คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : คนคุ้นเคย
“ยังไม่ถึงอีกเหรอลุง”มุนินชะเง้อคอมองหาบ้านเรือนไทยหลังงามของยายเรไรอย่างร้อนรน ขณะนั่งอยู่บนเรือเร็ว ที่เธอว่าจ้างเป็นพิเศษ เพราะอยากจะไปให้ถึงงานศพโดยเร็วที่สุด
โดยไม่ยอมว่าจ้างตาคนเดิม น้ำเสียงร้อนรนของอีกฝ่าย ทำให้วิกสิตที่นั่งมาด้วยถึงกับจ้องหน้าเธออย่างงุนงง
“อะไรกันครับพี่นิน ดูแปลกๆตั้งแต่เช้าแล้วนะ ทำไมต้องรีบขนาดนั้นด้วย”วิกสิตถามขึ้นอย่างแปลกใจ มุนินชะงัก ดูเหมือนเธอเองก็พึ่งจะรู้สึกตัว
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าบางอย่างกำลังรอพี่อยู่”เธอบอกเสียงอ่อย ตาเหม่อมองไปเบื้องหน้า เรือคันนั้นแล่นฉิว โดยเพิ่มความเร็วขึ้น ทำให้เกิดคลื่นใหญ่ซัดเข้าตัวฝั่งแม่น้ำ แพผักตบชวาโยนตัวเป็นพะเยิบสูงขึ้นตามคลื่น
คนขับเรือคุมพวงมาลัยกระชับ เมื่อพ้นโค้งน้ำ เรือก็ลดความเร็วลงและลดความเร็วเรือลงได้ทันทีเมื่อตีโค้งเข้าหาต้นมะม่วงใหญ่ข้างศาลาท่าน้ำของบ้านเรือนไทยหลังใหญ่
มุนินจ่ายเงินให้กับคนขับ จึงก้าวขึ้นจากเรือ กวาดสายตามองดูพบผู้คนมาร่วมงาน พบว่ามากันไม่หนาตาเท่าเมื่อวานนักเนื่องจากวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว หญิงสาวชะเง้อคอมองหาเด็กหญิงส้มเช้ง
สักพักเด็กหญิงก็วิ่งมาหาเธอด้วยสีหน้าเป็นมิตรมากขึ้นเพราะเด็กหญิงรู้สึกเคว้งคว้าง ไม่รู้จะเริ่มต้นจัดงานจากตรงไหนดี แต่โชคดีที่เธอกับวิกสิตช่วยจัดการทุกอย่างให้ จนครบสวดศพวันสุดท้ายแต่เธอก็ยังไม่พบหลานชายคนเดียวของเจ้าของบ้านเลย
แปลก
..น่าแปลกที่เธออยากเจอเขาผิดปกติ เธอพยายามหาเหตุผลมาปฏิเสธกับตัวเองตลอดเวลาที่นั่งเรือมาว่าที่เธอเร่งรีบมาไม่ใช่เพราะอยากเจอเขา
“หลายชายคุณยายเรไรมาถึงวันนี้ใช่ไหมส้มเช้ง”หญิงสาวหันมาถามด้วยเสียงร้อนรน เด็กหญิงพยักหน้ารับก่อนจะเดินหายเข้าไปข้างใน โดยมีเธอกับวิกสิตเดินตามเข้าไปด้วย
มุนินใจเต้นระทึกเมื่อเห็นชายหนุ่มคนนั้นนั่งอยู่หน้าโลงศพ ท่าทีอาการของเขาอยู่ในภาวะเคร่งเครียด เขาเป็นชายหนุ่มที่จัดว่ารูปหล่อมากทีเดียว ผิวขาวสะอาดเกลี้ยงเกลา
ดูจากหน้าตาแล้วดูออกว่ามีเชื้อสายลูกครึ่ง คิ้วหนาได้รูป จมูกโด่งเป็นสัน ตาคมเข้ม ผมหยักน้อยๆนั้นตัดแต่งไว้อย่างปราณีต หนวดเคราโกนเกลี้ยงเกลา
ผู้ชายคนนี้หน้าตาแปลก โหนกแก้มสูงจนดูคล้ายแก้มตอบแต่ไม่ใช่ บุคลิกดูผึ่งผายราวกับเจ้าชายอียิปต์โบราณ ออกจะยากมากที่จะคะเนอายุของเขาแต่คาดว่าคงจะไม่เกินสามสิบต้นๆ
หญิงสาวแอบลอบมองเขาด้วยความรู้สึกทึ่งๆแต่เหนือสิ่งอื่นใดมันคือความรู้สึกบางอย่างที่เริ่มจุ่โจมเข้ามาจับหัวใจ เป็นความรู้สึกเอิบอาบเข้ามาจนแผ่ซ่านไปทั่วร่าง
มุนินสะบัดศีรษะไปมาเพื่อขับไล่ความรู้สึกประหลาดที่ซ่านเข้ามาจนรู้สึกว่าตัวเองใจเต้นระทึกนั้นให้ออกไปแล้วพยายามสงบใจ หญิงสาวเดินเข้าไปเรื่อยๆจนมาหยุดอยู่เบื้องหลังเขา ส้มเช้งยื่นธูปให้เธอกับวิกสิต มุนินไหว้ศพนั้นเงียบๆ
“คุณโอมาร์!”น้ำเสียงแสดงความตื่นเต้นของวิกสิตทำให้หญิงสาวชะงักมือที่กำลังจุดธูปลงกระถางพร้อมกับหันไปทางวิกสิตด้วยสายตาแสดงคำถาม
“สวัสดีครับคุณวิกสิต ขอบคุณที่ยังจำผมได้”โอมาร์ค้อมศีรษะให้วิกสิตเล็กน้อย ตอบรับคำทักทายของวิกสิตด้วยภาษาไทยชัดเจน
“นี่ยังไงละครับพี่นิน คุณโอมาร์ ที่เราไปตามหาเขาที่พิพิธภัณฑ์มาเมื่อหลายวันก่อน”คำบอกของวิกสิตทำเอาหญิงสาวถึงกับตะลึงงัน
เป็นเขาเองหรือที่เธอพยายามตามหา ดูเหมือนเขาเองก็ทำท่างงงันเล็กน้อย วิกสิตเห็นดังนั้นจึงรีบอธิบายให้อีกฝ่ายรับรู้
