ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ทิฐิ
“ในยามสงครามเจ้าจะไม่ปลอดภัยหากไร้คนคุ้มครอง”
    เสียงนุ่มทุ้มนั้นเอ่ยอย่างแผ่วเบาหากทว่ามั่นคง คนฟังแสร้งทำเป็นเมินหนีไปเสียอีกทางราวกับไม่ได้ยิน ร่างสูงสง่าเดินอ้อมมาหยุดอยู่ตรงหน้าเพื่อจะดูว่าผู้ฟังมีปฏิกิริยาอย่างไร หากว่าร่างนั้นยังคงนิ่งเหม่อไปไกล
    “หากเจ้าไม่เต็มใจก็ไม่เป็นไร ข้าเพียงแต่หวังดีเท่านั้น” ว่าแล้วร่างสูงก็เดินจากไป หญิงสาวยังยืนนิ่งไม่หันไปมอง จนกระทั่งแน่ใจว่าอีกฝ่ายจากไปแน่แล้วจึงมองตามไปด้วยสายตาลึกล้ำ
    หญิงสาวเดินกลับเข้าบ้านด้วยจิตใจที่ว้าวุ่น เมื่อเข้าไปในบ้าน ผู้เป็นมารดายืนรออยู่ด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ ก่อนถาม
    “เป็นยังไงบ้างลูก”
    “ก็ไม่มีอะไรนี่จ๊ะ” หญิงสาวตอบเรียบ ๆ
    “เขาคุยอะไรกับเจ้าบ้างหรือ” ผู้เป็นมารดาถามต่อ
    “ก็ไม่มีอะไรนี่นะ” หญิงสาวบ่ายเบี่ยง ผู้เป็นมารดาถอนใจก่อนเอ่ยต่อ
    “แม่ว่าแล้วว่าจะต้องเป็นแบบนี้ อุตส่าห์คิดว่าเขาจะทำให้เจ้าเปลี่ยนใจได้เสียอีก”
    “ทำไมข้าจะต้องเปลี่ยนใจเพราะเขาด้วยล่ะจ๊ะ\" หญิงสาวมีน้ำเสียงไม่พอใจนิด ๆ
    “เขาเป็นคนดีที่สุดเท่าที่แม่เห็นมานี่จ๊ะ” ผู้เป็นมารดาเว้นจังหวะนิดหนึ่งก่อนเอ่ยต่อเมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่เอ่ยว่ากระไร
    “ลูกเอ๋ย แม่แก่แล้วนะลูก ไม่รู้จะอยู่ดูแลลูกได้อีกนานเท่าไร ถ้าลูกมีคนที่ไว้ใจได้ดูแล แม่ก็สบายใจจะได้ตายตาหลับ”
    หญิงสาวเอ่ยเสียงอ่อนลง
    “แม่จ๋า ข้าจะอยู่กับแม่ ถึงไม่มีคนดูแลก็ไม่เป็นไร ข้าดูแลตัวเองได้ แม่ก็รู้ว่าข้ารักแม่นี่จ๊ะ ข้าไม่ยอมหนีไปไหนหรอก” หญิงสาวลงท้ายอ้อนนิด ๆ มีผลทำให้ผู้เป็นมารดายิ้มอย่างเอ็นดู
    “ตกลง ๆ ตามใจเจ้าแล้วกัน แม่ไม่เซ้าซี้ละ” ผู้เป็นมารดาว่า
    หญิงสาวมีสีหน้ายิ้ม แต่ในใจกลับหดหู่
    ไม่ใช่ว่าเธอรังเกียจเขา แต่เป็นเพราะ เธอไม่ควรรักเขา
ไม่ใช่เพราะเขาจนหรือมีนิสัยอันเลวทราม แต่เป็นเพราะเขาเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเธอต่างหาก
หญิงสาวคิดต่อไป เธอต้องเป็นที่อิจฉาของคนทั้งหมู่บ้านแน่หากพวกนั้นรู้ว่าเขามาพูดอะไรกับเธอ
