ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เชลยแค้น เงาซาตาน

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1 สะสางความแค้น

    • อัปเดตล่าสุด 1 พ.ย. 56


    เชลยแค้นเงาซาตาน
    บทที่ 1 สะสางความแค้น
                    บ้านหลังน้อยซึ่งถูกตบแต่งไว้อย่างลงตัวตามสไตส์เจ้าของบ้านที่รักธรรมชาติ รอบๆ บ้านเต็มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ที่ให้ร่มเงา มีแปลงดอกไม้หลากสีอยู่หน้าบ้าน ตอนนี้เจ้าของบ้านคนสวยกำลังขะมักเขม้นกับการตกแต่งแปลงดอกไม้ เพลิดเพลินไปกับการรดน้ำพรวนดิน จนกระทั่งมีเสียงรถยนต์คันที่แสนคุ้นเคยเลี้ยวเข้ามาในตัวบ้าน หญิงสาวจึงรีบลุกขึ้นตรงไปหาชายร่างสูงเฉียดร้อยแปดสิบเซนติเมตรที่ก้าวลงมาจากรถ ซึ่งก็คือ พี่ชายแท้ๆ ของเธอ
                    “พี่เมฆกลับมาแล้วหรือคะ กลับมาเหนื่อยๆ เดี๋ยวจาจะไปเอาน้ำมาให้ดื่มนะคะ”
                    เจ้าของใบหน้าหวานอมชมพูเรียวปากสวย จมูกโด่งเข้ารูปตามแบบฉบับลูกครึ่งเอ่ยบอกเสียงหวานแสดงสีใจหน้าดี พร้อมกับกำลังจะย่างก้าวเท้าบางตรงไปในตัวบ้านเพื่อหาน้ำดับกระหายคลายความเหนื่อยให้พี่ชายอย่างทุกๆวัน แต่วันนี้กลับมีเสียงเข้มเอ่ยเอื้อนออกมาว่าไม่ต้อง ทำให้เจ้าของเท้าบางถึงกลับชะงักแล้วหันกลับไปมองด้วยสายตาสงสัย
                    “รีบไปเก็บของจา พี่จะพาเราไปอยู่ที่อื่นสักพัก”
                     เสียงเข้มของเมฆิน คาร์ก หนุ่มลูกครึ่งไทยอิตาลี ผู้มีดวงตาสีฟ้าน่าหลงใหลแต่แฝงไปด้วยเปลวเพลิงเอ่ยสั่งกับจาวรีน้องสาวสุดรักด้วยน้ำเสียงเครียด ในใจกำลังกระวนกระวายเป็นที่สุด
                    ฝ่ายจาวรีเมื่อได้ยินก็ขมวดคิ้วเป็นปมทำสีหน้าที่ไม่เข้าใจในคำสั่งของพี่ชาย และยิ่งสงสัยเข้าไปกันใหญ่เมื่อเห็นท่าทางที่ลุกลี้ลุกลน ซึ่งไม่เคยได้เห็นมาก่อน เพราะเมฆินเป็นคนนิ่ง สุขุม และที่สำคัญไม่เคยทำอะไรที่ไม่มีเหตุผลเช่นวันนี้ ว่าแล้วเสียงหวานจึงเอ่ยถามข้อสงสัยออกไป
                     “ทำไมเราจะต้องไปอยู่ที่อื่นด้วยล่ะจ๊ะพี่เมฆ จาไม่เข้าใจ แล้วทำไมพี่เมฆต้องทำสีหน้าเครียดแบบนั้น มีอะไรหรือเปล่าคะ”
                    จาวรีเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงปนสงสัย พลางมองหน้าพี่ชายอย่างต้องการคำตอบ แต่ทว่าคำตอบที่ได้ยินยิ่งทำให้เธอสงสัยมากเข้าไปอีกและคิดในใจว่าพี่ชายสุดรักต้องมีอะไรปกปิดอย่างแน่นอน
                    “ทำไมพี่เมฆถึงบอกจาไม่ได้ล่ะคะว่าทำไมจาต้องไปอยู่ที่อื่นด้วย อีกไม่กี่วันจาก็จะเข้าไปทำงานในบริษัทของเราแล้ว จาอยากทำงาน จาอยากช่วยพี่เมฆทำงาน แล้วที่สำคัญจาไม่อยากจะไปอยู่ที่อื่น จารักบ้านหลังนี้ บ้านที่พี่ชายของจาสร้างมันมากับมือ”
