ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] XOXO : พี่สาวครับ... รับรักผมที!

    ลำดับตอนที่ #12 : OXOX :: --SPECIAL-- goodbye summer love...

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 229
      1
      13 พ.ย. 56




    Goodbye Summer Love...



    “งานเลี้ยงรุ่นปีนี้ จะเล่นคอนเซปต์อะไรกันดี ไหนเสนอมาซิ?” แบซูจี ผู้จัดการวงและประธานชมรมดนตรีที่ขยับตำแหน่งขึ้นมาเป็น 'คุณแฟน' ของผมพูดขึ้นในห้องซ้อมที่เก่าเวลาเดิม ปกติไม่เห็นจะกระตือร้อร้นทำหน้าที่กับเค้าสักเท่าไหร่ ไม่รู้วันนี้ยัยนี่มาโหมดไหน แต่ก็เอาเถอะ เห็นแก่ว่าเพิ่งเปลี่ยนสถานะมาหมาดๆและอยู่ต่อหน้าคนหมู่มากที่ไม่ได้มีแค่วงเราหรอกนะ เพราะงั้นบยอนแบคฮยอนจะไม่แซะ

    ทึ่ว่าไม่ได้มีแค่พวกเราก็เพราะงานเลี้ยงรุ่นนี่เป็นงานใหญ่ครับ จริงๆเป็นงานที่จะจัดขึ้นในช่วงซัมเมอร์ของทุกปีเพื่อให้ศิษย์เก่าได้มาสังสรรค์พบปะกัน คือเค้าก็ไม่ได้เชิญนักเรียนรุ่นปัจจุบันมาร่วมงานอะไรหรอก แต่เนื่องจากพวกผมเป็นวงดนตรี และสังกัดชมรมดนตรีซะด้วย เพราะงั้นงานนี้ก็เลยต้องขึ้นโชว์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แถมเรายังมีคริสตัลที่พ่วงตำแหน่งคณะกรรมการนักเรียนมาเป็นมือเบสให้ตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว เพราะงั้นสถานที่ประชุมสำหรับเรื่องงานก็เลยย้ายมาตั้งรกรากที่ห้องซ้อมของเราเป็นปีที่สองครับ

    “อืม... เอาเรโทรมะ?” ปาร์คชานยอลยกมือขึ้นเสนอธีมงานเป็นคนแรก

    “ตลกละ ปีที่แล้วเราก็เพิ่งเล่นธีมนั้นไป ความจำเสื่อมรึไง?” รุ่นพี่มินซอก คณะกรรมการฝ่ายสันทนาการเอื้อมมือขึ้นมาตบกะโหลกไอ้เสาไฟฟ้าที่เสนอคอนเซปท์เก่าในทุกวาระการประชุม คือเงียบไว้ใช่ว่านะชานยอลอา =__=

    “ปีนี้ขอไม่เอาธีมเฮอาบ้าบอเหมือนปีที่แล้วๆมานะ เพราะจากรายชื่อเนี่ย รุ่นพี่ที่โตๆแล้วจะมากันเยอะกว่าปีก่อน ขอเป็นอะไรแบบชิลล์ๆพอ” พี่ซูโฮ ประธานนักเรียนที่เคารพรักและน่าเลื่อมใสของพวกเราพูดขึ้นมาก่อนจะมองหน้าศิษย์ปัจจุบันร่วมยี่สิบชีวิตในห้อง

    “ถ้างั้น... เอาเป็นธีมประมาณ 'ความทรงจำในวัยเรียน' ประมาณนี้ดีมั้ยคะ? เราก็จำลองหอประชุมให้เป็นห้องเรียนใหญ่ๆ พวกสตาฟฟ์ก็ใส่ชุดนักเรียน ของตกแต่งก็ใช้ธีมโอลด์สคูลหรืออาจจะวินเทจนิดๆก็ได้” คังจียอง หนึ่งในคณะกรรมการนักเรียนเสนอขึ้นมา เออ ความคิดนี้เข้าท่าแฮะ แต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไร ไอ้จงแดก็ตีฉาบกลองเสียงดังเอะอะ ประหนึ่งซาวด์เอฟเฟกต์เวทีประกาศรางวัลแดซัง

    “ไอเดียนี้มันเก๋ไก๋สไลเดอร์ที่สุดเลยครับ! ไม่อยากจะแซ่ดแต่คุณจียองนี่นอกจากจะน่ารักแล้วยังฉลาดอีก ทำไมถึงได้เกิดมาสมบูรณ์แบบอย่างนี้นะ--อะ... โอ๊ยๆๆ! คยองซู! มันเจ็บนะ! โธ่ T__T”

    ผมหัวเราะลั่นอย่างสะใจที่เห็นคยองซูลุกไปบิดหูไอ้มือกลองปากดีหลังจากทนฟังมันพล่ามไม่ไหว แถมยังออกตัวแรงยิ่งกว่ารถไฟหัวกระสุน คือถ้าจะอวยกันขนาดนี้เดินไปขอเค้าคบเลยเหอะครับ คิมจงแด!

    “เอาล่ะๆ มีใครเห็นด้วยกับไอเดียของจียองบ้างมั้ย?” พี่ซูโฮหันไปถามรอบห้อง แล้วทุกคนก็ยกมือพรึ่บพรั่บ จงแดยังไม่วายยกมือขึ้นทั้งสองข้างแถมยังโบกไม้กลองทึ่ถือไว้ไปด้วย เล่นเอากลุ่มเพื่อนๆผู้หญิงของจียองหัวเราะคิกคักกันใหญ่ในขณะที่เจ้าตัวแก้มแดงคอสเพลย์เป็นลูกเชอร์รี่

    “งั้นเอาเป็นว่าตกลงเราใช้คอนเซปต์นี้นะ ว่าแต่... 'ความทรงจำในวัยเรียน' พี่ว่าชื่อมันฟังดูขัดๆไปหน่อย อยากได้อะไรที่มันฟังดูโรแมนติกนิดๆอ่ะ” คุณประธานสรุปก่อนจะส่งคำถามต่อมา ส่งผลให้ทุกคนที่เหลือทำเสียงฮึมฮัมนั่งนึกชื่องานกันหัวแทบแตก

    “พี่ซูโฮ แล้วถ้าเป็น 'วันวานในฤดูร้อน' โอเคมั้ยคะ?” ซอลลี่ที่รักของชานยอลเสนอขึ้นมา แหม... ชื่อยังกับซีรี่ย์ละครก่อนนอนเลยแฮะ แต่ก็ดูเหมือนพี่ซูโฮและคนอื่นๆรวมทั้งเจ้าของไอเดียอย่างจียองจะพอใจกับความคิดของซอลลี่อยู่ไม่น้อย

    “งั้นก็ตกลงธีมงานเป็นตามนี้เลย การตกแต่งก็ออกแนวเรียบง่าย ใช้ธีมโอลด์สคูลกับวินแทจเป็นหลักนะ จียอง กลุ่มเธอดูแลเรื่องนี้ได้ใช่ไหม?”

    “ได้ค่ะรุ่นพี่”

    “ขอบใจนะ เรื่องอาหาร อี้ชิงช่วยหน่อยแล้วกัน ถ้ามีปัญหาเรื่องการสื่อสารก็ให้มินซอกช่วยอีกแรงก็ได้นะ” พี่ซูโฮหันไปโบ้ยใส่รุ่นพี่นักเรียนแลกเปลี่ยนชาวจีนที่นั่งเอ๋อ อยู่ในโหมดแปลภาษามาได้พักใหญ่ๆ เดือดร้อนพี่มินซอกที่หัวเราะขึ้นมาเล็กๆแล้วก็ต้องหันไปช่วยอธิบายให้พี่อี้ชิงฟังด้วยภาษาเกาหลีง่ายๆปนภาษาจีนที่พี่แกพอรู้อยู่บ้าง

    ขอนอกวาระการประชุมนิดนึงแล้วกันนะฮะ จะอธิบายว่าโรงเรียนผมเนี่ยมักจะมีนักเรียนแลกเปลี่ยนจากจีนมาทุกปี คือมาเรียนๆครบปีนึงแล้วก็ย้ายกลับไป หรือบางคนอยากจะอยู่ยาวเลยก็ทำเรื่องโอนมาก็ได้ อย่างพี่มินซอกนี่จริงๆแก่กว่าพี่ซูโฮนะฮะ แต่เพราะพี่แกไปเรียนแลกเปลี่ยนที่จีนแล้วค่อยกลับมาลงเรียนซ้ำชั้นเดิมอีกที ส่วนพี่อี้ชิงก็เพิ่งย้ายมาเมื่อเทอมที่แล้ว... พร้อมๆกับไอ้แพนด้าโรคจิตหวงจื้อเทานั่นแหละ

    อ่ะ กลับมาว่าด้วยเรื่องการประชุมกันต่อ

    “เรื่องรายชื่อรุ่นพี่กับลำดับงาน อารึมช่วยดูหน่อยแล้วกัน” อีอารึม สาวน้อยผิวขาวโอโม่ที่เรียนห้องเดียวกับผมและสนิทกับซูจีพอสมควรขานรับคุณพี่ประธานอย่างตั้งอกตั้งใจ

    “ทีนี้มาว่ากันเรื่องการแสดง...” พี่ซูโฮหันกลับมาสบตากับผมเป็นเชิงถาม

    “เดี๋ยวจะจัดเพลงป็อปใสๆซักยุคโซนยอชีแดเพิ่งเดบิวท์ไปให้เลยครับพี่” ผมตอบกลับไปแบบกวนๆ เรียกเสียงฮาจากมติที่ประชุมได้โข แหม...นี่ไม่ได้จะแซะนะ แต่ใครๆก็รู้ว่าพี่ซูโฮอ่ะ แฟนบอยตัวพ่อของโซนยอชีแด เรียกว่าเป็นโซวอนกันมาตั้งแต่ตัวกระเปี๊ยก รักกันเหนียวแน่นมาหกปีเลยเชียวแหละ

    “เออๆ งั้นเดี๋ยวนายส่งรายชื่อเพลงให้พี่ที่หลังด้วยแล้วกัน” แหมะ ทีงี้ล่ะรับปัดเชียวนะ เขินที่โดนแซวอ่ะดิ

    “...ทำเป็นแซวชาวบ้าน ใครก็ไม่รู้กรี๊ดคิมแทยอนจะเป็นจะตาย” ผมหรี่ตาหันไปมองคริสตัลที่พักนี้ไม่รู้เป็นอะไร ขยันแขวะผมจัง หรืออยากให้ผมท้าไฝว้กะคยองซูมั้ยห๊ะ!?

    พี่ซูโฮที่เห็นท่าไม่ดีก็เลยกระแอมไอออกมาสองสามทีก่อนจะเอ่ยประโยคที่สำคัญที่สุดในวันนี้ออกมา

    “ไม่มีอะไรแล้วก็ปิดประชุม แยกย้าย!”

     

     

    “โหย เลือกมาแต่เพลงคีย์ผู้หญิงแบบนี้ นี่กะจะให้คอแหกตายกันไปข้างเลยว่างั้นดิ!”