หญิงสาวปัดความคิดนี้ทิ้งไปเมื่อคิดถึงสิ่งที่เขาพูดกับเธอต่อไปว่า จะเกิดสงคราม
จริงหรือ เหตุใดจึงไม่มีเค้ามาก่อน ถ้าเป็นเช่นนั้นเธอกับมารดาควรจะทำอย่างไร
พลันในใจก็ตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่จะคิดว่าเหตุการณ์ยังมาไม่ถึงไม่ควรตีตนไปก่อนไข้
    ทั้งคืนนั้น หญิงสาวพยายามที่จะทำใจให้สงบ แต่ก็ไม่สามารถปิดเปลือกตาลงได้ ในใจนั้นพาลแต่คิดถึงเขาและคำพูดของเขา 
เธอนิยมเขาในใจ แต่กลับปฏิเสธเขา
เธอปฏิเสธเขาแต่ในใจกลับร่ำร้องถึงเขา
เธอคิดถึงเขาแต่กลับพยายามหนีเขาตลอดมา
บางที วันพรุ่งนี้เธออาจบอกแม่ว่าเธอเปลี่ยนใจ
หญิงสาวผล็อยหลับไปตอนใกล้สางด้วยความสับสนวุ่นวายในจิตใจ
    หญิงสาวเดินลงมาจากบนบ้านด้วยสีหน้าสะโหลสะเหล ผู้เป็นมารดาซึ่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารมองเห็นแล้วแอบซ่อนยิ้ม นางรู้ดีว่าบุตรสาวของตนใจแข็งและทิฐิมากเพียงใด จึงแสร้งร้องทักราวกับไม่มีอะไรผิดปกติ
    “วันนี้ตื่นสายจังนะลูก”
    “ค่ะ สงสัยเมื่อวานเหนื่อยไปหน่อย” หญิงสาวตอบ ในใจครุ่นคิดว่าควรถามมารดาเรื่องชายหนุ่มดีหรือไม่ หากแล้วเสียงมารดาก็เอ่ยขึ้น
    “เมื่อเช้าตอนแม่ไปจ่ายตลาด คนเขาพูดกันว่าเขากลับไปแล้วนะลูก”
    หญิงสาวใจหายวูบแต่ฝืนตอบไปราวกับไม่มีอะไรผิดปกติ
    “หรือคะ”
    เพียงเท่านี้ ทั้งสองก็รับประทานอาหารเช้ากันไปเงียบ ๆ
    แม้ภายนอกจะดูราวกับไม่ใส่ใจ แต่ภายในหญิงสาวกลับผิดหวังอย่างรุนแรง
    สายไปเสียแล้ว เขาจากไปแล้ว ช่างใจดำเสียจริง ไม่มีมาร่ำลาเลย หญิงสาวตัดพ้ออยู่ในใจ
ทั้งวัน หญิงสาวแทบไม่มีสมาธิในการทำงาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถรอดพ้นสายตาอันคมกริบของผู้เป็นมารดาไปได้ นางได้แต่ลอบสังเกตอย่างอ่อนใจพร้อมกับคิดว่า
“ลูกเรานี่ช่างเข้าใจยาก ตอนเขาไม่มาก็รอจะเป็นจะตาย มีคนมาให้เลือกเท่าไรไม่สนใจ แต่พอเขากลับมาแล้วกลับไปปฏิเสธเขาเข้าเสียอีก แล้วก็มานั่งเสียใจ ไม่รู้คิดยังไง”
    คิดแล้วนางก็นั่งลงร่างจดหมายฉบับหนึ่ง มีใจความบางตอนว่า