                     เธอก็รู้ดีว่าชายหนุ่มก็รักบ้านหลังนี้มากไม่ต่างจากตัวของเธอ เพราะมันสร้างมาจากความเหน็ดเหนื่อยและยากลำบากของเขาเพราะตั้งแต่บุพการีทั้งสองจากไปและบริษัทที่พ่อและแม่ของเธอสร้างมานั้นล้มละลาย เมฆินก็ต้องทำงานเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูเธอพร้อมกับที่ต้องทำหน้าที่เป็นทั้งพ่อและแม่ให้เธอในเวลาเดียวกัน
                    “แต่จาต้องไปอยู่ที่อื่น แล้วไม่ต้องมาถามพี่ให้มากความ ไปเก็บของจา”
                     เสียงดุตวาดออกไป ตอนนี้ในจิตใจคนสั่งกำลังร้อนรุ่มกระวนกระวาย กลัวว่าสิ่งที่กำลังทำนั้นจะส่งผลกระทบต่อน้องสาวสุดรัก เพราะฉะนั้นเขาจึงต้องหาทางป้องกันไว้ก่อน
                    และเมื่อเห็นว่าน้องสาวยังคงยืนนิ่งไม่ยอมทำตามคำสั่ง มือหนาจึงคว้าข้อมือเล็กแล้วออกแรงฉุดเบาๆ เพื่อให้เดินตามไปเก็บของตามคำสั่ง ซึ่งก็ได้รับการขัดขืน
                    “จาไม่เก็บและจาไม่ไปไหนด้วย จาจะอยู่ที่นี่ ถ้าพี่เมฆหาเหตุผลมาบอกจาไม่ได้ว่าทำไมจาต้องไปอยู่ที่อื่น จาก็จะไม่ไป” ฝืนแรงฉุดนั้นและบอกออกไปเสียงขุ่น ไม่พอใจในสิ่งที่พี่ชายกระทำ
                    “ถ้ายังเคารพว่าพี่เป็นพี่ ก็ไปทำตามคำสั่ง แล้วไม่ต้องถามอะไรอีก” เอ่ยบอกเสียงหนักต้องการให้น้องสาวทำตามคำสั่ง แต่สายตานั้นไม่ได้กร้าวตามเสียง ในดวงตาคมมีแต่ขอร้องและวิงวอน
                    ฝ่ายจาวรีก็ต้องเม้มริมฝีปากเข้าหากันเมื่อได้ยินประโยคที่พี่ชายยืนคำขาดออกมาและมองหน้าพี่ชายอีกครั้งด้วยสายตาที่มีแต่คำถามและน้อยใจ เพราะตั้งแต่จำความได้เมฆินไม่เคยบังคับเธอเลย แต่ทำไมวันนี้ทั้งดุทั้งตวาด แถมยังบังคับเธอด้วยวิธีนี้อีก
                    แต่แล้วคนที่ยืนยันเสียงแข็งว่าไม่ไปก็ต้องยอมทำตามคำสั่งแต่โดยดี เมื่อเห็นสายตาที่ส่งมา ถึงแม้คำพูดจะดูไม่น่าฟังและแข็งกระด้าง แต่สายตานั้นต่างไป มันอ้อนวอนสุดๆ และหญิงสาวรับรู้ได้ว่าสายตาคู่คมคู่นั้นกำลังเป็นห่วงเธออยู่ แต่แค่เธอไม่รู้ว่าเรื่องอะไรที่เขาเป็นห่วง
                    จาวรีรีบก้าวเท้าไปในตัวบ้านขึ้นไปยังห้องนอนซึ่งอยู่ชั้นสองแล้วรื้อกระเป๋าใบโตออกมาพร้อมกับลงมือเก็บเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ลงกระเป๋า ตลอดเวลาที่โยนเสื้อผ้าใส่กระเป๋า ในใจดวงน้อยก็คิดหาเหตุผลของการกระทำที่แปลกไปของพี่ชาย อะไรหนอเป็นเหตุผลให้เธอต้องไปอยู่ที่อื่น แต่คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก
                    เมื่อเก็บข้าวของเสร็จ จาวรีก็เดินไปยังอีกห้องหนึ่งซึ่งอยู่ข้างๆ ห้องนอนของเธอ ซึ่งเป็นห้องที่ถูกสร้างไว้เพื่อเก็บอัฐิของผู้เป็นพ่อและแม่ที่จากไปตั้งแต่หญิงสาวยังเล็ก มือสวยยกมือขึ้นพนมไหว้ แล้วเอื้อมไปหยิบโกศที่ใส่กระดูกของพ่อและแม่มา พร้อมเอ่ย “เราต้องย้ายบ้านไปอยู่ที่อื่นสักพักนะคะ คุณพ่อคุณแม่”
