ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] XOXO : พี่สาวครับ... รับรักผมที!

    ลำดับตอนที่ #11 : OXOX :: --SPECIAL-- B-Side st'O'ry (By Suzy)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 248
      1
      14 ก.พ. 57



    --SPECIAL--  B-Side st'O'ry (By Suzy) 

     

              “แน่ะ ยิ้มกว้างเชียวนะ”

                คริสตัลเอ่ยคำแซวพร้อมรอยยิ้มเล็กๆให้กับฉันที่ไม่สามารถบังคับหน้าตัวเองให้ลั้ลลาน้อยลงไปกว่านี้ได้เลย

                ทำไมน่ะเหรอ...

                ก็เพราะบอร์ดประกาศรายชื่อนักเรียนวันนี้... ฉัน แบซูจี ได้อยู่ห้องเดียวกับ คนๆนั้นน่ะสิ...

                “ว้อยยยย! ทำไมต้องเป็นยัยนั่นด้วยเนี่ย! งื้ออออ~ ขัดใจอ่ะ ชานยอล! T__T

                เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นมา ฉันหันหลังกลับไปแล้วก็เห็นเด็กผู้ชายที่สูงมากกว่าฉันนิดหน่อย ผิวขาวหน้าตาใสซื่อเหมือนลูกหมายืนทึ้งหัวตัวเองอยู่ข้างๆเพื่อนตัวสูงที่ยิ้มกว้างส่งมาให้ฉันอย่างรู้ทัน ฉันรีบหุบยิ้มทันทีก่อนจะเดินไปตบหัวหมอนั่นเหมือนอย่างที่ชอบทำประจำ

                “ฉันต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายพูดแบบนั้น ไอ้ลูกหมา!

                พูดจบก็แลบลิ้นแล้วหมุนตัวกลับ ลากซอลลี่และคริสตัลให้เดินตามมาด้วยกัน เพราะห้ามใบหน้าตัวเองไม่อยู่อีกแล้ว

                ถึงใครจะไม่ดีใจแต่ฉันดีใจที่สุดเลย! ,,>_<,,

              เพราะตลอดทั้งเทอมนี้ฉันจะได้นั่งข้างๆ บยอนแบคฮยอน คนโง่ที่ฉันแอบชอบมาตั้งนาน...

     



    ทั้งๆที่มันน่าจะเป็นโอกาสของฉัน... ทั้งๆที่ฉันคิดว่าในที่สุด ฉันก็ไม่จำเป็นต้องใช้พี่คยูฮยอนเป็นข้ออ้างอะไรอีกต่อไปแล้ว

    แต่เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างพังพินาศลงไปในพริบตาที่หมอนั่นพูดอะไรโง่ๆออกมา...

    “ฉันว่าฉันตกหลุมรักแฟนพี่ชายเข้าแล้วล่ะ!

    ฉันปล่อยมือจากคอเสื้อบยอนแบคฮยอนโดยอัตโนมัติ รู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งโดนสึนามิถล่มใส่อย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่อกี้... แบคฮยอนว่ายังไงนะ? เขาชอบ... เขาตกหลุมรัก...

    “อะไรนะ! นายหลงรักแฟนของพี่ชายตัวเองงั้นเหรอ!” เสียงของจงแดยิ่งตอกย้ำความเป็นจริงที่ฉันเพิ่งได้ยินมา ระหว่างที่แบคฮยอนมัวแต่เขวี้ยงรองเท้าใส่จงแด ฉันก็หันไปสบตากับคริสตัลและคยองซูที่มองมาด้วยความเป็นห่วง

    ไม่ได้ๆ... ไม่ได้นะแบซูจี เธอจะออกอาการอะไรไม่ได้ทั้งนั้น อย่าลืมสิว่าตอนนี้แบคฮยอนยังคิดว่าเธอชอบพี่คยูฮยอนอยู่ เพราะงั้นเธอต้องทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร เข้าใจไหม?

    ..บอกตัวเองไปแบบนั้น แต่ก็ห้ามก้อนแข็งๆที่วิ่งขึ้นมาจุกตรงคอไม่ได้เลย...

    “แล้วนายจะทำยังไงต่อไปล่ะ? แบบนี้ก็ต้องตัดใจสินะ น่าสงสารจังเลย~ แบคฮยอนอา” ซอลลี่พูดขึ้น เอื้อมมือไปลูบหัวแบคฮยอนแต่สายตากลับมาทางฉันโดยที่นายลูกหมานั่นไม่ทันรู้ตัว

    “ตัดใจทำไมเล่าซอลลี่! อีหรอบนี้มันต้องสู้กันอย่างลูกผู้ชาย ถ้านายแน่จริงก็แย่งแฟนพี่เค้ามาเลยสิ!

    “ใช่ๆ คราวนี้ฉันเห็นด้วยกับจงแดล้านๆๆๆๆเปอร์เซ็นต์! นายต้องแยกสองคนนั้นออกจากกันให้ได้ เข้าใจมั้ย?! เพื่อที่พี่คยูฮยอนจะได้หันกลับมามองฉัน!” ฉันทำทีเป็นเสริมคำพูดของจงแดที่ดูเหมือนจะผงะไป แถมยังก้าวเข้าไปเขย่าไหล่แบคฮยอนแรงๆ... หวังว่าหมอนั่นจะไม่เห็น ไม่เห็นความเจ็บปวดที่ฉันพยายามจะซ่อนมันไว้เหลือเกิน

    เหมือนว่าการเล่นละครเป็นงานถนัดของฉันจริงๆ หมอนั่นขมวดคิ้วเบ้ปากมองมาอย่างไม่ชอบใจ บิดตัวออกจากมือของฉันแล้วหันไปคุยกับคนอื่นๆต่อ บทสนทนาที่เหลือซึมซับเข้าไปในสมองฉันอย่างลางเลือน มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่บยอนแบคฮยอนหนีกลับบ้านไปก่อนแล้ว... หนีกลับไปก่อนโดยที่ไม่รอฉันเหมือนทุกทีทั้งๆที่บ้านเราก็อยู่ติดกัน... คงจะคิดถึงแฟนพี่ชายเอามากจนลืมฉันไปเลยสินะ?

    “มาถึงขั้นนี้แล้วยังจะปากหนักให้ตัวเองเจ็บอยู่อีกเหรอ?” จงแดพูดออกมาทันทีที่ฉันนั่งลงบนโต๊ะแทนที่แบคฮยอน เก้าอี้ยังอุ่นอยู่เลยแฮะ...

