ลำดับตอนที่ #7
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : The Invisible Enemies
“นี่ เจ้าว่ามันแปลกไหม” เฮเธลถามหลังจากที่ได้อยู่กับเฟกเก้ตามลำพัง
“อะไรแปลกล่ะ หืม?” เฟกเก้ถามกลับพลางยกมือเรียวยาวขึ้นเสยผม
ผมของเฟกเก้ยาวระต้นคอราวกับรากไทร และหยักศกนิด ๆ ด้านหน้าทิ้งตัวลงมาปรกข้างแก้ม ตามปกติผมของเขาจะมีสีดำ แต่เมื่ออยู่กลางแสงแดดจะกลายเป็นสีทองไปอย่างน่าประหลาด
“ก็เจ้าปีศาจเมื่อกี้น่ะสิ” เฮเธลหยุดคิดก่อนเอ่ยต่อ
“เมื่อก่อนมันไม่ร้ายกาจอย่างนี้ไม่ใช่เหรอ อีกอย่างเจ้าคงไม่เห็น ตอนเจ้าต่อสู้อยู่นั้น มีคนสร้างประตูมิติอยู่ในเรือเราพอดี ถ้าเมื่อครู่เจ้าหญิงอยู่ภายในเรือก็คงหลุดไปมิตินั้นแล้ว”
“งั้นรึ” เฟกเก้ตอบรับด้วยสีหน้าเฉยเมย มีเพียงแววตาเท่านั้นที่ดูครุ่นคิด
“พอเจ้าปราบปีศาจแล้ว ประตูมิติก็หายไปทันที เจ้าพอจะรู้ไหมว่ามันเกี่ยวกับปีศาจเมื่อครู่ยังไง”
“ไม่รู้สิ มันอาจจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกันเลยก็ได้ แต่ที่สำคัญเจ้าต้องคุ้มกันองค์หญิงให้ดี เพราะข้ารู้สึกว่าการเดินทางคราวนี้เราจะต้องเผชิญกับอันตรายมากกว่าปกติทีเดียว อีกอย่าง เราไม่รู้ว่าศัตรูของเราคือใครบ้าง”
“เจ้าพูดเช่นนี้แสดงว่าเราต้องมีศัตรูมากกว่าหนึ่งรายงั้นหรือ” เฮเธลซักอย่างตื่น ๆ
“แน่นอน” เฟกเก้ตอบก่อนกล่าวต่อราวกับเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ “เจ้าคิดว่าผู้มีอำนาจจะรู้จักพอใจในตนเองหรือ ไม่ว่าใครก็ตามที่ตอนนี้พอมีกำลัง ต่างก็พยายามซ่องสุมกำลังตนเองและพยายามแย่งชิงความเป็นใหญ่ทั้งนั้นแหละ”
“เจ้าพอจะบอกได้ไหมว่ามีใครบ้าง” เฮเธลถามอย่างว้าวุ่น
“ไม่ได้มีแต่อาณาจักรเทพเท่านั้นหรอกที่หมายจะโจมตีเมืองฮาดีส บางทีอาจเป็นฝ่ายพันธมิตรปีศาจด้วยกันเอง”
“เจ้ารู้ไหมหากรู้ไปถึงผู้อื่นว่าเจ้าพูดเช่นนี้เจ้าอาจลำบาก” เฮเธลเตือนพลางหันไปมองรอบ ๆ ตัว
เฟกเก้หัวเราะหึหึอย่างไม่แยแส ก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงหยัน ๆ
“ก็ถ้าไม่ใช่พวกปีศาจด้วยกันเองจะสามารถบังคับอสูรที่เป็นของโลกปีศาจอย่างสาหร่ายกินคนเมื่อครู่ได้รึ”
เฮเธลนิ่งอึ้งไปอย่างจนด้วยเหตุผล
“เอาเถอะ ข้างหน้าจะเข้าเขตดงดิบแล้ว เจ้ารีบไปอารักขาองค์หญิงเถอะ หนทางจะเต็มไปด้วยอันตรายมากกว่านี้” ว่าแล้วก็ลุกเดินไปที่หัวเรือ
เฮเธลยังคงนั่งนิ่งอยู่ชั่วครู่หนึ่งก่อนเดินเข้าไปหาอเมเลียภายในเรือ
...............................................................