“คือ
เราสองคนได้กระดาษปาปิรุสมาแผ่นหนึ่งครับ เลยอยากให้คุณโอมาร์ช่วยแปลหน่อย เอ่อ
ดูเหมือนคุณโอมาร์คงจะยังไม่ทราบว่ามุนาเธอเสียแล้วครับ”วิกสิตบอกน้ำเสียงสะเทือนใจ โอมาร์ดูเหมือนจะงันไปเล็กน้อยกับข่าวร้ายนั้น
“ตายจริง! น่าเสียดาย เธอเป็นคนที่มีความสามารถมาก อ่านภาษาฮีโมกริฟิกได้เก่งกว่านักอียิปต์ศาสตร์บางคนซะอีก”เขาบอกขึ้น แววตาสลดลง
มุนา
.เด็กสาวสดใสที่มีความสนใจในสิ่งเดียวกันกับเขา เขาเองก็บอกไม่ถูกเขารักและหลงเสน่ห์ดินแดนแห่งทะเลทรายนี้เหลือเกิน เขาดีใจและภูมิใจที่มีเลือดของชนชาติอียิปต์อยู่ครึ่งหนึ่ง
“ครับ
เอ่อนี่ พี่นินครับเป็นพี่สาวของมุนา”วิกสิตหันมาแนะนำ โอมาร์หันมาสบตากับหญิงสาว ทันทีที่สบตากับเธอเขารู้สึกว่ามีความรู้สึกประหลาดวิ่งเข้าจู่โจมสู่หัวใจ มันดูประหลาดล้ำลึกจนยากจะอธิบาย เขาค้อมศีรษะให้เธอเล็กน้อย ปากบางของเขาคลี่ยิ้มให้นิดๆ
“ผมได้ยินส้มเช้งพูดถึงพวกคุณให้ฟัง ขอบคุณมากที่อุตส่าห์ช่วยเป็นธุระเรื่องงานศพคุณยายให้”เขาพูดเสียงอ่อนโยนภายใต้สีหน้าเรียบเฉย
“ไม่เป็นไรค่ะ อันที่จริงมันเป็นเหตุบังเอิญที่ประจวบเหมาะตอนยายของคุณ ท่านเสียพอดี พวกเราเกือบโดนเข้าใจผิดแล้วว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านเสียชีวิต”เธออธิบายเสียงเจื้อยแจ้ว รู้สึกคุ้นเคยกับชายหนุ่มตรงหน้าอย่างประหลาด
“ท่านอายุมากแล้ว ผมถือว่าท่านไปสบายแล้ว อ้อ
.เมื่อครู่คุณบอกว่ามีแผ่นปาปิรุสจะให้ผมดูอย่างนั้นหรือ”เขาหันมาถามด้วยท่าทีสนใจเต็มที่
“ใช่ค่ะ ของยายนาแต่เราไม่ได้ถือติดมือมาด้วย เพราะไม่ทราบจริงๆว่าหลานชายคนเดียวของคุณยายเรไรจะเป็นคุณ”
“เชื่อไหมครับคุณโอมาร์ว่าตอนแรกพี่นินจะไปหาคุณถึงไคโรด้วยซ้ำ ถ้าไม่บังเอิญมาเจอคุณที่นี่”วิกสิตพูดอย่างนึกขันกับข้อสงสัยพิลึกพิลั่นของมุนิน
ว่าการตายของมุนาจะเกี่ยวข้องกับกระดาษปาปิรุสแผ่นนั้น มันจะเป็นไปได้อย่างไร? ถึงเขาจะเคยได้ยินเรื่องคำสาปมาบ้างก็เถอะ
“อะไรทำให้คุณอยากรู้ข้อความในแผ่นปาปิรุสถึงขนาดจะบินไปไคโร”เขาหันมาถามเธออย่างแปลกใจด้วยแววตาค้นหา
ออกจะไม่แน่ใจ แผ่นปาปิรุสนั้นจะมาอยู่ในมือเธอได้อย่างไร ท่าจะเป็นของปลอมซะละมั้ง
“มุนาได้แผ่นปาปิรุสนั้นมาได้ไม่นานก็ตาย สภาพศพน่ากลัวและน่าสยดสยองมาก คุณจะว่าฉันเหลวไหลหรือจะหัวเราะเยาะฉันก็ได้ ฉันกำลังสงสัยว่ามันจะเกี่ยวข้องกับคำสาปในแผ่นปาปิรุสนั่น”เธอบอกเขาด้วยสีหน้าจริงจัง
คาดเดาในใจว่าคงจะได้เห็นรอยยิ้มขบขันจากใบหน้าหล่อเข้มนั่นแต่เธอก็คิดผิดถนัด นอกจากจะไม่แสดงอาการขบขันแล้วเขายังดูสนอกสนใจเต็มที่ซะอีก
“ผมเองก็เคยได้ยินมาหลายเรื่องเกี่ยวกับคำสาปที่มีในสมบัติทุกชิ้นของมัมมี่ที่มีคนบังอาจไปรบกวนเจ้าของเดิม แต่คุณแน่ใจได้ยังไงว่ามันเป็นของจริง”เขาถามขึ้น
“ฉันไม่แน่ใจ แต่ที่มาที่นี่เพราะแผ่นปาปิรุสนั้นมันเป็นของยายคุณ”คำบอกเล่าของมุนินทำเอาชายหนุ่มตัวแข็งทื่ออย่างนึกไม่ถึง
“คุณว่าอะไรนะ เป็นไปไม่ได้หรอก ผมอยู่ที่นี่มานาน คุณยายรู้ว่าผมชอบและหลงใหลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับชาวอียิปต์โบราณ ถ้าท่านมีสมบัติล้ำค่าขนาดนี้ท่านก็คงจะมอบให้ผมไปนานแล้ว”เขาบอกเธอ แววตาไม่อยากจะเชื่อนัก
เขาเคยเข้าไปในห้องเก็บของของยายหลายครั้ง สมบัติทุกชิ้นเคยผ่านตาเขามาหมด เขายังไม่เคยเห็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับอียิปต์โบราณเลย และที่สำคัญของล้ำค่าแบบนั้นมันจะมาอยู่กับยายของเขาได้อย่างไรกัน เป็นไปไม่ได้กรอก!
