ลำดับตอนที่ #26
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #26 : The Night of Confusion
ขณะที่รถม้ากำลังวิ่งไปข้างหน้า อเมเลียรู้สึกถึงบางสิ่งซึ่งกำลังเคลื่อนไหวอยู่บริเวณปลายเท้าแต่ก็มองไม่เห็นเนื่องจากความมืดภายในรถ
“อาเคเดียน มีอะไรอยู่ที่ปลายเท้าก็ไม่รู้ มันแหยะ ๆ ลื่น ๆ ยังไงไม่รู้” อเมเลียร้องขึ้นอย่างขยะแขยง
“เจ้าคิดมากไปหรือ...” พูดยังไม่ทันจบเขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างพันขาของเขาไว้แน่น
อาเคเดียนหงายฝ่ามือขึ้น ปรากฏก้อนเพลิงขนาดเล็กลอยอยู่บนฝ่ามือนั้น ภาพที่ปรากฏแทบทำให้เลือดในกายของทั้งสองเย็นเยียบ
อสรพิษจำนวนมากกำลังเลื้อยยั้วเยี้ยอยู่บนพื้นรถจนแทบไม่มีที่ว่าง อเมเลียกรีดร้องพลางรีบหดขาขึ้น หญิงสาวกระโจนขึ้นไปนั่งตักอาเคเดียนอย่างคุมสติไม่อยู่
“อยู่เฉย ๆ สิอเมเลีย ให้ตายสิ เจ้าดิ้นอย่างนี้แล้วข้าจะทำลายมันได้ยังไงล่ะ” อาเคเดียนพูดกับอเมเลียซึ่งไม่มีสติพอที่จะรับฟัง พลางพยายามรวบร่างที่ดิ้นเร่า ๆ นั้นให้อยู่นิ่ง ๆ
เขารวบตัวหญิงสาวไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง มืออีกข้างที่ว่างแปรสภาพเพลิงที่ให้แสงสว่างเมื่อครู่ให้กลายเป็นเพลิงมายา ขว้างไปยังกลุ่มสัตว์เลื้อยคลานซึ่งยั้วเยี้ยอยู่บนพื้นรถ ล่อลวงศัตรูให้โจนเข้าหาจุดจบ
อสรพิษทั้งหลายฉกวูบ โจนจ้วงเข้าหากองเพลิงซึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ นั้นราวกับเป็นศัตรูที่พวกมันมุ่งประหัตประหาร เสียงขู่ฟ่อดังกลมกลืนไปกับเสียงไฟที่กำลังลุกไหม้เนื้อตัวของมัน ตัวแล้วตัวเล่าด่าวดิ้นตายในกองเพลิงนั้นโดยไม่รู้ว่านั่นเป็นเพียงภาพมายาของศัตรู
เมื่ออสรพิษตัวสุดท้ายถูกกำจัดไป อาเคเดียนหันมาทางอเมเลียซึ่งนั่งหลับตาตัวสั่นซุกอยู่บนตักเขา
“ลืมตาได้แล้ว อเมเลีย ข้ากำจัดมันไปหมดแล้ว”
อเมเลียยังไม่ฟัง หญิงสาวกอดเขาไว้แน่นทั้ง ๆ ที่ยังหลับตาอยู่ อาเคเดียนลอบยิ้มกับตัวเอง
“เจ้านี่ก็ตัวหนักไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ” เขาเอ่ยเย้า เอามือลูบหลังหญิงสาวเบา ๆ อย่างปลอบประโลม อเมเลียค่อยรู้สึกตัว คลายวงแขนออก กระถดตัวลงนั่งบนที่นั่งของตัวเองอย่างกระดาก เนื้อตัวยังคงสั่นน้อย ๆ
“พวกมันมาจากไหน ทำไมตอนขึ้นรถไม่เห็นมี” หญิงสาวถามอาเคเดียนเสียงสั่น
“มีคนส่งพวกมันมาต้อนรับเราน่ะ อย่าตกใจไปเลย ของแค่นี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”
“ทำไม ใครเป็นคนส่งมา”
“เจ้าอย่ารู้เลย ถึงข้าบอกไปก็ไม่รู้จักหรอก” อาเคเดียนตอบ
จริงของเขา หญิงสาวคิดพลางผ่อนลมหายใจออกมา ยังรู้สึกไม่ค่อยวางใจจึงเอ่ยปากกับอาเคเดียน
“ท่านช่วยจุดไฟอย่างเมื่อกี๊ไว้ก่อนไม่ได้เหรอ เผื่อพวกมันโผล่ออกมาอีก”
“อย่ากลัวไปเลย สำหรับคืนนี้ไม่มีอีกแล้วล่ะ แต่ถ้ามีอีกเจ้าอย่าฉวยโอกาสกระโดดกอดข้าอีกล่ะ มันทำอะไรได้ไม่ถนัดนัก” เขาตอบก่อนเอนหลังพิงกับพนัก
\"ตาบ้า\" อเมเลียว่า หน้าแดงอยู่ในความมืด
รถม้ายังคงวิ่งต่อไปเรื่อย ๆ อเมเลียเกิดสงสัยจึงถามขึ้น
“ทำไมตอนเกิดเรื่อง คนขับรถม้าไม่ได้ยินอะไรหรือไงนะ ทำไมไม่สนใจเราเลยล่ะ”
“คนขับรถน่ะไม่ก้าวก่ายเรื่องของเจ้านายหรอก” อาเคเดียนตอบอย่างไม่สนใจนักพลางหลับตาลง ทิ้งให้อเมเลียงุนงงกับคำตอบนั้น ด้วยไม่เข้าใจว่า เจ้านายที่ว่านั้นหมายถึงเธอและอาเคเดียน หรือคนที่ส่งงูพวกนั้นมา แต่เมื่อหันไปทางอาเคเดียนเขาก็ปิดเปลือกตาลงไม่สนใจอะไรอีก จึงทำให้หญิงสาวได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ
