฉันจะดีใจอย่างที่สุด”นางซายีน่ายิ้มกว้าง
“เพราะอะไรหรือ”
“ก็เพราะท่านพี่จะได้มีเวลาอยู่กับครอบครัวของเราให้มากขึ้นอย่างไรล่ะคะ บอกตามตรงว่าฉันรอเวลานี้มานานเหลือเกินแล้ว อีกไม่นานเราก็จะเป็นสองตายายหรือไม่ก็ปู่ย่ากันแล้วนะ”นางซายีน่าทำท่าเพ้อฝัน
“หมายความว่าอย่างไรกัน”ฮัสซาร์เลิกคิ้ว ยะนีระห์ก้มหน้างุดไม่กล้าสบตากับคนอื่นๆ นางซายีน่าแย้มยิ้มเอ็นดูก่อนจะหันไปสบตากับบุตรชาย
“อัสมานกับยะนีระห์ตัดสินใจจะหมั้นกันแล้วค่ะ และก็คงจะแต่งงานกันในไม่ช้า”
“อย่างนั้นหรือ งั้นก็ดี”ฮัสซาร์บอกขึ้นอย่างพอใจ
“ต่อไปนี้บ้านเราก็คงจะไม่เหงาแล้วนะคะ อีกหน่อยก็จะมีเสียงร้องงอแงของเด็กๆ เสียงเจี๊ยวจ๊าวเมื่อเขาโตขึ้น ท่านพี่ก็จะเป็นท่านปู่ ฉันก็จะกลายเป็นท่านย่า”
“ดูแก่ไปถนัดตาเลยนะ”ฮัสซาร์ว่าพลางหัวเราะลั่นอย่างพอใจ นานมาแล้วที่เขาไม่ได้หัวเราะได้เต็มเสียงอย่างวันนี้ โดยเฉพาะการหัวเราะกับภรรยาคนที่หนึ่งอย่างซายีน่า
“แก่ก็ต้องยอมรับความจริงล่ะค่ะ แก่ก็ดีแล้วจะได้กลายเป็นเสือถอดเขี้ยวเล็บ”
“งั้นหนือ”ฮัสซาร์พยักหน้าหงึกหงักด้วยท่าทางเงอะงะ คำพูดของผู้เป็นภรรยาทำให้เขาเกิดความละอายใจขึ้นมาวูบหนึ่งและนึกเปรียบเทียบตัวเขาเองกับซายูริ
เขาดูแก่เกินกว่าที่จะได้ครอบครองผู้หญิงที่ยังสาวและสวยประดุจดอกไม้แรกแย้มอย่างซายูริจริงๆ แม่ดอกหลิวแห่งญี่ปุ่น ควรแล้วหรือที่จะมาปักลงในแจกันเก่าๆ ใบหนึ่ง
.
วูบแรก
และวูบเดียวที่เขาไม่มีความรู้สึกอยากแต่งงานกับสาวน้อยซายูริ แม่เกอิชาสาวสวยผู้นั้น
“พรุ่งนี้เราจะไปบ้านของท่านโยฮานกันนะคะ”นางซายีน่าแตะแขนสามีอย่างรักใคร่
“ตกลง”
“แล้วไม่คิดจะพูดอะไรเลยหรือ อัสมาน ดูสิ
น้องเขินจนพูดไม่ออกแล้ว”
“คงจะอายกันกระมัง หนุ่มๆ สาวๆ ก็อย่างนี้ล่ะ”ฮัสซาร์บอกยิ้มๆ
“คงจะเหมือนเราสองคนเมื่อก่อนนี้นะคะ ฉันจำได้ว่าก็นั่งเงียบไปตลอดวันอย่างยะนีระห์นี่ล่ะแต่ก็ดีใจอย่างบอกไม่ถูกที่ได้แต่งงานกับคนที่แสนดีอย่างท่าน”นางซายีน่าสบตาผู้เป็นสามีอย่างอ่อนหวานลึกซึ้ง ฮัสซาร์ได้แต่ยิ้มตอบอย่างละอายใจ รู้สึกว่าตัวเขาเองนั้นไม่ได้ให้อะไรตอบแทนกับความรักมากมายที่นางมอบให้เลย”
ความคิดเห็น