    \"ข้ามีเรื่องบางอย่างอยากจะขอร้องท่าน ให้ถือว่าเห็นแก่ข้าเถิด อีกทั้งประโยชน์นั้นก็ไม่ได้ตกอยู่กับใครนอกจากท่านและลูกข้าเท่านั้น ข้ารู้ดีว่านางมีใจต่อท่านเพียงแต่เป็นคนใจแข็งและปากไม่ตรงกับใจ ข้าอยากให้ท่านช่วยดูแลนางหากข้าต้องมีอันเป็นไปก่อนเวลาอันควร ข้าหวังว่าท่านจะช่วยเหลือข้าได้ ส่วนเรื่องอื่นนอกเหนือจากนี้ ข้าแล้วแต่ความเต็มใจของทั้งสองฝ่าย หากท่านไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร เพียงเท่านี้ก็รบกวนท่านมากแล้ว ข้าไม่เห็นใครจะพึ่งได้นอกจากท่านเลยจริง ๆ \"
    เสร็จแล้วนางก็พับจดหมายใส่ซองและจ่าหน้าซองตามที่อยู่ซึ่งเพิ่งขอชายหนุ่มไว้เมื่อวาน นางเดินออกจากบ้านไปพร้อมกับกำชับบุตรสาวให้ดูแลบ้านดี ๆ
    “จะไปไหนหรือจ๊ะแม่” บุตรสาวถามด้วยความสงสัย เพราะปกติผู้เป็นมารดาไม่มีธุระปะปังอะไรที่จะออกจากบ้านในเวลาเช่นนี้
    “อ้อ แม่จะไปซื้อของหน่อยน่ะ” มารดาอ้อมแอ้ม
    หญิงสาวมิได้ซักต่อ ได้แต่ลงมือคนส่วนผสมของเนยให้เข้ากัน บ้านของเธอมีอาชีพทำเนยขาย คนทั้งหมู่บ้านนี้และหมู่บ้านใกล้เคียงล้วนซื้อเนยที่เธอและแม่ทำทั้งนั้นเพราะมีรสดีขึ้นชื่อ ทั้งหอมและมัน
    ผู้เป็นมารดาเมื่อออกจากบ้านก็ตรงไปส่งจดหมายยังที่ทำการทันที นางคาดว่าจดหมายน่าจะไปถึงทันกับที่ชายหนุ่มไปถึงที่นั่น ก่อนจะกลับบ้านนางได้เดินไปร้านขายของชำของหมู่บ้านเพื่อซื้อของสักเล็กน้อยติดมือกลับไปตามที่ได้โกหกบุตรสาวไว้
    “น้ำตาลกับเกลืออย่างละครึ่งปอนด์จ๊ะ” นางสั่ง แล้วยืนรอ ขณะนั้นคนในร้านต่างก็โจษจันกันเรื่องข่าวสารบ้านเมืองอย่างออกรสออกชาติ
    “จริง ๆ นะแก หลานข้ามันเป็นทหารอยู่ในเมืองหลวง มันส่งข่าวมาว่ากำลังจะเกิดสงคราม ให้ข้ารีบซื้อของตุนไว้เยอะ ๆ ก่อนที่จะขึ้นราคา ข้าถึงได้รีบมานี่ยังไงล่ะ”
    “โฮ้ย มันจะจริงหรือวะ ข้าไม่เห็นว่ามันจะมีสงครามได้ยังไงเลย ไม่เห็นจะมีสาเหตุอะไรเลย แกนี่วิตกจริตไปล่ะมั้ง” ฝ่ายเจ้าของร้านขัดคอ
    “ไม่เชื่อแกก็ดูไปละกัน ของที่สั่งได้หรือยัง ข้าจะไปละ” ว่าแล้วต้นข่าวก็เดินจากไปอย่างหงุดหงิดที่ไม่มีใครเชื่อ ปล่อยให้คนภายในร้านโจษจันกันต่อ
    “ฝันเฟื่องจริง ๆ จะเป็นไปได้ยังไง” คนหนึ่งว่า “มันน่ะขี้โม้”
    ครั้นได้ยินเรื่องสงครามแล้วทำให้ใจไม่ดี ผู้เป็นมารดาจึงรีบกลับบ้านทันทีที่ได้ของ
    เมื่อถึงบ้านเห็นหน้าลูกสาวก็ถ่ายทอดสิ่งที่ได้ยินมาทันที