“เป็นความจริงค่ะ เราถึงได้ตามมาถามท่านถึงที่นี่แต่ยังไม่ได้ความอะไรนักท่านก็ด่วนจากไปซะก่อน”หญิงสาวมองหน้าเขาพร้อมกับยืนยัน หันไปทางวิกสิตเพื่อที่จะให้เขาช่วยยืนยันอีกแรง
“ใช่ครับ ผมเป็นพยานได้ เพราะตอนที่คุณยายเรไรให้แผ่นปาปิรุสกับมุนาผมก็อยู่ด้วยตลอด”วิกสิตรีบยืนยัน
“โอ
.นี่มันอะไรกัน ผมอยากจะเห็นแผ่นปาปิรุสนั้นเหลือเกิน”เขาครางเสียงแผ่ว มุนินมีสีหน้าดีขึ้นเมื่อได้ยินอย่างนั้น
“แน่นอนค่ะ เพราะฉันเองก็อยากรู้ข้อความในนั้นเหมือนกัน พรุ่งนี้ฉันจะรีบเอามาให้คุณดูนะคะ”เธอบอกอย่างยินดี แต่เขากลับถอนหายใจยาว
“เห็นจะไม่ทันการ เพราะผมมีธุระด่วนที่ไคโรต้องรีบไปขึ้นเครื่องแต่เช้า มีการขุดพบร่องรอยของสุสานเจ้าหญิงพระองค์หนึ่งอยู่ไม่ไกลจากหุบผากษัตริย์นัก ดูเหมือนจะถูกขุดค้นมาก่อนหน้านี้แล้วเพราะมีร่องรอยเหมือนเคยถูกขุดค้นแต่แปลก
ที่จู่ๆสุสานก็ถูกพายุทรายเข้าทับถมจนจบหายไปจากสายตาทั้งที่ยังไม่มีใครเอาสมบัตินั้นออกมาได้เลยแล้วก็ไม่เคยมีใครได้เห็นสุสานนั้นอีกเลย”โอมาร์บอกขึ้น
“ตายจริง! แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงว่าแผ่นปาปิรุสนั้นกล่าวถึงอะไรไว้”มุนินบอกอย่างผิดหวัง
“ผมจะกลับไปเอาให้เองครับพี่นิน ไปถึงแล้วรีบกลับมาคงไม่เกินเที่ยงคืนหรอก”วิกสิตรีบอาสา เขาเองถึงจะไม่เชื่อว่ามันจะเกี่ยวข้องกับการตายของแฟนสาว แต่ก็อดที่จะอยากรู้ไม่ได้
“ดีสิวิก งั้นพี่ไปด้วย”เธอรีบบอกแต่วิกสิตโบกมือห้าม
“อย่าเลยครับพี่นิน ผมไปคนเดียวจะสะดวกกว่า พี่รออยู่ที่นี่ดีกว่า”วิกสิตว่า หญิงสาวทำท่าลังเลมองหน้าเจ้าของบ้านอย่างเกรงใจ
“เรื่องคุณนินไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ รับรองด้วยเกียรติว่าเธอจะปลอดภัย เพียงแต่ผมเกรงว่าคุณวิกจะเหนื่อยที่ต้องเทียวไปเทียวมาหลายเที่ยว”โอมาร์บอกเสียงเรียบ
ถึงแม้ว่าเขาเองจะอยากเห็นแผ่นปาปิรุสนั้นเต็มทีแต่ก็อดที่จะเกรงใจวิกสิตไม่ได้
“ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็อยากจะรู้ข้อความในนั้น อีกอย่างพี่นินเองก็จะได้รู้ซะทีว่าการตายของมุนาเกี่ยวข้องกันไหมกับแผ่นปาปิรุสธรรมดาๆนั่น”วิกสิตบอกยิ้มๆก่อนจะเดินออกไปกวักมือเรียกเรือรับจ้างที่วิ่งผ่านมาออกไป
มุนินมองตามจนเรือลับตาจึงเดินออกไปนั่งสนทนากับชายหนุ่มตามเดิม
“อะไรทำให้คุณมั่นใจว่าการตายของน้องสาวคุณเกี่ยวข้องกับอาถรรพ์คำสาป”เขาเอ่ยถามลอยๆมากกว่าจะอยากรู้จริงจัง
“ไม่รู้สิคะ
.แต่ฉันสังหรณ์ใจถ้าคุณได้เห็นสภาพศพของยายนาคุณก็อาจจะคิด มุนาตาเหลือกค้างมือบีบคอตัวเองแน่น ตัวซีดขาวเหมือนไม่เหลือเลือดในกายสักหยด”เธอบอกแล้วอดรู้สึกขนลุกขึ้นมาไม่ได้เมื่อนึกถึงสภาพศพอันน่าสยดสยองนั้น
โอมาร์อึ้งไปนานกับคำตอบนั้นนั้น พลางนึกไปถึงคำบอกเล่าของคนเก่าแก่ที่นี่ถึงเรื่องการตายของแม่เขาเมื่อหลายสิบปีก่อน
“แม่หนูวิไลตายน่ากลัวจริงงๆ ตอนที่ป้าเข้าไปเห็นนะตาเหลือกค้าง มือยกขึ้นบีบคอตัวเองผิวงี้ซีดเชียวนี่ถ้าม่กลัวคนจะหาว่างมงายไป ต้องนึกว่าถูกผีดูดเลือดแน่ๆ”ป้าแก้ว ป้าข้างบ้านญาติห่างๆของเขาซึ่งเป็นแม่ของสมเช้งเล่าให้เขาฟังตอนกลับมาเมืองไทยใหม่ๆด้วยท่าทีสยดสยอง
เขาจำได้ว่าตอนเด็กๆกลัวมาก จนถึงขนาดขอตามปู่กับย่าไปอยู่ที่อียิปต์จนกระทั่งเรียนจบจากอเมริกาถึงได้กลับมาทำงานที่เมืองไทย
แต่กระนั้นเขาก็ยังคร้ามเกรงที่จะอยู่บ้านเรือนไทยหลังนี้ถึงได้พักอยู่กรุงเทพฯซะเป็นส่วนใหญ่ เดือนละครั้งสองครั้งถึงจะกลับมาเยี่ยมผู้เป็นยายซึ่งถือเป็นญาติสนิทคนเดียวของเขาที่ยังเหลืออยู่
“คุณโอมาร์