                     และอีกอย่างที่เธอไม่ลืมหยิบมันมาด้วยคือรูปภาพครอบครัวซึ่งหลงเหลือเพียงรูปเดียว ซึ่งรอดจากเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนั้น ครั้งที่ทำให้เธอเกือบสูญเสียพี่ชายสุดที่รักไป เพราะเมฆินวิ่งกลับเข้าไปในบ้านที่มีแต่ไฟที่ลุกโชน เพียงเพราะไปเอาภาพดูต่างหน้ารูปนี้ให้กับเธอ
                    เมื่อข้าวของทุกอย่างถูกยัดลงหลังรถยนต์สีดำคันเก่าเรียบร้อยแล้ว เมฆินก็จัดการขับเคลื่อนตัวรถออกจากบ้านหลังคุ้นเคยตรงไปยังสถานที่ที่เขาคิดว่ามันจะปลอดภัยสำหรับน้องสาว
                    เมื่อรถค่อยๆ เคลื่อนออกจากตัวบ้าน จาวรีรู้สึกเหมือนกับว่าจะมีบางสิ่งขาดหายไป แต่ก็รู้สึกได้ว่าจะมีบางสิ่งเข้ามาแทนที่ แต่ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เมื่อรถห่างจากตัวบ้านเรื่อยๆ หญิงสาวก็ต้องหันกลับไปมองบ้านด้วยความเศร้าใจที่ต้องจากบ้านหลังนี้ไป มองมันจนลับสายตาและหันมามองพี่ชายด้วยสายตาสงสัยว่าต้องลงแล้วพี่ชายเธอกำลังจะทำอะไรกันแน่และมีอะไรปกปิดอยู่
                   
                    รถยนต์สีดำของเมฆินได้เคลื่อนตัวออกจากกรุงเทพด้วยความเร็วมุ่งหน้าตรงไปยังตอนบนของประเทศไทย ซึ่งที่ที่เขาจะไปคือ จังหวัดเชียงใหม่ บ้านของเรวิน เพื่อนรักของเขา 
                    วิน หรือ เรวิน วชิกานต์เป็นชายหนุ่มเจ้าของไร่องุ่นขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ตอนบนของประเทศ เรวินเรียนจบด้านบริหารมาเหมือนกับเมฆิน ซึ่งทั้งสองก็มีนิสัยที่เหมือนๆ กัน คือเป็นคนค่อนข้างสุขุม แต่ก็มีนิสัยที่แตกต่างกันออกไปบ้าง ซึ่งก็เป็นสิ่งที่โดดเด่นของแต่ละคน และเมื่อเขาทั้งสองเรียนจบ ต่างคนต่างก็ทำงานตามที่ตนได้ใฝ่ฝันไว้ โดยเรวินเลือกที่จะกลับมาดูแลไร่ที่พ่อและแม่ของเขาทิ้งไว้ให้  ส่วนเมฆินเลือกที่จะบริหารงานด้านธุรกิจ ซึ่งนานๆ ที จะนัดพบปะกัน แต่พวกเขาก็ไม่เคยลืมมิตรภาพและภาพความทรงจำที่มอบให้กันตลอดสี่ปีที่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย ซึ่งมันก็ผ่านมาราวๆ ห้าปีกว่าๆ ได้แล้ว
                    รถยนต์สีดำยังคงแล่นไปเรื่อยๆ ด้วยความเร็วคงที่ แต่จิตใจคนขับนั้นไม่คงที่เลย กระวนกระวายตลอดเวลา จนคนนั่งข้างๆ รู้สึกได้ถึงความกระวนกระวายนั้น  จนต้องเอ่ยถาม แต่ทว่ากับไม่มีเสียงตอบกลับออกมา มีแต่ใบหน้าที่ตึงเครียดตลอดเวลา
                    เมื่อเห็นว่าพี่ชายคงไม่ตอบ จาวรีจึงเลิกถาม เพราะปกติแล้วเขาไม่เคยเงียบใส่ ไม่เคยตวาดแบบนี้ แต่ครั้งนี้กลับทำ เขาคงมีเหตุผลจริงๆ ถึงทำแบบนี้  แต่เธอก็ยังอยากรู้