ในงานเลี้ยงอันหรูหรา อิคารัสยืนต้อนรับทักทายแขกเหรื่อซึ่งเป็นเจ้าเมืองปกครองหัวเมืองใหญ่อย่างชื่นมื่น แขกส่วนใหญ่มากันเกือบครบแล้วแม้ว่าจะยังไม่ถึงเวลางาน อยู่ ๆ รถม้าคันหนึ่งซึ่งไม่ระบุว่าเป็นของเมืองใดก็มาหยุดที่หน้าประตู ผู้ที่ก้าวลงจากรถมาเป็นสตรีรูปงามซึ่งในหมู่เจ้าเมืองในอาณาจักรเทพไม่มีใครรู้จักเว้นแต่
“องค์หญิงอเมเลีย ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร” อิคารัสเอ่ยอย่างประหลาดใจที่เห็นเฮเธลซึ่งปลอมตัวเป็นอเมเลียปรากฏกายขึ้นที่นี่
ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะตอบ ร่างทั้งหกก็ปรากฏกายขึ้นเบื้องหลัง ได้แก่ เฟกเก้ เดมอน ลูเซีย และผู้ติดตามฝีมือดีคนอื่น ๆ ราวกับล่องหนมา
เสียงอื้ออึงของคนในงานดังขึ้นเมื่อได้ยินชื่ออเมเลีย ต่างไม่อยากเชื่อว่าอาณาจักรปีศาจได้บุกเข้ามาถึงงานเลี้ยงในใจกลางเมืองหลวงแห่งอาณาจักรเทพ ต่างเกรงว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้น
“ข้าได้ข่าวว่าคืนนี้มีงานเลี้ยงจึงต้องการมาร่วมด้วยสักหน่อย ไม่ทราบว่าท่านจะอนุญาตหรือไม่” เฮเธลเอ่ยขึ้นเสียงเย็น มองอิคารัสด้วยสายตาชวนขนหัวลุก
อิคารัสปรับสีหน้าได้อย่างรวดเร็วพลางตอบ
“แน่นอน ท่านย่อมเป็นแขกคนสำคัญเชียวล่ะ ขออภัยที่ไม่ได้เชิญ ข้าคิดว่าท่านไม่สนใจที่ร่วมสังสรรค์เล็ก ๆ น้อย ๆ กับพวกเรา”
เขาหันไปประกาศกับเจ้าเมืองต่าง ๆ
“เชิญทุกคนดื่มให้กับแขกพิเศษของข้า จักรพรรดินีแห่งโลกปีศาจ ข้าได้เชิญพระนางมาเป็นแขกของอาณาจักรเรา เชิญ ๆ ดื่มเพื่อความสมานฉันท์ของทั้งสองอาณาจักร”
แขกบางคนยกแก้วขึ้นดื่ม หากแต่ก็มีเสียงแก้วแตกดังขึ้นไม่ใช่น้อย อาณาจักรเทพบางคนไม่เห็นด้วยกับการผูกมิตรกับพวกปีศาจ ต่างพากันโยนแก้วทิ้งลงกับพื้น เท่ากับเป็นการหักหน้าอิคารัสโดยตรง
อิคารัสหนักใจกับสถานการณ์อันลักลั่นนี้ เหล่าปีศาจซึ่งเขากำชับให้ทหารดูแลเป็นพิเศษโดยเฉพาะในวันสำคัญอย่างนี้ต่างพากันหลุดมาได้ แสดงว่าเขาประมาทฝีมือของพวกปีศาจมากเกินไป เขาคิดว่าหลังจากเสร็จสิ้นงานนี้แล้วจะต้องจัดการชำระความกับนายทหารระดับสูงซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องนี้
“ท่านทั้งหลายอย่างได้ขัดเคือง สาเหตุที่ข้าเรียกประชุมเหล่าเทพด่วนก็เนื่องมาจากเหตุนี้ วันพรุ่งนี้ก็ถึงกำหนดการประชุมแล้ว อย่าได้ขุ่นข้องหมองใจกันไปก่อนเลย รอรับฟังข้อเสนอของข้าในวันพรุ่งนี้เสียก่อนจะดีกว่า” อิคารัสพยายามแก้ไขสถานการณ์
อาณาจักรเทพและอาณาจักรปีศาจต่างไม่ถูกกันมาเป็นเวลานานแล้ว เนื่องจากความแตกต่างของเผ่าพันธุ์ทำให้เกิดความแบ่งแยกขึ้น แม้ในหลายเมืองจะยอมรับความแตกต่างนี้ แต่ก็มิใช่น้อยที่ยังคงเหยียดหยามเหล่าปีศาจเนื่องจากปีศาจเป็นเผ่าที่เชี่ยวชาญในการใช้มนตร์ดำ จึงมักถูกมองว่าเลวร้าย
เฮเธลและเหล่าปีศาจเหยียดยิ้มสาแก่ใจต่อสถานการณ์อันตกที่นั่งลำบากของอิคารัส  ในเวลาเช่นนี้มัวมาอธิบายอะไรก็ไม่มีใครสนใจฟัง เท่ากับว่าได้ทำลายความน่าเชื่อถือในการเป็นผู้นำของอิคารัสลงไปกว่าครึ่งก่อนการประชุม
เจ้าเมืองบางส่วนตั้งท่าจะเดินออกจากงาน แต่ในทันใดนั้นรถม้าคันหนึ่งก็แล่นเข้ามาจอด
...............................................................................