.คุณโอมาร์คะ”เสียงหนุ่มหวานของคนตรงหน้าทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งตื่นจากภวังค์ความคิด
“ขอโทษที
..ผมคิดอะไรเพลินไปหน่อย”เขาบอกอย่างขอลุแก่โทษ โดยไม่ยอมบอกว่าเขาคิดเรื่องอะไรอยู่ เพราะไม่อยากให้เธอเอาไปเกี่ยวข้องกับการตายของมุนามากเกินไป ถึงแม้ว่าเขาเองก็อดที่จะสงสัยไม่ได้เหมือนกัน
“ฉันได้ยินจากวิกสิตว่าคุณสนใจเรื่องชนเผ่าอียิปต์โบราณมากงั้นหรือคะ เป็นเพราะคุณมีเชื้อสายอียิปต์”เธอหันมาชวนคุย เพราะการอยู่ต่อหน้าชายหนุ่มรูปงามอย่างเขาตามลำพังสร้างความประหม่าให้กับหญิงสาวอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
เธอไม่กล้าสบตาเขาตรงๆ ไม่ต้องการให้เขารู้ถึงความรู้สึกในใจของเธอเพราะแม้แต่ตัวเธอเองในส่วนลึกก็ไม่ต้องการให้ตัวเองรู้สึกแบบนั้นกับเขาหมือนกัน
มีความเก้อกระดากและขัดเขินละอายใจเกิดขึ้นมาเงียบๆที่บางครั้งบางคราเธออยากจะโผเข้ากอดร่างกำยำสมส่วนนั้นด้วยความโหยหาราวกับว่าเธอไม่ได้เจอกับเขามานานแสนนานแล้วพึ่งจะได้เจอหน้ากันเป็นครั้งแรกกระนั้น
“ครับ
อาจเป็นเพราะว่าผมมีเลือดอียิปต์อยู่ครึ่งหนึ่งก็เลยอยากจะศึกษาอารยธรรมของชนเผ่าอันหน้าทึ่งของตัวเอง”เขาบอกอย่างอดที่จะภาคภูมิใจในเผ่าพันธุ์ของตัวเองไม่ได้ สีหน้าของเขาแสดงความหลงใหลออกมาชัดเจน จนหญิงสาวอดขันขึ้นมาไม่ได้
“คุณทำท่ายังกะว่าตัวเองเป็นเจ้าชายอียิปต์หรือไฮพรีสท์สมัยโบราณแล้วระลึกชาติได้อย่างนั้นแหละ”เธอบอกยิ้มๆ
“ถ้าผมคิดว่ามันเป็นแบบนั้นคุณจะเชื่อไหม”เขาบอกทีเล่นทีจริง
“โอ
อันที่จริงคุณก็เหมือนเลยล่ะค่ะ ความเป็นลูกครึ่งไทย อียิปต์ของคุณทำให้หน้าตาคุณดูแปลกมาก ยิ่งถ้าให้สวมชุดเจ้าชายอียิปต์โบราณล่ะก็เข้าท่าทีเดียวล่ะค่ะ”เธอบอกยิ้มๆ
“คุณอาจจะพูดเล่นๆ แต่ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ผมคิดว่าผมเคยเห็นที่นั่นมาก่อนแน่ๆ ไม่ใช่เห็นในสมัยนี้แต่เป็นสมัยเมื่อนานมาแล้วนับพันปี ไม่ใช่ตอนที่เหลือแต่ซากของปิรามิดที่ปรักหักพังแล้วแบบนี้ แต่เป็นตอนที่มันพึ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ ภาพเขียนบนผนังยังสดใสแจ่มชัดในความรู้สึกของผม
ผมคิดว่าผมจำลักษณะภายในสุสานได้ ไม่ว่าจะเป็นห้องลับต่างๆ ตุ๊กตาศักดิ์สิทธิ์ทุกตัวที่รักษาสุสานให้คงอยู่ ที่บรรจุพระศพหรือแม้กระทั่งลวดลายบนซาร์โคฟากัสที่บรรจุร่างของพระศพเจ้าหญิงองค์ใดองค์หนึ่งในสมัยสามสิบศตวรรษก่อนเพียงแต่ผมจำไม่ได้เท่านั้นเอง พยายามนึกแต่ก็นึกไม่ออกว่าพระนามของนางคืออะไร ประหลาดมากที่ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนควบคุมการก่อสร้างด้วยตัวเองด้วยซ้ำ
ผมเห็นภาพตัวเองยืนอยู่เหนือซาร์โคฟากัสของเธอและทำพิธีพรมน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ให้นางเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะปิดพระศพและปิดสุสานชั่วนิรันทร์ ผมพึ่งเคยไปอียิปต์ไม่กี่ครั้งแต่ผมมั่นใจว่าผมเคยอยู่ที่นั่นมาก่อนแน่ๆ”เขาบอกขึ้น แววตาล่องลอยไปไกล
แปลก
ที่เขากล้าเล่าเรื่องราวเหลวไหลของเขาให้สตรีแปลกหน้าผู้นี้ฟังทั้งที่เคยพบกันวันนี้เป็นครั้งแรก เขาไม่เคยบอกเล่าเรื่องความรู้สึกนี้ประหลาดนี้ให้กับใครฟังมาก่อนเลยไม่ว่าจะเป็นปู่ ย่า หรือแม้แต่แอนนา คนรักของเขาเอง
“คุณคงจะขำผมใช่ไหม”เขาถามกลับเธอเสียงเรียบ แววตาขมขื่น
มุนินมองหน้าโอมาร์นิ่งๆ ด้วยสีหน้าปกติไม่ส่อแววประหลาดใจหรือขำขันให้เห็น มีแต่แววตาเท่านั้นที่มองเขาขาด้วยความรู้สึกแปลกๆที่นักเรียนนอกหัวสมัยใหม่อย่างเขาจะเชื่อเรื่องราวพวกนี้ได้ แต่หญิงสาวรีบส่ายหน้ากลบเกลื่อนแววตาตัวเองด้วยการหัวเราะเบาๆ