                    หญิงสาวเอนตัวนอนลงกับเบาะรถและเปลือกตาบางก็ปิดลง แต่ทว่าเธอนั้นไม่ได้หลับ ในใจยังคงคิดหาเหตุผลตลอดเวลาว่าทำไมพี่ชายสุดรักจึงต้องให้เธอย้ายไปอยู่ที่อื่น แถมยังมีอาการที่ผิดปกติไป
    แต่หญิงสาวก็หาเหตุผลไม่ได้สักที
                    เมฆินขับรถมานานร่วมแปดชั่วโมงก็มาถึงจุดหมายปลายทาง ขับรถโดยไม่ได้หยุดพักเลยสักนิด  มีแต่แวะซื้อของให้น้องสาวทานเท่านั้น ส่วนตัวเขาไม่แตะอะไรเลยแถมสีหน้าก็เรียบตึงเช่นเดิม  

                    และเมื่อล้อรถหยุดลงเปลือกตาบางก็เปิดขึ้น เท้าบางก้าวลงมาจากรถพลางมองไปรอบๆ ตัวซึ่งก็พบกับต้นองุ่นที่เรียงรายเต็มไปหมดสุดลูกหูลูกตา แถมบรรยากาศก็เย็นจนรับรู้ได้ เจ้าของสายตาคมสวยจ้องมองไปที่พี่ชายซึ่งกำลังขนข้าวของเธอลงจากรถด้วยสายตาที่ต้องการคำตอบว่าที่นี่คือที่ไหน        
                    ฝ่ายเมฆินเมื่อลงมาจากรถ เขาก็เปิดท้ายรถและเอากระเป๋าเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆลงมา พร้อมกับหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงและหมายมั่นจะกดไปหาเรวินเพื่อนรัก แต่ไม่ทันที่มือหนาจะกดโทรออกไป เสียงเอ่ยทักทายของเรวินก็ดังมาซะก่อน      
                    “อ้าวว่าไงไอ้เมฆ ลมอะไรหอบแกมาไร่ฉันได้” เรวินเอ่ยทักอย่างประหลาดใจที่เห็นว่าวันนี้เพื่อนรักบุกมาหาถึงที่ พร้อมกับก้าวเท้ายาวๆ เข้ามาหา แต่พอกำลังจะเอ่ยถามต่อพร้อมกับเอ่ยทักจาวรี กลับถูกเพื่อนรักลากเดินห่างออกมา
                    เมฆินจัดการลากร่างสูงของเรวินให้ห่างออกมาจากจุดที่จาวรียืนอยู่ ซึ่งเขาไม่ต้องการให้น้องสาวรับรู้หรือได้ยินสิ่งที่เขาจะพูดออกไป
                    “ไอ้เมฆ แกมีอะไรวะ ทำไมแกต้องลากฉันมาตรงนี้ด้วย ฉันยังไม่ได้ทักน้องจาเลยนะ” เสียงเข้มเอ่ยถามด้วยสีหน้าที่สงสัย คิ้วหนาก็ขมวดกันเป็นปมเมื่อเห็นว่าเพื่อนรักทำสีหน้าที่ไม่สู้ดี แถมยังทำท่ากระอักกระอ่วนที่จะตอบ      
                    “แกอย่าถามมากได้ไหมไอ้วิน ฉันมีเรื่องให้แกช่วย” บอกเสียงเป็นกังวล กลัวว่าเพื่อนรักจะไม่ตกลงและคาดคั้นเอาคำตอบในสิ่งที่เขาจะขอ ซึ่งเขานั้นไม่ต้องการให้ใครรับรู้เรื่องที่เขากำลังทำ เพราะมันปลอดภัยที่สุดสำหรับทุกคนหากจะไม่รู้เรื่องนี้
                    “เออ ไม่ถามก็ไม่ถาม แล้วเรื่องอะไรล่ะที่แกจะให้ฉันช่วย”
                    “ฉันฝากแกดูแลจาให้ฉันหน่อย ฉันมีเรื่องสำคัญที่จะต้องไปทำ ฉันจำเป็นต้องฝากน้องฉันไว้กับแก เพราะที่นี่ปลอดภัย”