    “เอลีจา  เจ้ารู้ไหมเมื่อกี้แม่ไปซื้อของ คนเขาพูดกันว่าสงครามกำลังจะเกิดขึ้นแน่ะ”
    “เหรอจ๊ะ” หญิงสาวตอบรับ สีหน้าไม่มีความแปลกใจแม้แต่น้อย ในมือยังคงง่วนอยู่กับการเทเนยแข็งเหลวลงแม่พิมพ์ไม้ทรงกลม กลิ่นหอมอบอวลไปทั้งบ้าน
    “ลูกไม่กลัวหรือจ๊ะ ถ้าเกิดสงครามต้องแย่แน่ บ้านเรามีแต่ผู้หญิงทั้งนั้น” ผู้เป็นมารดามีสีหน้ากังวล
    “ดีออกซิจ๊ะ จะได้ไม่ต้องถูกเกณฑ์ทหารไง” หญิงสาวตอบอย่างไม่แยแสเท่าไรนัก
    “โธ่ ลูกไม่รู้อะไร ยามสงครามน่ะน่ากลัวจะตาย เกิดฝ่ายศัตรูบุกเข้าหมู่บ้านเรามา ใครจะมาคุ้มครองพวกเรา อีกทั้งผู้คนก็แก่งแย่งกันจะตาย โจรผู้ร้ายชุกชุมนะลูก” ผู้เป็นมารดาพยายามอธิบายภาพของสงครามให้บุตรสาวผู้ซึ่งไม่เคยผ่านช่วงเวลาแห่งสงครามมาก่อน
    ชั่วแวบหนึ่งนั้น ใจของเธอกระหวัดไปถึงเขา ดูเขาจะรู้ไปหมดเสียทุกอย่าง สงครามซึ่งอุบัติขึ้นระหว่างสองแว่นแคว้นเมื่อกว่าสามสิบปีที่แล้ว ไม่มีใครคาดคิดว่าการลงสัญญาสงบศึกจะเป็นเพียงการยุติปัญหาลงเพียงชั่วคราวเท่านั้น เพียงเวลาแค่สามสิบปี แว่นแคว้นทั้งสองซึ่งได้มีฟื้นฟูสภาพทางทหารและสถานะทางการเงินของประเทศจนมั่นคงดังเดิมก็กลับประกาศสงครามกันขึ้นมาใหม่ น่าแปลกที่เขารู้ความเคลื่อนไหวทางการทหารซึ่งน่าจะเป็นความลับภายใน
    เอลีจาเคาะเนยที่แข็งตัวแล้วออกจากพิมพ์และกดด้วยตราประทับรูปนกฟีนิกซ์ ก่อนที่จะห่อด้วยกระดาษไข ผู้เป็นมารดาซึ่งนั่งใช้ความคิดอยู่ที่โต๊ะรีบลุกเข้ามาช่วยเมื่อเห็นเอลีจาเตรียมลำเลียงเนยลงกล่องไม้
    “แม่ว่าเราน่าจะซื้อของตุนไว้ก็ดีเหมือนกันนะ” ผู้เป็นมารดาเปรยขึ้น
    “ก็ดีเหมือนกันจ๊ะ” หญิงสาวสนับสนุน
    “ว่าแต่เราจะซื้อไว้มากน้อยแค่ไหนดีล่ะ” ผู้เป็นมารดาถามความเห็นก่อนเอ่ยต่อ “หรือจะซื้อเท่าที่เรามีเงินเก็บอยู่ตอนนี้”
    “หนูว่าเราซื้อไว้เยอะ ๆ ก็ดีเหมือนกัน เพราะยังไงเราก็ต้องกินต้องใช้อยู่แล้ว แต่หนูว่าเราเหลือเงินสำรองไว้สักก้อนก็ดีนะจ๊ะ เผื่อมีอะไรฉุกเฉิน” หญิงสาวออกความเห็น
    “งั้นเดี๋ยววันพรุ่งนี้เป็นวันหยุดของเรา เราช่วยกันไปซื้อของขนของนะลูก”
    “จ๊ะ” หญิงสาวตอบอย่างร่าเริง
    เมื่อจัดการเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว สองแม่ลูกก็พักผ่อนกันอย่างมีความสุข
.