    ฉันได้แต่แอบหัวเราะเล็กๆกับคำบ่นของคุณแฟน... แบคฮยอนนั่นแหละค่ะ ก็ตั้งแต่คริสตัลกับคยองซูเขียนลิสท์รายชื่อเพลงยื่นให้คุณนักร้องนำ เจ้าตัวก็บ่นหงุงงิงมาตลอดจนจะถึงหน้าประตูโรงเรียนอยู่แล้วก็ยังไม่หยุด

    เรื่องบ่นกับเรื่องเกรียนนี่ขอให้บอกเลย บยอนแบคฮยอนคนนี้แหละเป็นที่หนึ่ง

    “น่ารำคาญน่า เลิกบ่นซักที ถ้ายังบ่นไม่หยุดฉันจะให้จงแดร้องนำแทนนายนะ” ฉันแกล้งดุหมอนั่น แล้วก็ทันที ริมฝีปากบางๆของแบคฮยอนเบะคว่ำ หางตาก็ตกเป็นลูกหมาโดนทิ้ง ทำหน้าตูมจนน่าหมั่นเขี้ยว และด้วยประการทั้งปวงนั่นแหละ ฉันเลยเอิ้อมมือไปบีบจมูกเขาเบาๆทีนึง

    “โอ๊ย! เจ็บนะๆ” หมอนั่นทำเป็นเอามือกุมจมูก โอเวอร์แอคติ้งแล้วก็ขมวดคิ้วสาวเท้ายาวๆมาดักหน้าฉันไว้ “รับผิดชอบเลย หอมแก้มฉันซะดีๆ” อีตาบ้านั่นทำแก้มป่องแล้วยื่นหน้ามาใกล้จนหัวใจฉันแทบระเบิด เล่นอะไรของเค้าเนี่ย!

    “โห ให้มันน้อยๆหน่อยเหอะ ไมได้อยู่กันแค่สองคนนะได้ข่าว” เสียงของชานยอลที่ตะโกนไล่หลังมาทำเอาฉันตัดสินใจยกเท้ายันแบคฮยอนลงไปนอนกองกับพื้นอย่างไม่ลังเล ถ้าจะงอนกันก็เดี๋ยวค่อยง้อทีหลังนะ ตอนนี้เค้าเขินอ้ะ

    แต่อย่าหาว่าเยอะเลย... ซอลลี่กับชานยอลก็เดินควงแขนกันมา คริสตัลกับคยองซูก็แชร์หูฟังกันคนละข้าง ส่วนจงแดเนี่ย ก้มหน้าก้มตาแชทแล้วก็หัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว คุยกับจียองแหงแซะ

    เออ... เอาเข้าไป แต่ละคน -*-

    “ยัยเอ๋อ! ถีบมาได้ คนนะเฟ้ยไม่ใช่จักรยาน เจ็บชิบเป้ง” แบคฮยอนลุกขึ้นบ่นกระปอดกระแปดพลางปัดๆตามเนื้อตามตัว แล้วก็ตั้งท่าจะเดินหนีฉันไปซะดื้อๆ

    อาการแบบนี้งอนแน่นอน =__= งานงอกแล้วมั้ยล่ะ

    “เดี๋ยวสิ! แบคฮยอนอา อ๊ะ!” ฉันร้องขึ้นมาเมื่อจู่ๆไอ้ลูกหมาตรงหน้าก็หยุดฝีเท้ากะทันหัน เล่นเอาหน้าผากฉันชนกะท้ายทอยหมอนั่นเต็มๆ อะไรของเค้ากันนะ! แล้วนี่มาหยุดยืนตัวแข็งทำไม ไม่เห็นจะเข้าใจเลย!

    “หวัดดี แบคฮยอนนี่ ^^” เสียงทักพร้อมสำเนียงแปร่งๆที่ดังขึ้นนั่นคุ้นๆแฮะ ยังไม่ทันที่ฉันจะโผล่หน้าออกไปดูว่าเป็นใคร คุณแฟนจอมเกรียนก็เหมือนจะได้สติขึ้นมาซะก่อน

    “เหวอ! อย่าเข้ามาใกล้ผมนะ!” หมอนั่นวิ่งมาหลบหลังฉันชี้ปลายนิ้วสั่นเทาไปยังร่างสูงๆที่ยืนอยู่หน้าประตูโรงเรียนด้วยอาการหวาดกลัวสุดขีด

    “สวัสดีค่ะ พี่หมอคริส” ฉันก้มหัวทักทายตามมารยาท แล้วพี่หมอก็ยิ้มตอบอย่างอารมณ์ดี

    “...ผ...ผมมีแฟนแล้วนะ! ผมไม่ชอบผู้ชายด้วย! นี่ถอยไปเลยสามสิบก้าว ไม่งั้นผมฟ้องพี่ชายจริงๆด้วย T^T” น้ำเสียงละล่ำละลักของแบคฮยอนที่พูดออกมาทำเอาพี่หมอแทบลงไปขำกลิ้งกับพื้น ส่วนฉันกับคนที่เหลือเนี่ยหัวเราะกันตัวงอ

    อีตาบื้อนี่ยังไม่รู้ความจริงสินะ

    หมอคริสก็แค่แกล้งเป็นเกย์หลอกนายเท่านั้นแหละ ตาซื่อบื้อเอ๊ย!

     

     

    “โด่ แล้วก็ไม่มีใครบอก พี่เองก็เล่นซะเนียนเลยนะครับ” ผมทำปากยื่นชันเข่าขึ้นมาข้างนึงแล้วซัดโคล่ารวดเดียวหมดแก้วเป็นการย้อมใจ ฮึ! ที่แท้ทุกคนก็หลอกเค้า!

    “ก็ใครใช้ให้นายโง่เองล่ะ ช่วยไม่ได้” ซูจีลอยหน้าลอยตาด่าผมอย่างอารมณ์ดี เฮ้ยนี่แฟนนะเนี่ย แฟนอ่ะแฟน T^T ทำไมถึงได้ไปเข้าข้างคนอื่นล่ะ! ใช่ซี้ พี่หมอคริสเค้าหล่อชนิดเบ้าหน้าเป๊ะกว่าไอดอล ไหล่กว้างมีกล้ามเล็กๆตามประสาคนมีตังค์เข้าฟิตเนสทุกวัน แถมยังสูงชะลูดเกินความจำเป็น หัวก็ดี พูดได้คล่องปรื๋อตั้งสี่ภาษาอีกตะหาก เอ๊อ! ฟ้ามันไม่ยุติธรรม! ลำเอียงสุดๆอ่ะ!

    “ช่วยเลิกบ่นแล้วมาเลือกท่อนร้องของนายซักทีได้ไหม?” คยองซูเอื้อมมือมาตบหัวผมทีหนึ่งโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นจากเนื้อเพลงที่วางกองเต็มโต๊ะ ครืสตัลก็หันไปหัวเราะคิกคักกับซูจี เดี๋ยวคืนนี้พ่อจะถีบโดคยองซูตกเตียงมันซะเลย -*-

    วันนี้คยองซูตามมานอนบ้านผมเพื่อสรุปเรื่องเพลงกับท่อนร้องครับ มีคริสตัลติดสอยห้อยตามมานอนกับซูจีด้วยเพราะยัยนี่เองก็เป็นเสียงหลักฝ่ายหญิงของวง ถึงปกติคริสตัลจะไม่ค่อยร้องเท่าไหร่แต่ยอมรับเลยครับว่าเสียงเค้าก็ดีพอตัวอยู่นะ ถ้าเป็นงานทั่วๆไปผมก็จะฟาดร้องคนเดียวเกือบทุกเพลง แต่งานที่ต้องเล่นยาวๆทั้งคืนแบบนี้ไม่ว่ายังไงก็ต้องแบ่งสลับให้คนอื่นร้องด้วย ไม่งั้นต่อให้คนดูไม่เบื่อตาย แต่ผมนี่แหละที่จะคอพังซะก่อนงานจบ =__=

    ส่วนคุณพี่คริสที่มานั่งร่วมวงอยู่ด้วยเนี่ย เพราะเจ้าตัวแวะมาหาพี่ชายผมครับ กะเซอร์ไพรส์ แต่หารู้ไม่ว่าพลาด เพราะพี่ชายพาพี่ซันนี่หนีร้อนไปเที่ยวเกาะเชจูยาวๆหนึ่งอาทิตย์ แต่ไหนๆก็มาแล้ว ผมก็เลยชวนพี่เค้านั่งเมาท์ด้วยกันซะเลย เพิ่งรู้ว่าพี่หมอคริสเป็นรุ่นพี่โรงเรียนเดียวกับผมนะครับนี่

    “ว่าแต่งานเลี้ยงรุ่นนี่ พี่หมอคริสไปด้วยกันมั้ยคะ?” คริสตัลเอ่ยคำถามทั้งๆที่ยังก้มหน้าง่วนใช้ปากกาไฮไลท์ขีดบรรทัดที่ตัวเองต้องร้องอยู่

    “อืม... พี่มีคนที่อยากเจออยู่น่ะ...” พี่หมอตอบพร้อมรอยยิ้มจางๆ กับน้ำเสียงอบอุ่นที่ทำให้คยองซูเงยหน้าจากกระดาษขึ้นมามองด้วยความสงสัย

    “แน่ะๆ มีความหลังฝังใจอะไรรึเปล่า.... คืนนี้ยังอีกยาวนะพี่ สนใจเล่าให้รุ่นน้องฟังมั่งมั้ย?” ผมเอ่ยปากแซวแถมยังรินโคล่าเติมลงไปในแก้วพี่หมอประหนึ่งเป็นเหล้าย้อมใจ แหม ก็พวกเรายังเป็นเด็กนักเรียนกันอยู่เลยนะครับ ผมเป็นเด็กดี ผมไม่ดื่มหรอก

    “...อยากฟังเหรอ?” พี่หมอถามพร้อมรอยยิ้ม ประเด็นคือจะถามไปเพื่อ? ในเมื่อไอ้ที่นั่งรอบโต๊ะสลอนอยู่นี่พากันทำตาแป๋วหูตั้งหางกระดิก พร้อมจะฟังกันเป็นแถว

    พี่หมอถอนหายใจก่อนจะหยิบแก้วโคล่าขึ้นมาจิบเล็กๆ รอยยิ้มอบอุ่นที่ระบายอยู่บนใบหน้ายังไม่จางหายไป แล้วก็ยอมเปิดปากพูดขึ้นมาในที่สุด

    “เรื่องราวของพี่มันเริ่มขึ้นในฤดูร้อน ช่วงไฮสคูลปีสอง...”

    ..................................................................................

    ...............................................................

    ......................................

    ..................

    .........

    ...

    .
     

    “นี่คือนักเรียนแลกเปลี่ยนของเราในเทอมนี้ ชื่อว่าอู๋อี้ฟาน เขาจะมาเป็นเพื่อนร่วมห้องของพวกเธอตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป”

    เสียงอาจารย์ประจำชั้นพูดขึ้นข้างตัวผม ทุกสายตาในห้องจับจ้องมาจนผมรู้สึกว่าร่างสูงๆเกือบร้อยเก้าสิบของตัวเองหดเล็กลงไปถนัดตา ไม่ชินกับการตกเป็นเป้าสายตาเลยแฮะ... ผมได้แต่ขยับยิ้มน้อยๆ ให้เพื่อนร่วมชั้นที่ต้องเรียนด้วยกันไปอีกหนึ่งปีเต็ม ก่อนจะโค้งหัวให้อาจารย์หญิงวัยกลางคนตามมารยาท อาจารย์ชี้บอกให้ผมเข้าไปนั่งได้... เหลือโต๊ะตัวเดียวที่ยังว่างอยู่ ผมสาวเท้าตรงไปอย่างไม่เร่งรีบ แอบมองเพื่อนร่วมโต๊ะที่ต้องนั่งติดกัน

    เรือนผมสียาวดำสนิทไล่เลื้อยเต็มแผ่นหลังบอบบาง แขนเล็กๆทั้งสองข้างวางอยู่บนโต๊ะต่างหมอน เธอหน้าตาเป็นแบบไหนก็ไม่รู้... ก็เจ้าตัวยังฟุบหลับอยู่นี่นา... ผมแอบเห็นสายหูฟังสีขาวโผล่ออกมาจากกลุ่มผมสีดำสนิทนั่นด้วย

    ดูเหมือนเสียงเลื่อนเก้าอี้จะทำให้คนข้างๆผมตื่น ไหล่บางยกขึ้นน้อยๆก่อนที่ใบหน้าสวยหวานจะเงยขึ้นมาพร้อมเหยียดแขนไปข้างหน้าจนสุดโต๊ะเพื่อไล่ความเมื่อยขบ เปลือกตาค่อยๆปรือเปิดแช่มช้าเผยให้เห็นนัยน์ตาสีดำสนิทกลมโต แล้วเธอคนนั้นก็หันมาระบายรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าโดยที่ไม่มีท่าทางประหลาดใจเลยสักนิด

    “ยินดีที่ได้รู้จักนะ ฉันชื่ออิมยุนอา เทอมนี้ก็ฝากตัวด้วย”

    ตั้งแต่วินาทีนั้นแหละ... วินาทีที่ได้เห็นรอยยิ้มสดใสแบบนั้นของ 'อิมยุนอา'

    ...ผมก็บอกกับตัวเองในใจทันทีว่า ผมอยากจะรับฝากทั้งตัวและหัวใจ...