    “จงแดใจร้ายจัง รู้ทั้งรู้ว่าซูจีชอบใคร ยังจะไปยุให้แบคฮยอนจีบพี่ซันนี่อีก” ซอลลี่หันไปคาดโทษกับมือกลองตัวดีที่ทำหน้าหงอย

    “ก็นึกว่าพูดไปแบบนั้นแล้วซูจีจะเลือดขึ้นหน้าสารภาพรักออกได้มาสักที แล้วก็นะ...ฉันน่ะแค่ยุเฉยๆแต่คนโน้มน้าวสำเร็จน่ะรายโน้น” แล้วก็บุ้ยปากไปทางคยองซูที่เล่นคีย์บอร์ดอยู่แบบไม่สนใจโลก ก่อนจะพูดขึ้นมา

    “คนบางคน... ต้องหัดให้เจ็บกับความรักดูสักครั้งถึงจะหันมาเห็นค่าของสิ่งที่อยู่ใกล้ๆ ก็เหมือนเวลาปลุกคนขี้เซาไง... ถ้าไม่เตะแรงๆก็ไม่ตื่นหรอก จริงไหม?” คยองซูเงยหน้ามาสบตาฉันพร้อมรอยยิ้มจางๆ จนฉันอดที่จะยิ้มตอบกลับไปไม่ได้ ถึงแม้ตอนนี้หัวใจจะยังหนักอึ้ง

    “แล้วนี่จะทำยังไงต่อไป?” คริสตัลหันมาถาม มองหน้าพวกเราทีละคนที่นิ่งเงียบเป็นรูปปั้น ยกเว้นชานยอลที่ส่ายหัวดิก

    จนสุดท้ายแล้วฉันก็เป็นคนที่ถอนหายใจออกมา ทำท่าเหมือนลูกหมาแบคฮยอนไม่มีผิด...

    “มาถึงขนาดนี้ก็ต้องเลยตามเลย แบคฮยอนก็เข้าใจว่าฉันชอบพี่คยูฮยอนอยู่ด้วย งานนี้ก็ต้องลุยตามแผนที่วางไว้นั่นแหละ”

    “แต่ว่า ซูจีอ่า...” ชานยอลพูดเสียงอ่อยเหมือนจะท้วง แต่ ณ วินาทีนี้ฉันตัดสินใจแล้ว

    “อย่าคิดว่าฉันจะยอมช่วยเป็นแม่สื่อให้หมอนั่นง่ายๆสิ! งานนี้น่ะ ฉันจะตลบหลัง พลิกเกม กีดกัน ขัดขวาง คอยเป็นก้างชิ้นยักษ์ให้อีตาบยอนแบคฮยอนแบบสุดฝีมือเลยคอยดู!

    ให้มันรู้กันไปเลยว่านายจะไม่หันกลับมามองฉันจริงๆสักที!

      

    “ว้าว! ทั้งหมดนี่พี่คยูฮยอนทำเองคนเดียวเหรอคะ?”

    เสียงดี๊ด๊าของซอลลี่ดังขึ้นมาหลังจากเห็นอาหารฟูลคอร์สเต็มโต๊ะฝีมือคยองซู... ค่ะ อ่านไม่ผิดหรอก โดคยองซูมือคีย์บอร์ดเรานี่แหละที่จัดการแวะมาบ้านล่วงหน้าเพื่อทำอาหารชุดใหญ่ให้อย่างลับๆ โดยมีฉันกับซอลลี่คอยเป็นลูกมือ คนที่รับสมอ้างตำแหน่งพ่อครัวก็ยืนยิ้มหน้าบานทั้งที่สปาเกตตี้สักเส้นก็ไม่ได้แตะ!

    “พอดีตอนปิดเทอมอยู่นู่นพี่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำเลยไปเรียนทำอาหารมาน่ะ แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกเลยนะที่ทำให้คนอื่นทาน ไม่รู้จะใช้ได้รึเปล่า... ว่าแต่ซันนี่มาด้วยเหรอ?” พี่คยูฮยอนว่าไปตามบทได้อย่างลื่นไหลจนฉันต้องแอบหันไปหัวเราะเบาๆ

    หลังจากแบคฮยอนแนะนำทุกคนเสร็จ พวกเราก็ถูกคะยั้นคะยอให้เข้าไปนั่งที่โต๊ะ หิวอย่างแรงเลยอ่ะ บอกตามตรง แต่ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวไปไหน จู่ๆแบคฮยอนก็ล็อคคอฉันลากถูลู่กังให้เข้ามาในครัว

    “ไหนว่าเธอจะช่วยป่วนให้เละไง! ทำไมออกมาดูดีมีสกุลแบบนี้ล่ะ T^T

    ฉันกะพริบตาปริบๆ เออว่ะ... ดันช่วยคยองซูจัดจานออกมาซะดูดี ลืมไปสนิทเลยว่าต้องแกล้งทำให้พัง!

    “ฉันพยายามแล้วนะ อย่างสปาเกตตี้จานนั้นน่ะ ถึงจะหน้าตาดีแต่ฉันใส่น้ำส้มสายชูลงไปตั้งครึ่งขวดนายอยากจะลองชิมมั้ยล่ะ?” ฉันลอยหน้าลอยตาตอบกลับไปแบบไม่ได้คิดอะไรไว้ก่อนล่วงหน้า ระหว่างที่แบคฮยอนมัวแต่หันกลับไปมองอาหารบนโต๊ะ ฉันก็ส่งซิกทางสายตาหาคริสตัลที่พยักหน้ารับเบาๆ แล้วเตะชานยอลใต้โต๊ะเพื่อส่งซิก =__= ดีนะเนี่ยที่เจ้าลูกหมามัวแต่สนใจอาหารมากกว่าอย่างอื่นน่ะ

    “นายลองแอบดูปฏิกิริยาทุกคนสิ” ฉันพูดเราสองคนก็มุดลงไปใต้เคาน์เตอร์ ถึงจะแอบใจเต้นที่เราอยู่ใกล้กันขนาดนี้ แต่อีกใจนึงก็ลุ้นไปด้วย คยองซูเป็นคนแรกที่หยิบส้อมมาเขี่ยๆสปาเกตตี้ เขาส่งสายตามาทางฉันเป็นเชิงไม่รู้จะทำสีหน้ายังไง แต่ดูจากท่าทางที่แบคฮยอนพยักหน้าหงึกหงักให้ ตาทึ่มนี่คงคิดว่าคยองซูมองมาทางตัวเองแหงๆ สุดท้ายมือคีย์บอร์ดตาโตก็ตักสปาเกตตี้เข้าปาก แกล้งทำตาโตเบะปากเล็กๆ แล้ววางช้อนลงอย่างมีมารยาท แอคติ้งไม่ใหญ่...แต่เล่นเอาคนดูเชื่อซะสนิท

    “เป็นไงล่ะ?” ฉันเอาหัวกระแทกคางหมอนั่นเบาๆ พยายามกลั้นหัวเราะเก๊กสีหน้าเต็มที่ เพราะสีหน้าท่าทางที่สุดจะโอเวอร์ของปาร์คชานยอล แถมซอลลี่เองก็เอากับเค้าด้วย คนที่ไม่ถนัดตีสีหน้าโกหกอย่างคริสตัลกับจงแดทำได้แค่สบตากัน ซ่อนยิ้มเล็กๆ แล้วก็วางช้อนส้อม

