คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : แรกพบสบตา 1oo%
ตึกสูงตระหง่านที่อยู่เบื้องหน้าทำให้ร่างของผู้มาใหม่หยุดเท้ากะทันหัน เบื้องหน้าของเธอคือตึกสูงทรงยุโรปสีขาวขนาดใหญ่ตั้งเรียงกันเป็นแนวทะแยงรูปกากบาท รอบๆบริเวณกินอาณาเขตปาเข้าไปหลายร้อยไร่ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อมีลมพัดผ่านเส้นผมที่ยาวระต้นคอให้พริ้วน้อยๆ ปากบางเบ้ออกกับขนาดของโรงเรียนใหม่ที่เธอต้องมาอยู่ ‘จะใหญ่เพื่อ’
“คุณฮวัง กรุณาตามดิฉันมาทางนี้ค่ะ” ดวงตาสีน้ำตาลตวัดมองคนพูดที่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ผู้หญิงร่างสูงหุ่นสวยเรือนผมสีดำสนิทถูกรวบมัดตึงแกว่งไปตามจังหวะการก้าวเดิน ‘จะระเบียบไปไหน’ ทิฟฟานี่คิดก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วเดินตามไปอย่างช่วยไม่ได้
ตลอดทางเดินให้ความรู้สึกวังเวงเล็กน้อยคงเพราะนักเรียนส่วนใหญ่รวมตัวกันอยู่ในหอประชุมใหญ่ตามคำบอกของผู้หญิงที่เดินนำหน้าเธออยู่แน่ล่ะสิ่ก็เธอเพิ่งจะย้ายมาตอนที่เขาเปิดเทอมไปได้สองอาทิตย์แล้วนี่นาคงกำลังรับน้องกันอยู่มั้ง
“ขออนุญาตค่ะ” เสียงของคนนำทางเรียกสติของทิฟฟานี่กลับมาอีกครั้งหลังจากที่เสียเวลาสรรเสริญ(นินทา)คนสร้างโรงเรียนนี้ขึ้นมา
“สวัสดีคุณฮวัง” ทิฟฟานี่หรี่ตามองคนทักเล็กน้อย ความรู้สึกรังเกียจส่งผ่านสายตาได้ไม่ยากทำให้คนได้รับถึงกับถอนหายใจ
“ยินดีต้อนรับสู่โรงเรียนของเรา”
“แค่ของเธอ ไม่มีฉัน และไม่มีคำว่าเรา” เสียงหวานหากแต่กระด้างตอบออกไป
“จะว่ายังไงก็ช่าง ห้องที่เธออยู่คือ 2A และเชิญ” ว่าเสร็จเจ้าของห้องก็ผายมือทำเป็นว่าประตูอยู่ตรงนั้น แต่ทิฟฟานี่ก็ไม่ได้ใส่ใจเดินออกไปก่อนที่จะปิดประตูเสียงดังจนคนในห้องถึงกับกัดฟันกรอดกันเลยทีเดียว
แซด”””””” เสียงคุยกันของนักศึกษาน้องใหม่ในปีนี้ที่เก็บอารมณ์ตื่นเต้นของตนเองไม่อยู่ได้แต่พูดไม่หยุดทั้งแต่เข้ามาในหอประชุมเพื่อปฐมนิเทศการรับน้องใหม่ ดวงตาคู่หวานมองไปรอบๆหอประชุมใหญ่ด้วยความเซ็งตอนนี้นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งที่เธอคาดว่าน่าจะมีสักประมาณ สี่พันคนได้แต่ที่เซ็งกว่านั้นคือเหล่ารุ่นพี่ที่ยืนรายล้อมพวกเธอไว้อีกชั้นหนึ่งนี่มันอะไรกัน ทำไมมันมีมากมายอย่างนี้ เสียงดังคุยจอแจของคนรอบข้างไม่ได้ทำให้เธอละสายตาจากบริเวณรอบๆได้เลย เธอยังคงกวาดสายตาไปยังรุ่นพี่ที่ยืนทำหน้าใจดีบ้าง ถมึงทึงบ้าง ก่อนที่จะไปสบเข้ากับนัยน์ตาสีเข้มของใครคนหนึ่งเข้า ไม่รู้ว่าเธอกับเขายืนจ้องกันอยู่อย่างนั้นนานเท่าไหร่แล้วมันเหมือนมีแรงดึงดูดมหาศาลที่ทำให้เธอไม่สามารถละสายตาไปจากนัยตาคมคู่นั้นได้
“ ฟานี่ ทิฟฟานี่” ฉันตื่นจากผวังค์เล็กน้อยก่อนจะเบนสายตาหลบรุ่นพี่คนนั้นเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองคงจ้องพี่เค้านานเกินไปก่อนจะหันมาหาเพื่อนของตัวเองที่สะกิดยิกๆอยู่ข้างๆ