     

     

    “อี่ฝาน...”

    “ไม่ใช่ๆ”

    “อีฟ่าน”

    “ผิดอีกแล้ว”

    “อี๋ฟ้าน”

    “ก็ยังผิดอยู่ดี”

    “โอ๊ย! ไม่เรียกนายแล้ว!” ยุนอาสะบัดหน้าเสมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างหงุดหงิด ส่วนผมก็ได้แต่กลั้นหัวเราะ

    ผ่านมาอาทิตย์นึง ผมกับยุนอาคลิกกันเร็วมาก ถึงภาษาเกาหลีของผมจะยังไม่แข็งแรงเท่าไหร่ แต่คนใจร้อนก็ยอมอดทน เลือกใช้แต่คำง่ายๆ พยายามพูดช้าๆ ให้ผมฟังทัน คอยแก้ทุกคำที่ผมพูดไม่ถูก นอกจากนั้นงานอดิเรกหลายอย่างของเรายังคล้ายกันอย่างไม่น่าเชื่อ ผมสมัครเข้าทีมบาสชายเพราะเคยเล่นเป็นกัปตันทีมมาก่อนสมัยอยู่จีน ส่วนยุนอาก็เป็นเอซทีมบาสหญิงของโรงเรียน เราชอบฟังเพลงแนวเดียวกัน ชอบเล่นมุกตลกโปกฮาที่คนอื่นไม่ขำ แถมอาหารโปรดของเราสองคนยังเป็นคิมบับเหมือนกันด้วย

    ข้อเสียอย่างเดียวของอิมยุนอาคือ เธอเรียกชื่อผมไม่ถูกซะที แล้วก็จะบ่นงุ้งงิ้งง้องแง้งตลอดว่าชื่อจีนผมมันเรียกยาก ยัยตัวยุ่งพยายามหัดออกเสียงวันละหลายๆครั้ง สุดท้ายก็ล้มเลิกความตั้งใจ แล้วก็เรียกผมสั้นๆแค่ว่า 'นาย'

    “นี่... นายไม่คิดจะมีชื่ออื่นที่เรียกง่ายกว่านี้หน่อยเหรอ?”

    ผมยิ้มกับคำถามของคนตรงหน้า ไอ้มีน่ะมันมี... แต่เพราะเวลายุนอาเรียกผมผิดๆถูกๆแบบนี้แล้วมันน่ารักมากต่างหากล่ะ

    “เรียกว่าคริสก็ได้ สมัยอยู่แคนาดา เพื่อนๆก็เรียกฉันว่าคริส” ผมตอบออกไปในที่สุด แล้วก็ได้รอยยิ้มกว้างของคนน่ารักมาเป็นรางวัล

    “งั้นต่อจากนี้ฉันจะเรียกนายว่าคริสนะ”

    “สองคนนั้นคุยอะไรกันน่ะ! ออกไปยืนหน้าห้องเดี๋ยวนี้!” เสียงอาจารย์สุดโหดดังขึ้นก่อนที่ชอล์กสีขาวจะลอยมากระแทกหน้าผากผมเต็มๆ เล่นเอาเพื่อนๆในห้องฮาครืน ผมได้แต่ลูบหัวป้อยๆ หันไปมองยุนอาที่ยิ้มแหยๆ แล้วเราสองคนก็เดินไปยืนยกมือตรงระเบียงนอกห้องกันสองคน

    “อาจารย์ปาแม่นชะมัด” ยุนอาพูดขึ้นมา รอยยิ้มอารมณ์ดียังคงฉาบอยู่บนเรียวปากสีชมพูอิ่มขัดกับความจริงที่ว่าเรากำลังโดนทำโทษ

    “เพราะฉันสูงต่างหาก”

    “นายหน้าบานไง เลยปาโดนง่าย”

    “โหย หน้าผากเธอก็กว้างไม่ใช่น้อยนะ ทำมาเป็นพูด”

    “อู๋อี้ฟาน! อิมยุนอา! ถ้ายังไม่เงียบฉันจะสั่งให้พวกเธอไปวิ่งรอบสนามคนละสามรอบ!” อาจารย์เปิดประตูห้องออกมาคาดโทษเพิ่ม พวกเราเลยเลิกเถียงกันโดยปริยาย แต่ก็แค่ครู่เดียว

    หางตาผมเหลือบไปเห็นไหล่บางสั่นเทิ้ม ก่อนจะยกมือปิดปากกลั้นเสียงหัวเราะอย่างสุดจะทน ส่วนผมก็บังคับโหนกแก้มตัวเองไม่ได้อีกต่อไป

    เราสองคนยืนกลั้นหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็งท่ามกลางความเงียบงัน...

     

     

    “โฮ้ย! เหนื่อยชะมัด!”

    อิมยุนอานอนแผ่กลางโรงยิมอย่างไม่แคร์สายตาใคร เหงื่อเม็ดเล็กๆผุดขึ้นบนใบหน้าเนียนใสเพราะเจ้าตัวเพิ่งออกกำลังเล่นบาสกับผมมาร่วมๆสองชั่วโมง เห็นตัวบางๆ ใครจะไปรู้ว่าอิมยุนอาถึกอึดทนจนไม่น่าเชื่อ

    “ไปอาบน้ำได้แล้วเร็ว นอนลงไปยังงั้นสกปรกตายชัก” ผมบอก ก่อนจะหันไปมองใบหน้าหวานที่ตูมลงอย่างขัดใจ

    ผมหัวเราะให้กับความเป็นเด็กของคนข้างๆก่อนจะลุกขึ้นยืนกอดอก ทำท่าดุ

    “อิมยุนอา ถ้าชักช้าฉันไม่เลี้ยงไอติมนะ?”

    “รู้แล้วๆ” เจ้าตัวบ่นกระเง้ากระงอด แต่ก็ยังไม่ขยับ ระหว่างที่ผมกำลังนับหนึ่งถึงสิบในใจ แขนบางๆก็ยกขึ้นส่งมือมาให้

    “ช่วยหน่อยสิ เหนื่อยจนลุกไม่ขึ้นแล้ว”

    ผมส่ายหน้าขำๆ เอื้อมไปจับมือเรียวสวยที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นของนักกีฬาบาสโรงเรียนแล้วออกแรงดึง ยุนอาคงหมดแรงจริงๆ หรือไม่งั้นยัยตัวยุ่งก็คงจะผอมเกินไปมาก ร่างบางๆของเธอถึงได้ลอยตามแรงของผมยังกับปลิวได้ แก้มชมพูเรื่อที่เกิดจากความเหนื่อยซบลงบนแผ่นอกของผมโดยไม่ตั้งใจ

    ...จะได้ยิน...เสียงหัวใจเต้นมั้ยนะ?

    โหย เหม็นเหงื่อชะมัด!” มือบางๆผลักผมออกด้วยเรี่ยวแรงที่ไม่ได้มากมายอะไรเลย แล้วเจ้าตัวก็ก้มหน้างุดๆวิ่งเข้าห้องพักนักกีฬาเพื่อไปอาบน้ำ

    ทิ้งให้ผมยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น

    พร้อมกับหัวใจที่เต้นระรัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน...

     

     

    ว่าไงคริส วันนี้ฝาแฝดนายไม่มาเหรอ?”

    น้ำเสียงนุ่มทุ้มของพี่คยูฮยอนดังขึ้นทันทีที่ผมก้าวเข้ามาในห้องประชุมคณะกรรมการนักเรียน

    “ฝาแฝด?” ผมเลิกคิ้วมองรุ่นพี่ประธานนักเรียนอย่างไม่เข้าใจ ไม่ใช่ไม่รู้ความหมาย แต่ผมแค่นึกไม่ออกว่าใครกันที่พี่เค้าหมายถึง

    “หมายถึงยุนอาน่ะ เห็นตัวติดกันตลอด ทำอะไรก็ทำด้วยกันนี่นา พี่ก็แค่แปลกใจว่าทำไมวันนี้ถึงได้ปล่อยนายมาคนเดียว”

    “ก็พี่เรียกประชุมแค่นักเรียนแลกเปลี่ยนไม่ใช่เหรอครับ? ยัยนั่นก็เลยไปวอร์มร่างกายรอผมที่สนามบาสแล้ว” ผมตอบออกไปพลางถือวิสาสะนั่งลงข้างเพื่อนชาวจีนอีกคนที่เดินทางมาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนพร้อมกัน ลู่หานยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตรถึงแม้เราจะเรียนกันคนละห้อง แต่ก็ได้คุยกันบ่อยพอสมควรเพราะเข้าโครงการแลกเปลี่ยนรุ่นเดียวกัน แถมยังอายุเท่ากันด้วย

    “อื้อ ก็สำหรับพวกนายสองคน อาจารย์ให้พี่เป็นธุระช่วยจัดการเรื่องย้ายกลับน่ะ อีกไม่นานก็หมดเทอมแล้วนะ พวกนายต้องตัดสินใจว่าจะอยู่เรียนที่นี่ต่อจนจบไฮสคูลหรือจะกลับไปจีน”

    “ผมคงกลับไปที่นู่นน่ะครับ” ลู่หานเอ่ยออกมาอย่างไม่ลังเล พี่คยูฮยอนพยักหน้ารับ

    “แล้วนายล่ะคริส?”

    ผมชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง... พ่อกับแม่คงอยากให้ผมกลับไป อันที่จริงพวกท่านอยากให้ผมลาออกแล้วย้ายกลับไปเรียนที่แคนาดาด้วยซ้ำ ที่เกาหลีนี่ผมไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน อาศัยอยู่ตัวคนเดียวในหอพักที่ทางโรงเรียนจัดให้ ถึงจะไม่ได้ลำบากอะไรมากมาย เรื่องวัฒนธรรมกับภาษาก็เริ่มจะชินซะแล้ว แต่หัวใจมันก็อดหน่วงเล็กๆไม่ได้เมื่อเอ่ยคำตอบ

    “ผม... จะอยู่ต่อจนจบปีสามครับ”

    ผมพูดออกไปในที่สุด คิดว่าคืนนี้คงต้องโทรข้ามประเทศกลับไปคุยกับแม่ยาวยันเช้า

    พี่คยูฮยอนบอกว่าจะจัดการทำเรื่องให้เราสองคน ถ้าหากมีอะไรก็ปรึกษาได้ตลอดเวลา หลังจากนั้นก็ยื่นเอกสารคำร้องขอโอนหน่วยกิตมาให้ผมยังกับรู้คำตอบไว้แล้วล่วงหน้า เราสองคนโค้งลงแทนคำขอบคุณและคำลาก่อนจะเปิดประตูออกมาอย่างเงียบเชียบ

    “นายเนี่ย... กะไว้แล้วไม่มีผิด” ลู่หานยิ้มเผล่ทันทีที่เราสองคนเดินออกมาจากห้อง เขาพูดด้วยภาษาจีนที่เราสองคนคุ้นเคย

    “หมายถึงอะไร?”