                    ฝ่ายคนฟังก็ขมวดคิ้วจนยุ่งเหยิงไปหมดเพราะนึกสงสัยการกระทำของเพื่อนรัก เพราะปกติแล้วเมฆินไม่เคยอยู่ห่างจากน้องสาวเลย ตัวติดกันตลอดและก็ห่วงและหวงน้องสาวอย่างกับอะไร แต่ทำไมวันนี้จึงมาฝากเขาดูแล แถมยังทำสีหน้าเหมือนปกปิดอะไรบางอย่างไว้แบบนี้อีก และที่สำคัญเพื่อนรักของเขาจะไปไหน ทำไมถึงไม่สามารถดูแลน้องสาวสุดรักได้ ว่าแล้วคนสงสัยจึงเอ่ยถามออกไป
                    “ทำไมแกต้องเอาน้องจามาฝากกับฉันวะ แกมีเหตุผลอะไรแล้วแกจะไปไหน” เรวินเอ่ยถามหาเหตุผล ซึ่งก็ไม่ได้เหตุผลกลับมา มีแต่เสียงเข้มเอ่ยบอกว่าจำเป็นต้องให้จาวรีอยู่ที่นี่
                    “ไอ้เมฆ ฉันไม่อยากรู้เหตุผลก็ได้ แต่มีอย่างหนึ่งที่แกลืมไปรึเปล่า แกก็รู้ว่าฉันไม่ค่อยได้อยู่ที่นี่ ฉันต้องไปดูแลธุรกิจที่ต่างจังหวัดอยู่เสมอ คนที่ดูแลที่นี่ก็คือพี่ชายฉัน แล้วแกลืมไปอีกอย่างหรือไง แกก็รู้พี่ชายฉันนะชอบความเป็นส่วนตัว ไม่ชอบให้ใครที่ไม่รู้จักเข้ามาอยู่  แล้วยิ่งเป็นผู้หญิงแล้วด้วยยาก ฉันน่ะให้น้องจาอยู่ที่นี่ได้ แต่ฉันกลัวว่าน้องจาจะทนพี่ชายฉันไม่ไหวนะสิ แกก็รู้ว่าพี่ชายฉันมุทะลุแค่ไหน”
                      เสียงของเรวินบ่งบอกถึงความหนักใจและปนเป็นห่วง เพราะเรวิต พี่ชายคนโตซึ่งอายุห่างกับเขาร่วมสิบปีนั้นชอบความเป็นส่วนตัวเป็นอย่างมาก
                    เมื่อเรวินเอ่ยสิ่งที่เขาหนักใจออกไป เขาก็รอฟังว่าเมฆินนั้นจะเอาอย่างไรต่อ
     
                   “ไอ้วิน ฉันจำเป็นจริงๆ ยังไงฉันก็ต้องฝากแกดูแลจา” เมฆินไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดอีกต่อไป จึงเอ่ยบอกเหตุผลแก่เรวินออกไป แต่เหตุผลที่บอกออกไปมันเป็นแค่ความจริงเพียงแค่ครึ่งเดียว เขาบอกเพียงว่าเขานั้นกลัวว่าใครจะมาทำร้ายจาวรี เพราะเขานั้นกำลังเล่นกับไฟ ซึ่งก็สร้างความสงสัยให้เรวินเพิ่มเข้าไปอีก  แต่เรวินก็ไม่ถามออกไปเพราะรู้ดีว่าถ้าเพื่อนรักอยากบอกคงบอกออกมาแล้ว นี่ไม่บอก แสดงว่าคงยังไม่อยากให้เขารู้
                     “ได้ ฉันจะดูแลจาเอง ฉันไม่รู้ว่าแกกำลังจะทำอะไรนะไอ้เมฆ แต่ฉันขอให้แกคิดดีๆ ก่อนทำ จะทำอะไรก็คิดถึงผลที่จะตามมา” รีบเอ่ยบอกด้วยความเป็นห่วง เพราะตั้งแต่รู้จักกับเมฆินมาเขาไม่เคยเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยไฟซึ่งกำลังลุกโชน ไฟที่เขาไม่รู้มันคืออะไร แต่ที่รู้ มันช่างน่ากลัวเสียจริง
                    และเมื่อเรวินรับปากจะดูแลจาวรี เมฆินก็รู้สึกโล่งใจ เพราะเขาได้นำดวงใจของเขามาไว้ในที่ปลอดภัยแล้ว ต่อไปนี้เขาจะได้ไม่ต้องกังวลอะไรอีก
                    เมื่อพูดคุยกับเรวินเสร็จ เมฆินก็เดินตรงมาสวมกอดจาวรีน้องรัก กอดอยู่นานกว่าจะผละออกแล้วบอกให้น้องสาวดูแลตัวเองให้ดี
                    “ทำไมบอกแบบนี้กับจาล่ะพี่เมฆ พี่เมฆจะไปไหน แล้วทำไมจาต้องอยู่ที่นี่ด้วยคะ จาจะไปอยู่กับพี่เมฆ” หญิงสาวรีบร้องถามน้ำเสียงสั่น พร้อมกับกอดรัดแขนหนาไว้แน่น ในใจดวงน้อยรับรู้ถึงการลาจาก