    “โอเค ฉันยอมรับฝีมือเธอก็ได้” แบคฮยอนพูดออกมา ท่าทางจะยังไม่เห็นท่าทางที่พี่คยูฮยอนกับพี่ซันนี่ก็นั่งกินสปาเกตตี้กันอย่างเอร็ดอร่อย ฉันก็เลยดึงมือหมอนั่นที่กำลังจะลุกขึ้นไว้ แล้วชี้ไปทางพี่ๆ

    “เดี๋ยวก่อน...” แกล้งทำเป็นอ้าปากค้างมองไปทางโต๊ะ กะพริบตาปริบๆ ทั้งๆที่อยากลงไปขำกลิ้งกับพื้นจะใจจะขาด ยิ่งหันไปเห็นสีหน้าหมาเหวอของหมอนั่นแล้วก็ยิ่งอยากจะขำ! นี่ช็อคขนาดเข่าอ่อนไหลลงไปนั่งกับพื้นเลย โธ่ จะโง่ไปถึงไหนกันนะ บยอนแบคฮยอน!

    “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะยังมีคนประเภทนี้หลงเหลืออยู่บนโลก” ฉันพูดออกไป จริงๆแล้วจงใจสื่อถึงคนตรงหน้าที่กำลังเอาหัวโขกเคาน์เตอร์เบาๆอยู่สองสามทีมากกว่าพี่สาวกับพี่ชายที่นั่งกันอยู่บนโต๊ะ แต่ก็รู้ว่าอีตาซื่อบื้อนี่คงไม่รู้หรอก...

    ...ฉันเองก็ยังไม่รู้เลยเหมือนกันว่าตกหลุมรักคนประเภทนี้เข้าไปได้ลงได้ยังไง
     

    “นะๆ ช่วยหน่อยเถอะนะ น้า~

    ฉันประกบมือทำท่าทางที่คิดว่าน่ารักที่สุดส่งไปให้ผู้ชายตัวสูงสามคนที่ยืนบอกบุญไม่รับอยู่ตรงหน้า คิมจงอิน หวงจื้อเทา และโอเซฮุน สามหนุ่มหล่อที่ใครๆเค้าก็รู้กันทั้งโรงเรียนว่าเป็นแฟนบอยของฉัน อันนี้ไม่ได้เข้าข้างตัวเองนะ แต่สามคนนี้ชอบฉันจริงๆนี่นา...

    จะโทษก็คงต้องโทษจงแดที่เสนอแผนหาเรื่องเจ็บตัวให้แบคฮยอน เอาเข้าจริงจงแดก็คงหมายหัวไว้แต่แรกแล้วล่ะค่ะว่าคู่ปรับในแผนเจ็บตัวเพื่อสาวต้องเป็นสามคนนี้ ใครๆก็รู้ว่าแฟนคลับขาโหดทั้งสามคนของฉันเป็นไม้เบื่อไม้เมากับบยอนแบคฮยอนมาแต่ไหนแต่ไร เดินเฉียดกันทีก็ขู่ฟ่อๆขนตั้งหางชี้ยังกับจะกระโจนเข้าใส่กันได้ตลอด แต่ขืนปล่อยจงแดมาเตี๊ยมกับสามคนนี้เอง มีหวังแบคฮยอนโดนอัดเละชัวร์ๆ ถึงเจ้าตัวจะมีวิชาฮับคิโด้แต่ก็ไม่เคยเห็นงัดเอาออกมาใช้นอกสนามสักที ยกเว้นตอนเกิดเรื่องเข้าใจผิดช่วงม.ต้นที่ฉันดันไปลื่นล้มกระโปรงเปิดตรงหน้าจงอินแล้วก็ได้แต่นั่งร้องไห้งอแงด้วยความอับอาย ฟังซอลลี่กับคริสตัลก็อธิบายไม่ทันจบ หมอนั่นก็เลือดขึ้นหน้าเข้าใจผิดคิดว่าจงอินเป็นสโตล์กเกอร์โรคจิตมารังแกฉัน รู้อีกทีแบคฮยอนก็วิ่งไปกระโดดบราซิลเลี่ยนคิกใส่เค้าซะแล้ว ทั้งคู่เลยได้แลกวิชากันสนุกสนานจนหน้าเขียวเป็นจ้ำๆไปหลายวัน...

    “มันจะไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอครับคุณหนู... ทั้งๆที่ก็รู้ว่าพวกเรารู้สึกยังไง แต่ให้ไปทำแบบนั้นเพื่อหมอนั่นอีกเนี่ยนะครับ?” โอเซฮุนหนุ่มน้อยหน้าคมที่เป็นคนสุภาพจัดมองหน้าฉันอย่างลำบากใจ ส่วนไอ้ที่เรียกกันว่า คุณหนูน่ะ ไม่ใช่ประชดหรืออะไรหรอกนะคะ แต่มันเป็นชื่อเล่นที่สามคนนี้ใช้เรียกฉันน่ะ =__= จะเกิดจากความพิศวาสสเน่หาอะไรก็ตามแต่เถอะ ฉันก็ไม่ค่อยจะเข้าใจเหมือนกัน คือถ้าไม่คิดอะไรมากมันก็น่ารักดีน่ะนะ

    “ช่าย...ช่าย... ถ้าพวกเราอัดแบคค่อนจนเละ คุงหนูห้ามว่านะ”

    “แบค-ฮยอน ตะหากล่ะอาเทา... แล้วก็ถ้าชื่อเล่นมันเรียกยากนัก เรียกฉันว่าซูจีธรรมดาเหอะ” ฉันหันไปแก้สำเนียงเพื่อนตัวสูงชาวจีนที่ทำหน้าเหรอหรา

    “ถามจริงๆเถอะนะ ถ้าทำจนถึงที่สุดแล้วมันไม่สำเร็จ คุณหนูจะทำยังไง? ไม่ท้อไม่เหนื่อยบ้างเหรอ? ไม่เคยคิดจะหันกลับมามองพวกเราบ้างสักนิดเลยเหรอ?” จงอินพูดขึ้นมา ประโยคนั้นของเขาแทงใจดำฉันเต็มๆเลยล่ะ

    เหนื่อยเหรอ... ท้อเหรอ...

    บอกได้เลยว่าฉันเหนื่อยวันละสามครั้ง ท้อวันละห้าเวลา...

    แต่ที่มันมากกว่านั้นคือจำนวนครั้งที่ฉันตกหลุมรักผู้ชายที่ชื่อบยอนแบคฮยอน ไม่รู้ว่าหมอนั่นทำอะไร แต่แค่อยู่ข้างๆกันฉันก็รู้สึกว่าเหมือนฉันตกหลุมรักเขาได้ในทุกๆสามวินาที...

    นั่นแหละสาเหตุที่ฉันยังถอยไม่ได้ จนกว่ามันจะถึงที่สุดกันไปข้าง!