    “ก็กะไว้แล้วว่านายคงอยู่ต่อ

    “แค่ไม่อยากเสียเวลากลับไปเรียนซ้ำชั้นน่ะ”

    ผมตอบไปแบบนั้นทั้งๆที่ก็รู้อยู่แก่ใจดีว่ามันฟังไม่ขึ้นเท่าไหร่ สำหรับนักเรียนเกาหลีที่ไปเรียนแลกเปลี่ยนแล้วกลับมา ทางโรงเรียนมักจะบังคับให้เรียนซ้ำชั้นเดิมอีกรอบ แต่โรงเรียนที่จีนไม่ค่อยมีปัญหานั้น เพราะพวกนักเรียนแลกเปลี่ยนขอสอบเลื่อนชั้นได้เลย หรือไม่ก็แค่ขยันเรียนหน่อยแล้วเอาหน่วยกิตกับเกรดไปยื่นขอเลื่อนชั้นก็ได้ ไม่ว่ายังไง การกลับไปทางนู้นก็เป็นทางเลือกที่ง่ายกว่าการโอนหน่วยกิตข้ามประเทศมาทางนี้เห็นๆ

    “ติดใจเข้าแล้วใช่มั้ยล่ะ?” ลู่หานพูดกลั้วหัวเราะ ทำสายตารู้ทันมองมาทางผม ก่อนจะพยักเพยิดไปหน้าโรงยิมที่มีร่างคุ้นตายืนพิงกำแพงใช้ปลายเท้าเขี่ยต้นหญ้าเล่นอยู่

    “พูดมากน่า” ผมเลี่ยงไม่ตอบ ก่อนจะเดินนำเข้าไปหายุนอาที่ยังคงไม่รู้ตัวว่าผมมาแล้วจนกระทั่งเอ่ยทักออกไป

    “ยังไม่ไปวอร์มร่างกายรออีกเหรอ?”

    ยุนอาค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองผม ดวงตากลมโตมีแววคล้ายกังวลอะไรบางอย่าง แต่พอเห็นลู่หานที่อยู่ข้างหลังก็ระบายยิ้มให้

    “ฉันมาส่งนายแค่นี้แหละอี้ฟาน ไปแล้วนะ บ๊ายบายยุนอา” เพื่อนชาวจีนของผมเปลี่ยนมาพูดเกาหลีในประโยคสุดท้ายก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปอีกทาง ยุนอาโบกมือส่งให้หมอนั่นก่อนจะหันกลับมามองผมตาแป๋ว แต่ไม่ยอมพูดอะไร

    “ทำไม? มีอะไรจะถามรึเปล่า?” ผมเลิกคิ้วถาม ประหลาดใจเล็กๆกับท่าทางแบบนี้ ร้อยวันพันปีคนอย่างอิมยุนอาคิดอะไรก็พูดออกมาหมด โผงผางชนิดที่ผู้ชายหลายๆคนต้องขยาด ถึงหน้าตาจะสวยน่ารักจนถึงขั้นมีแฟนคลับหนาปึ้กในโรงเรียน แต่ด้วยนิสัยเหวี่ยง ซน และห้าวจัดของเจ้าตัว หนุ่มที่มาจีบไม่วาากี่รายต่อกี่รายก็เปิดแน่บไปแทบไม่ทัน

    “ประชุมเป็นไงบ้าง?” เจ้าตัวถามออกมาในที่สุด ยังไม่มีที่ท่าจะเข้าไปเปลี่ยนชุดแต่อย่างใด

    “ก็ดี” ผมตอบเรียบๆ เดินนำไปก่อนจนคนตามหลังรีบสาวเท้าขึ้นมาเดินตีคู่

    “แค่นั้นน่ะนะ?”

    “นี่ยังจะเล่นอยู่รึเปล่าเนี่ย ถ้าไม่เล่นก็จะกลับแล้วนะ” ผมถามออกไป มองท่าทีฮึดฮัดขัดใจของยุนอาอย่างขำๆ

    “ไม่ล่งไม่เล่นมันแล้ว!” นั่นไง สุดท้ายก็เหวี่ยงจนได้ ผมส่ายหน้าช้าๆกับอาการไม่พอใจของยัยตัวยุ่งที่เดินดุ่มๆออกจากโรงยิมไปจนทุกคนงงเป็นไก่ตาแตก แต่แค่ผมสาวเท้ายาวๆไม่กี่ก้าวก็ตามร่างบางๆทัน

    “นายจะกลับแล้วไม่ใช่เหรอ ปล่อยสิ” เสียงหวานเอ่ยโดยไม่มองหน้าผมด้วยซ้ำ

    “อื้ม ก็จะกลับแล้ว แต่ว่าจะชวนไปกินไอติมก่อน”

    “ฉันไม่ได้หมายถึงกลับบ้าน...” ยุนอาพูดออกมา บิดข้อมือออกจากการเกาะกุมของผมได้ในที่สุด

    “อ๋อ... ถ้าเรื่องนั้น...” ผมพูดขึ้นมา ลอบมองใบหน้าที่ก้มงุดๆนั่นก่อนจะเอ่ยต่อ “เธอคงต้องทนเบื่อขี้หน้าฉันต่อไปอีกหน่อยล่ะนะ เพราะฉันตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่ต่อที่นี่จนจบไฮสคูล”

    อิมยุนอาเงยหน้าขึ้นมองผมในทันที ริมฝีปากบางแย้มรอยยิ้มกว้างแม้ดวงตาติดจะช้ำๆไปสักหน่อย

    ...คงคิดว่าผมจะกลับไปสินะ...

    ผมจะกลับได้ยังไงกันล่ะ

    ในเมื่อเหตุผลที่ทำให้ผมอยากอยู่ต่อ ยืนยิ้มกว้างอยู่ตรงนี้ทั้งคน...

     

     

    “ลู่หาน อย่าลืมติดต่อมาบ้างนะ”

    “อื้ม แน่นอน”

    “ที่จีนเล่นคาคาโอได้ไหม? ฉันอยากแชทกับนาย”

    “ไม่รู้เหมือนกัน แต่สไกป์อ่ะได้แน่ๆ”

    “ดีเลย งั้นพวกเราจะไปสมัครไว้นะ ถ้าคิดถึงจะได้คุยกันได้”

    “พวกเราคงคิดถึงนายแย่...”

    “พูดอะไรน่ะ... ฉันต่างหาก กลับจีนไปแล้วคงเหงาที่ไม่ได้เล่นกับพวกนาย”

    ผมยืนมองภาพลู่หานกำลังหัวเราะพูดคุยกับเพื่อนร่วมห้องอย่างสนิทสนมอยู่ตรงสนามหญ้าข้างลานกีฬากลางแจ้ง เผลอแป๊บเดียววันปิดภาคเรียนปีสองก็มาถึง และนี่ก็เป็นวันสุดท้ายของลู่หานที่โรงเรียน หมอนี่เป็นคนใจดี คอยช่วยเหลือคนอื่นอยู่เสมอ เลยทำให้เพื่อนๆติดแจ ถึงกับมีกลุ่มเด็กผู้หญิงร้องไห้ที่รู้ว่าลู่หานต้องกลับไป

    “อยู่ทางนี้ก็ดูแลตัวเองดีๆกันทุกคนเลยนะ ไว้เรียนจบเมื่อไหร่ฉันจะทำงานเก็บเงินแล้วบินกลับมาเจอพวกนายในวันงานเลี้ยงรุ่นฤดูร้อน” หมอนั่นพูดพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ถึงตรงนี้เพื่อนผู้ชายบางคนก็เขื่อนแตก กลั้นน้ำตาไม่อยู่ แต่เจ้าตัวกลับหัวเราะ บอกว่าอยากเห็นแต่รอยยิ้มของเพื่อนๆมากกว่า ทุกคนเลยได้แต่กลั้นน้ำตาเอาไว้แล้วชวนกันถ่ายรูป

    “อี้ฟานๆ ถ่ายให้หน่อยสิ” ลู่หานเรียกผม ยื่นกล้องดิจิตอลตัวเล็กๆให้ แล้วเข้าตัวก็วิ่งกลับไปรวมกับเพื่อนๆในห้องกว่าสามสิบชีวิต ผมต้องถอยออกมาสองสามก้าวกว่าจะเก็บทุกคนได้ครบ แล้วก็นับถอยหลังก่อนจะกดชัตเตอร์ ภาพเล็กๆที่อยู่ในกล้องแสดงให้เห็นว่าลู่หานเป็นที่รักของเพื่อนๆมากขนาดไหน

    “นายไม่เข้าไปถ่ายด้วยล่ะ?” คนข้างตัวผมทักขึ้นมา ยุนอาพอจะรู้จักลู่หานอยู่บ้างเพราะผม แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นสนิทมากมายอะไร เพราะเรียนกันคนละห้องตลอดสองเทอมที่ผ่านมา

    “ไม่เอาหรอก มีแต่เพื่อนๆในห้องของลู่หานทั้งนั้น ฉันไม่รู้จักใครเลยนอกจากหมอนั่น”

    “แล้วมายืนส่งเค้าทำไมกันล่ะ?”

    “ก็ต้องนัดเวลาไปส่งที่สนามบินวันมะรืนน่ะสิ ฉันฝากหมอนั่นส่งของกลับไปให้ญาติๆที่จีนเยอะแยะ ถ้าไม่ไปส่งก็ดูจะใจดำเกินไปหน่อย” ยุนอาหัวเราะกับคำพูดร้ายๆของผม ระหว่างที่คนโดนนินทาวิ่งเข้ามาใกล้

    “นี่ๆ ถ่ายรูปกันเถอะ” ลู่หานเข้ามาแทรกระหว่างผมกับยุนอา ยืดกล้องในมือจนสุดแล้วทำแก้มป่อง เราสองคนรีบขยับเข้ามาในเฟรมแล้วหมอนั่นก็กดชัตเตอร์จนได้ยินเสียงดังแชะเบาๆ

    ยุนอาชะโงกหน้าเข้าไปดูรูปในกล้องอย่างสนอกสนใจ ส่งยิ้มน่ารักไปให้ลู่หานจนผมรู้สึกตงิดเล็กๆ เหมือนเพื่อนผมจะอ่านสีหน้าออก จู่ๆหมอนั่นก็ดึงผมมายืนข้างๆยัยตัวยุ่ง

    “ขอถ่ายรูปนายสองคนหน่อยนะ อยากเก็บรูปเพื่อนๆไว้ทุกคนเลย”

    ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่า แต่ยุนอาเหมือนจะหน้าแดงนิดหน่อย ถึงยังงั้นก็ยอมขยับเข้ามายืนใกล้จนไหล่ชนกัน

    “ชิดๆกว่านี้หน่อยสิ”