อเมเลียนั่งอยู่ที่ขอบเตียง ยังคงตัวสั่นน้อย ๆ หญิงสาวตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่หาย เธอเป็นเหมือนกับเด็กทารกในโลกปีศาจนี้ที่ไม่สามารถใช้เวทย์ป้องกันตัวได้เลย หญิงสาวยังคงขยาดที่ออกไปที่ดาดฟ้าเรือด้วยกลัวว่าจะต้องเจอกับตัวประหลาดอื่นอีก
อเมเลียมองออกไปนอกหน้าต่างเรือเห็นทิวทัศน์เริ่มแปลกตา ทั้งที่ตอนนี้ยังเป็นเวลาสายแต่บรรยากาศกลับดูมัวซัวอย่างน่าประหลาดราวกับแสงอาทิตย์ไม่สาดส่อง อย่างไรก็ตามหญิงสาวไม่กล้าออกไปดูสถานการณ์ภายนอก จึงนั่งรอเฮเธลอยู่ในห้อง ยิ่งเรือแล่นผ่านไป ของฟากฝั่งแม่น้ำก็เริ่มเป็นป่าทึบ ภายนอกเริ่มอับแสงลงที่ละน้อยจนกระทั่งมืดครึ้มราวกับกลางคืน
เฮเธลเปิดประตูเข้ามาในห้องพร้อมกับอาหารกลางวัน เป็นเวลาเดียวกับที่อเมเลียคิดจะออกจากห้องไปสอบถามถึงปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดนี้กับใครสักคน เฮเธลเข้ามาเห็นอเมเลียหน้าตื่น ๆ ก็เข้าใจได้ทันที
“ไม่มีอะไรหรอก เพียงแต่แถวนี้เป็นป่าทึบ ต้นไม้สูงใหญ่และขึ้นหนาแน่นมากจนทำให้ไม่มีแสงสว่างลอดลงมา” เฮเธลไขข้อข้องใจก่อนที่อเมเลียจะได้เอ่ยปากถาม
ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์หันไปใช้อุ้งมือจ่อตะเกียงติดผนัง เปลวไฟค่อย ๆ ลามเลียเพิ่มแสงสว่างในห้องทีละน้อย
“กินอะไรเสียก่อนเถอะท่าน เดี๋ยวจะไม่มีแรง” เฮเธลชักชวนนายสาวก่อนจัดแจงเลื่อนถาดอาหารให้หญิงสาวอย่างเอาใจ
ห้องนอนของอเมเลียมีขนาดกว้างประมาณสามตารางวา เนื่องจากเรือมีขนาดเล็ก ทุกพื้นที่จึงต้องใช้สอยอย่างคุ้มค่า ในห้องมีเพียงเก้าอี้ยาวติดผนัง หีบเสื้อผ้าและเตียงเท่านั้น เตียงของอเมเลียพิเศษกว่าคนอื่นตรงที่เตียงของเธอใหญ่กว่าคนอื่นขนาดพอนอนได้สองคน ทั้งนี้เพื่อที่ว่าในยามคับขัน เฮเธลอาจเข้ามานอนเป็นเพื่อนหญิงสาว ผนังข้างเตียงนอนของอเมเลียสามารถพับลงมาเป็นโต๊ะได้ และหน้าต่างเหนือเตียงก็สามารถเปิดออกไปรับลมภายนอกได้เช่นกัน
แต่ตอนนี้หญิงสาวไม่คิดจะเปิด
“ไม่ล่ะ ฉันกินไม่ลง” อเมเลียปฏิเสธ
แต่เมื่อได้กลิ่นอันหอมหวนชวนชิมของอาหารก็ทำให้ปฏิเสธไม่ลง จึงลองตักชิมก่อนที่จะเริ่มรับประทานอย่างอเร็ดอร่อย เฮเธลมองยิ้ม ๆ
“ข้าไม่เคยเห็นมีใครปฏิเสธอาหารฝีมือเดมอนได้เลยสักคนเดียว” เฮเธลเอ่ย
“หา นี่เดมอนเป็นคนทำหรือจ๊ะ”
อเมเลียทำตาโตขณะเคี้ยวอาหารตุ้ย ๆ หญิงสาวนึกไปถึงชายหน้าดุร่างท้วมสูงใหญ่ ซึ่งเป็นเสนาบดีความมั่นคงแล้วไม่อยากเชื่อว่าคนที่ท่าทางห้าวหาญเช่นนั้นจะเข้าครัวเก่งถึงเพียงนี้