    เสียงนุ่มทุ้มนั้นเอ่ยอย่างแผ่วเบาหากทว่ามั่นคง คนฟังแสร้งทำเป็นเมินหนีไปเสียอีกทางราวกับไม่ได้ยิน ร่างสูงสง่าเดินอ้อมมาหยุดอยู่ตรงหน้าเพื่อจะดูว่าผู้ฟังมีปฏิกิริยาอย่างไร หากว่าร่างนั้นยังคงนิ่งเหม่อไปไกล
    “หากเจ้าไม่เต็มใจก็ไม่เป็นไร ข้าเพียงแต่หวังดีเท่านั้น” ว่าแล้วร่างสูงก็เดินจากไป หญิงสาวยังยืนนิ่งไม่หันไปมอง จนกระทั่งแน่ใจว่าอีกฝ่ายจากไปแน่แล้วจึงมองตามไปด้วยสายตาลึกล้ำ
    หญิงสาวเดินกลับเข้าบ้านด้วยจิตใจที่ว้าวุ่น เมื่อเข้าไปในบ้าน ผู้เป็นมารดายืนรออยู่ด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ ก่อนถาม
    “เป็นยังไงบ้างลูก”
    “ก็ไม่มีอะไรนี่จ๊ะ” หญิงสาวตอบเรียบ ๆ
    “เขาคุยอะไรกับเจ้าบ้างหรือ” ผู้เป็นมารดาถามต่อ
    “ก็ไม่มีอะไรนี่นะ” หญิงสาวบ่ายเบี่ยง ผู้เป็นมารดาถอนใจก่อนเอ่ยต่อ
    “แม่ว่าแล้วว่าจะต้องเป็นแบบนี้ อุตส่าห์คิดว่าเขาจะทำให้เจ้าเปลี่ยนใจได้เสียอีก”
    “ทำไมข้าจะต้องเปลี่ยนใจเพราะเขาด้วยล่ะจ๊ะ\" หญิงสาวมีน้ำเสียงไม่พอใจนิด ๆ
    “เขาเป็นคนดีที่สุดเท่าที่แม่เห็นมานี่จ๊ะ” ผู้เป็นมารดาเว้นจังหวะนิดหนึ่งก่อนเอ่ยต่อเมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่เอ่ยว่ากระไร
    “ลูกเอ๋ย แม่แก่แล้วนะลูก ไม่รู้จะอยู่ดูแลลูกได้อีกนานเท่าไร ถ้าลูกมีคนที่ไว้ใจได้ดูแล แม่ก็สบายใจจะได้ตายตาหลับ”
    หญิงสาวเอ่ยเสียงอ่อนลง
    “แม่จ๋า ข้าจะอยู่กับแม่ ถึงไม่มีคนดูแลก็ไม่เป็นไร ข้าดูแลตัวเองได้ แม่ก็รู้ว่าข้ารักแม่นี่จ๊ะ ข้าไม่ยอมหนีไปไหนหรอก” หญิงสาวลงท้ายอ้อนนิด ๆ มีผลทำให้ผู้เป็นมารดายิ้มอย่างเอ็นดู
    “ตกลง ๆ ตามใจเจ้าแล้วกัน แม่ไม่เซ้าซี้ละ” ผู้เป็นมารดาว่า
    หญิงสาวมีสีหน้ายิ้ม แต่ในใจกลับหดหู่
    ไม่ใช่ว่าเธอรังเกียจเขา แต่เป็นเพราะ เธอไม่ควรรักเขา
ไม่ใช่เพราะเขาจนหรือมีนิสัยอันเลวทราม แต่เป็นเพราะเขาเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเธอต่างหาก
หญิงสาวคิดต่อไป เธอต้องเป็นที่อิจฉาของคนทั้งหมู่บ้านแน่หากพวกนั้นรู้ว่าเขามาพูดอะไรกับเธอ
หญิงสาวปัดความคิดนี้ทิ้งไปเมื่อคิดถึงสิ่งที่เขาพูดกับเธอต่อไปว่า จะเกิดสงคราม