    เจอคำสั่งของลู่หานมาแบบนั้นผมก็ได้แต่นิ่งไป นึกงงว่านี่ยังยืนชิดกันไม่พออีกเหรอ ยังไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยออกไปอย่างใจคิด ยุนอากลับจับมือผมพาดข้ามไหล่ตัวเองแล้ววางลงบนบ่าเล็กๆ

    หัวใจเต้นตึกตักจนจะระเบิด

    ยิ่งเห็นรอยยิ้มเขินๆของคนตัวเล็กด้วยแล้ว ผมก็ยิ่งไม่รู้จะทำสีหน้ายังไง ไม่รู้จะต้องมองไปทางไหน ลืมกระทั่งว่ามีกล้องอยู่ตรงหน้า

    “ขอบใจนะ” เสียงของลู่หานทำให้ผมหลุดจากภวังค์ หมอนั่นหันไปคุยกับยุนอาอีกสองสามคำก่อนที่ยัยตัวยุ่งจะขอตัวไปซื้อน้ำแล้ววิ่งหายไป เท่านั้นแหละเพื่อนตัวดีก็เดินมากระทุ้งศอกใส่เบาๆ แล้วพูดเป็นภาษาจีนที่เข้าใจกันอยู่แค่สองคน

    “ไว้เดี๋ยวมะรืนนี้จะเอารูปที่อัดแล้วมาให้นะ นายน่ะมองซะตาเชื่อมเชียวล่ะ”

    “อะไรของนายเล่า”

    “ยอมรับเถอะน่า... เวลาของนายเหลือน้อยลงทุกทีแล้ว คิดอะไร รู้สึกยังไงก็ควรจะพูดๆออกไปซะ”

    ผมถอนหายใจกับคำพูดแก่แดดแก่ลมของเพื่อนตัวดี

    “เดี๋ยวฉันไปรับนายที่หอพักตอนสิบโมงแล้วกัน... อัดรูปมาสองใบล่ะ จะได้ให้ยุนอาไว้ด้วย”

    ลู่หานส่ายหน้าเบาๆกับท่าทางแข็งที่อของผม ก่อนจะพยักหน้ารับเล็กๆแล้วก็เดินจากไปหากลุ่มเพื่อนของตัวเอง

    ผมถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

    ถ้าผมจะสามารถพูดมันออกไปได้ง่ายขนาดนั้นก็ดีน่ะสิ...


     

    “นี่คริส นายพอเล่นกีตาร์ได้ใช่ไหม? ช่วยมาเล่นให้วงฉันหน่อยสิ พอดีจงฮยอนมือเจ็บน่ะ”

    เจอคำขอร้องของเพื่อนเข้าไป ผมก็ปฏิเสธไม่ถูก ลงท้ายก็ต้องไปยืมกีตาร์จากมือกีตาร์ตัวจริงมาเกาเล่นๆเป็นการรื้อฟื้นวิชาและฝึกซ้อมสำหรับงานเลี้ยงรุ่นในปีนี้ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้อยู่ชมรมดนตรี แล้วก็ไม่ได้มีชื่ออยู่ในโผคณะกรรมการนักเรียนกับเขาสักนิด

    แต่ก็ถือเป็นการช่วยคนข้างๆไปด้วยในตัว เพราะตั้งแต่ขึ้นปีสามมา ยุนอาก็โดนแจ็กพอตจับยัดลงตำแหน่งคณะกรรมการนักเรียนฝ่ายสันทนาการเอาดื้อๆ ปีสามนี่เรียนก็หนัก ไหนยังต้องคอยช่วยอธิบายเลคเชอร์ให้ผม เวลาว่างที่มีน้อยนิดก็เอาไปทุ่มกับการซ้อมบาส บางวันที่ยุ่งมากจริงๆผมแทบไม่เห็นหน้ายุนอาเลยด้วยซ้ำ

    ถ้าไม่รับงานนี้คงหนีไม่พ้นประธานชมรมดนตรีวิ่งไปฟ้องยุนอา ให้เจ้าตัวมีเรื่องปวดหัวเพิ่มมาอีกเรื่องสองเรื่อง

    “ฉันได้ยินชานซองบอกว่านายจะไปเล่นกีตาร์แทนอีจงฮยอนห้องสามเหรอ?” ยัยตัวยุ่งทรุดตัวลงนั่งข้างผมหลังจากวุ่นวายเรื่องการจัดงานทั้งเช้าจนต้องโดดเรียนไปทั้งคาบ ผมเลื่อนกล่องข้าวกลางวันที่มีคิมบับอัดอยู่เต็มส่งให้อย่างรู้ใจ

    “อื้อ หมอนั่นซ้อมฟุตบอล รับลูกอีท่าไหนไม่รู้ข้อมือซ้น กว่าจะหายก็อีกหลายอาทิตย์น่ะ”

    “ดีแล้ว ไม่งั้นคงหนีไม่พ้นฉันอีกเรื่อง แล้วนี่ทำอะไรอยู่? ไม่กินรึไง?” ยุนอาส่งคำถามมาพร้อมกับคีบคิมบับมาจ่อตรงหน้า ผมก็อ้าปากรับข้าวห่อสาหร่ายชิ้นเบ้อเริ่มเข้าไปแบบไม่แคร์

    “เขียนอะไรยึกยืออยู่ได้” ยุนอาบ่นหลังจากที่ชะเง้อมองสิ่งที่ผมเขียนแล้วเห็นตัวอักษรภาษาอังกฤษเรียงเต็มหน้ากระดาษ แต่ก็ยังไม่วายคีบคิมบับมาป้อนตามเป็นคำที่สอง

    “เนื้อเพลงน่ะ”

    “นี่นายแต่งเพลงเหรอ?”

    “ก็... ชานซองขอให้ช่วยไง”

    ผมโกหก... ชานซองไม่ได้ขอให้ผมแต่งเพลงอะไรทั้งนั้น ผมเองต่างหากที่เป็นคนยื่นข้อเสนอ แลกเปลี่ยนกับความช่วยเหลือที่เขาต้องการ สรุปก็คือ ผมจะเล่นกีตาร์ให้โดยมีข้อแม้ว่าวงต้องเล่นเพลงที่ผมแต่งหนึ่งเพลงบนเวที

    “นี่... แต่งไว้ว่ายังไงเหรอ?” ยุนอาทำท่าสนอกสนใจขึ้นมาทันที แต่ผมกลับดันหน้าผากเหม่งๆของเธอออกไป

    “ไว้รอฟังวันงาน”

    พูดออกไปแค่นั้นแล้วก็พับกระดาษเก็บลงไปในกระเป๋า...

     

     

    “ไม่ยักรู้ว่านายเป็นมือกีตาร์?” พี่โจคยูฮยอน อดีตประธานนักเรียนที่จบไปเมื่อปีที่แล้วทักผมที่ยังคงซ้อมเล่นเพลงต่างๆอยู่หลังเวที

    “ก็แค่กีตาร์อคูสติกง่ายๆน่ะครับ ยากกว่านี้ก็เล่นไม่ได้แล้ว”

    “น้องชายพี่ก็เล่นเปียโนได้นะ ร้องเพลงเพราะด้วย ต่างกับพี่ ไม่ค่อยมีหัวด้านดนตรีเท่าไหร่”

    “แต่พี่ฉลาดนี่ครับ ได้ข่าวว่าสอบทุนไปเรียนหมอที่อเมริกาได้แล้วนี่?” ผมส่งยิ้มกลับไปให้พี่ชายคนเก่งที่ยิ้มกว้างตอบกลับมา ใครๆก็รู้ว่าประธานนักเรียนโจคยูฮยอนน่ะสุดจะเพอร์เฟคต์ ทั้งหล่อ ทั้งฉลาด นิสัยก็ดี ฐานะชาติตระกูลทางบ้านก็ไม่ได้แย่อะไร เหมือนว่าคุณอาของพี่เค้าจะทำธุรกิจอยู่ที่จีนแน่ะครับ

    “มหาลัยที่นั่นตอบรับมาแล้วน่ะ แต่ทุนที่ได้เป็นทุนโทจนจบด็อกเตอร์เลย พี่ต้องเรียนหมอทางนี้ให้จบก่อนสี่ปี แถมยังต้องฟิตเรื่องภาษาด้วย นี่ก็กะว่าจะให้นายมาช่วยติวให้ที่บ้าน ว่างไหมล่ะ?”

    “พูดไปนั่น พี่เก่งจะตายอยู่แล้ว”

    “ไม่หรอก อยากให้นายมาสอนจริงๆนะ จะได้ฝากน้องชายให้ดูแลด้วย ปีหน้าน้องชายพี่จะสอบเข้า ม.ต้นที่นี่พอดี”

    ใครๆ ก็รู้ว่าพี่คยูฮยอนทั้งรักทั้งหวงน้องชายมากขนาดไหน จำได้ว่าเคยเห็นแว้บเดียวช่วงงานเทศกาลโรงเรียน เป็นเด็กตัวเล็กๆ ขาวๆ แก้มยุ้ย ดูท่าทางซนไม่หยอก เหมือนเจ้าตัวจะเคยบอกว่าไม่ใช่น้องชายแท้ๆ แต่ก็เห็นตัวติดกันแจ

    ผมปีสามแล้วนะ น้องชายพี่เข้ามา ผมก็จบพอดี”

    “ก็ถ้านายยังอยากจะอยู่ที่นี่ต่อ...”

    ความเงียบทิ้งตัวลงกั้นกลางระหว่างพวกเราทันที โดยที่ไม่ต้องพูดอะไร เหมือนพี่คยูฮยอนจะรู้ทัน

    “บอกยุนอารึยัง?”

    ผมไม่ตอบคำถาม แต่คว้ากีตาร์เดินหนีขึ้นเวทีไปตามเสียงเรียกของจงฮยอน อดีตมือกีตาร์ที่ผันตัวมาเป็นนักร้องนำแค่อย่างเดียวเพราะมือเจ็บ เหลือบเห็นจากหางตาว่าพี่คยูฮยอนเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร เพียงแต่เดินกลับออกไปรอดูการแสดงของผมเงียบๆ

    แสงไฟสปอตไลท์ส่องลงมาจนตาพร่าไปชั่วครู่ มาอีกแล้ว...ความรู้สึกนี้... ไม่ชอบเลยที่ตัวเองเป็นจุดสนใจ แต่จุดโฟกัสก็เปลี่ยนไปอยู่ที่จงฮยอนทันทีที่เพลงเริ่มต้นขึ้น ผมยิ้มออกมาเล็กๆ เกากีตาร์ไปตามโน๊ต สายตาก็มองหาใครคนหนึ่ง

    ธีมงานวันนี้คือเฟิร์สท์เลิฟครับ เพราะงั้นทุกคนก็เลยแต่งตัวเน้นโทนสีหวานๆมากัน ภายในงานตกแต่งด้วยลูกโป่งรูปหัวใจกับริบบิ้นสีขาวและสีชมพู มีซุ้มดอกกุหลาบจัดอยู่ตรงหน้างานและรอบๆเวที ผมพยายามเพ่งมองจนในที่สุดก็เจอคนที่ผมหา

    เรือนร่างบอบบางในชุดกระโปรงสีขาวขลิบริบบิ้นสีครีมทำให้อิมยุนอาดูเปล่งประกายเหมือนนางฟ้า เรือนผมสีดำยาวสนิทถูกดัดเป็นลอนนิดๆ ริมฝีปากน่ารักแต่งแต้มด้วยสีชมพูอมส้มรับกับจมูกรั้น และดวงตาหวานฉ่ำเหมือนลูกกวาง

    โดยไม่ต้องพยายาม และไม่ต้องแต่งตัวอะไรมากมาย ยัยตัวยุ่งของผมกลับเป็นคนที่โดดเด่นที่สุด จนใครหลายๆคนต้องเหลียวหลังมามอง

    แม้แต่ผมเองยังละสายตาไปจากเธอไม่ได้เลย หัวใจของผมเต้นประสานไปกับจังหวะกลองบองโกที่รุ่นน้องปีสองเป็นคนตี แล้วก็ยิ่งดังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆเมื่อร่างบอบบางก้าวมาหยุดยืนดูการแสดง และทั้งๆที่สายตาทุกคู่เพ่งไปหานักร้องนำ แต่อิมยุนอาสบตากับผม...