“โอ้ย มีแต่คนพูดอย่างนี้ทุกคน หารู้ไม่ตาลุงนั่นลองได้จับตะหลิวแล้ว แม่ครัวเอกของวังยังต้องอายเลย”
เฮเธลหัวเราะอย่างขำ ๆ ซึ่งไม่ค่อยจะได้เห็นบ่อยนัก อเมเลียมองพลางคิดในใจว่าอันที่จริงเฮเธลก็เป็นคนที่สวยมากเพียงแต่หน้าตาค่อนข้างจะบึ้งตึงและยิ้มยากเท่านั้นจึงทำให้หน้าดุและเคร่งเครียดอยู่เสมอ
“มองอะไรหรือ” เฮเธลถามหลังจากหยุดหัวเราะแล้วและเห็นอเมเลียนั่งจ้องหน้าตนเอง
“ฉันเพียงแต่คิดว่าเวลาเธอยิ้มก็สวยดีเหมือนกันนะ” อเมเลียชมซึ่ง ๆ หน้า
“พูดอะไรอย่างนั้น” เฮเธลงึมงำหน้าแดง
“นี่ ฉันนึกอะไรออกแล้ว” ว่าแล้วอเมเลียก็วิ่งไปเปิดหีบเสื้อผ้า คว้าวิกผมขึ้นมาส่งให้เฮเธล
“ไหนลองสวมซิ”
“จะทำอะไรน่ะ”
“เถอะน่า”
เฮเธลทำตามอย่างเสียมิได้ เมื่อสวมวิกเสร็จแล้ว อเมเลียก็มองอย่างเพ่งพิศ
“ผมยาวอย่างนี้ ดูผาด ๆ ก็เหมือนฉันเหมือนกันนะ เดี๋ยวเราลองไปพิสูจน์กันเถอะ” อเมเลียชวนเฮเธลอย่างนึกสนุก
อเมเลียหยิบชุดของตนส่งให้เฮเธลเปลี่ยนจากชุดเดิมซึ่งเป็นเกราะเข้ารูปสีดำแดง
“เล่นอะไรก็ไม่รู้” เฮเธลบ่นงึมงำ
“เอาเถอะน่า เดี๋ยวลองไปหลอกเดมอนดูก่อน” หญิงสาวบอกอย่างนึกสนุก
............................................................
เดมอนซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการมอบหมายเวรยามให้กับหมู่ทหารหันขวับมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า
“องค์หญิงมีธุระอะไรหรือพระเจ้าค่ะ”
ยังไม่ทันที่ “องค์หญิง” จะตอบ เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะพรืดดังมาจากคนที่ยืนอยู่เบื้องหลัง “องค์หญิง” เขาตั้งใจจะหันไปเอ็ด แต่เมื่อคนข้างหลังยื่นหน้าออกมาให้เห็นชัด เขาก็ถึงกับพูดไม่ออก
“เอ่อ.. อ้า...องค์หญิงอเมเลีย เอ่อ ทำไมมีสองคนไปได้” เขามองอย่างงงๆ
คราวนี้องค์หญิงทั้งสองหัวเราะพร้อมกัน พร้อม ๆ กับที่เฮเธลดึงวิกผมออก
“อ้าว องค์หญิงล้อกระหม่อมเล่นอีกแล้ว” เดมอนเอ่ยด้วยท่าทางเขิน ๆ ที่เมื่อครู่ตัวเองทักผิดต่อหน้านายทหาร ขัดกับบุคลิกดุดันของเขาเป็นอย่างยิ่ง
“นี่ท่านจำไม่ได้จริงหรือ” อเมเลียถามพลางหัวเราะ
“โธ่ กระหม่อม ก็บนเรือนี้น่ะ ฝ่าบาทมีพระเกศายาวขนาดนี้พระองค์เดียวนี่พระเจ้าค่ะ อีกอย่างเฮเธลก็สวมฉลองพระองค์ของฝ่าบาทมาด้วย จะไม่ให้กระหม่อมจำผิดได้อย่างไรไหว”