“ไม่เลยค่ะ
ฉันจะหัวเราะคุณได้ยังไงละคะ ในเมื่อฉันเองก็ยังเอาเรื่องปาปิรุสกับการตายของน้องสาวมาเกี่ยวข้องกันได้เลย”เธอบอกเขาจากใจจริง ชายหนุ่มมีสีหน้าดีขึ้นแม้จะรู้ว่ามันเป็นเพียงคำพูดปลอบใจของเธอก็ตาม
“ผมไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง เพราะกลัวคนอื่นจะหาว่าผมบ้า ขอบคุณที่ไม่มองผมแบบนั้นทั้งที่ในใจคุณนินอาจจะคิดว่าสิ่งที่ผมพูดมันเป็นไปไม่ได้”
“ใครบอกล่ะค่ะ มันอาจจะเป็นไปได้ เพราะฉันเองก็เป็นชาวพุทธซึ่งมีความเชื่อในเรื่องของชาติภพหรือการกลับชาติมาเกิด ฉันไม่รู้ว่าศาสนาของคุณเชื่อเรื่องพวกนี้รึเปล่าแต่ตามศาสนาของฉันมีคนเล่าให้ฟังมากมายว่ามีการระลึกชาติได้ว่าเคยเกิดเป็นอะไรกันมาบ้างในชาติก่อน
และฉันเองเวลาที่เจออะไรบางอย่างยังรู้สึกว่ามันดูคุ้นเคยอย่างประหลาดเลย ดูอย่างกระดาษปาปิรุสม้วนนั้นสิ เพียงแวบแรกที่เห็นฉันยังรู้สึกคุ้นกับมันเหลือเกิน ไม่แน่นะคะ คุณอาจจะเคยเกิดเป็นเจ้าชายหรือนักบวชอียิปต์โบราณก็ได้ถึงได้รู้สึกว่าตัวเองเคยเห็นการก่อสร้างสุสานและพิธีกรรมต่างๆในงานพระศพ”เธอบอกขึ้นตามที่รู้สึก
ซึ่งช่วยให้บรรยากาศในการสนทนาราบรื่นขึ้น เพราะต่างก็สนใจในสิ่งเดียวกัน โอมาร์มองหน้าหญิงสาวตรงหน้าด้วยความรู้สึกฉงนฉงาย
“คุณคิดอย่างนั้นจริงๆหรือ”เสียงของเขาบ่งบอกความประหลาดใจ
“จริงสิคะ”มุนินทำเสียงหนักแน่น ใบหน้ายิ้มแย้ม
“ในอดีตที่ผ่านมาหลายสิบศตวรรษคุณอาจจะเคยเป็นเจ้าชายสักองค์ก็ได้นะคะ บางทีเจ้าของปาปิรุสแผ่นนั้นอาจจะเป็นคุณเมื่อสามพันปีก่อนก็ได้”หญิงสาวบอกยิ้มๆพร้อมกับหัวเราะขำๆ
โอมาร์นิ่วหน้าไม่ยอมขันด้วย มองหน้าเธอด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้วพูดตัดบท
“นี่จะหกโมงแล้ว คิดว่าคุณคงจะหิว ผมบอกให้ส้มเช้งเตรียมกับข้าวเอาไว้รอแล้ว เชิญทานข้าวก่อนเถอะครับ บางทีคุณกับคุณวิกสิตอาจจะต้องค้างที่นี่แต่กว่าเขาจะมาถึงผมไม่อยากให้เราหิ้วท้องรอ”เขาบอกก่อนจะลุกขึ้นเดินนำ หญิงสาวพยักหน้าและเดินเคียงมากับเขา แอบลอบมองเขาเงียบๆ
อะไรหนอที่ทำให้เขาดูมีเสน่ห์ล้ำลึกสำหรับเธอ อะไรกันแน่ที่ทำให้เธอครุ่นคิดผูกพันกับเขามากถึงเพียงนี้
“คุณเคยมีความรู้สึกแบบเดียวกับผมไหม พบเห็นอะไรอย่างหนึ่งแล้วทำให้นึกถึงอะไรบางอย่าง เช่น เหมือนมีเหตุการณ์บางอย่างที่ผ่านมานานแสนนานที่เราลืมไปแล้วจู่ๆเราก็นึกถึงเหตุการณ์นั้นได้เมื่อเห็นของสิ่งนั้นแต่เราไม่แน่ใจว่ามันคือความจริงหรือความฝันกันแน่ถึงทำให้เราคิดอย่างนั้น”จู่ๆเขาก็หันมาถามเธอ จนหญิงสาวที่กำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่ถึงกับสะดุ้งน้อยๆ
“มะ
ไม่รู้สิคะ ฉันไม่เคยเป็นหรืออาจจะเคยแต่นึกไม่ออก”หญิงสาวส่ายหน้า
“นั่นสินะ
..ขนาดผมเองยังไม่แน่ใจเลย จะให้คนอื่นเชื่อได้ยังไง”เขาบอกพร้อมกับยักไหล่ก่อนจะเดินนำหน้าเธอไปยังโต๊ะสำรับที่สมเช้งกับป้าแก้วเตรียมเอาไว้ให้
อาหารค่ำมื้อนั้นผ่านไปได้ด้วยดี มีน้ำพริกผักลวกกับปลาตะเพียนนึ่ง น่าแปลกที่โอมาร์ไม่ค่อยจะได้อยู่เมืองไทยนักแต่กลับพูดภาษาไทยได้ชัดเจนยิ่งกว่าคนไทยแท้ๆบางคนซะอีก แถมยังทานอาหารไทยเผ็ดๆพวกนั้นได้หน้าตาเฉย
หลังอาหารมื้อค่ำ เธอออกไปยืนชะเง้อคอหาวิกสิตอย่างเป็นห่วง เพราะนี่จวนจะสามทุ่มแล้วเขายังไม่มาถึงเลย โอมาร์เดินเข้าไปในห้องเก่าของแม่แล้วหยิบเสื้อผ้าออกมายื่นให้
“อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะครับ กว่าคุณวิกสิตจะมา นอนหลับอีกสักตื่นก็ยังได้”เขาบอกยิ้มๆ พร้อมกับยื่นเสื้อผ้าให้
หญิงสาวเอ่ยขอบคุณเขาพร้อมกับรับมา มองผ้าในมืออย่างไม่มั่นใจนักเพราะมันเป็นผ้าซิ่นกับเสื้อคอกระเช้าแบบคนสมัยก่อนชอบใส่กัน