รถม้าของเมืองเฮปตากอนวิ่งเข้ามาถึงบริเวณงาน อเมเลียแลเห็นคณะผู้ติดตามของแต่ละเมืองยืนเรียงแถวอยู่หน้างาน เมื่อรถม้าของทั้งสองจอดลง เลมอสก็นำหน้าเหล่าผู้ติดตามของเมืองเฮปตากอนเดินตรงมายังรถม้า
เหล่าเจ้าเมืองที่กำลังจะเดินออกจากงานต่างพากันชะงักเพื่อรอดูทีท่า อาเคเดียน ทายาทของจักรพรรดิแห่งอาณาจักรเทพองค์ก่อนที่ถูกลอบปลงพระชมน์อย่างลึกลับ!
อาเคเดียนก้าวลงมาจากรถม้า หากแต่ไม่ได้ลงมาเพียงคนเดียว เขาประคองร่างอรชรลงมาด้วย หญิงซึ่งงามยิ่งกว่าจักรพรรดินีแห่งโลกปีศาจซึ่งกำลังปรากฏกายอยู่ ณ ที่แห่งนี้
สายตาหลายคู่จับจ้องไปที่ร่างทั้งสองซึ่งกำลังก้าวเคียงคู่มาด้วยกัน ทั้งคู่ช่างโดดเด่นและงามสง่าจนไม่อาจปฏิเสธสายตาของตนได้ว่าเป็นภาพที่เหมาะสมกันเสียเหลือเกิน
ภายในงานเงียบเสียงลงชั่วอึดใจ ก่อนจะกลายเป็นเสียงกระซิบกระซาบ เมื่อมีเสียงประกาศดังขึ้น
“เจ้าชายแห่งเมืองเฮปตากอนและพระชายาเสด็จ”
แววตาของอิคารัสวูบไหว ก่อนเป็นประกายริษยาเจ้าเล่ห์ เขาดึงคนสนิทเข้ามากระซิบถาม
“มันมีชายาตั้งแต่เมื่อไรกัน”
“ไม่ทราบขอรับ”
“นี่สายของแกทำงานไม่ได้เรื่องขนาดนี้เชียวเหรอ” อิคารัสพูดลอดไรฟันด้วยความโกรธ
“แต่ไม่มีรายงานมากระหม่อม อาจรู้กันเฉพาะภายใน”
“ไม่ได้ความ” อิคารัสสบถพลางผลักอกข้ารับใช้ออกไป เขาสาวเท้าตรงไปยังคนทั้งสอง ปั้นสีหน้ายิ้มแย้ม หวังใช้การปรากฏตัวของบุคคลทั้งสองเบี่ยงเบนความสนใจของสถานการณ์ตรงหน้า
ดูเหมือนทุกคนในงานจะพากันลืมเรื่องของเหล่าปีศาจไปชั่วขณะ เหล่าปีศาจเองนั้นก็พากันตกตะลึงเมื่อได้เห็นอเมเลียตัวจริงปรากฏกายขึ้น
พวกเขาเหล่านั้นคงดีใจที่พบตัวอเมเลียหากไม่ใช่ในฐานะของ “พระชายา” ของเจ้าชายแห่งเมืองเฮปตากอน
“ยินดีต้อนรับเจ้าชายอาเคเดียน ไม่ทราบว่าท่านมีชายาตั้งแต่เมื่อไร ไม่เช่นนั้นข้าคงจะได้ส่งของขวัญวันวิวาห์ไปให้แก่ท่านเสียนานแล้ว”อิคารัสแสร้งถาม ใบหน้าฉาบรอยยิ้มราวกับไม่เคยมีเรื่องหมางใจกันมาก่อน
“ขอบคุณ แต่ไม่จำเป็นหรอก เพียงได้นางเป็นชายาก็มีความหมายยิ่งกว่าของขวัญใด ๆ” อาเคเดียนแสร้งเอ่ยตอบไม่ตรงคำถามที่อิคารัสอยากรู้ ด้วยการยกยออเมเลียราวกับเป็นคู่รักที่หวานชื่น
“แหม ช่างน่าอิจฉาเสียจริง ชายาของท่านงามมากทีเดียว พวกท่านมาถึงก็หลายวันแล้ว เหตุใดจึงข้าจึงไม่เห็นชายาของท่านมาก่อนเลยเล่า หญิงงามเช่นนี้เพียงเห็นครั้งเดียวข้าย่อมจำได้แน่นอน”
“นางไม่ค่อยสบาย ข้าจึงต้องการให้นางพักผ่อนให้สบาย นางจึงไม่ได้ปรากฏตัวให้ใครเห็น” เขาตอบพลางหาทางปลีกตัว สายตาทุกคู่ในงานยังคงจับจ้องอยู่ที่ทั้งสอง อาเคเดียนรู้สึกว่าบรรยากาศของงานผิดปรกติ
“ข้าขอตัวไปทักทายท่านลูคาเชียสสักครู่ ไม่ได้พบกันเสียนาน” กล่าวจบเขาก็จูงอเมเลียไปหาชายเคราขาวคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ในมุมมืดของงาน