เหล่าทหารพากันกลั้นหัวเราะจนตัวสั่นเนื่องจากไม่เคยเห็นท่าทางเขินอายของเดมอนมาก่อน ปรกติเขาเป็นผู้บังคับบัญชาที่เข้มงวดและดุดันมาก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าอเมเลีย (หรือสาวสวย) แล้วก็จะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยทีเดียว
“อ้อ ขอบคุณท่านมากเลยนะเดมอน ฝีมือทำอาหารของท่านเด็ดจริง ๆ ตอนเฮเธลบอกฉันยังไม่อยากเชื่อเลยว่าท่านเป็นคนทำ”
เหล่านายทหารยิ่งทำตาโตเมื่อรู้ว่า ผู้บังคับบัญชาสุดโหดของตนเข้าครัวด้วย เดมอนรีบทำกระแอมกระไอเพื่อกลบเกลื่อนเปลี่ยนเรื่อง เนื่องจากไม่ต้องการให้สูญเสียภาพลักษณ์การเป็นผู้นำที่เด็ดขาด
“กระหม่อมมีเรื่องอยากทูลเตือนสักหน่อยน่ะพะย่ะค่ะ”
“อะไรหรือจ๊ะ”
“ตอนนี้หากท่านไม่มีเหตุจำเป็นก็ไม่ควรออกมาเดินนอกเรือเพราะเขตดงดิบนี้ สัตว์อันตรายจะมีมากเป็นพิเศษน่ะพะย่ะค่ะ ยิ่งช่วงนี้ดูอันตรายกว่าปกติด้วย”
“อ๋อ เรื่องนั้นน่ะ ฉันไม่มีทางออกมาหรอก ตั้งแต่เจอเจ้าสัตว์ประหลาดน่าขยะแขยงเมื่อกี้ ฉันก็ไม่อยากออกมาโดยไม่จำเป็นหรอกจ๊ะ ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก” อเมเลียตอบด้วยท่าทีสบาย ๆ ก่อนเอ่ยลากลับห้องพักพร้อมกับเฮเธล
....................................................
“อะไรแปลกล่ะ หืม?” เฟกเก้ถามกลับพลางยกมือเรียวยาวขึ้นเสยผม
ผมของเฟกเก้ยาวระต้นคอราวกับรากไทร และหยักศกนิด ๆ ด้านหน้าทิ้งตัวลงมาปรกข้างแก้ม ตามปกติผมของเขาจะมีสีดำ แต่เมื่ออยู่กลางแสงแดดจะกลายเป็นสีทองไปอย่างน่าประหลาด
“ก็เจ้าปีศาจเมื่อกี้น่ะสิ” เฮเธลหยุดคิดก่อนเอ่ยต่อ
“เมื่อก่อนมันไม่ร้ายกาจอย่างนี้ไม่ใช่เหรอ อีกอย่างเจ้าคงไม่เห็น ตอนเจ้าต่อสู้อยู่นั้น มีคนสร้างประตูมิติอยู่ในเรือเราพอดี ถ้าเมื่อครู่เจ้าหญิงอยู่ภายในเรือก็คงหลุดไปมิตินั้นแล้ว”
“งั้นรึ” เฟกเก้ตอบรับด้วยสีหน้าเฉยเมย มีเพียงแววตาเท่านั้นที่ดูครุ่นคิด
“พอเจ้าปราบปีศาจแล้ว ประตูมิติก็หายไปทันที เจ้าพอจะรู้ไหมว่ามันเกี่ยวกับปีศาจเมื่อครู่ยังไง”
“ไม่รู้สิ มันอาจจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกันเลยก็ได้ แต่ที่สำคัญเจ้าต้องคุ้มกันองค์หญิงให้ดี เพราะข้ารู้สึกว่าการเดินทางคราวนี้เราจะต้องเผชิญกับอันตรายมากกว่าปกติทีเดียว อีกอย่าง เราไม่รู้ว่าศัตรูของเราคือใครบ้าง”
“เจ้าพูดเช่นนี้แสดงว่าเราต้องมีศัตรูมากกว่าหนึ่งรายงั้นหรือ” เฮเธลซักอย่างตื่น ๆ