จริงหรือ เหตุใดจึงไม่มีเค้ามาก่อน ถ้าเป็นเช่นนั้นเธอกับมารดาควรจะทำอย่างไร
พลันในใจก็ตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่จะคิดว่าเหตุการณ์ยังมาไม่ถึงไม่ควรตีตนไปก่อนไข้
    ทั้งคืนนั้น หญิงสาวพยายามที่จะทำใจให้สงบ แต่ก็ไม่สามารถปิดเปลือกตาลงได้ ในใจนั้นพาลแต่คิดถึงเขาและคำพูดของเขา 
เธอนิยมเขาในใจ แต่กลับปฏิเสธเขา
เธอปฏิเสธเขาแต่ในใจกลับร่ำร้องถึงเขา
เธอคิดถึงเขาแต่กลับพยายามหนีเขาตลอดมา
บางที วันพรุ่งนี้เธออาจบอกแม่ว่าเธอเปลี่ยนใจ
หญิงสาวผล็อยหลับไปตอนใกล้สางด้วยความสับสนวุ่นวายในจิตใจ
    หญิงสาวเดินลงมาจากบนบ้านด้วยสีหน้าสะโหลสะเหล ผู้เป็นมารดาซึ่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารมองเห็นแล้วแอบซ่อนยิ้ม นางรู้ดีว่าบุตรสาวของตนใจแข็งและทิฐิมากเพียงใด จึงแสร้งร้องทักราวกับไม่มีอะไรผิดปกติ
    “วันนี้ตื่นสายจังนะลูก”
    “ค่ะ สงสัยเมื่อวานเหนื่อยไปหน่อย” หญิงสาวตอบ ในใจครุ่นคิดว่าควรถามมารดาเรื่องชายหนุ่มดีหรือไม่ หากแล้วเสียงมารดาก็เอ่ยขึ้น
    “เมื่อเช้าตอนแม่ไปจ่ายตลาด คนเขาพูดกันว่าเขากลับไปแล้วนะลูก”
    หญิงสาวใจหายวูบแต่ฝืนตอบไปราวกับไม่มีอะไรผิดปกติ
    “หรือคะ”
    เพียงเท่านี้ ทั้งสองก็รับประทานอาหารเช้ากันไปเงียบ ๆ
    แม้ภายนอกจะดูราวกับไม่ใส่ใจ แต่ภายในหญิงสาวกลับผิดหวังอย่างรุนแรง
    สายไปเสียแล้ว เขาจากไปแล้ว ช่างใจดำเสียจริง ไม่มีมาร่ำลาเลย หญิงสาวตัดพ้ออยู่ในใจ
ทั้งวัน หญิงสาวแทบไม่มีสมาธิในการทำงาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถรอดพ้นสายตาอันคมกริบของผู้เป็นมารดาไปได้ นางได้แต่ลอบสังเกตอย่างอ่อนใจพร้อมกับคิดว่า
“ลูกเรานี่ช่างเข้าใจยาก ตอนเขาไม่มาก็รอจะเป็นจะตาย มีคนมาให้เลือกเท่าไรไม่สนใจ แต่พอเขากลับมาแล้วกลับไปปฏิเสธเขาเข้าเสียอีก แล้วก็มานั่งเสียใจ ไม่รู้คิดยังไง”
    คิดแล้วนางก็นั่งลงร่างจดหมายฉบับหนึ่ง มีใจความบางตอนว่า