“คารวะท่านลุง นี่คือชายาของข้า” อาเคเดียนหยุดไปนิดหนึ่งเนื่องจากคิดไม่ออกว่าจะบอกชื่อของเธอหรือไม่ ก่อนเอ่ยต่อโดยตัดสินใจไม่บอก เขาหันมาทางอเมเลีย “คารวะท่านลุงของข้าเสียสิ”
อเมเลียทำตามอย่างนอบน้อม ชายชราทอดสายตามองอย่างเอ็นดู ดวงตาที่ผ่านวัยมานานส่อแววเฉลียวฉลาดลึกซึ้ง
“จะไม่แนะนำชื่อเจ้าสาวของเจ้าให้ลุงรู้สักหน่อยหรือ” ลูคาเชียสเอ่ยนิ่ม ๆ กับอาเคเดียนผู้ซึ่งตอบอย่างอึกอัก
“อเมเลียขอรับท่านลุง” เขาตัดสินใจบอกชื่อไปตามจริง
“ถ้าเช่นนั้น ในคืนนี้ก็มีอเมเลียถึงสองคน”
“อะไรนะขอรับ” อาเคเดียนเอ่ยอย่างประหลาดใจ
“หญิงชุดดำที่ยืนอยู่กลางกลุ่มผู้ติดตามนั่นก็คือ อเมเลียเหมือนกัน”
อาเคเดียนมองตามก่อนหันมาอย่างสงสัย เฮเธลและพวกในชุดดำยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ในงานโดยไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่มย่ามด้วย เขาเพิ่งจะสังเกตเห็นเดี๋ยวนี้เองว่ากลุ่มปีศาจได้มาประกาศศักดาอยู่ ณ ที่นี้ด้วย
“หมายความว่าอย่างไรขอรับ” เขานิ่วหน้าก่อนเอ่ยต่อ
“อย่าบอกนะว่า นั่นคือจักรพรรดินีแห่งโลกปีศาจ”เสียงของเขาแทบเป็นเสียงกระซิบ
“เขาว่าของเขาอย่างนั้น ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” ลูคาเชียสตอบยิ้ม ๆ ไม่แยแส
มีเพียงอเมเลียเท่านั้นที่ยืนเฉย ๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ออกจะรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยที่มีสายตาจับจ้องจากคนรอบข้างตลอดเวลา
“นี่มันเรื่องอะไรกันขอรับท่านลุง ข้ามาช้าไปเพียงนิด พลาดอะไรไปมากหรือขอรับ” อาเคเดียนเอ่ยถามลูคาเชียสอย่างคนที่จับต้นชนปลายไม่ถูก
“พลาดอย่างมหันต์ แต่นับว่ามาได้ถูกจังหวะอย่างยิ่ง” ลูคาเชียสตอบแบบอมพะนำเช่นเคย
“ลุงจะไม่เล่าอะไรให้หลานฟังล่ะนะ เจ้าจงไปถามรายละเอียดจากเลมอสเอาก็แล้วกัน หมอนั่นตอนรอรับเสด็จเห็นยืนจ้องเหตุการณ์ตาไม่กระพริบเลยเชียว” ว่าแล้วลูคาเชียสก็หัวเราะชอบใจ
นอกจากผู้เป็นบิดาแล้ว ลูคาเชียสเป็นอีกบุคคลหนึ่งซึ่งเขาไม่อาจตามความคิดได้ทัน ผู้สูงวัยเป็นลูกพี่ลูกน้องกับบิดาของเขาและมีศักดิ์เสมอลุงซึ่งเขาให้ความนับถือ ลูคาเชียสปกครองหัวเมืองทางด้านเหนือซึ่งอยู่ติดกับเมืองเฮปตากอนซึ่งนับเป็นพรมแดนและจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ
“อาเคเดียน มีอะไรอยู่ที่ปลายเท้าก็ไม่รู้ มันแหยะ ๆ ลื่น ๆ ยังไงไม่รู้” อเมเลียร้องขึ้นอย่างขยะแขยง
“เจ้าคิดมากไปหรือ...” พูดยังไม่ทันจบเขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างพันขาของเขาไว้แน่น
อาเคเดียนหงายฝ่ามือขึ้น ปรากฏก้อนเพลิงขนาดเล็กลอยอยู่บนฝ่ามือนั้น ภาพที่ปรากฏแทบทำให้เลือดในกายของทั้งสองเย็นเยียบ
อสรพิษจำนวนมากกำลังเลื้อยยั้วเยี้ยอยู่บนพื้นรถจนแทบไม่มีที่ว่าง อเมเลียกรีดร้องพลางรีบหดขาขึ้น หญิงสาวกระโจนขึ้นไปนั่งตักอาเคเดียนอย่างคุมสติไม่อยู่