    “มันก็เหมือนกับที่พวกนายยังคงตามฉันไปเรื่อยๆนั่นแหละ... ฉันรู้ ฉันเข้าใจดี ถ้าเรื่องที่ฉันขอไปทำให้ลำบากใจก็ไม่เป็นไรนะ ฉันก็ลืมคิดไปเองแหละ ขอโทษด้วย”

    “ยังไม่มีใครปฏิเสธซักหน่อยครับ จงอินอย่าพูดอะไรให้คุณหนูจิตตกสิ” เซฮุนส่งสายตาคาดโทษให้เพื่อนรักผิวสีเข้มที่ยกมือขึ้นเกาหัวทำท่าทางไปไม่เป็น ส่วนจื้อเทาประเมินจากสีหน้าเหรอหราแล้วคงจะกำลังแปลข้อความเมื่อตะกี้อยู่

    “สรุปว่าพวกเรายอมช่วยก็ได้ครับ... จะพยายามออมมือ แต่ถ้าเกิดเผลออัดบยอนแบคฮยอนเละไปอย่างที่จื้อเทาว่า พวกผมไม่รับผิดชอบนะครับคุณหนู...” เซฮุนพูดปิดท้ายก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป ทิ้งให้ฉันยืนถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย

    สงสัยฉันต้องไปหาอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเตรียมไว้ซะตั้งแต่เนิ่นๆแล้วล่ะมั้ง?

     

     

    “พอได้แล้ว พอได้แล้วน่าเบค่อนอ่า~” ชานยอลล็อกแขนสองข้างของหมอนั่นไว้แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ผลสักเท่าไหร่ สมควรอยู่หรอกนะที่จะปรี๊ด ก็ขนาดฉันลงทุนไปขอร้องให้เบามือแล้ว แต่ก็ยังไม่วายได้รอยเขียวจ้ำๆมาประดับเต็มหน้าอยู่ดี

    “อะไรวะ คนเค้าอุตส่าห์ช่วยแท้ๆ” จงแดแกล้งตัดพ้อแต่ดูท่าทางลอยหน้าลอยตาซะจนน่าหมั่นไส้

    “ช่วยให้ตายเร็วสิฟระ! ไปขุดไอ้พวกนั้นมารุมฉันทำไม? แกก็รู้ว่าไอ้เปรตสามตัวนั่นมันเกลียดฉันยิ่งกว่ากะจั๊วะอีกน่ะ!!!” ฉันฟังคำโวยวายของหมอนั่นแล้วก็อดขำไม่ได้ ก่อนจะปั้นสีหน้ายิ้มเยาะแล้วเดินไปแซะเบาๆ

    “แล้วสรุป นายก็โดนพวกนั้นอัดเละ ไม่ได้โชว์พาวอวดสาวเลยสินะ”

    “ก็เพราะเธอนั่นแหละ! ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ ไอ้สามตัวนั่นไม่เกลียดขี้หน้าฉันมาจนถึงทุกวันนี้หรอก!” แบคฮยอนเปลี่ยนเป้าหมายความเหวี่ยงมาที่ฉัน... แหม ไม่ต้องย้ำก็รู้สึกผิดน่า ฉันกัดริมฝีปากเล็กๆ ชั่งใจอยู่สักพักก่อนจะยกกล่องปฐมพยาบาลวางไว้ตรงหน้าหมอนั่นที่ทำเป็นงงไก่ตาแตก แล้วก็ต้องรีบพูดออกไปโดยไม่ทันคิด

    “เอ้านี่... อาเทาฝากฉันมาให้”

    “หา? จื้อเทาน่ะเหรอ?” แบคฮยอนถามสวนกลับมา เวรละ... ไม่น่าอ้างชื่ออาเทาเลยแฮะ แต่ทำไงได้ พูดไปแล้วก็ต้องแถกันต่อไปแหละ

    “อื้อ จื้อเทา หมอนั่นฝากขอโทษที่เล่นแรงไปหน่อย บอกว่าสถานการณ์มันพาไป”

    “เดี๋ยวนะ เดี๋ยว... จื้อเทาจะเอากล่องพยาบาลมาให้แบคฮยอนทำไมอ่ะ ไม่เข้าใจเลย” ชานยอลเอียงคอถามสีหน้าแบบดูก็รู้ทันว่าพ่อมือกีตาร์ขายาวอ่านเกมออกทะลุปรุโปร่ง แต่คนอย่างแบซูจี... อยู่ๆจะให้เดินโท่งๆเข้ามาบอกว่าเป็นห่วง หาซื้อยาสารพัดมาให้อีตาลูกหมาตรงหน้านี่น่ะเหรอ? บอกเลยว่าทำไม่ได้ T^T ขืนทำก็ความแตกน่ะสิ!

    ก็... เอาจริงๆเลยนะ หมอนั่นไม่ได้ชอบฉันเท่าไหร่หรอก แล้วก็ติดจะเป็นพวกมาโซคิสท์หน่อยๆ...” ฉันแกล้งทำท่าใสซื่อไม่รู้ไม่ชี้ตอบทั้งชานยอลและแบคฮยอนกลับไป

    ช่วยอธิบายตรงๆ เป็นภาษาคนแบบไม่อ้อมค้อมได้ป่ะซูจี” จงแดเอ่ยขึ้นตรงด้วยสีหน้าแบบเดียวกับชานยอล แต่แฝงมาด้วยคำพูดประมาณว่า จะทำท่ามากไปเพื่อ?

    ฉันสูดลมหายใจลึก ในเมื่อจะต้อนกันขนาดนี้ใช่ไหม?... ได้!

    อาเทาชอบนาย ไม่ได้ชอบฉัน เท่านี้ชัดพอยัง!?”

    โครม!

    เป็นแบคฮยอนที่ล้มโครมลไปนอนกองกับพื้น เพื่อนๆคนอื่นสบตากันเหรอหราไม่คิดว่าฉันจะมามุกนี้ ก่อนที่แต่ละคนจะยอมแพ้แล้วหัวเราะดังลั่นไม่เว้นแม้แต่คยองซูกับคริสตัล ปล่อยให้ฉันก้มงุดๆซ่อนใบหน้าร้อนผ่าว ดีที่แบคฮยอนมัวแต่ตบมุกไปมากับชานยอลจนไม่ได้สังเกตเห็นปฏิกิริยาของฉันเลย

    แต่ฉันว่าคู่จิ้นชานแบคก็ไม่เลวเหมือนกันนะ น่ารักดีออก” ซอลลี่ยิ้มแซวแอบส่งสายตามาล้อฉันเนียนจนอดหมั่นเขี้ยวเดินไปเขกกะโหลกเพื่อนสุดที่รักไม่ได้ อย่ามายุให้แบคฮยอนเป็นเกย์นะ! ฉันคนนึงล่ะที่ไม่ยอม

    พอเลย เลิกไร้สาระกันได้แล้ว นี่ต่อไปจะเอายังไงล่ะ? คงไม่ใช่เลิกล้มความตั้งใจไม่จีบพี่ซันนี่แล้วหรอกนะ?” ฉันถามออกไป แบคฮยอนจ้องหน้าฉันครู่หนึ่ง ชั่วขณะนั้นฉันก็เผลอไป เผลอไม่ได้ทำสีหน้าเหยียดหยันดูถูกเขาอย่างทุกที เผลอแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกสิ้นหวังของฉัน...