                    “ไม่ได้ จาต้องอยู่ที่นี่ มันปลอดภัยสำหรับจา”  เสียงเข้มเอ่ยตวาดดังลั่น ทำให้คนร้องถามถึงกลับสะดุ้งโหยงตกใจ ปล่อยน้ำตาใสไหลลงมาอาบแก้ม
                    ฝ่ายเรวินที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ก็รู้สึกไม่พอใจในการกระทำของเพื่อนรักที่ตวาดน้องสาวเสียงดังแบบนั้น พลางคิดว่าอะไรที่ทำให้เพื่อนรักกลายเป็นคนดุดันและไม่มีเหตุผลไปได้ “ไอ้เมฆ ทำไมแกต้องดุน้องจาด้วย ทำไมวันนี้แกไม่เหตุผลซะเลย” เอ่ยว่า พร้อมกับเดินตรงเข้าไปหาจาวรีน้องสาวที่เขานั้นเอ็นดู
                    “น้องจาไม่ต้องร้องไห้นะครับ มาอยู่กับพี่วินดีกว่า ที่นี่มีอะไรให้น้องจาทำต้องเยอะ ไม่ต้องห่วงนะว่าจะเหงา แล้วถ้าพี่ชายตัวดีของจาเสร็จธุระเมื่อไหร่ เดี๋ยวมันก็มารับจา ไม่ต้องร้องนะ” เอ่ยปลอบ พร้อมส่งสายตาไม่พอใจไปให้เพื่อนรัก
                    ฝ่ายเมฆินก็รู้สึผิดที่วันนี้ทั้งวันเขาเอาแต่ตวาด เอาแต่ดุ แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเขานั้นต้องการให้น้องสาวมาอยู่ในที่ปลอดภัยและเขานั้นไม่อยากจะให้เธอรับรู้เรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้น เพราะกลัวการร้องห้ามและที่สำคัญมันปลอดภัยที่สุดหากน้องสาวไม่รู้เรื่อง
                    “จาพี่ขอโทษ” ดึงร่างที่สะอื้นเข้ามากอดและลูบศรีษะเพื่อปลอบ ซึ่งฝ่ายคนที่สะอื้นเมื่อมาอยู่ในอ้อมกอดก็ยิ่งสะอื้นมากขึ้น
                    “จาพี่จำเป็นจริงๆ ที่ต้องทำแบบนี้ จาอยู่ที่นี่นะ มันปลอดภัยสำหรับจา ถือว่าพี่ขอร้อง ถ้าเสร็จเรื่องเมื่อไหร่พี่จะรีบมารับจาเลย” ผละออกห่าง แล้วใช้มือร้อนเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้มของน้องสาวพร้อมกับเอ่ยสัญญาว่าหากเสร็จธุระจะรีบมารับ
                    “จริงๆนะ ถ้าพี่เมฆเสร็จธุระเมื่อไหร่ต้องรีบมารับจาเลยนะ” เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงที่ยังคงสะอื้น ดวงตากลมโตมีแต่ความเศร้าเสียใจ ก็ตั้งแต่เล็กจนโต เธอยังไม่เคยอยู่ห่างจากพี่ชายเลย แต่อยู่ๆ กลับต้องห่างกันทั้งๆที่ไม่มีเหตุผลมาอธิบาย
                    “จริงสิยัยจาขี้แย” เมฆินเอ่ยออกมาเพื่อทำให้จาวรียิ้มได้ ซึ่งก็จริง หญิงสาวยิ้มออกมาได้จริง ๆ เพราะคำว่ายัยจาขี้แย เมฆินชอบพูดตอนที่จาวรีนั้นร้องไห้คิดถึงพ่อและแม่ ซึ่งเขาพร่ำบอกเสมอว่าเขานี่แหละจะเป็นทั้งพ่อและแม่ให้เธอเอง ซึ่งก็สร้างรอยยิ้มกลับมาให้จาวรีได้ทุกครั้ง
                    และเมื่อฝากฝั่งน้องสาวไว้กลับเพื่อนรักแล้ว เมฆินก็ขับรถพุ่งทะยานออกมาจากไร่ด้วยความเร็ว พร้อมกับที่มุมปากยกสูง เพราะเวลาต่อไปนี้เพลิงแค้นที่เขาสะสมมาเกือบยี่สิบปีกำลังจะได้รับจากสะสางอย่างเต็มรูปแบบเสียที