    “เพลงต่อไป เป็นเพลงที่มือกีตาร์จำเป็นของเราแต่งขึ้นโดยเฉพาะสำหรับงานในวันนี้นะครับ คริส นายพูดอะไรหน่อยสิ” จงฮยอนนักร้องนำและมือกีตาร์ตัวจริง จู่ๆก็โยนบทมาให้ผมซะดื้อๆ ความประหม่าพุ่งขึ้นจนผมสัมผัสอุณภูมิร้อนผ่าวบนใบหน้าตัวเองได้ชัดเจน แต่ถึงยังงั้นผมก็พูดออกไป

    “ผมแต่งเพลงๆนี้ให้กับรักแรกของผมครับ เนื้อมันเป็นภาษาอังกฤษ เพราะผมเป็นเด็กแลกเปลี่ยนมาก็เลยยังไม่ค่อยชินกับภาษาเกาหลีสักเท่าไหร่ แต่ก็หวังว่าความรู้สึกที่ผมใส่ลงไปจะถ่ายทอดถึงคนๆนั้นนะครับ”

    สิ้นเสียงของผม น้องมือกลองก็เคาะจังหวะสองสามที ผมขยับนิ้วไปบนสายกีตาร์ ดีดท่วงทำนองหวานซึ้งรับกับเสียงนุ่มๆของจงฮยอน

     

    I just wanna love you, give me that chance. I want to hold you

    ฉันแค่อยากจะรักเธอ ให้โอกาสที ให้ฉันได้กอดเธอ

    Baby you know that I need you, I need you

    ที่รัก เธอก็รู้ว่าฉันต้องการเธอ ปรารถนาเธอ

    and I'm wondering why we're friends?

    ได้แต่สงสัยว่าทำไมเราเป็นเพียงเพื่อน

    If I could say, if you know that you had my heart

    หากว่าฉันกล้าเอ่ย หากว่าเธอรู้ว่าเธอได้หัวใจดวงนี้ไป

    How can I bear it when we're parted, oh baby

    แล้วฉันจะทนได้อย่างไรในวันทีเราไกล โอ ที่รัก

    Summer love don't make me cry...

    ฤดูร้อนแสนหวาน โปรดอย่าทำให้ฉันเสียน้ำตาเลย...

     

    น้ำเสียงของจงฮยอนถ่ายทอดทุกอารมณ์ของผมออกไปได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน แว่บนึงก็รู้สึกอิจฉาที่ผมไม่เสียงดี ไม่ได้ร้องเพลงเก่ง แต่เมื่อดนตรีวนมาถึงอีกท่อน ผมก็สูดมหายใจลึก เรียกเอาความมั่นใจมาทำในสิ่งที่ผมคิดว่าผมทำมันได้ ดวงตาจับจ้องไปยังคนที่ยืนมองมาจากข้างล่าง ก่อนจะเปล่งเสียงออกไป...

     

    What should I say we don't have to play no games

    ฉันควรจะพูดยังไง เราไม่ควรจะต้องเล่นแง่อะไรกันทั้งนั้น

    I wish for one more chance, I wish you're asking me to stay

    อยากจะขอโอกาสสักหน อยากให้เธอดึงรั้งฉันเอาไว้

    and it gets me down, the unsaid words are still remain

    และมันเจ็บปวดทุกที ฉันยังมีถ้อยคำคั่งค้างในใจ

    Knowing that we'll be apart, my love has ended without a start...

    รู้ว่าสักวันเราต้องจากกันไกล ความรักถึงจบลงโดยปราศจากการเริ่มต้น...

     

    เสียงปรบมือดังก้องทั่วหอประชุมที่ใช้จัดงานแทนที่เสียงโน๊ตตัวสุดท้ายที่กำลังจางหายไป แต่ผมไม่สนอะไรทั้งนั้น...

    นอกจากแววตาวูบไหวของอิมยุนอาที่ยืนอยู่ตรงหน้า...

     

     

    “เอ้า ยิ้มหน่อย! ยิ้มกว้างๆหน่อยเร็ว!”

    เสียงช่างภาพทั้งมืออาชีพ มือสมัครเล่นดังเซ็งแซ่หลังจากที่พวกเราถูกปล่อยตัวลงมาจากหอประชุม ครอบครัว เพื่อนสนิท รุ่นพี่ รุ่นน้อง ทุกๆคนต่างร่วมแสดงความยินดีกับความสำเร็จในพิธีจบการศึกษา ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่มีใครมาร่วมยินดีด้วย แต่ถึงยังงั้น พ่อกับแม่ก็ส่งข้อความยินดีมาแต่เช้าแม้ตัวพวกท่านจะยังอยู่ที่แคนาดา ลู่หานเองก็ส่งพัสดุกล่องใหญ่เป็นขนมและลูกอมจากเมืองจีนฝากมาแจกจ่ายเพื่อนๆทุกคนตั้งแต่อาทิตย์ก่อน

    ผมซึ่งไม่มีใคร พอยุนอาหายต๋อมไปถ่ายรูปกับครอบครัวตั้งแต่เช้าก็เลยได้แต่เดินแกร่วลอยไปลอยมา แม้จะมีเพื่อนบางกลุ่มลากไปถ่ายรูปบ้าง หรือมีบรรดารุ่นน้องเอาของขวัญมาให้บ้าง แต่สายตาผมก็ยังคอยมองหาคนตัวเล็กไม่หยุด

    ไม่รู้เลยว่าคนที่ผมมองหานั่นเดินตามมาสักพักแล้ว

    “แหม ได้ของขวัญเยอะเชียวนะ เนื้อหอมจริงพี่คริส”

    ถ้อยคำเอ่ยแซวแบบกวนๆนั่นทำให้ผมยิ้มกว้าง แต่ก็บังคับสีหน้าตัวเองให้เป็นปกติก่อนจะหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับอิมยุนอา

    “เธอก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่ากันเท่าไหร่เลยนี่ เห็นหนุ่มๆต่อคิวขอถ่ายรูปยาวไปถึงหน้าประตูโรงเรียน”

    “เฮอะ พอเก่งภาษาเกาหลีเข้าหน่อยก็ปากจัดขึ้นทุกวันเลยนะนาย”

    “ก็ต้องลับฝีปากไว้เถียงกับใครบางคนแถวนี้แหละ” ผมยักคิ้วกวนๆกลับไป แม้ว่าหัวใจจะเต้นแรงจนเจ็บ

    อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมระหว่างเราถึงได้เป็นแบบนี้ คอยกัดคอยแขวะกันอยู่เรื่อย ตลอดระยะเวลาสองปี ผมกับยุนอาเล่นกันเหมือนเด็กผู้ชาย เจ้าตัวไม่ใช่ผู้หญิงหวานๆ แล้วก็ไม่ได้พูดจาเพราะๆ เหมือนคนอื่น ถึงท่าทางแบบนั้นจะทำให้ผมสบายใจและเป็นตัวของตัวเอง แต่ก็อดปฏิเสธไม่ได้ว่าอยากให้มีความขัดเขิน หรืออะไรบางอย่างที่มากกว่านั้นเกิดขึ้นบ้าง เพราะผมไม่แน่ใจเอาซะเลยว่ายุนอาเห็นผมเป็นแค่เพื่อนหรือรู้สึกอย่างที่ผมรู้สึก...

    และเพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะได้เห็นหน้ากัน ผมเลยตัดสินใจจะพูดตรงๆออกไปสักที

    ผมยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะกลับไปจีนหรือแคนาดา ยังไม่ได้วางแผนชีวิตต่อ แต่สิ่งนึงที่ผมคิดไว้ในใจคือ คำตอบของยุนอาอาจจะมีผลกับการตัดสินใจครั้งนี้... ไม่มากก็น้อย...

    “เหม่ออะไรอยู่?”

    ยัยตัวยุ่งตรงหน้าเอ่ยถาม แม้จะส่งรอยยิ้มมาให้แต่มันก็ดูไม่สดใสเหมือนทุกที ผมสบดวงตาหวานซึ้งนั่นตรงๆโดยไม่พูดอะไร แล้วก่อนที่จะทันรู้ตัวน้ำใสๆก็ร่วงลงมาหยดแล้วหยดเล่า

    “เฮ้ย อย่าร้องดิ” ผมเกิดอาการใจสั่นลามไปจนถึงมือไม้ที่ยกขึ้นยกลงอย่างเก้ๆกังๆทันทีที่เห็นยัยตัวแสบในโหมดขี้แย แต่เหมือนยิ่งห้ามก็ยิ่งยุ อิมยุนอาเบะปากแล้วสะอึกสะอื้นไม่ต่างจากเด็กสามขวบ มือเรียวยกขึ้นปาดน้ำมูกน้ำตาป้อยๆ ส่วนผมจะขำก็ขำไม่ออก จะให้ซึ้งตามจนเขื่อนแตกอีกคนก็ดูจะไม่ไหว

    สุดท้ายแล้วก็ได้แต่รั้งไหล่บางเข้ามาในอ้อมกอด เพิ่งรู้ว่ายุนอาตัวเล็กขนาดนี้ ทั้งที่ปกติเวลาอยู่กับเพื่อนผู้หญิงคนอื่นๆเจ้าตัวก็ไม่ได้เตี้ยอะไร จมูกรั้นๆยังสูงไม่พ้นไหล่ผมด้วยซ้ำ หยดน้ำตาอุ่นๆซึมเข้ามาบนเสื้อสูท ผมวางมือบนเส้นผมนุ่ม ลูบปลอบโยนเบาๆโดยไร้ซึ่งคำพูด

    รู้มั้ยนะว่าผมก็เจ็บ... รู้ไหมว่าผมก็เสียใจ... รู้ไหม...ว่าผมรัก...

    ที่กระเป๋าด้านในเสื้อสูทมีซองจดหมายพร้อมรูปถ่ายในวันนั้น รูปถ่ายฝีมือลู่หานที่ผมยังไม่ได้ให้คนในอ้อมกอดสักที เพราะผมกลัว... กลัวว่าถ้ายุนอาเห็นสายตาที่ชัดเจนเกินไปของผมในรูปนั้นแล้วอะไรๆระหว่างเรามันจะไม่เหมือนเดิม แต่วันนี้ผมเตรียมมาให้ พร้อมคำพูดคำหนึ่งที่หลังจากนี้อาจจะไม่ได้พูดอีก...

    ...เหมือนฟ้าเล่นตลก... โอกาสของผมผ่านเลยไป...

    ...โดยที่ผมยังไม่ได้พูดความในใจสักคำ...

     

    “แม่ครับ ผมอยากกลับเกาหลี”

    นั่นคือคำที่ผมพูดกับแม่หลังจากได้จดหมายตอบรับจากคณะแพทยศาสตร์ มหาลัยเพนซิลเวเนียในรัฐฟิลาเดเฟียของอเมริกา...