“มันเป็นเสื้อผ้าของแม่ผม ต้องขอโทษด้วยที่มันมีแต่ผ้าซิ่นกับเสื้อแบบนี้”เขาบอกเมื่อเห็นสายตาแปลกๆของเธอ
หญิงสาวพยักหน้ารับก่อนจะเดินไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าตามคำสั่ง เพราะตัวเธอเองก็รู้สึกหมักหมมมาทั้งวัน แถมยังอาจจะต้องค้างที่นี่ไม่อยากจะนอนเหม็นอยู่ทั้งคืน
“พระจันทร์สวยจังนะคะ”เสียงดังจากด้านหลังทำให้โอมาร์หันขวับกลับมา มุนินยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า เขาไม่ได้ยิ้มตอบให้เธอในทันที
เพราะเขาแทบจะจำเธอไม่ได้ในแวบแรกที่เห็นเพราะเธอกับแม่นักข่าวสมัยใหม่ที่นั่งคุยกันอยู่เมื่อครู่กับสาวน้อยคนที่อยู่ตรงหน้าเขาราวกับเป็นคนละคน
เธอนุ่งผ้าซิ่นยาวกรอมเท้ากับเสื้อคอกระเช้าลายดอก ปล่อยผมยาวสยายไปถึงกลางหลัง ที่หูทัดดอกจำปีที่ส้มเช้งชอบเก็บไปโรยเอาไว้ในห้องต่างๆปล่อยให้มันส่งกลิ่นหอมอ่อนๆไปทั่วบ้าน
“ผมเกือบจะจำคุณไม่ได้”เขาบอกยิ้มๆ รู้สึกว่าเสียงของเขาสั่นออกไปเล็กน้อย เขาเคยเห็นผู้หญิงคนนี้ที่ไหนมาก่อนแน่ๆ
หญิงสาวเดินถือตะเกียงลานออกมาวางไว้หน้าศาลา พลางแหงนหน้าดูพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวนั้นอย่างพอใจ
โอมาร์มองตามร่างโปร่งบางในชุดไทยนั้นด้วยความรู้สึกประหลาดล้ำ เนียนเนื้อจากใบหน้าสะอาดสะอ้านลงมาถึงลำคอกลมกลึงลาดเรื่อยมาถึงลำแขนเนื้อเนียนละเอียด
เขามองตามหลังเธอ รู้สึกเหมือนใจตัวเองปั่นป่วนวูบไหว ภาพที่เธอยืนสยายผมอยู่ใต้แสงจันทร์เป็นภาพที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิต
เหมือนเจ้าหญิง
..เขาคิดในใจ
ผมยาวสวยแผ่เต็มหลังดุจแพรไหมนั้นยิ่งทำให้เกิดภาพที่ดื่มด่ำในอก สายตาของเขาทอดจับใบหน้านวลกระจ่างนั้นเนิ่นนาน ก่อนจะสะดุ้งน้อยๆเมื่อเธอหันขวับกลับมา
“มีอะไรรึเปล่าคะ”มุนินถามขึ้นด้วยใบหน้าแดงก่ำกับสายตาของเขา
“ปละ
..เปล่าครับ ผมมัวแต่มองพระจันทร์เพลินไปหน่อย”เขารีบแก้ตัวทั้งที่รู้ว่ามันฟังไม่ขึ้นเลยสักนิดเดียว
เขาเดินเลยไปนั่งลงเหยียดขา เอนตัวพิงกับเสาต้นใหญ่ หญิงสาวมองยิ้มๆเก็บดอกปีบที่ร่วงจากใบหูนั้นมาดมแล้วนั่งลงพับเพียบข้างๆเขา ตาชะเง้อมองไปทางแม่น้ำรอคอยว่าเมื่อไหร่จะเป็นเรือของวิกสิต
“ป่านนี้แล้วยังไม่มาอีก หรือว่าจะไม่มีเรือรับจ้าง”เธอบอกขึ้นอย่างกังวล
“คงไม่หรอกครับ เพราะผมบอกเรือลำนั้นเอาไว้แล้วว่าให้รอรับเขากลับมาที่นี่ ผมรู้จักลุงนำดี แกเป็นคนซื่อสัตย์”เขารีบบอกเพื่อให้เธอคลายกังวล
“อากาศดีจังเลยนะคะ ฉันอยากนอนตรงนี้จัง”เธอพูดขึ้นมาลอยๆ เขายิ้มให้เธอนิดๆก่อนจะลุกขึ้นเดินหายเข้าไปทางเรือน ครู่หนึ่งก็กลับออกมาพร้อมเสื่อม้วนหนึ่งกับหมอนใบเขื่อง คลี่ออกวางบนพื้นแล้ววางหมอนลงให้
“เอนหลังสักพักก็ได้นะครับ ผมนอนตรงนี้บ่อยๆ นั่งดูพระจันทร์จนหลับไป”เขาบอกขึ้น หญิงสาวยิ้มขอบคุณก่อนจะขยับตัวลงนั่งบนเสื่อ เอนตัวลงพิงกับหมอน
โดยไม่ได้คาดคิดว่าตัวเองจะหลับแต่ลมเย็นๆที่โชยมาจากแม่น้ำและกลิ่นดอกปีบที่เด็กสาวเอามาวางไว้ทั่วบ้านส่งกลิ่นหอมเย็นๆ ประกอบกับการอดนอนมาหลายคืนทำให้หญิงสาวรู้สึกเคลิ้มไป จนเริ่มฝัน
เธอเห็นงูเห่าตัวใหญ่มันเลื่อม เลื้อยวนมาอยู่ตรงหน้า มันไม่ได้เข้ามาทำร้ายเธอเพียงแต่แผ่แม่เบี้ยขึ้นมาจ้องหน้าเธออยู่ด้วยแววตาเคียดแค้น เธอยืนตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
มันจ้องมองเธออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเลื้อยกลับไปหาผู้หญิงคนหนึ่งช้าๆ เธอแน่ใจว่าเป็นผู้หญิงถึงจะเห็นเพียงแค่เป็นเงาดำๆเลือนราง