    \"ข้ามีเรื่องบางอย่างอยากจะขอร้องท่าน ให้ถือว่าเห็นแก่ข้าเถิด อีกทั้งประโยชน์นั้นก็ไม่ได้ตกอยู่กับใครนอกจากท่านและลูกข้าเท่านั้น ข้ารู้ดีว่านางมีใจต่อท่านเพียงแต่เป็นคนใจแข็งและปากไม่ตรงกับใจ ข้าอยากให้ท่านช่วยดูแลนางหากข้าต้องมีอันเป็นไปก่อนเวลาอันควร ข้าหวังว่าท่านจะช่วยเหลือข้าได้ ส่วนเรื่องอื่นนอกเหนือจากนี้ ข้าแล้วแต่ความเต็มใจของทั้งสองฝ่าย หากท่านไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร เพียงเท่านี้ก็รบกวนท่านมากแล้ว ข้าไม่เห็นใครจะพึ่งได้นอกจากท่านเลยจริง ๆ \"
    เสร็จแล้วนางก็พับจดหมายใส่ซองและจ่าหน้าซองตามที่อยู่ซึ่งเพิ่งขอชายหนุ่มไว้เมื่อวาน นางเดินออกจากบ้านไปพร้อมกับกำชับบุตรสาวให้ดูแลบ้านดี ๆ
    “จะไปไหนหรือจ๊ะแม่” บุตรสาวถามด้วยความสงสัย เพราะปกติผู้เป็นมารดาไม่มีธุระปะปังอะไรที่จะออกจากบ้านในเวลาเช่นนี้
    “อ้อ แม่จะไปซื้อของหน่อยน่ะ” มารดาอ้อมแอ้ม
    หญิงสาวมิได้ซักต่อ ได้แต่ลงมือคนส่วนผสมของเนยให้เข้ากัน บ้านของเธอมีอาชีพทำเนยขาย คนทั้งหมู่บ้านนี้และหมู่บ้านใกล้เคียงล้วนซื้อเนยที่เธอและแม่ทำทั้งนั้นเพราะมีรสดีขึ้นชื่อ ทั้งหอมและมัน
    ผู้เป็นมารดาเมื่อออกจากบ้านก็ตรงไปส่งจดหมายยังที่ทำการทันที นางคาดว่าจดหมายน่าจะไปถึงทันกับที่ชายหนุ่มไปถึงที่นั่น ก่อนจะกลับบ้านนางได้เดินไปร้านขายของชำของหมู่บ้านเพื่อซื้อของสักเล็กน้อยติดมือกลับไปตามที่ได้โกหกบุตรสาวไว้
    “น้ำตาลกับเกลืออย่างละครึ่งปอนด์จ๊ะ” นางสั่ง แล้วยืนรอ ขณะนั้นคนในร้านต่างก็โจษจันกันเรื่องข่าวสารบ้านเมืองอย่างออกรสออกชาติ
    “จริง ๆ นะแก หลานข้ามันเป็นทหารอยู่ในเมืองหลวง มันส่งข่าวมาว่ากำลังจะเกิดสงคราม ให้ข้ารีบซื้อของตุนไว้เยอะ ๆ ก่อนที่จะขึ้นราคา ข้าถึงได้รีบมานี่ยังไงล่ะ”
    “โฮ้ย มันจะจริงหรือวะ ข้าไม่เห็นว่ามันจะมีสงครามได้ยังไงเลย ไม่เห็นจะมีสาเหตุอะไรเลย แกนี่วิตกจริตไปล่ะมั้ง” ฝ่ายเจ้าของร้านขัดคอ
    “ไม่เชื่อแกก็ดูไปละกัน ของที่สั่งได้หรือยัง ข้าจะไปละ” ว่าแล้วต้นข่าวก็เดินจากไปอย่างหงุดหงิดที่ไม่มีใครเชื่อ ปล่อยให้คนภายในร้านโจษจันกันต่อ
    “ฝันเฟื่องจริง ๆ จะเป็นไปได้ยังไง” คนหนึ่งว่า “มันน่ะขี้โม้”
    ครั้นได้ยินเรื่องสงครามแล้วทำให้ใจไม่ดี ผู้เป็นมารดาจึงรีบกลับบ้านทันทีที่ได้ของ
    เมื่อถึงบ้านเห็นหน้าลูกสาวก็ถ่ายทอดสิ่งที่ได้ยินมาทันที
    “เอลีจา  เจ้ารู้ไหมเมื่อกี้แม่ไปซื้อของ คนเขาพูดกันว่าสงครามกำลังจะเกิดขึ้นแน่ะ”