“แน่นอน” เฟกเก้ตอบก่อนกล่าวต่อราวกับเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ “เจ้าคิดว่าผู้มีอำนาจจะรู้จักพอใจในตนเองหรือ ไม่ว่าใครก็ตามที่ตอนนี้พอมีกำลัง ต่างก็พยายามซ่องสุมกำลังตนเองและพยายามแย่งชิงความเป็นใหญ่ทั้งนั้นแหละ”
“เจ้าพอจะบอกได้ไหมว่ามีใครบ้าง” เฮเธลถามอย่างว้าวุ่น
“ไม่ได้มีแต่อาณาจักรเทพเท่านั้นหรอกที่หมายจะโจมตีเมืองฮาดีส บางทีอาจเป็นฝ่ายพันธมิตรปีศาจด้วยกันเอง”
“เจ้ารู้ไหมหากรู้ไปถึงผู้อื่นว่าเจ้าพูดเช่นนี้เจ้าอาจลำบาก” เฮเธลเตือนพลางหันไปมองรอบ ๆ ตัว
เฟกเก้หัวเราะหึหึอย่างไม่แยแส ก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงหยัน ๆ
“ก็ถ้าไม่ใช่พวกปีศาจด้วยกันเองจะสามารถบังคับอสูรที่เป็นของโลกปีศาจอย่างสาหร่ายกินคนเมื่อครู่ได้รึ”
เฮเธลนิ่งอึ้งไปอย่างจนด้วยเหตุผล
“เอาเถอะ ข้างหน้าจะเข้าเขตดงดิบแล้ว เจ้ารีบไปอารักขาองค์หญิงเถอะ หนทางจะเต็มไปด้วยอันตรายมากกว่านี้” ว่าแล้วก็ลุกเดินไปที่หัวเรือ
เฮเธลยังคงนั่งนิ่งอยู่ชั่วครู่หนึ่งก่อนเดินเข้าไปหาอเมเลียภายในเรือ
...............................................................
อเมเลียนั่งอยู่ที่ขอบเตียง ยังคงตัวสั่นน้อย ๆ หญิงสาวตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่หาย เธอเป็นเหมือนกับเด็กทารกในโลกปีศาจนี้ที่ไม่สามารถใช้เวทย์ป้องกันตัวได้เลย หญิงสาวยังคงขยาดที่ออกไปที่ดาดฟ้าเรือด้วยกลัวว่าจะต้องเจอกับตัวประหลาดอื่นอีก
อเมเลียมองออกไปนอกหน้าต่างเรือเห็นทิวทัศน์เริ่มแปลกตา ทั้งที่ตอนนี้ยังเป็นเวลาสายแต่บรรยากาศกลับดูมัวซัวอย่างน่าประหลาดราวกับแสงอาทิตย์ไม่สาดส่อง อย่างไรก็ตามหญิงสาวไม่กล้าออกไปดูสถานการณ์ภายนอก จึงนั่งรอเฮเธลอยู่ในห้อง ยิ่งเรือแล่นผ่านไป ของฟากฝั่งแม่น้ำก็เริ่มเป็นป่าทึบ ภายนอกเริ่มอับแสงลงที่ละน้อยจนกระทั่งมืดครึ้มราวกับกลางคืน
เฮเธลเปิดประตูเข้ามาในห้องพร้อมกับอาหารกลางวัน เป็นเวลาเดียวกับที่อเมเลียคิดจะออกจากห้องไปสอบถามถึงปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดนี้กับใครสักคน เฮเธลเข้ามาเห็นอเมเลียหน้าตื่น ๆ ก็เข้าใจได้ทันที
“ไม่มีอะไรหรอก เพียงแต่แถวนี้เป็นป่าทึบ ต้นไม้สูงใหญ่และขึ้นหนาแน่นมากจนทำให้ไม่มีแสงสว่างลอดลงมา” เฮเธลไขข้อข้องใจก่อนที่อเมเลียจะได้เอ่ยปากถาม
ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์หันไปใช้อุ้งมือจ่อตะเกียงติดผนัง เปลวไฟค่อย ๆ ลามเลียเพิ่มแสงสว่างในห้องทีละน้อย