    พอสักทีเถอะนะแบคฮยอนอา ฉันอยู่ตรงนี้แล้ว นายเลิกวิ่งไล่ตามพี่ซันนี่ซักทีแล้วหันกลับมามองฉันตรงนี้เถอะนะ...

    แต่คำตอบของเขาก็ไม่เคยเป็นอย่างที่ใจฉันหวังเลยสักครั้ง

    วางใจได้ ยังไงฉันก็ไม่ล้มเลิกง่ายๆหรอก เพียงแต่ยังคิดไม่ออกว่าจะทำอะไรต่อดีน่ะ”

    ฉันได้แต่ปล่อยให้เพื่อนๆเสนอแผนการณ์ช่วยแบคฮยอนต่อไปด้วยสมองที่ว่างเปล่า...

    หรือว่าฉันต่างหากที่ควรจะเป็นฝ่ายถอย?

     

    “นี่! อยู่นิ่งๆสิ!

    ฉันเอ็ดหมอนั่นที่เอาแต่ทำตังยุกยิกๆอยู่ไม่สุข คนจะรองพื้นให้มันลำบากนะเนี่ย ไหนต้องถือถุงน้ำร้อนประคบหน้าประคบตัวให้อีก อย่างเมื่อยอ่ะ!

    บ่นไปนั่น... แต่ยังไงก็ต้องทำอยู่ดี เฮ้อ~

     “อย่าเหงื่อไหลได้มั้ย เครื่องสำอางที่ลงไปมันเยิ้มหมด” หมอนั่นหันมาค้อนขวับกับคำพูดของฉัน แหม ก็มันอดแขวะไม่ได้นี่ ดูสิ ยอมลงทุนประคบถุงน้ำร้อนจนผิวขาวโอโม่ของหมอนั่นแดงจนแทบไหม้ ถ้าไม่ใช่เพื่อจีบพี่ซันนี่จะลงทุนขนาดนี้มั้ยเนี่ย

    “ลองมาเป็นฉันดูบ้างมั้ยล่ะ? โคตรจะร้อนเลย”

    ฉันบึนปากใส่คนตรงหน้าแล้วจงใจกระแทกพัฟลงไปแรงๆ เอานิ้วถูๆคอนซีลเลอร์บนปากหมอนั่นด้วย

    “แล้วนี่เธอโทรตามพี่ซันนี่ยัง?” แบคฮยอนถามขึ้นมาหลังจากฉันจัดการแต่งหน้าให้จนเสร็จ

    “ฉันโทรไปบอกว่านายท่าทางเหมือนไม่สบาย แล้วก็ไม่กล้ารบกวนพี่คยูฮยอน พี่เค้าก็เลยบอกว่าอีกครึ่งชั่วโมงจะรีบมา”

    “แล้วเธอโทรไปบอกตอนกี่โมง?”

    “ก็... ครึ่งชั่วโมงที่แล้วพอดี”

    “เฮ้ย!! O_O” แบคฮยอนร้องเสียงหลงพอดีกับที่ได้ยินเสียงเบรคดังเอี๊ยดตรงหน้าบ้านหมอนั่น พอแอบแหวกม่านหน้าต่างดูก็เห็นรถเต่ามินิสีเหลืองของพี่ซันนี่แล่นเข้ามาจอดพอดิบพอดี แล้วอีตาลูกหมาก็ทำหน้าช็อคสุดขีด =__=

    ถึงจะเซ็งเล็กๆ แต่ฉันก็ปั้นหน้าเล่นละครต่อไป

    “นายออกไปเลย! ปีนออกไปทางระเบียงแล้วข้ามต้นไม้นั่นกลับไปห้องนายเลยเร็วๆเข้า! ไปสิ!” ฉันรุนหลังหมอนั่นให้เดินไปทางหน้าต่าง เห็นสีหน้าแหยงๆของแบคฮยอนแล้วก็อยากจะลงไปขำกลิ้ง รู้แหละว่ากลัวความสูง ไม่งั้นอีตานี่คงไม่เตี้ยอยู่อย่างนี้หรอก

    “เร็วเข้าดิ! พี่ซันนี่เดินเข้าบ้านมานั่นแล้วเห็นมั้ย?” ฉันเร่ง แล้วหมอนั่นก็สูดหายใจลึกๆ ยกขาพาดราวระเบียงห้องไป เห็นมือสั่นๆ กับหน้าที่ซีดลงทุกทีๆแบบไม่ได้เกิดจากเมคอัพตะกี้แล้วฉันก็ได้แต่ถอนหายใจอีกระลอก แล้วก็ตัดสินใจปีนตามหมอนั่นออกไป

    “เฮ้ย ทำอะไรของเธอน่ะ?”

    “ก็มาช่วยนายไงล่ะ ฉันรู้หรอกนะว่านายมันป๊อด! เร็วๆเข้า จับมือฉันไว้แล้วรีบๆปีนขึ้นต้นไม้ไปซะ ให้นายข้ามไปเองคนเดียวมีหวังหล่นลงไปนอนไส้แตกอยู่ข้างล่างนั่นแหละ”

    แบคฮยอนมองฉันด้วยแววตาคล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วเขาก็เอื้อมมือเย็นเยียบมาบีบมือฉันไว้แน่น ฉันพยายามไม่มองลงไปข้างล่าง ส่งแรงเท่าที่มียืนเป็นหลักให้แบคฮยอนก้าวขึ้นไปบนต้นไม้ได้สำเร็จ พอเขายืนได้มั่นคงแล้วหมอนั่นก็ออกแรงดึงฉันให้กระโดดตามมายืนอยู่บนกิ่งไม้กิ่งเดียวกัน

    สังเกตบ้างมั้ยนะว่าที่ใจฉันสั่นขนาดนี้ไม่ใช่เพราะความสูง มือที่เย็นขนาดนี้ก็ไม่ได้เกิดจากความกลัว...

    ลงท้ายฉันก็ส่งหมอนั่นข้ามไประเบียงห้องตัวเองได้สำเร็จ แบคฮยอนยืนยิ้มกว้าง ยกนิ้วโป้งส่งให้

    “ขอบใจนะ เอ๋อ!