                    ฝ่ายจาวรีก็ยืนมองรถของคนเป็นพี่จนลับสายตาไปและหันกลับมาส่งยิ้มให้กับเรวิน พี่ชายที่แสนดีอีกคนหนึ่ง เธอไม่อยากทำให้เรวินเครียดและเศร้าใจไปด้วย จึงแสร้งหันมาส่งยิ้มให้และทำเป็นร่าเริง ทั้งๆที่ในใจยังคงมีแต่ความเสียใจ น้อยใจ และรู้สึกเศร้าที่ต้องอยู่ห่างจากพี่ชาย
                    ฝ่ายเรวินก็ยิ้มรับ “น้องจา เราเข้าไปในไร่กันเถอะครับ เดี๋ยวพี่จะพาเราไปดูบ้านพัก”
                    “ค่ะ” จาวรีตอบด้วยรอยยิ้มแต่ใบหน้าก็ยังไม่คลายความเศร้า
                    เรวินพาจาวรีมายังเรือนหลังเล็ก ซึ่งอยู่ด้านหลังบ้านพักของเขา เขาไม่อยากให้จาวรีพักที่เรือนใหญ่เพราะพี่ชายของเขาพักอยู่ที่นั่น พี่ชายของเขาชอบความเป็นส่วนตัว แถมหน้าตายังดุดันและใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา เรวินกลัวว่าหญิงสาวร่างบอบบางอย่างจาวรีจะหัวใจวายเสียก่อนเมื่อเจอกับเรวิต พี่ชายที่มุทะลุและดุดัน จึงพามาอยู่ที่เรือนหลังเล็กแทน

                    ฝ่ายเมฆินเมื่อขับรถออกมาจากไร่วชิกานต์ เขาก็รีบเร่งความเร็วของรถทันที  เพราะสถานที่ที่เขาตรงไปนั้น มีระยะทางร่วมพันกิโล คงต้องขับรถร่วมสองวันกว่าจะถึงที่หมาย 
                    ชายหนุ่มยังคงขับรถพุ่งทะยานไปเรื่อยๆ ไม่คิดจะหยุดพักเลยสักนิด เพราะตอนนี้ในใจเขาอยากจะแสดงความสะใจเต็มที่แล้วที่จะได้เห็นใบหน้าของเชลยสาวลูกของคนชั่วช้าที่ทุกข์ทนและต้องการเริ่มต้นเวลาแห่งการแก้แค้นอย่างเต็มรูปแบบโดยไม่ต้องกังวลอะไรเหมือนเมื่อสองอาทิตย์ก่อน ที่คอยเป็นกังวลว่าน้องสาวของเขาจะปลอดภัยหรือไม่ แต่วันนี้เขาจะทำทุกอย่างอย่างไม่ต้องห่วงหน้าห่วงหลัง เขาจะทำในสิ่งที่เขาต้องการทำมาตลอดเกือบยี่สิบปี นั่นคือ การแก้แค้นให้กับครอบครัวของเขาให้สาสมกับสิ่งที่เขาสูญเสียไป
                     เมฆินกระตุกยิ้มที่มุมปากออกมาทันทีเมื่อนึกถึงเรื่องราวเมื่อสองอาทิตย์ก่อน วันที่เขาไปงานรับปริญญาของน้องสาวสุดรักและได้เจอกับคนที่ทำให้เขานั้นเจ็บปวดมาร่วมยี่สิบปี ดวงตาคมเปล่งประกายไปด้วยไฟแค้นและบอกกับตัวเองว่าเวลาแห่งไฟแค้นเริ่มต้นขึ้นแล้ว

                    ยิ่งคิดมันก็ยิ่งเพิ่มไฟแค้นในใจให้มากขึ้น และเมื่อนึกถึงเชลยสาวที่เขาจับมา เมฆินก็ล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงสีดำแล้วกดโทรไปหาป้าช้อย คนที่เขาฝากให้ดูเชลยสาวสุดแค้น
                    “สวัสดีครับ ป้าช้อย”
                    “ค่ะ นาย”
                    “แม่นั่นเป็นไงบ้างครับ” เอ่ยถามถึงอาการด้วยน้ำเสียงหยัน ไม่ได้แสดงความเป็นห่วงในเชลยสาวแม้แต่น้อย ที่ถามเพราะสะใจและกลัวว่าเชลยสาวซะตายก่อนที่จะแก้แค้นให้สมใจ