“อยู่เฉย ๆ สิอเมเลีย ให้ตายสิ เจ้าดิ้นอย่างนี้แล้วข้าจะทำลายมันได้ยังไงล่ะ” อาเคเดียนพูดกับอเมเลียซึ่งไม่มีสติพอที่จะรับฟัง พลางพยายามรวบร่างที่ดิ้นเร่า ๆ นั้นให้อยู่นิ่ง ๆ
เขารวบตัวหญิงสาวไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง มืออีกข้างที่ว่างแปรสภาพเพลิงที่ให้แสงสว่างเมื่อครู่ให้กลายเป็นเพลิงมายา ขว้างไปยังกลุ่มสัตว์เลื้อยคลานซึ่งยั้วเยี้ยอยู่บนพื้นรถ ล่อลวงศัตรูให้โจนเข้าหาจุดจบ
อสรพิษทั้งหลายฉกวูบ โจนจ้วงเข้าหากองเพลิงซึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ นั้นราวกับเป็นศัตรูที่พวกมันมุ่งประหัตประหาร เสียงขู่ฟ่อดังกลมกลืนไปกับเสียงไฟที่กำลังลุกไหม้เนื้อตัวของมัน ตัวแล้วตัวเล่าด่าวดิ้นตายในกองเพลิงนั้นโดยไม่รู้ว่านั่นเป็นเพียงภาพมายาของศัตรู
เมื่ออสรพิษตัวสุดท้ายถูกกำจัดไป อาเคเดียนหันมาทางอเมเลียซึ่งนั่งหลับตาตัวสั่นซุกอยู่บนตักเขา
“ลืมตาได้แล้ว อเมเลีย ข้ากำจัดมันไปหมดแล้ว”
อเมเลียยังไม่ฟัง หญิงสาวกอดเขาไว้แน่นทั้ง ๆ ที่ยังหลับตาอยู่ อาเคเดียนลอบยิ้มกับตัวเอง
“เจ้านี่ก็ตัวหนักไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ” เขาเอ่ยเย้า เอามือลูบหลังหญิงสาวเบา ๆ อย่างปลอบประโลม อเมเลียค่อยรู้สึกตัว คลายวงแขนออก กระถดตัวลงนั่งบนที่นั่งของตัวเองอย่างกระดาก เนื้อตัวยังคงสั่นน้อย ๆ
“พวกมันมาจากไหน ทำไมตอนขึ้นรถไม่เห็นมี” หญิงสาวถามอาเคเดียนเสียงสั่น
“มีคนส่งพวกมันมาต้อนรับเราน่ะ อย่าตกใจไปเลย ของแค่นี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”
“ทำไม ใครเป็นคนส่งมา”
“เจ้าอย่ารู้เลย ถึงข้าบอกไปก็ไม่รู้จักหรอก” อาเคเดียนตอบ
จริงของเขา หญิงสาวคิดพลางผ่อนลมหายใจออกมา ยังรู้สึกไม่ค่อยวางใจจึงเอ่ยปากกับอาเคเดียน
“ท่านช่วยจุดไฟอย่างเมื่อกี๊ไว้ก่อนไม่ได้เหรอ เผื่อพวกมันโผล่ออกมาอีก”
“อย่ากลัวไปเลย สำหรับคืนนี้ไม่มีอีกแล้วล่ะ แต่ถ้ามีอีกเจ้าอย่าฉวยโอกาสกระโดดกอดข้าอีกล่ะ มันทำอะไรได้ไม่ถนัดนัก” เขาตอบก่อนเอนหลังพิงกับพนัก
\"ตาบ้า\" อเมเลียว่า หน้าแดงอยู่ในความมืด
รถม้ายังคงวิ่งต่อไปเรื่อย ๆ อเมเลียเกิดสงสัยจึงถามขึ้น
“ทำไมตอนเกิดเรื่อง คนขับรถม้าไม่ได้ยินอะไรหรือไงนะ ทำไมไม่สนใจเราเลยล่ะ”
“คนขับรถน่ะไม่ก้าวก่ายเรื่องของเจ้านายหรอก” อาเคเดียนตอบอย่างไม่สนใจนักพลางหลับตาลง ทิ้งให้อเมเลียงุนงงกับคำตอบนั้น ด้วยไม่เข้าใจว่า เจ้านายที่ว่านั้นหมายถึงเธอและอาเคเดียน หรือคนที่ส่งงูพวกนั้นมา แต่เมื่อหันไปทางอาเคเดียนเขาก็ปิดเปลือกตาลงไม่สนใจอะไรอีก จึงทำให้หญิงสาวได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ
ในงานเลี้ยงอันหรูหรา อิคารัสยืนต้อนรับทักทายแขกเหรื่อซึ่งเป็นเจ้าเมืองปกครองหัวเมืองใหญ่อย่างชื่นมื่น แขกส่วนใหญ่มากันเกือบครบแล้วแม้ว่าจะยังไม่ถึงเวลางาน อยู่ ๆ รถม้าคันหนึ่งซึ่งไม่ระบุว่าเป็นของเมืองใดก็มาหยุดที่หน้าประตู ผู้ที่ก้าวลงจากรถมาเป็นสตรีรูปงามซึ่งในหมู่เจ้าเมืองในอาณาจักรเทพไม่มีใครรู้จักเว้นแต่