    นับตั้งแต่วันนั้น ผมไม่เคยลืมรอยยิ้มของอิมยุนอา แม้จะกลับแคนาดามาได้ปีกว่าแล้วก็ตาม ผมเลือกเรียนคอร์สเตรียมสำหรับนักศึกษาแพทย์ ชีวิตวันๆหมกอยู่กับตำราจนในที่สุดก็ตัดสินใจเขียนจดหมายแนะนำตัว พร้อมเอกสารรับรองจากโรงเรียนที่แคนาดาเพื่อยื่นเข้าเป็นนักศึกษาแพทย์ในมหาวิทยาลัยที่ใครๆก็ใฝ่ฝัน

    ถ้าจะถามว่าผมทำแบบนั้นไปทำไม ในเมื่อใจจริงก็แค่อยากกลับไปเกาหลี...

    ...เพราะผมไม่ใช่นักเรียนอีกต่อไปแล้ว ชาวต่างชาติที่อยู่ที่นั่นในเวลานั้นก็ยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างเต็มที่ จะเรียนต่อมหาวิทยาลัย หรือจะทำงานก็ต้องมีผู้หลักผู้ใหญ่แนะนำ ผมเลยตัดสินใจบินกลับมาแล้วเลือกเรียนในสาขาที่มั่นใจว่าจะสามารถกลับไปที่นั่นได้อย่างไม่ลำบาก

    แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าแรงผลักดันทั้งหมดจะเกิดขึ้นจากความรู้สึกที่อยากทำเพื่อครอบครัว และความรักตัวเองที่ผมมี แต่ยุนอาก็เป็นหนึ่งเหตุผลเล็กๆท่ามกลางเหตุผลหลายล้านข้อที่ทำให้ผมเลือกจะกลับไปที่นั่นอีกครั้ง

    แถมยังเป็นเหตุผลที่ไม่เคยจางหายไปเสียด้วย...

    จนกระทั่งวันนี้...

    ............................

    ...................

    ..........

    .....

    ...

    .

    “หูย โรแมนติคสุดยอดอ่ะพี่ ถ้าซอลลี่นั่งฟังอยู่ป่านนี้มีฟินตัวแตกไปแล้วแหงๆ” ผมตบเข่าดังฉาดหลังจากได้ฟังเรื่องราวประหนึ่งซีรี่ย์วุ่นรักวัยเรียน พี่คริสคนเล่าก็ยังคงนั่งยิ้มเก๊กหน้าหล่ออยู่นั่นแหละ

    “แล้วปีนี้พี่ก็จะมาเจอพี่ยุนอาเป็นปีแรกสินะคะ” คริสตัลหันไปถาม

    “คิดว่านะ... พี่เพิ่งได้มีโอกาสกลับมาเกาหลีน่ะ ผ่านมาหลายปี อะไรๆก็เปลี่ยนไปมาก ถ้าไม่บังเอิญไปเจอพี่คยูฮยอนที่เพ็นน์ยู พี่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะหาทางกลับมาโรงเรียนได้ยังไงเหมือนกัน” พี่หมอตอบด้วยเสียงนุ่มๆ

    “งั้นเจอกันรอบนี้ก็สารภาพรักพี่ยุนอาไปเลย พี่เค้าต้องรอพี่อยู่แน่ๆค่ะ” ยัยเอ๋อพยักหน้าจริงจัง อยากจะแซะเหลือเกินว่านั่งทางในรู้ใจฝั่งนั้นได้เหรอ ถึงได้มั่นขนาดนั้น แต่ลึกๆแล้วผมก็ลุ้น อยากให้พี่หมอสมหวังกับเค้าบ้าง ก็ดูพี่แกพยายามซะขนาดนั้น แถมยังจำเรื่องราวทั้งหมดได้แม้จะผ่านมานานร่วมห้าหกปี ถ้าจะแห้วอีกก็ไม่ไหวนะ

    “จะว่าอะไรมั้ยครับ ถ้าผมจะขอเนื้อกับทำนองเพลงที่พี่เคยแต่งไว้?” หนุ่มติสท์โดคยองซูพูดขึ้นมา

    “ได้สิ แต่จะเอาไปทำอะไรเหรอ?”

    “เซอร์ไพรส์น่ะครับ”

    คยองซูตอบพร้อมกับรอยยิ้มมีเลศนัยอย่างที่พวกเราไม่ได้เห็นมานาน

    แต่ผมว่าผมรู้แล้วล่ะว่าคยองซูมีแผนจะทำอะไร หมอนั่นเบนกลับมาสบสายตากับผม คล้ายกับจะยืนยันในสิ่งที่ผมคิดอยู่

    ฤดูร้อนครั้งนั้นของพี่หมอ... พวกเราจะทำให้มันกลับมามีชีวิตอีกครั้งนะครับ... ^^

     

     

    ผมก้าวเข้ามาในหอประชุม รู้สึกเหมือนได้ย้อนวันวานกลับในช่วงฤดูร้อนสองปีนั้น เครื่องแบบนักเรียนคุ้นตาที่รุ่นน้องสวมใส่ดึงเอาความทรงจำหวนคืนมาฉายราวกับเล่นเทปกรอกลับ

    “ไง ในที่สุดปีนี้ก็มาจนได้นะ” เสียงคุ้นหูทักขึ้นมาเป็นภาษาจีนที่คุ้นเคย ผมหมุนตัวกลับไปแล้วก็เห็นลู่หาน หมอนี่ยังเหมือนเดิมไม่มีผิด ใบหน้าหวานที่ดูเหมือนเด็กผู้หญิงไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่สมัยไฮสคูล เรือนผมสีดำสนิทถูกย้อมออกเป็นสีน้ำตาลสว่างดูแปลกตา แต่ก็เข้ากับเจ้าตัวดี รอยยิ้มสดใสระบายอยู่บนใบหน้าไม่ต่างจากเมื่อหกปีก่อน แล้วผมก็ยิ้มตอบกลับไป

    “นายจำฉันได้ด้วยเหรอ?”

    “สูงเป็นยักษ์ เด่นมาแต่ไกลแบบนี้ ถึงอยากจะลืมหรืออยากจะมองไม่เห็นก็คงทำไม่ได้อยู่ดี”

    “แล้วนี่นายเพิ่งมาปีนี้ปีแรก?” ผมยกแก้วคอกเทลที่วางเรียงอยู่บนโต๊ะส่งให้เพื่อนเก่าที่รับไปอย่างอารมณ์ดี

    “นี่มาติดกันเป็นปีที่สามแล้ว ฉันย้ายมาทำงานที่เกาหลี เป็นผู้จัดการนักร้องไอดอลน่ะ ชื่อวง Exo นายรู้จักไหม? กำลังดังเชียวนะ มีเด็กจีนอยู่สามสี่คน วันๆเนี่ยตบตีกับแฟนคลับจนไม่รู้แล้วว่าเค้าจ้างไปเป็นบอดี้การ์ดหรือผู้จัดการนักร้องกันแน่”

    ผมหัวเราะออกมากับคำบ่นยาวพรืดของเจ้าตัว ผ่านไปหกปี ดูท่าว่าเพื่อนชาวจีนหน้าหวานของผมคนนี้จะพูดเก่งขึ้นเยอะ แต่บุคลิกอย่างลู่หานก็เหมาะสมแล้วกับการทำงานในวงการบันเทิง ยิ่งเจ้าตัวเป็นคนชอบดูแล ช่างใส่ใจคนอื่น ผมก็ยิ่งคิดว่าเด็กๆศิลปินที่ลู่หานเป็นผู้จัดการให้คงจะติดเพื่อนผมแจไม่ต่างกับเพื่อนร่วมห้องสมัยไฮสคูลเท่าไหร่นัก

    เราคุยกันได้อีกเพียงสองสามคำ แสงไฟก็หรี่ลง แล้ววงดนตรีของแบคฮยอนก็ปรากฏขึ้น แต่ละคนมาในชุดนักเรียน เรียบร้อยบ้าง ไม่เรียบร้อยบ้างตามสไตล์ เห็นนักร้องนำเริ่มพูดเจื้อยแจ้วแล้วผมก็ยิ้มออกมา นึกถึงเจ้าเด็กประถมตัวเล็กที่วิ่งตามพี่คยูฮยอนวันนั้นแล้วก็อดประหลาดใจไม่ได้ที่เรามาเจอกันอีกในวันนี้ แถมเจ้าเด็กนี่ก็ร้องเพลงเพราะอย่างที่พี่คยูฮยอนเคยคุยอวดไว้จริงๆ ผมมองรอยยิ้มสดใสของเจ้าตัวป่วนแล้วก็เห็นดวงตารีเล็กลอบมองลงมาหาคนที่ยืนอยู่ข้างล่างเวที น้องซูจีที่วันนี้แต่งหน้ามาบางๆ ปล่อยผมยาวสีดำสนิทดัดเป็นลอนอ่อนๆ ดวงตาใสแจ๋วมองไปที่นักร้องนำที่ยืนอยู่ใต้แสงสปอตไลท์...

    ...ช่างเหมือนกันเหลือเกินกับค่ำคืนนั้นในฤดูร้อน

    พวงแก้มใสของเด็กสาวที่ขึ้นสีเรื่อจางๆ รอยยิ้มเล็กๆฉาบอยู่บนเรียวปาก ดวงตาที่ไม่อาจจ้องมองไปทางอื่นใดได้อีก...

    ถ้านั่นคือวิธีที่แบซูจีมองบยอนแบคฮยอนที่ตัวเองตกหลุมรัก... แล้วในวันนั้น เป็นไปได้ไหม? ที่อิมยุนอาเองก็จะมองอู๋อี้ฟานคนนี้ด้วยสายตาที่สื่อความรู้สึกอย่างเดียวกัน...

    ...และถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริง... ทำไมฤดูร้อนของเราสองคนถึงได้จบลงแค่ความเป็นเพื่อน?

    ผมได้แต่หาคำตอบให้ตัวเองอยู่ในใจ ไม่รู้ตัวเลยจนกระทั่งเสียงนุ่มๆของแบคฮยอนพูดขึ้นมา

    “เพลงต่อไปนี้ที่เราจะเล่น เป็นเพลงรีโคฟเวอร์ที่เราแต่งขึ้นใหม่จากเนื้อและทำนองของรุ่นพี่ที่มาร่วมงานเลี้ยงในวันนี้เป็นปีแรกครับ แต่ผมจะไม่บอกหรอกนะว่าพี่เค้าชื่ออะไร เพราะเค้าหล่อพอตัว เดี๋ยวสาวๆจะแห่ไปขอเบอร์กันหมด” เจ้าตัวเล็กพูดติดตลก เรียกเสียงหัวเราะครึกครื้นจากรุ่นพี่รุ่นน้องและเพื่อนรุ่นเดียวกันให้ดังขึ้น

    “ขอให้ทุกคนย้อนเวลากลับไป... ในช่วงฤดูร้อนที่เต็มไปด้วยความทรงจำนะครับ” แบคฮยอนพูดต่อ ท่าทางของเขาดูเหมือนจะจริงจังขึ้นมานิดหน่อย แต่รอยยิ้มอบอุ่นก็ยังคงระบายอยู่บนใบหน้า “...ความรู้สึกที่แสนหวาน สิ่งที่คุณกับคนสำคัญเคยทำร่วมกัน... และถ้อยคำที่ยังไม่มีโอกาสได้พูดออกไป... พวกเราขอมอบเพลงๆนี้ให้กับพี่นะครับ และหวังว่าวันนี้ พี่จะได้ฤดูร้อนแสนหวานนั้นกลับคืนมา...”