    “เหรอจ๊ะ” หญิงสาวตอบรับ สีหน้าไม่มีความแปลกใจแม้แต่น้อย ในมือยังคงง่วนอยู่กับการเทเนยแข็งเหลวลงแม่พิมพ์ไม้ทรงกลม กลิ่นหอมอบอวลไปทั้งบ้าน
    “ลูกไม่กลัวหรือจ๊ะ ถ้าเกิดสงครามต้องแย่แน่ บ้านเรามีแต่ผู้หญิงทั้งนั้น” ผู้เป็นมารดามีสีหน้ากังวล
    “ดีออกซิจ๊ะ จะได้ไม่ต้องถูกเกณฑ์ทหารไง” หญิงสาวตอบอย่างไม่แยแสเท่าไรนัก
    “โธ่ ลูกไม่รู้อะไร ยามสงครามน่ะน่ากลัวจะตาย เกิดฝ่ายศัตรูบุกเข้าหมู่บ้านเรามา ใครจะมาคุ้มครองพวกเรา อีกทั้งผู้คนก็แก่งแย่งกันจะตาย โจรผู้ร้ายชุกชุมนะลูก” ผู้เป็นมารดาพยายามอธิบายภาพของสงครามให้บุตรสาวผู้ซึ่งไม่เคยผ่านช่วงเวลาแห่งสงครามมาก่อน
    ชั่วแวบหนึ่งนั้น ใจของเธอกระหวัดไปถึงเขา ดูเขาจะรู้ไปหมดเสียทุกอย่าง สงครามซึ่งอุบัติขึ้นระหว่างสองแว่นแคว้นเมื่อกว่าสามสิบปีที่แล้ว ไม่มีใครคาดคิดว่าการลงสัญญาสงบศึกจะเป็นเพียงการยุติปัญหาลงเพียงชั่วคราวเท่านั้น เพียงเวลาแค่สามสิบปี แว่นแคว้นทั้งสองซึ่งได้มีฟื้นฟูสภาพทางทหารและสถานะทางการเงินของประเทศจนมั่นคงดังเดิมก็กลับประกาศสงครามกันขึ้นมาใหม่ น่าแปลกที่เขารู้ความเคลื่อนไหวทางการทหารซึ่งน่าจะเป็นความลับภายใน
    เอลีจาเคาะเนยที่แข็งตัวแล้วออกจากพิมพ์และกดด้วยตราประทับรูปนกฟีนิกซ์ ก่อนที่จะห่อด้วยกระดาษไข ผู้เป็นมารดาซึ่งนั่งใช้ความคิดอยู่ที่โต๊ะรีบลุกเข้ามาช่วยเมื่อเห็นเอลีจาเตรียมลำเลียงเนยลงกล่องไม้
    “แม่ว่าเราน่าจะซื้อของตุนไว้ก็ดีเหมือนกันนะ” ผู้เป็นมารดาเปรยขึ้น
    “ก็ดีเหมือนกันจ๊ะ” หญิงสาวสนับสนุน
    “ว่าแต่เราจะซื้อไว้มากน้อยแค่ไหนดีล่ะ” ผู้เป็นมารดาถามความเห็นก่อนเอ่ยต่อ “หรือจะซื้อเท่าที่เรามีเงินเก็บอยู่ตอนนี้”
    “หนูว่าเราซื้อไว้เยอะ ๆ ก็ดีเหมือนกัน เพราะยังไงเราก็ต้องกินต้องใช้อยู่แล้ว แต่หนูว่าเราเหลือเงินสำรองไว้สักก้อนก็ดีนะจ๊ะ เผื่อมีอะไรฉุกเฉิน” หญิงสาวออกความเห็น
    “งั้นเดี๋ยววันพรุ่งนี้เป็นวันหยุดของเรา เราช่วยกันไปซื้อของขนของนะลูก”
    “จ๊ะ” หญิงสาวตอบอย่างร่าเริง
    เมื่อจัดการเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว สองแม่ลูกก็พักผ่อนกันอย่างมีความสุข
.
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น