“องค์หญิงอเมเลีย ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร” อิคารัสเอ่ยอย่างประหลาดใจที่เห็นเฮเธลซึ่งปลอมตัวเป็นอเมเลียปรากฏกายขึ้นที่นี่
ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะตอบ ร่างทั้งหกก็ปรากฏกายขึ้นเบื้องหลัง ได้แก่ เฟกเก้ เดมอน ลูเซีย และผู้ติดตามฝีมือดีคนอื่น ๆ ราวกับล่องหนมา
เสียงอื้ออึงของคนในงานดังขึ้นเมื่อได้ยินชื่ออเมเลีย ต่างไม่อยากเชื่อว่าอาณาจักรปีศาจได้บุกเข้ามาถึงงานเลี้ยงในใจกลางเมืองหลวงแห่งอาณาจักรเทพ ต่างเกรงว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้น
“ข้าได้ข่าวว่าคืนนี้มีงานเลี้ยงจึงต้องการมาร่วมด้วยสักหน่อย ไม่ทราบว่าท่านจะอนุญาตหรือไม่” เฮเธลเอ่ยขึ้นเสียงเย็น มองอิคารัสด้วยสายตาชวนขนหัวลุก
อิคารัสปรับสีหน้าได้อย่างรวดเร็วพลางตอบ
“แน่นอน ท่านย่อมเป็นแขกคนสำคัญเชียวล่ะ ขออภัยที่ไม่ได้เชิญ ข้าคิดว่าท่านไม่สนใจที่ร่วมสังสรรค์เล็ก ๆ น้อย ๆ กับพวกเรา”
เขาหันไปประกาศกับเจ้าเมืองต่าง ๆ
“เชิญทุกคนดื่มให้กับแขกพิเศษของข้า จักรพรรดินีแห่งโลกปีศาจ ข้าได้เชิญพระนางมาเป็นแขกของอาณาจักรเรา เชิญ ๆ ดื่มเพื่อความสมานฉันท์ของทั้งสองอาณาจักร”
แขกบางคนยกแก้วขึ้นดื่ม หากแต่ก็มีเสียงแก้วแตกดังขึ้นไม่ใช่น้อย อาณาจักรเทพบางคนไม่เห็นด้วยกับการผูกมิตรกับพวกปีศาจ ต่างพากันโยนแก้วทิ้งลงกับพื้น เท่ากับเป็นการหักหน้าอิคารัสโดยตรง
อิคารัสหนักใจกับสถานการณ์อันลักลั่นนี้ เหล่าปีศาจซึ่งเขากำชับให้ทหารดูแลเป็นพิเศษโดยเฉพาะในวันสำคัญอย่างนี้ต่างพากันหลุดมาได้ แสดงว่าเขาประมาทฝีมือของพวกปีศาจมากเกินไป เขาคิดว่าหลังจากเสร็จสิ้นงานนี้แล้วจะต้องจัดการชำระความกับนายทหารระดับสูงซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องนี้
“ท่านทั้งหลายอย่างได้ขัดเคือง สาเหตุที่ข้าเรียกประชุมเหล่าเทพด่วนก็เนื่องมาจากเหตุนี้ วันพรุ่งนี้ก็ถึงกำหนดการประชุมแล้ว อย่าได้ขุ่นข้องหมองใจกันไปก่อนเลย รอรับฟังข้อเสนอของข้าในวันพรุ่งนี้เสียก่อนจะดีกว่า” อิคารัสพยายามแก้ไขสถานการณ์
อาณาจักรเทพและอาณาจักรปีศาจต่างไม่ถูกกันมาเป็นเวลานานแล้ว เนื่องจากความแตกต่างของเผ่าพันธุ์ทำให้เกิดความแบ่งแยกขึ้น แม้ในหลายเมืองจะยอมรับความแตกต่างนี้ แต่ก็มิใช่น้อยที่ยังคงเหยียดหยามเหล่าปีศาจเนื่องจากปีศาจเป็นเผ่าที่เชี่ยวชาญในการใช้มนตร์ดำ จึงมักถูกมองว่าเลวร้าย
เฮเธลและเหล่าปีศาจเหยียดยิ้มสาแก่ใจต่อสถานการณ์อันตกที่นั่งลำบากของอิคารัส  ในเวลาเช่นนี้มัวมาอธิบายอะไรก็ไม่มีใครสนใจฟัง เท่ากับว่าได้ทำลายความน่าเชื่อถือในการเป็นผู้นำของอิคารัสลงไปกว่าครึ่งก่อนการประชุม
เจ้าเมืองบางส่วนตั้งท่าจะเดินออกจากงาน แต่ในทันใดนั้นรถม้าคันหนึ่งก็แล่นเข้ามาจอด
...............................................................................