    แบคฮยอนส่งยิ้มจ้องตรงมาทางผมแล้วแสงไฟก็หรี่ลง เหลือเพียงสปอตไลท์สีเหลืองนวลส่องอาบพื้นเวทีที่ตอนนี้มีซูจีกับซอลลี่ก้าวขึ้นไปยืนด้วย จงแดเคาะให้สัญญาณสามทีแล้วชาลยอลก็กรีดนิ้วไปบนสายกีตาร์โปร่ง ท่วงทำนองหวานหูที่คุ้นเคยเหมือนเมื่อหกปีที่แล้วถูกบรรเลงขึ้นอีกครั้ง แต่เมื่อโดคยองซูขยับริมฝีปากเอ่ยคำร้องออกมา ผมก็ต้องประหลาดใจ

    เพราะทุกถ้อยคำในเนื้อเพลงบทนั้นถูกเขียนขึ้นใหม่...

    ...ด้วยเรื่องราวของผม...

     

    기억해 복도에서 떠들다 같이 혼나던 우리 둘

    คีออเค บกโดเอซอ ตอดึลดา คัทจี ฮนนาดอน อูรี ดูล

    ฉันยังจำตอนที่เราสองคนแอบคุยกันในชั้นเรียน

    벌서면서도 왜 그리도 즐거웠는지 알았어

    บอลซอมยอนโด เว คือรีโด จึลกอวัซนึนจี อาราซอ

    ถึงเราจะโดนทำโทษไปด้วยกัน แต่ก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมมันถึงกลายเป็นเรื่องสนุก

    그날 이후로우린 늘 쌍둥이 별자리처럼 넌 나 나는 너였어

    คือนัล อีฮูโร อูริน นึล ซังดุงงี พยอลจาราชอรอม นอน นา นานึน นอยอซอ

    หลังจากวันนั้น เราก็ต่างก็ทำตัวติดกันเหมือนกับฝาแฝด เธอคือฉันและฉันก็คือเธอ

     

    ...เสียงหวานๆของคริสตัลดังขึ้นสอดรับกับน้ำเสียงนุ่มทุ้มของคยองซู ภาพวันวานไหลย้อนกลับเข้ามาเมื่อบทเพลงยังคงดำเนินต่อ

     

    졸업하기 전날 많이 울던

    จลออบฮากี จอนนัล มานี อุลดอน นอ

    ในพิธีจบการศึกษาเธอร้องไห้เสียมากมาย

    남자라고 참던

    นัมจาราโก กก ชับตอน นอ

    เพราะเป็นผู้ชาย เธอถึงได้กลั้นมันเอาไว้

    하고 싶었던 못하고 뜨거웠던 여름처럼 안녕

    ฮาโก ชีพอซดอน มัล มซฮาโก ตือกอวัซดอน คือ ยอรึมชอรอม อันนยอง

    ราวกับฤดูร้อนครั้งนั้นที่เราไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งที่เก็บไว้ในใจออกไป... ลาก่อน

     

    เสียงประสานของแบคฮยอนกับซูจีดังขึ้นต่อในท่อนเดียวกับที่ผมเคยได้ยินอีจงฮยอนร้อง เพียงแต่ครั้งนี้มันแสนเศร้า แสนหวาน...

     

    친구라는 이름 어느새 미워진 이름

    ชินกูรานึน อีรึม ออนือแซ มีวอชิน อีรึม

    คำว่าเพื่อนระหว่างเรา คงเป็นคำที่ฉันนึกเกลียดมากที่สุด

    감추던 감정은 지금도 아픈 비밀의 기억일

    คัมชูดอน คัมจองอึน จีกึมโด อาพึน บีมีเร กีออกิล ปุน

    ความรู้สึกที่ได้แต่เก็บเอาไว้ ยังคงค้างคาและก่อเกิดความทรงจำลับอันแสนเจ็บปวด

    우리 사인 정리할 없는 사진 보면 가슴 아린 Story, I’m sorry 여름아 이젠 Goodbye

    อูรี ซาอิน จองรีฮัน ซู ออบนึน ซาจิน โบมยอน คาซึม อาริน Story, I’m sorry ยอรือมา อีเจน Goodbye

    รูปถ่ายของเราที่ไม่อาจชี้ชัดสถานะ ได้กลายเป็นเรื่องราวแสนเศร้า ขอโทษนะ ฤดูร้อนของฉัน แต่ตอนนี้เราคงต้องลา...

     

    ...ท่อนแรปที่ผมเคยร้องเอาไว้ถูกมือกีตาร์ร่างสูงรับช่วงไป...

     

    What do I say, We didn’t have to play no games

    ฉันควรจะทำยังไง เราไม่ควรต้องเล่นแง่อะไรกันเลย

     

    ...แล้วก็ต่อด้วยซอลลี่ที่นั่งอยู่ข้างๆกัน...

     

    I should’ve took that chance I should’ve asked for you to stay

    ฉันน่าจะใช้โอกาสนั้น ฉันน่าจะเอ่ยปากรั้งเธอเอาไว้

     

    ...ทั้งคู่ประสานเสียง ส่งความรู้สึกผ่านเสียงสูงกับเสียงต่ำที่กลมกลืนออกเป็นถ้อยคำที่บาดลึกในหัวใจของผม...

     

    And it gets me down the unsaid words that still remain

    ฉันเองได้แต่เสียใจ เมื่อคำที่เก็บเอาไว้ยังคงค้างคา

    시작하지도 않고 끝나버린 이야기

    ชีจักฮาจีโด อันโก กึทนาบอริน อียากี

    เรื่องราวพบจุดจบตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้นด้วยซ้ำ

     

    ...แบคฮยอนเริ่มเนื้อเพลงอีกท่อนที่เพิ่มมาจากฉบับเดิม แต่ก็ยังคงหนีไม่พ้นเรื่องราวที่ผมเล่าออกไป สลับกับเสียงร้องหวานนุ่มของซูจีที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน...

     

    축제 마지막 너의 노래도

    ชุกเช มาจีมัก นัล นอเอ โนแรโด

    เพลงที่เธอเล่นในวันงานโรงเรียนครั้งสุดท้าย

    아른한 여름 바다도

    อารึนฮัน ยอรึม บาดาโด

    จางหายไปกับคลื่นในฤดูร้อน

    함께라서 소중했던 늦어

    ฮัมเกราซอ โซจุงแฮนดอน มัม นือจอ

    ความรู้สึกแสนล้ำค่าที่มีในช่วงเวลาที่เราอยู่เคียงข้างกัน

    가는 하늘처럼 안녕

    คานึน บัม ฮานึนชอรอม อันนยอง

    ราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืนอันมืดมิด... ลาก่อน

     

    ...ทำนองถูกเปลี่ยนเป็นท่อนที่แปลกหู ซึ่งผมคิดว่าเด็กๆคงเพิ่มเข้ามา เสียงของจงแดดูจะมีอิทธิพลสั่นคลอนผมได้อย่างน่าประหลาดใจ...

     

    Baby Oh No Oh Oh 혼잣말이라서 미안해 Oh 사실은 사랑해

    Baby Oh No Oh Oh ฮนชัซมารีราซอ มีอันแฮ ซาชีรึล นอล ซารังแฮ

    Baby Oh No Oh Oh ขอโทษนะ ฉันผิดไปแล้ว อันที่จริงแล้วฉันรักเธอ

     

    ...ซูจีมองผมราวกับอ่านทะลุทุกสิ่งได้จากนัยน์ตา... น่าแปลกที่มันเริ่มร้อนผ่าว...

     

    숨기고 있던 오랜 비밀들

    ซุมกีโก อิซดอน โอแรน บีมิลดึล

    หากความลับที่เก็บไว้นานแสนนานนี้ได้เปิดเผยขึ้น

     

    ...เสียงของแบคฮยอนกับซูจีถักทอประสานกันได้อย่างลงตัว...อาจจะเพราะเกินไป... ใช่... เพลงที่แต่งขึ้นใหม่นี้เพราะเกินไป...

    น้ำตาของผมถึงได้ร่วงหล่นลงกระทบหลังมือโดยไม่รู้ตัว...

     

    차라리들켰다면 너를 품에 안아줄텐데

    ชารารีดึลคยอซดามยอน นอรึล พูเม อานาจุลเทนเด

    ฉันก็อยากจะกอดเธอไว้ในอ้อมแขนคู่นี้...

     

    ทันทีที่โน๊ตตัวสุดท้ายละหายหายไปในเสียงปรบมือที่ดังเกรียวกราว เสียงเบาๆที่ผมเฝ้าฝันจะได้ยินมานานก็ดังขึ้น

    ไม่เจอกันนานเลยนะคริส...”

     

    To be continued...

     




     

    แหม่ะ รู้น่าว่ากำลังบ่นในใจ มาตัดอะไรเอาตอนนี้! กะลังเข้าด้ายเข้าเข็ม!

    ก็แหม... ถ้าให้พี่คริสกับหนูยุนเค้าเจอกันได้ง่ายๆมันก็ไม่ใช่สไตล์ยูน่ะสิ *หลบรองเท้า*

    อยากจะระบายเหลือเกินว่า จริงๆแล้วฟิค XOXO ทั้งเรื่องมันเกิดขึ้นเพราะสเปเชี่ยลสองตอน หนึ่งก็คือโบนัสคยองตัล อีกหนึ่งก็คืออันนี้ แล้วจะลากมันให้ยาวเป็นเรื่องทำเกลืออะไร? ก็ไม่อยากเขียนเป็น SF อ่ะ เพราะส่วนตัวถึงจะไม่ค่อยชอบเขียนฟิคยาว แต่ชอบให้ตัวละครมีที่มาที่ไป กลายเป็นว่าสเปเชี่ยลตอน Goodbye Summer Love เนี่ย ยาวแข่งกะตอนหลัก =___= ก็... สครอลดาวน์กันเมื่อยมือหน่อยล่ะนะ (ล่อไปซะสามสิบกว่าหน้า)

    อยากจะบอกว่าตอนพิเศษนี่ก็เขียนจบก่อนเรื่องหลักซะอีก 555++ อย่างที่หลายๆคนที่ตามอ่านวอยซ์คงจะเห็น เรื่องนี้ยูเขียนฉากจบก่อนแล้วไล่ย้อนขึ้นไปหาบทแรก จากนั้นก็ค่อยมารีไรท์เพิ่มนู่นเพิ่มนี่อีกที อีกอย่างคือ เจ้า Goodbye Summer Love เนี่ย เขียนขึ้นผ่าน dropbox และอีเมล์ระหว่างเดินทางไปกลับจากบ้านและที่ทำงาน มารู้ตัวอีกทีก็ยาวยืดอย่างไม่น่าเชื่อว่าสามารถเขียนทั้งหมดจากไอแพดได้ (ซะงั้น)

    พล่ามมานานแล้ว มาว่ากันที่ฉากจบเนอะ...

    เพื่อให้เข้ากับคอนเซปต์ XOXO... เราก็มีสองชอยส์มาให้เลือก... 'X' version และ 'O' version

    เห็นชื่อตอนก็น่าจะเดาได้ เพราะงั้นไม่สปอยล์มาก เพียงแต่จะบอกว่า ตอนจบจริงๆที่ตั้งใจไว้ ออริจินอลของเรื่อง จะจบแบบ X version นะคะ ถามว่าเพราะอะไร?.... ไปอ่าน Talk ตอนจบพาร์ทเอาเอง

    ส่วนสาเหตุที่มันมี O version งอกออกมาก็เพราะ... ไม่บอกตอนนี้หรอก... คึ___คึ ไปอ่านเอาตอนจบพาร์ทนั้นเช่นกัน
     

    แต่ตอนนี้ ดองไปก่อนนะ ปย๊อง~!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×