                    “เธอเป็นไข้หนักค่ะนาย เป็นมาหลายวัน ไข้ยังไม่ลดเลย นายจะให้พาเธอไปหาหมอไหมคะ” ป้าชราเอ่ยบอกน้ำเสียงเป็นกังวล พลางปรายตามามองคนที่นอนตัวสั่นอย่างกับลูกนกตกน้ำอยู่ที่พื้นกระท่อมด้วยสายตาที่สงสาร
                    “ไม่ต้องครับ ปล่อยเธอไว้แบบนี้ล่ะครับ” กระตุกยิ้มออกมาอย่างเหี้ยมเกรียนน้ำเสียงเต็มไปด้วยสะใจที่ทำให้ลูกสาวของศัตรูคู่อาฆาตนั้นทุกข์ทรมาน “อีกสองวัน ผมจะไปถึง ตอนนี้ยังไงก็ฝากป้าดูแลแม่นั่นก่อนนะครับ อย่าพึ่งให้ตาย ผมยังแก้แค้นไม่สมใจ” พูดจบก็วางสายไป ปล่อยให้ป้าช้อยถอนหายใจออกมาอย่างหนักใจ เพราะรู้สึกสงสารผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี้เหลือเกิน ทำไมนายของเธอถึงรุนแรงกับผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้นัก แล้วอะไรคือเหตุผลทำให้เมฆินเลือกที่จะแก้แค้นผู้หญิงคนนี้ ในใจก็อยากจะถามออกไป แต่ก็ไม่อยากจะยุ่งวุ่นวายเรื่องของเจ้านาย ตอนนี้คงทำได้เพียงทำตามคำสั่งเท่านั้น


                    วันเวลาได้เปลี่ยนหมุนเป็นอีกวันและอีกวัน ซึ่งวันนี้เมฆินคงเดินทางมาถึงที่ไร่ แล้วก็เป็นไปตามนั้น รถยนต์สีดำของเมฆินแล่นเข้ามาในไร่ด้วยความเร็ว เท้าหนาก้าวลงจากรถทันทีที่ล้อรถนั้นหยุดลง ชายหนุ่มก้าวลงมาจากรถแล้วเดินหายเข้าไปในไร่ทันที ซึ่งคนงานต่างรู้ดีว่านายของพวกเขานั้นตรงไปที่ไหน  พลางหดหู่ใจที่ต้องทนดูนายหนุ่มผู้ที่แสนดีกลับกลายเป็นคนละคน กลายร่างเป็นคนใจร้ายทำร้ายผู้หญิงตัวเล็กๆ
                    เท้าหนักๆ เดินตรงมายังกระท่อมท้ายไร่ที่ใกล้จะผุพัง ซึ่งในนั้นมีเชลยสาวสุดแค้นของเขาอยู่ มือหนาผลักประตูกระท่อมที่แสนเก่าและมีแต่รูรั่วเต็มไปหมดออกด้วยความแรง แล้วเดินตรงเข้าไปหยุดอยู่ที่กลางกระท่อมซึ่งมีร่างซีดเซียวใบหน้าและเนื้อตัวขาวซีดนอนตัวสั่นอยู่ ภาพความเจ็บปวดของหญิงสาวตรงหน้าเรียกความสะใจให้เมฆินได้ไม่น้อย แต่ก็ยังคงไม่หนำใจสำหรับเขา เพราะแค่นี้ยังไม่ได้คร่งหนึ่งของความเจ็บปวดที่เขาได้รับ 
                    ฝ่ายเชลยสาวที่โดนพิษไข้เล่นงานก็หารู้ตัวไม่ว่าตอนนี้ซาตานตัวร้ายที่กระทำกับเธอเยี่ยงสัตว์ได้กลับมาแล้ว หญิงสาวยังคงกอดกายตัวเองเอาไว้ด้วยความเหน็บหนาว พิษไข้เล่นงานเธอมาถึงสี่วันเต็ม แถมยังถูกชายใจร้ายที่อยู่ดีๆ ก็จับตัวเธอมาแล้วกระทำกับเธออย่างป่าเถื่อนและโหดร้าย แต่ก็อะไรก็ไม่ทำให้หญิงสาวเจ็บช้ำไปกว่าการสูญเสียพรหมจรรย์ให้กับเขา ให้กับชายที่เธอไม่รู้ว่าคือใครและทำไมต้องทำกับเธอเช่นนี้  
                     “ว่าไงเมียเชลยของฉัน ยังไม่ตายอีกหรือ” 
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×