รถม้าของเมืองเฮปตากอนวิ่งเข้ามาถึงบริเวณงาน อเมเลียแลเห็นคณะผู้ติดตามของแต่ละเมืองยืนเรียงแถวอยู่หน้างาน เมื่อรถม้าของทั้งสองจอดลง เลมอสก็นำหน้าเหล่าผู้ติดตามของเมืองเฮปตากอนเดินตรงมายังรถม้า
เหล่าเจ้าเมืองที่กำลังจะเดินออกจากงานต่างพากันชะงักเพื่อรอดูทีท่า อาเคเดียน ทายาทของจักรพรรดิแห่งอาณาจักรเทพองค์ก่อนที่ถูกลอบปลงพระชมน์อย่างลึกลับ!
อาเคเดียนก้าวลงมาจากรถม้า หากแต่ไม่ได้ลงมาเพียงคนเดียว เขาประคองร่างอรชรลงมาด้วย หญิงซึ่งงามยิ่งกว่าจักรพรรดินีแห่งโลกปีศาจซึ่งกำลังปรากฏกายอยู่ ณ ที่แห่งนี้
สายตาหลายคู่จับจ้องไปที่ร่างทั้งสองซึ่งกำลังก้าวเคียงคู่มาด้วยกัน ทั้งคู่ช่างโดดเด่นและงามสง่าจนไม่อาจปฏิเสธสายตาของตนได้ว่าเป็นภาพที่เหมาะสมกันเสียเหลือเกิน
ภายในงานเงียบเสียงลงชั่วอึดใจ ก่อนจะกลายเป็นเสียงกระซิบกระซาบ เมื่อมีเสียงประกาศดังขึ้น
“เจ้าชายแห่งเมืองเฮปตากอนและพระชายาเสด็จ”
แววตาของอิคารัสวูบไหว ก่อนเป็นประกายริษยาเจ้าเล่ห์ เขาดึงคนสนิทเข้ามากระซิบถาม
“มันมีชายาตั้งแต่เมื่อไรกัน”
“ไม่ทราบขอรับ”
“นี่สายของแกทำงานไม่ได้เรื่องขนาดนี้เชียวเหรอ” อิคารัสพูดลอดไรฟันด้วยความโกรธ
“แต่ไม่มีรายงานมากระหม่อม อาจรู้กันเฉพาะภายใน”
“ไม่ได้ความ” อิคารัสสบถพลางผลักอกข้ารับใช้ออกไป เขาสาวเท้าตรงไปยังคนทั้งสอง ปั้นสีหน้ายิ้มแย้ม หวังใช้การปรากฏตัวของบุคคลทั้งสองเบี่ยงเบนความสนใจของสถานการณ์ตรงหน้า
ดูเหมือนทุกคนในงานจะพากันลืมเรื่องของเหล่าปีศาจไปชั่วขณะ เหล่าปีศาจเองนั้นก็พากันตกตะลึงเมื่อได้เห็นอเมเลียตัวจริงปรากฏกายขึ้น
พวกเขาเหล่านั้นคงดีใจที่พบตัวอเมเลียหากไม่ใช่ในฐานะของ “พระชายา” ของเจ้าชายแห่งเมืองเฮปตากอน
“ยินดีต้อนรับเจ้าชายอาเคเดียน ไม่ทราบว่าท่านมีชายาตั้งแต่เมื่อไร ไม่เช่นนั้นข้าคงจะได้ส่งของขวัญวันวิวาห์ไปให้แก่ท่านเสียนานแล้ว”อิคารัสแสร้งถาม ใบหน้าฉาบรอยยิ้มราวกับไม่เคยมีเรื่องหมางใจกันมาก่อน
“ขอบคุณ แต่ไม่จำเป็นหรอก เพียงได้นางเป็นชายาก็มีความหมายยิ่งกว่าของขวัญใด ๆ” อาเคเดียนแสร้งเอ่ยตอบไม่ตรงคำถามที่อิคารัสอยากรู้ ด้วยการยกยออเมเลียราวกับเป็นคู่รักที่หวานชื่น
“แหม ช่างน่าอิจฉาเสียจริง ชายาของท่านงามมากทีเดียว พวกท่านมาถึงก็หลายวันแล้ว เหตุใดจึงข้าจึงไม่เห็นชายาของท่านมาก่อนเลยเล่า หญิงงามเช่นนี้เพียงเห็นครั้งเดียวข้าย่อมจำได้แน่นอน”
“นางไม่ค่อยสบาย ข้าจึงต้องการให้นางพักผ่อนให้สบาย นางจึงไม่ได้ปรากฏตัวให้ใครเห็น” เขาตอบพลางหาทางปลีกตัว สายตาทุกคู่ในงานยังคงจับจ้องอยู่ที่ทั้งสอง อาเคเดียนรู้สึกว่าบรรยากาศของงานผิดปรกติ