“ว่าไงสิก้า มีอะไรรึเปล่า” แน่นอนว่าสิก้า หรือ เจสสิก้า เพื่อนสนิทคนเดียวที่ยอมย้ายมาเรียนโรงเรียนใหม่กับเธอนั่นจึงเป็นเรื่องดีที่เธอจะต้องมีมิตรแท้ในที่ๆไม่คุ้นเคยได้
“สิก้าปวดฉี่อ่ะ ไปส่งหน่อยสิ่”
“ตอนนี้เนี่ยนะ ตายล่ะสิก้าอีกไม่กี่นาทีเขาก็จะเริ่มปฐมนิเทศกันแล้วนะ” ฉันหันไปมองรอบๆเพราะเท่าที่เห็นพวกรุ่นพี่มากันหมดแล้ว รวมถึงเหล่าอาจารย์ก็เริ่มมากันแล้วด้วย
“ไม่ไหวอ่ะฟานี่ สิก้าไม่ไหวแล้ว นะนะ น๊า” ใบหน้าออดอ้อนที่ฉันไม่เคยปฏิเสธได้ลงสักครั้งตั้งแต่ที่คบกันมา เจสสิก้าเป็นแบบนี้เสมอ เธออ่อนหวาน ตรงไปตรงมา และซื่อจนเกือบบื้อเลยด้วยซ้ำในบ้างเรื่อง ฉันไม่มีเวลาตัดสินใจนานมากก็จำเป็นต้องดึงแขนคนข้างๆนี่ลุกขึ้นก่อนจะเดินฝ่าฝูงชนที่ไม่ยอมนั่งลงกับที่ของตัวเองเพราะมัวแต่ชะเง้อคอมองรุ่นพี่ของตนเอง บ้างก็วิจาร คนนั้นหล่อบ้าง คนนี้สวยบ้าง ตลอดทางที่เดินฝ่าออกมาเธอต้องได้ยินเสียงกรีดร้องเป็นระลอกแม้ไม่ดังมากแต่เธอก็ได้ยินอยู่ดี
หลังจากลับร่างบางที่เดินพ้นประตูออกไปแล้วนั้นเขาก็ต้องหันกลับมาสนใจแรงกดหนักๆที่หัวไหล่ซ้าย ไม่จำเป็นต้องหันไปมองก็พอจะรู้ได้ เพราะมีไม่มากนักหรอกที่จะเข้าถึงตัวเขาได้ในระยะประชิดขนาดนี้ (ถ้าเป็นคนอื่นคงโดนสายตาพิฆาต ชิ้งงงง)
“ มองใครอยู่วะ ฮุน” ฮุน หรือ โอ เซฮุนหันไปมองหน้าเพื่อนแวบหนึ่งแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป คริสยักไหล่น้อยๆเขาชินเสียแล้วกับนิสัยพูดน้อย แต่ต่อยหนักของเพื่อน บางครั้งเขายังคิดว่าตัวเองอยู่คนเดียวเสียอีกทั้งๆที่ก็อยู่กับมันนั่นแหละ
“น้องๆปีนี้แจ่มๆทั้งนั้นเลยว่ะ”เป็นคริสอีกครั้งที่เปิดประเด็นขึ้นหากแต่ก็ยังได้รับการสงบปากสงบคำมาเป็นของแถมอีกเหมือนเดิม
เสียงถอนหายใจหนักๆดังมาจากคนหน้านิ่ง เขาเริ่มรู้สึกอึดอัดกับสายตาของรุ่นน้องปีหนึ่งที่มองมาที่เขาราวกับว่าเห็นตัวประหลาดแต่คงไม่เหมือนไอ้เพื่อนเกลอที่ตอนนี้กำลังบริหารเสน่ห์ที่เหลือจนล้นของตัวเองอย่างสม่ำเสมอนั่น เขาตัดสินใจลุกขึ้นในที่สุดแล้วเดินออกจากห้องประชุมนั้นทันทีทำให้คริสที่กำลังส่งยิ้มให้รุ่นน้อง (ผู้หญิง) วิ่งตามออกไปแทบไม่ทัน
สองร่างเพรียวเดินไปเข้าห้องน้ำอย่างเร่งรีบก่อนจะรีบกลับมาเข้ารับฟังการรับน้องต่อหากแต่ทิฟฟานี่ก็ไม่ได้เห็นคนคนนั้นแล้ว
“เป็นอะไรรึเปล่า” เจสสิก้าสะกิดถามเพื่อนหลังจากเห็นว่าเพื่อนถอนหายใจหลายทีแล้วบางทีก็เหม่อไปเรื่อยเหมือนกำลังหาใครสักคนอยู่
“เปล่า” ทิฟฟานี่ตอบเสียงเรียบ บางทีเธออาจจะติดใจสายตาที่คมเหมือนเหยี่ยวหากแต่เหมือนจะมีความอ้างว้างโดดเดี่ยวและเย็นชาอยู่ในที
เจสสิก้าไม่เอ่ยต่ออะไรอีก หลังจากที่ประชุมเสร็จทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วทางโรงเรียนไม่มีสอนในวันนี้เนื่องจากกรรมการนักเรียนได้ขอเวลาทั้งวันหากแต่ก็ใช้เวลาเพียงแค่ครั้งวันเท่านั้น เนื่องจากทิฟานี่ขับรถมาเองเธอเลยพาเจสสิก้ากลับไปส่งบ้านก่อนที่เธอจะขับรถกลับเอง แต่ระหว่างนั้นมีรถบรรทุกคันนึงวิ่งฝ่าไฟแดงตรงมายังรถของเธอ จากนั้นสติทุกอย่างก็ดับวูบไป
เกิดอะไรขึ้น......