“กินอะไรเสียก่อนเถอะท่าน เดี๋ยวจะไม่มีแรง” เฮเธลชักชวนนายสาวก่อนจัดแจงเลื่อนถาดอาหารให้หญิงสาวอย่างเอาใจ
ห้องนอนของอเมเลียมีขนาดกว้างประมาณสามตารางวา เนื่องจากเรือมีขนาดเล็ก ทุกพื้นที่จึงต้องใช้สอยอย่างคุ้มค่า ในห้องมีเพียงเก้าอี้ยาวติดผนัง หีบเสื้อผ้าและเตียงเท่านั้น เตียงของอเมเลียพิเศษกว่าคนอื่นตรงที่เตียงของเธอใหญ่กว่าคนอื่นขนาดพอนอนได้สองคน ทั้งนี้เพื่อที่ว่าในยามคับขัน เฮเธลอาจเข้ามานอนเป็นเพื่อนหญิงสาว ผนังข้างเตียงนอนของอเมเลียสามารถพับลงมาเป็นโต๊ะได้ และหน้าต่างเหนือเตียงก็สามารถเปิดออกไปรับลมภายนอกได้เช่นกัน
แต่ตอนนี้หญิงสาวไม่คิดจะเปิด
“ไม่ล่ะ ฉันกินไม่ลง” อเมเลียปฏิเสธ
แต่เมื่อได้กลิ่นอันหอมหวนชวนชิมของอาหารก็ทำให้ปฏิเสธไม่ลง จึงลองตักชิมก่อนที่จะเริ่มรับประทานอย่างอเร็ดอร่อย เฮเธลมองยิ้ม ๆ
“ข้าไม่เคยเห็นมีใครปฏิเสธอาหารฝีมือเดมอนได้เลยสักคนเดียว” เฮเธลเอ่ย
“หา นี่เดมอนเป็นคนทำหรือจ๊ะ”
อเมเลียทำตาโตขณะเคี้ยวอาหารตุ้ย ๆ หญิงสาวนึกไปถึงชายหน้าดุร่างท้วมสูงใหญ่ ซึ่งเป็นเสนาบดีความมั่นคงแล้วไม่อยากเชื่อว่าคนที่ท่าทางห้าวหาญเช่นนั้นจะเข้าครัวเก่งถึงเพียงนี้
“โอ้ย มีแต่คนพูดอย่างนี้ทุกคน หารู้ไม่ตาลุงนั่นลองได้จับตะหลิวแล้ว แม่ครัวเอกของวังยังต้องอายเลย”
เฮเธลหัวเราะอย่างขำ ๆ ซึ่งไม่ค่อยจะได้เห็นบ่อยนัก อเมเลียมองพลางคิดในใจว่าอันที่จริงเฮเธลก็เป็นคนที่สวยมากเพียงแต่หน้าตาค่อนข้างจะบึ้งตึงและยิ้มยากเท่านั้นจึงทำให้หน้าดุและเคร่งเครียดอยู่เสมอ
“มองอะไรหรือ” เฮเธลถามหลังจากหยุดหัวเราะแล้วและเห็นอเมเลียนั่งจ้องหน้าตนเอง
“ฉันเพียงแต่คิดว่าเวลาเธอยิ้มก็สวยดีเหมือนกันนะ” อเมเลียชมซึ่ง ๆ หน้า
“พูดอะไรอย่างนั้น” เฮเธลงึมงำหน้าแดง
“นี่ ฉันนึกอะไรออกแล้ว” ว่าแล้วอเมเลียก็วิ่งไปเปิดหีบเสื้อผ้า คว้าวิกผมขึ้นมาส่งให้เฮเธล
“ไหนลองสวมซิ”
“จะทำอะไรน่ะ”
“เถอะน่า”
เฮเธลทำตามอย่างเสียมิได้ เมื่อสวมวิกเสร็จแล้ว อเมเลียก็มองอย่างเพ่งพิศ
“ผมยาวอย่างนี้ ดูผาด ๆ ก็เหมือนฉันเหมือนกันนะ เดี๋ยวเราลองไปพิสูจน์กันเถอะ” อเมเลียชวนเฮเธลอย่างนึกสนุก
อเมเลียหยิบชุดของตนส่งให้เฮเธลเปลี่ยนจากชุดเดิมซึ่งเป็นเกราะเข้ารูปสีดำแดง
“เล่นอะไรก็ไม่รู้” เฮเธลบ่นงึมงำ
“เอาเถอะน่า เดี๋ยวลองไปหลอกเดมอนดูก่อน” หญิงสาวบอกอย่างนึกสนุก
............................................................
เดมอนซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการมอบหมายเวรยามให้กับหมู่ทหารหันขวับมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า
“องค์หญิงมีธุระอะไรหรือพระเจ้าค่ะ”
ยังไม่ทันที่ “องค์หญิง” จะตอบ เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะพรืดดังมาจากคนที่ยืนอยู่เบื้องหลัง “องค์หญิง” เขาตั้งใจจะหันไปเอ็ด แต่เมื่อคนข้างหลังยื่นหน้าออกมาให้เห็นชัด เขาก็ถึงกับพูดไม่ออก
“เอ่อ.. อ้า...องค์หญิงอเมเลีย เอ่อ ทำไมมีสองคนไปได้” เขามองอย่างงงๆ
คราวนี้องค์หญิงทั้งสองหัวเราะพร้อมกัน พร้อม ๆ กับที่เฮเธลดึงวิกผมออก
“อ้าว องค์หญิงล้อกระหม่อมเล่นอีกแล้ว” เดมอนเอ่ยด้วยท่าทางเขิน ๆ ที่เมื่อครู่ตัวเองทักผิดต่อหน้านายทหาร ขัดกับบุคลิกดุดันของเขาเป็นอย่างยิ่ง
“นี่ท่านจำไม่ได้จริงหรือ” อเมเลียถามพลางหัวเราะ
“โธ่ กระหม่อม ก็บนเรือนี้น่ะ ฝ่าบาทมีพระเกศายาวขนาดนี้พระองค์เดียวนี่พระเจ้าค่ะ อีกอย่างเฮเธลก็สวมฉลองพระองค์ของฝ่าบาทมาด้วย จะไม่ให้กระหม่อมจำผิดได้อย่างไรไหว”
เหล่าทหารพากันกลั้นหัวเราะจนตัวสั่นเนื่องจากไม่เคยเห็นท่าทางเขินอายของเดมอนมาก่อน ปรกติเขาเป็นผู้บังคับบัญชาที่เข้มงวดและดุดันมาก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าอเมเลีย (หรือสาวสวย) แล้วก็จะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยทีเดียว
“อ้อ ขอบคุณท่านมากเลยนะเดมอน ฝีมือทำอาหารของท่านเด็ดจริง ๆ ตอนเฮเธลบอกฉันยังไม่อยากเชื่อเลยว่าท่านเป็นคนทำ”
เหล่านายทหารยิ่งทำตาโตเมื่อรู้ว่า ผู้บังคับบัญชาสุดโหดของตนเข้าครัวด้วย เดมอนรีบทำกระแอมกระไอเพื่อกลบเกลื่อนเปลี่ยนเรื่อง เนื่องจากไม่ต้องการให้สูญเสียภาพลักษณ์การเป็นผู้นำที่เด็ดขาด
“กระหม่อมมีเรื่องอยากทูลเตือนสักหน่อยน่ะพะย่ะค่ะ”
“อะไรหรือจ๊ะ”
“ตอนนี้หากท่านไม่มีเหตุจำเป็นก็ไม่ควรออกมาเดินนอกเรือเพราะเขตดงดิบนี้ สัตว์อันตรายจะมีมากเป็นพิเศษน่ะพะย่ะค่ะ ยิ่งช่วงนี้ดูอันตรายกว่าปกติด้วย”
“อ๋อ เรื่องนั้นน่ะ ฉันไม่มีทางออกมาหรอก ตั้งแต่เจอเจ้าสัตว์ประหลาดน่าขยะแขยงเมื่อกี้ ฉันก็ไม่อยากออกมาโดยไม่จำเป็นหรอกจ๊ะ ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก” อเมเลียตอบด้วยท่าทีสบาย ๆ ก่อนเอ่ยลากลับห้องพักพร้อมกับเฮเธล
....................................................
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น