“ข้าขอตัวไปทักทายท่านลูคาเชียสสักครู่ ไม่ได้พบกันเสียนาน” กล่าวจบเขาก็จูงอเมเลียไปหาชายเคราขาวคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ในมุมมืดของงาน
“คารวะท่านลุง นี่คือชายาของข้า” อาเคเดียนหยุดไปนิดหนึ่งเนื่องจากคิดไม่ออกว่าจะบอกชื่อของเธอหรือไม่ ก่อนเอ่ยต่อโดยตัดสินใจไม่บอก เขาหันมาทางอเมเลีย “คารวะท่านลุงของข้าเสียสิ”
อเมเลียทำตามอย่างนอบน้อม ชายชราทอดสายตามองอย่างเอ็นดู ดวงตาที่ผ่านวัยมานานส่อแววเฉลียวฉลาดลึกซึ้ง
“จะไม่แนะนำชื่อเจ้าสาวของเจ้าให้ลุงรู้สักหน่อยหรือ” ลูคาเชียสเอ่ยนิ่ม ๆ กับอาเคเดียนผู้ซึ่งตอบอย่างอึกอัก
“อเมเลียขอรับท่านลุง” เขาตัดสินใจบอกชื่อไปตามจริง
“ถ้าเช่นนั้น ในคืนนี้ก็มีอเมเลียถึงสองคน”
“อะไรนะขอรับ” อาเคเดียนเอ่ยอย่างประหลาดใจ
“หญิงชุดดำที่ยืนอยู่กลางกลุ่มผู้ติดตามนั่นก็คือ อเมเลียเหมือนกัน”
อาเคเดียนมองตามก่อนหันมาอย่างสงสัย เฮเธลและพวกในชุดดำยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ในงานโดยไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่มย่ามด้วย เขาเพิ่งจะสังเกตเห็นเดี๋ยวนี้เองว่ากลุ่มปีศาจได้มาประกาศศักดาอยู่ ณ ที่นี้ด้วย
“หมายความว่าอย่างไรขอรับ” เขานิ่วหน้าก่อนเอ่ยต่อ
“อย่าบอกนะว่า นั่นคือจักรพรรดินีแห่งโลกปีศาจ”เสียงของเขาแทบเป็นเสียงกระซิบ
“เขาว่าของเขาอย่างนั้น ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” ลูคาเชียสตอบยิ้ม ๆ ไม่แยแส
มีเพียงอเมเลียเท่านั้นที่ยืนเฉย ๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ออกจะรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยที่มีสายตาจับจ้องจากคนรอบข้างตลอดเวลา
“นี่มันเรื่องอะไรกันขอรับท่านลุง ข้ามาช้าไปเพียงนิด พลาดอะไรไปมากหรือขอรับ” อาเคเดียนเอ่ยถามลูคาเชียสอย่างคนที่จับต้นชนปลายไม่ถูก
“พลาดอย่างมหันต์ แต่นับว่ามาได้ถูกจังหวะอย่างยิ่ง” ลูคาเชียสตอบแบบอมพะนำเช่นเคย
“ลุงจะไม่เล่าอะไรให้หลานฟังล่ะนะ เจ้าจงไปถามรายละเอียดจากเลมอสเอาก็แล้วกัน หมอนั่นตอนรอรับเสด็จเห็นยืนจ้องเหตุการณ์ตาไม่กระพริบเลยเชียว” ว่าแล้วลูคาเชียสก็หัวเราะชอบใจ
นอกจากผู้เป็นบิดาแล้ว ลูคาเชียสเป็นอีกบุคคลหนึ่งซึ่งเขาไม่อาจตามความคิดได้ทัน ผู้สูงวัยเป็นลูกพี่ลูกน้องกับบิดาของเขาและมีศักดิ์เสมอลุงซึ่งเขาให้ความนับถือ ลูคาเชียสปกครองหัวเมืองทางด้านเหนือซึ่งอยู่ติดกับเมืองเฮปตากอนซึ่งนับเป็นพรมแดนและจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น