แต่เงาผมยาวสยายและเอวเล็กคอดกิ่วนั้นบ่งบอกสถานภาพทางเพศได้เป็นอย่างดี งูนั้นเลื้อยพันขึ้นมาบนเรียวแขนงามของเงาตรงหน้าก่อนจะโค้งงอตัวของมันเข้ากับรอบศีรษะกลมเกลี้ยงนั้น แล้วจู่ๆมันก็กลับกลายเป็นมงกุฎครอบศีรษะของเงาร่างงามนั้นได้อย่างพอดิบพอดี
หญิงสาวสะดุ้งตื่นขึ้น เหงื่อกาฬผุดซึมขึ้นมาบนใบหน้า เธอฝันประหลาดอีกแล้ว
..
มุนินผงกศีรษะลุกขึ้น โอมาร์ยังนั่งนิ่งมองดูดวงจันทร์อยู่ในท่าเดิม ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูถึงได้รู้ว่าเธอหลับไปเกือบสองชั่วโมง
ดวงจันทร์ที่กลมนวลส่องสว่างก่อนหน้านี้เปลี่ยนเป็นครึ่งเสี้ยวสว่างเรืองรองตัดกับผืนน้ำดูช่างเป็นบรรยากาศที่แปลกประหลาดราวกับดินแดนแห่งความฝัน เขารีบหันมาเมื่อเห็นเธอขยับตัว
“หลับสบายไหมครับ”เขาเอ่ยถามยิ้มๆ เธอยิ้มเขินออกจะละอายด้วยซ้ำที่นอนหลับต่อหน้าผู้ชายแบบนี้แถมยังเป็นในบ้านของเขาเองอีกต่างหาก
“สบายค่ะ ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะหลับเลย แค่กะจะนอนเล่นๆเท่านั้น คงเป็นเพราะเพลียมาหลายวัน”เธอบอกเสียงอ่อย
“ตามสบายเลยนะครับ คิดว่าอีกไม่เกินชั่วโมง คุณวิกน่าจะกลับมาถึง”เขาบอก หญิงสาวพยักหน้าเงียบๆตามองไปทางริมน้ำ
“คุณเชื่อเรื่องคำสาปของชาวไอยคุปต์โบราณไหมคะ”จู่ๆเธอก็ถามขึ้น
“ผมไม่แน่ใจ แต่ก็ได้ยินเรื่องเล่ามาบ้างของคณะโบราณคดีที่ขุดสุสานของฟาโรห์ตุตันคาเมนที่ตายไปเกือบ 23 คน
.และการที่เรือไททานิคต้องอับปางลงก็เป็นเพราะว่ามันบรรจุพระศพของเจ้าหญิงอียิปต์พระองค์หนึ่งไปด้วย”เขาเล่าให้เธอฟังด้วยดวงตาเหม่อลอยแสดงออกถึงความเชื่อของเขาอย่างสนิทใจ
เขาเล่าไปเรื่อยๆ มุนินนั่งฟังอยู่ด้วยความสนใจและออกจะคล้อยตามเรื่องคำสาปอยุ่นิดๆ ระหว่างที่รอวิกสิตเขาคร่าเวลาด้วยการเล่าให้เธอฟังถึงเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเมืองอียิปต์โบราณรวมถึงพิธีกรรมและการทำมัมมี่ในแบบต่างๆ
เธอมองเขาอย่างทึ่งจัดและฉงนในตัวเขามากขึ้น จนกระทั่งเกือบเที่ยงคืนจึงเห็นเรือยนต์ของวิกสิตเลี้ยวเข้ามาจอดหน้าศาลา เขาก้าวขึ้นเรือนมาอย่างรีบร้อน มือปาดเหงื่อลวกๆ ก่อนจะนั่งหอบหายใจด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย
โอมาร์หันไปสั่งข้อความบางอย่างกับส้มเช้ง สักพักจึงเห็นเด็กสาวยกถาดน้ำหวานกับกาแฟออกมา วิกสิตคว้าแก้วน้ำหวานขึ้นมาดื่มรวดเดียวหมดอย่างกระหายจากการที่ต้องเร่งมาให้ทัน ระยะทางไปกลับจากกรุงเทพจนมาถึงที่นี่ก็กินเวลาอยู่หลายชั่วโมง
“ขอบใจมาก แต่ขอรบกวนอีกทีเถอะหนู ฉันขอกาแฟขมๆอีกสักแก้วเถอะ มันง่วงเหลือทน”เขาหันมาทางส้มเช้ง เด็กสาวรีบรับคำก่อนจะผลุบหายไป
“ขอบคุณมากวิก นายดูเหนื่อยมากจริงๆ”มุนินบอกพร้อมกับมองเขาอย่างเห็นใจ แต่เจ้าตัวรีบโบกมือห้ามพร้อมกับส่ายหน้า
“ไม่ต้องขอบคุณผมหรอกพี่นิน ตัวผมเองก็อยากจะรู้เหมือนกัน ถึงจะไม่สนใจเกี่ยวกับเรื่องของชาวอียิปต์นัก แต่ผมก็อยากรู้เผื่อว่ามันอาจจะเกี่ยวข้องกับการตายของมุนาขึ้นมาจริงๆ”เขาบอกเสียงขรึม รู้สึกสะเทือนใจยามเอ่ยถึงคนรัก
“นี่ครับคุณโอม
กระดาษปาปิรุสที่ได้มาจากคุณยายเรไร แต่เป็นแค่แผ่นเล็กๆแบบนี้ไม่รู้จะมีอะไรเขียนไว้มากน้อยแค่ไหน”วิกสิตบอกพร้อมกับยื่นให้
โอมาร์นั่งพินิจอยู่นานกว่าจะเอื้อมมือออกไปรับมันไว้ คลี่ออกดูช้าๆ ภายในเป็นอักษรภาพฮีโมกริฟิกที่สีสันของมันเริ่มจะซีดตามกาลเวลา
เขาถูมือไปมากับแผ่นกระดาษปาปิรุส มองปราดเดียวก็รู้ว่ามันเป็นของแท้ ที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้ยาวนานกว่า 3,000 ปี
แต่
..มันจะมาอยู่กับคุณยายเรไรของเขาได้อย่างไรกัน?