ทำไมถึงไม่รู้สึกเจ็บปวด.......
ทั้งๆที่คิดว่ารถคันนั้นชนกับรถของเธอจังๆแล้วแท้ๆ...........
คงไม่ใช่ว่าเธอตายแล้วหรอกนะ..........
เจสสิก้าวิ่งเข้ามาภายในโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ด้วยใบหน้าซีดเซียว ร่างบางพยายามวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เนื่องจากเป็นห่วงเพื่อน เพื่อนเพียงคนเดียวของเธอ
“ฟานี่ล่ะค่ะคุณน้า” เจสสิก้าเลือกที่จะถาม ฮโยริน ภรรยาคนใหม่ของคุณลุง กึนซอกหรือพ่อของฟานี่นั่นเอง เพราะตอนนี้คุณลุงดูจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่
“ยังอยู่ในห้องฉุกเฉินอยู่เลย น้าเป็นห่วงจริงๆ” ปากพูดเป็นห่วงหากแต่คนพูดกลับไม่มองหน้าคนถามซึ่งนั่นไม่ได้ทำให้เจสสิก้าสงสัยเลยเพราะมัวแต่เป็นห่วงเพื่อน
ฮวัง กึนซอก นั่งกุมมือตัวเองอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน เขารีบบึ่งรถมาทันทีที่รู้ว่าลูกสาวตนเองประสบอุบัติเหตุ นัยน์ตาคมแลดูมีน้ำคลออยู่โดยรอบเขาเสียใจ เสียใจที่ไม่ดูแลลูกสาวคนเดียวให้ดีที่สุดอย่างที่เคยสัญญากับคนรักไว้ได้ ซ้ำยังทำร้ายเธอด้วยการพา ฮโยรินเข้ามาในบ้านในฐานะแม่ใหม่ให้กับทิฟฟานี่หลังจากที่คนรักของตนนั้นเสียไปได้เพียงแค่ สามเดือน ไม่แปลกที่ทิฟฟานี่จะต่อต้าน เขารู้ แต่ทำเป็นไม่รู้ ด้วยความที่อยากให้ทิฟฟานี่ไม่ต้องขาดเหลืออะไร ไม่อยากให้ลูกสาวมีปม แต่เหมือนเขาจะเป็นคนสร้างปมให้เสียเอง
ประตูห้องฉุกเฉินถูกเปิดขึ้นมาครั้งแรกหลังจากที่ปิดไปกว่าสี่ชั่วโมงครึ่ง ทำให้คนทั้งสามที่รออยู่สะดุ้งสุดตัวก่อนจะเดินเข้าไปถามอาการคนข้างใน
“คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้วครับ แต่หมอไม่แน่ใจว่าเธอจะฟื้นรึเปล่า เนื่องจากเธอได้รับแรงกระทบกระเทือนที่หนักเอาการ ทำให้มีเลือดคลั่งในสมอง หรือถ้าหากฟื้นหมอก็ไม่แน่ใจว่าเธอจะจำอะไรได้รึเปล่า”
หลังจากคำให้การอารมณ์ของคนทั้งสามนั้นดูจะแตกต่างกันออกไป กึนซอกนั้นเข่าอ่อนคุกเข่าลงไปตั้งแต่ได้ยินว่าลูกสาวของเขาอาจจะไม่ฟื้นแล้ว ความเสียใจถาโถมเขาทำให้ไม่อาจกลั้นน้ำตาลูกผู้ชายได้อีกต่อไป เจสสิก้าเข้าไปพยุงเขาให้ลุกขึ้น ร่างบางเองก็ไม่ต่างกันน้ำตาไหลออกมาเป็นสายดูท่าแล้วตาเธอคงได้บวมหนักแน่ๆ ส่วน ฮโยริน เนื่องจากเธอยกมือขึ้นมาปิดบังใบหน้าไว้ทำให้ไม่ทราบได้ว่าเธอคนนี้รู้สึกอย่างไร
ความคิดเห็น