    “รีบๆเข้าไปเลยไป แล้วก็ปัดเสื้อผ้านายซะด้วย! ใบไม้เต็มตัวไปหมด อ้อ! แล้วถ้าทำพังอีกคราวนี้ล่ะก็ ฉันไม่ปล่อยนายไว้แน่!” ฉันแลบลิ้นกลบเกลื่อนความรู้สึกที่ผสมปนเปกันระหว่างความโล่งอกและความเสียใจ เสียงเคาะประตูของพี่ซันนี่ดังขึ้น แล้วแบคฮยอนก็รีบวิ่งผลุบหายเข้าไปในห้องดึงม่านปิดตามหลัง ไม่สนใจจะถามฉันสักนิดว่าฉันจะกลับไปคนเดียวได้รึเปล่า หรือฉันปีนลงข้างล่างไหวไหม

    เธอไม่มีสิทธิ์มาน้อยใจนะซูจี ก็เลือกเองนี่ว่าจะเล่นละครตบตาหมอนั่น

    ฉันคิดย้ำกับตัวเองในขณะที่พยายามจะปีนกิ่งไม้ลงมาอย่างทุลักทุเล ไม่ต้องสงสัยเลยค่ะ ฉันปีนข้ามกลับไปห้องตัวเองไม่ได้แน่ๆ วิธีที่ปลอดภัยกับชีวิตมากกว่าคือค่อยๆปีนกลับลงมาข้างล่าง

    แต่ดูเหมือนฉันจะคิดผิดไปหน่อย จู่ๆกิ่งไม้ที่ฉันถ่ายน้ำหนักเท้าขวาลงไปก็หหักดังเป๊าะ วินาทีนั้นมันเหมือนภาพสโลว์โมชั่น มือฉันพยายามคว้ากิ่งอื่นๆที่พร้อมใจกันหักกราวรูดลงมา แล้วสุดท้ายฉันก็หล่นลงกระแทกพื้น หัวไปโขกกับกิ่งใหญ่ๆที่ยื่นออกมาอีกต่างหาก ทั้งเจ็บทั้งจุกจนน้ำตาเล็ดเลยอ่ะ T^T

    “โอ๊ย!” ฉันร้องออกมาทันทีที่พยายามขยับขาซ้าย กะพริบตาถี่ๆไล่ความเจ็บปวดที่ทำให้ตาพร่าแล้วก็มองขาตัวเอง โชคดีที่ไม่ได้หัก แต่รอยเขียวช้ำบวมปูดใกล้ๆข้อเท้านั่นเป็นสัญญาณความลำบากในชีวิตมาแต่ไกล ระหว่างที่กำลังชั่งใจว่าจะตะโกนขอความช่วยเหลือดีมั้ย ประตูหน้าบ้านพี่คยูฮยอนก็เปิดออกพร้อมร่างของพี่ซันนี่กับใครอีกคนที่มาในชุดเสื้อกาวน์แถมยังหล่อสูง ดูดีมีสกุล คงจะเป็นพี่หมอคริสที่พี่ซันนี่เตี๊ยมเอาไว้มาจับโกหกแบคฮยอน ถึงจะสงสัยว่าทำไมถึงกลับออกมากันเร็วนัก แต่ตอนนี้ฉันไม่คิดจะถามเรื่องนั้นแล้วล่ะ เพราะที่หัวกับข้อเท้าเริ่มมีอาการปวดหนึบๆ

    “อ้าว! ซูจี ไปนั่งทำอะไรตรงนั้นจ๊ะ? แล้วทำไมสภาพยับเยินอย่างนั้นล่ะ?” พี่ซันนี่ทักแล้วก็รีบปรี่เข้ามาหาทันทีแบบไม่มีลังเล

    “ช่วยด้วยค่ะพี่หมอ หนูตกต้นไม้ T^T

     

    ฉันเปิดประตูห้องเรียนแล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นของเพื่อนๆตัวป่วนต้อนรับแต่เช้า...

    ก็จะไม่ให้หัวเราะได้ไงในเมื่อกลางหัวฉันตอนนี้มีมะนาวปูดขึ้นมาลูกเบ้อเร่อ!

    ฉันส่งสายตาคาดโทษตัวป่วนทุกคน แต่ที่โดนหนักสุดคงหนีไม่พ้นตัวการที่ทำให้ฉันตกอยู่ในสภาพน่าหัวเราะแบบนี้ แบคฮยอนเองทีแรกก็หลุดยิ้มออกมา แต่พอเห็นหน้าบูดๆของฉันแล้วหมอนั่นก็ทำตัวสงบเสงี่ยมช้อนตามองเป็นหมาจ๋อย

    “ใครไม่อยากตายก็หุบปากไปซะ!” จงอินโวยวายขึ้นมา แถมยังเอาเท้าฟาดโต๊ะข่มขู่ บวกกับท่าทางอยากมีเรื่องของเซฮุนและจื้อเทาด้วยแล้ว สรุปว่าทั้งห้องก็พากันเงียบกริบ เพื่อนๆในวงพากันหนีกลับห้องอย่างรวดเร็ว ทิ้งบรรยากาศมาคุเอาไว้ข้างหลัง

    จริงๆคือไม่ได้อยากจะโกรธหรอกนะ เรียกว่ายังไงดีล่ะ... โกรธไม่ได้มากกว่า เพราะแบคฮยอนไม่ได้ขอให้ฉันปีนต้นไม้ข้ามมาส่ง ไอ้ที่เจ็บตัวเนี่ยเพราะความงี่เง่าของตัวเองแท้ๆ แต่ที่มีอาการปึงปังแบบนี้เนี่ยสารภาพกันตามตรงเลยคือน้อยใจ ฉันรู้จากพี่คยูฮยอนว่าหมอนั่นเกิดป่วยจริงๆ ห่วงก็ห่วง คอยถามพี่เค้าทุกเช้าทุกเย็นว่าหมอนั่นเป็นไงบ้าง แต่เมื่อเช้า พอฉันไม่ไปยืนรอหน้าประตูบ้าน บยอนแบคฮยอนกลับไม่ยื่นหน้ามาถามสักคำว่าฉันเป็นอะไร แถมพอเห็นสภาพยับเยินของฉันแล้วหมอนี่ยังไม่คิดจะขอบคุณหรือขอโทษด้วยซ้ำ!

    แบบนี้จะไม่ให้ฉันน้อยใจยังไงไหว!