“คุณยายของคุณเล่าให้ฟังก่อนท่านจะสิ้นว่า มันเป็นของที่ตกทอดมาในตระกูลคุณ”วิกสิตบอกอีกรอบ เมื่อเห็นเขาทำท่าราวกับว่าไม่เคยเห็นมันมาก่อนเลยในชีวิต
“สาบานได้ ผมไม่เคยเห็นมันมาก่อนเลยจริงๆ คุณยายน่าจะรู้ว่าผมสนใจเรื่องของชาวอียิปต์โบราณมากแค่ไหน”เขารีบบอกเมื่ออ่านสายตาของวิกสิตออก
ก่อนที่สายตาของเขาจะแปรเปลี่ยนเป็นน้อยใจ เมื่อนึกถึงผู้เป็นยาย ที่มีของล้ำค่าขนาดนี้อยู่ในมือแต่กลับไม่ยอมบอกเขาสักคำ
“แต่
..ท่านบอกว่ามีแต่คนในตระกูลที่เป็นผู้หญิงเท่านั้นที่จะได้ครอบครองมัน บางที
.ท่านอาจจะเห็นว่าคุณเป็นผู้ชายกระมังคะ”มุนินเอ่ยแทรกขึ้น เมื่อเห็นแววตานั้นของเขา
“ช่างเถอะครับ ท่านก็คงจะมีเหตุผลบางอย่างทีทำให้บอกผมไม่ได้”เขาบอกเสียงขื่น ตลอดเวลาเขาไม่ค่อยจะได้รับความรู้สึกเฉกเช่นยายกับหลานจากผู้เป็นยายเลย
เขาได้รับการปรนนิบัติอย่างดีจากผู้เป็นยายแท้ๆ จนบางครั้งอดนึกแปลกใจไม่ได้กับท่าทีเกรงกลัวต่อเขาที่ยายแสดงออก
ยายไม่เคยยอมให้เขาไหว้ ม่แม้แต่จะยอมให้เขานั่งพื้นที่ต่ำระดับกว่า อย่างดีที่สุดก็คือนั่งพื้นเสมอกัน ราวกับว่าตัวเขาเองเป็นเจ้านายแล้วยายเป็นทาสในเรือนกระนั้น
เขาเคยเฝ้าถามด้วยความสงสัย หากแต่กลับไม่ได้รับความกระจ่างเลยไม่ว่าเรื่องใดๆ นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่เขาไม่ยอมอยู่กับผู้เป็นยายที่บ้านหลังนี้ นอกเหนือจากความกลัวอะไรบางอย่างที่บ้านหลังนี้
และดูเหมือนผู้เป็นยายจะไม่ได้ทัดทานเมื่อปู่กับย่าแสดงความประสงค์ที่จะให้เขาไปอยู่ด้วยที่อียิปต์แถมยังออกจะพอใจด้วยซ้ำที่เขาไม่อยู่ที่เมืองไทยโดยเฉพาะที่เรือนไทยหลังนี้
“คุณพอจะอ่านได้ไหมคะ”มุนินหันมาเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นท่าทีซึมๆของเขา ดูเหมือนเขาจะรู้สึกตัวรีบหันมาให้ความสนใจกับแผ่นปาปิรุสตรงหน้า
“มรณะจักโบยบินมาสังหารสู ผู้บังอาจรังควานสันติสุขแห่งเรา!”โอมาร์เอ่ยประโยคแรกออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพล่า ก่อให้เกิดอารมณ์วูบไหวระคนยำเกรงแก่บุคคลทั้งสองที่นั่งฟังอยู่ตรงหน้า รู้สึกได้ถึงขนในกายที่ลุกชันขึ้นทั้งที่เขาพึ่งอ่านได้แค่ประโยคแรก
“มันเขียนเอาไว้อย่างนั้นหรือคะ”มุนินหันมาถามเสียงสั่น
“ครับ เป็นอักษรภาพฮีโมกริฟฟิค ประโยคแรกเขียนไว้อย่างนี้ ดูคร่าวๆน่าจะเป็นแผ่นบันทึกประวัติของเจ้าหญิงพระองค์หนึ่ง รู้สึกจะพระนาม เจ้าหญิงเนเฟอร์ทาร์เรียกับพระสวามีฟาโรห์เนฟทรา”
ความคิดเห็น