    ฉันเดินกระโผลกกระเผลกไปนั่งข้างๆหมอนั่น จงใจฟาดกระเป๋าแรงๆเป็นการระบายอารมณ์ถึงจะรู้ว่าทำให้อีตาหมาโง่นี่สะดุ้งโหยง ฉันเริ่มนับหนึ่งถึงร้อยสะกดอารมณ์เอาไว้ไม่ให้พลุ่งพล่านมากกว่านี้ แต่นับได้ยังไม่ทันถึงสิบคนข้างๆก็สะกิดเรียกซะก่อน

    “มีอะไร?” ฉันถามเสียงห้วน

    แต่แทนที่จะได้คำตอบ หมอนั่นกลับล้วงมือเข้าไปหยิบเจลลดไข้ของตัวเองมาแปะลงบนหน้าผากโนๆของฉัน ไม่ได้รู้เลยว่าการกระทำนั้นทำให้ใบหน้าเราห่างกันแค่คืบ ดวงตาใสแจ๋วของแบคฮยอนมองรอยช้ำบนหน้าผากฉันพลางขมวดคิ้วกัดริมฝีปากน้อยๆ นิ้วเรียวยาวสัมผัสเบามือเหมือนกลัวจะทำให้ฉันเจ็บ แต่ไม่ได้รู้เลยสักนิดว่ายิ่งทำแบบนี้ ฉันก็ยิ่งตกหลุมรักเขามากขึ้นทุกทีๆ

    “รู้น่าว่าไม่ได้เป็นไข้ แต่ก็แปะไว้เหอะ คนอื่นจะได้ไม่ขำ แล้วก็เผื่อเจลเย็นๆมันจะลดอาการปวดได้บ้าง”

    อย่าทำกับฉันแบบนี้ได้ไหม? ทำเหมือนเป็นห่วงกัน...

    ฉันสะบัดหน้าหนีหมอนั่นก่อนจะปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติแล้วตอบกลับไป

    “ทางที่ดีเย็นนี้ช่วยนัดคิวพี่ชายนายให้มารักษาฉันเป็นการส่วนตัวดีกว่านะ รับรองว่าหายเร็วเชียวล่ะ”

    “ฮึ้ย! เธอนี่มัน!

    ยังไม่ทันจะได้เปิดสงครามน้ำลายกันต่อ จู่ๆมือถือของหมอนั่นก็สั่นครืดคราด แบคฮยอนขมวดคิ้วอีกรอบก่อนจะวางมือถือไว้ตรงขอบโต๊ะให้ฉันได้อ่านข้อความแชทที่ถูกส่งเข้ามาด้วย

              << นี่ ถ้านายยังไม่ยอมแพ้ฉันยังมีไอเดียดีๆอยู่นะ >>

    ฉันกับแบคฮยอนสบตากันหลังเห็นข้อความนั้นแล้วหมอนั่นก็พิมพ์ตอบกลับไป

                << ไอเดียอะไร? >>

              << ดับเบิ้ลเดทที่สวนสนุกไงล่ะ ไปด้วยกันทั้งหมดนี่เลย แล้วแกล้งทำเป็นพลัดหลงกัน พวกฉันจะทำให้นายได้จับคู่กับพี่ซันนี่เอง ส่วนซูจีก็จะได้ดึงพี่คยูฮยอนไปอีกทาง โอเคไหม? >>

    เริ่มแล้วสินะ... แผนการที่ฉันคิดกับคริสตัลเมื่อคืน...

    พวกเราวางแผนไว้ว่าจะแกล้งพลัดหลงกัน แต่ก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น พี่ซันนี่จะปลีกตัวกลับไปหาพี่คยูฮยอน ส่วนฉันก็จะสวมรอยสลับไปคู่กับหมอนั่นแทน เป็นการสร้างโมเมนท์ไงล่ะ!

    แบคฮยอนยิ้มกว้างโดยที่ไม่ได้ล่วงรู้ถึงแผนการตลบหลังเลย ฉันเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์หมอนั่นส่งข้อความตอบกลับไปตามที่เตี๊ยมกันไว้...

    << แผนดับเบิ้ลเดทที่สวนสนุก จัดไปอย่าให้เสีย! >>

     

    ฉันยืนใจเต้นตึกตักอยู่ตรงหน้าบ้านของหมอนั่น

    ยังไงดีนะ? ฉันควรจะทำหน้ายังไงดี?

    เสื้อผ้าหน้าผมจัดเต็มมาแบบนี้ ถ้าเกิดหมอนั่นบอกว่ามันไม่เข้ากับฉันล่ะ? เอ๊ะ หรือฉันทาลิปสติกสีจัดไปรึเปล่า? เช็คหน่อยดีกว่า...

    ฉันหยิบตลับแป้งในประเป๋าถือมาเปิดเช็คความเรียบร้อยของเมคอัพ อดห้ามใจเติมลิปกลอสไม่ได้เลยจริงๆ แล้วเดชะบุญหรือจะกรรมลิขิตอะไรไม่รู้ที่บยอนแบคฮยอนเปิดประตูดังผลั๊วะออกมาตอนฉันกำลังทำปากจู๋กำลังจะเติมกลอสด้วยท่าทางที่คงตลกน่าดู

    “เฮอะ จะไปเล่นงิ้วไง?” หมอนั่นยักคิ้วกวนๆ มองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า =__=; หมดกันทีนี้ ฉันทำหน้าบึ้ง พับกระจกเก็บใส่กระเป๋ายกมือปัดผมที่อุตส่าห์ดัดเป็นลอนอ่อนๆไปทางด้านหลังแบบเซ็งๆกึ่งรำคาญ

    รู้งี้ไม่แหกขี้ตาตื่นมาทำสวยซะก็ดี!

    “โอ้โห ซูจี วันนี้น่ารักจังเลยนะคะ” พี่คยูฮยอนเดินยิ้มแป้นออกจากบ้านโดยที่มีพี่ซันนี่ควงแขนขยิบตาส่งมาให้ด้วย ฉันถอนหายใจให้กับความโง่เง่าของบยอนแบคฮยอนอีกครั้ง แล้วเราก็ขึ้นไปนั่งเบาะหลังของรถพี่ชายอย่างเงียบเชียบ แบคฮยอนเอามือเท้าคางมองออกไปนอกหน้าต่าง ทำท่าเหมือนไม่อยากเห็นบรรยากาศสวีทวี้ดวิ้วของพี่ซันนี่กับพี่ชายตัวเอง ไม่ได้สังเกตสักนิดว่าฉันเหลือบตามองไปทางเขาเป็นระยะๆ แล้วท้ายที่สุดหมอนั่นก็หลับเอาซะดื้อๆ

    ฉันมองหน้าเจ้าเด็กโง่นั่นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจกับตัวเองอีกที...

    เอาน่า ตอนนี้ห้ามยอมแพ้นะ แบซูจี!

     

     

    “แบคฮยอนหลงทางเหรอคะ?” ฉันได้แต่อ้าปากค้างมองหน้าพี่ซันนี่ที่ยิ้มแห้งๆส่งมาให้

    “อันนี้หลงจริงแบบไม่เตี๊ยมเลยล่ะ แถมแบคฮยอนยังทำมือถือตกไว้อีกต่างหาก” ไม่พูดเปล่า พี่สาวหยิบสมาร์ทโฟนหน้าตาคุ้นๆส่งมาให้ฉันดูเป็นหลักฐานด้วย

    ฉันกัดปาก ครุ่นคิด เอายังไงดีนะ? หมอนั่นจะฉลาดพอโทรเข้าเบอร์ตัวเองไหม? แล้วเขามีตังค์มาพอที่จะกลับบ้านคนเดียวรึเปล่า ถ้าไม่จะทำยังไงดี ฉันจะทำยังไงดี?

    “เราแยกย้ายกันตามหาดีไหมคะ? หนูจะโทรเรียกพวกซอลลี่กลับมาช่วยด้วย” ฉันเสนอไปแต่ท่าทางพี่คยูฮยอนไม่ค่อยจะเป็นเดือดเป็นร้อนสักเท่าไหร่

    “ไม่ต้องกวนพวกซอลลี่หรอกค่ะ เราแยกกันไปหานี่แหละ เดี๋ยวพี่ไปกับพี่ซันนี่เอง พี่ว่าแบคฮยอนคงไม่เดินไปไหนไกล” พี่คยูฮยอนว่าก่อนจะจูงมือพี่ซันนี่เดินไปอีกทาง แต่ให้เดานะคะ ฉันว่าสองคนนั้นต้องไปเล่นกันต่อแหงๆ และตามแผนที่เตี๊ยมกันมา คนอื่นๆจะทำเป็นเนียนหนีกลับบ้านไปเลย เพราะงั้นตอนนี้ฉันไม่มีตัวช่ววยเลยล่ะค่ะ

    เอาวะ! เดินหาก็ได้

    คิดอย่างนั้นปุ๊บ ฉันก็ออกเดินทันที จุดสุดท้ายที่แยกกันคือแถวๆรถไฟเหาะใช่ไหมนะ? เขาน่าจะยังอยู่แถวนั้นรึเปล่านะ?

    ฉันเดินไปเรื่อยๆ ไม่รู้นานเท่าไหร่ คอยแต่จะมองหน้าผู้ชายซื่อบื้อคนนั้น โธ่ ถ้ารู้แบบนี้ไม่ใส่ส้นสูงมาซะดีกว่า ปวดขาสุดๆ รองเท้าก็กัด แทบจะเดินไม่ไหวแล้วนะ

    ระหว่างที่ฉันกำลังคิดจะถอดใจยอมแพ้ ใครบางคนก็วะกิดเบาๆที่หัวไหล่

    “ไง มองหาพี่คยูฮยอนอยู่สินะ”

    ฉันเม้มปากกลั้นเสียงร้องกรี๊ดที่ดังอยู่ในใจ เพราะคนตรงหน้าคือคนที่ฉันลากสังหารออกเดินหา มาตั้งนาน แบคฮยอนดูจะเซ็งสุดขีดยิ่งกว่าเมื่อเช้า แต่แค่ฉันได้เห็นหน้าเขาตอนนี้ก็ดีใจซะยิ่งกว่าอะไรแล้ว

    “จ...เจอนายก็ดีแล้ว ช่วยเดินหาคนอื่นๆหน่อยสิ” ฉันพูดออกไปแล้วเขาก็พยักหน้าเนือยๆ

    อย่าเจอใครนะ... ฉันได้แต่ภาวนาไว้ในใจ... อย่าเจอใครเลย ขอให้ฉันได้อยู่กับเขาสองคนนานกว่านี้อีกนิด... แค่นิดเดียวก็ยังดี

    เป็นเอามากจริงๆนั่นล่ะแบซูจี เธอตกหลุมรักลูกหมาหน้าโง่คนนี้จนถอนตัวไม่ขึ้นซะแล้วนะ...

    ไม่รู้นานเท่าไหร่ที่ฉันได้แต่เดินตามเขาไปเงียบๆ ทนลากเท้าที่ระบมไปหมดเดินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งแบคฮยอนเป็นฝ่ายพูดขึ้นมา

    หิวมั้ย? หาอะไรกินกันเถอะ แล้วถ้าไม่เจอใครจริงๆ เราค่อยไปเล่นกันสองคน

    เล่นบ้าอะไรของนาย นี่มันหกโมงกว่าแล้วนะยะฉันตอกกลับไปแบบนั้น ยกมือขึ้นทุบขาตัวเองแก้เมื่อน แต่ในใจอยากตอบตกลงเป็นล้านรอบ

    ก็มันเสียดายตั๋วออลเดย์นี่นา สวนสนุกกว่าจะปิดก็ตั้งสามทุ่ม จะเล่นไม่เล่น? ถ้าหยิ่งนักฉันจะทิ้งเธอไว้แล้วไปเล่นคนเดียวนะยัยเอ๋อเขาพูดขึ้นมา แต่ดูจากสายตาแล้วฉันรู้ว่าเขาไม่ทำจริงหรอก ยังไงแบคฮยอนก็ไม่มีทางทิ้งให้ฉันกลับบ้านคนเดียวแน่ๆ แต่ก่อนที่จะทันได้เอ่ยปากอะไรออกไป พี่ซันนี่กับพี่คยูฮยอนก็ปรากฏตัวขึ้นในสายตา

    โอ๊ะ!” ฉันเผลออุทานออกไปแล้วแบคฮยอนก็หันขวับไปทางชิงช้าสวรรค์ทันที แหม... ทีแบบนี้ล่ะฉลาดเชียวนะ

                หมอนั่นลากฉันวิ่งตามไปต่อแถว แถมยังทำท่าลับๆล่อๆมองตามพี่ๆไปอีก ยังกับว่าเค้าจะไม่เห็นเนอะ... พี่ซันนี่สบตาส่งซิกมาให้ฉันแต่ต้นแล้วด้วยซ้ำ

                นายว่าสองคนนั้นจะเห็นเรามั้ยอ่ะ?” ฉันแกล้งถามประชดขณะยื่นตั๋วให้พนักงานประจำเครื่องเล่นแสกน

                จะเห็นไม่เห็นก็ช่างเหอะน่า รีบขึ้นกระเช้าไปเร็วๆเข้า แบคฮยอนล็อคคอฉันลากขึ้นกระเช้าไปแบบไม่แคร์อะไรทั้งสิ้น ทันทีที่ประตูปิดลง เราสองคนไปวิ่งไปติดหนึบกับกระจกแบคฮยอนใช้เวลาสนใจมองพี่ซันนี่มากกว่าที่จะสนใจฉันด้วยซ้ำ ทั้งๆที่ตอนนี้เราอยู่กันแค่สองคนในกระเช้าชิงช้าสวรรค์ และทั้งๆที่ฉันมองแต่เขา มองแค่บยอนแบคฮยอนคนเดียว แต่สายตาของเขากลับไม่หันมามองฉันเลย

                ฉันหันกลับไปมองพี่ซันนี่กับพี่คยูฮยอนที่เริ่มจูบกันแล้วก็ได้แต่หันกลับมามองคนข้างๆ

                คงจะเจ็บปวดสินะ สีหน้าผิดหวังแบบนั้น...

                ตอนนี้ฉันก็คงมีสีหน้าแบบเดียวกันล่ะมั้ง?

    แต่จู่ๆแบคฮยอนก็อุทานออกมาเบาๆ แก้มกลมขึ้นสีแดงเรื่อ ฉันมองตามสายตาหมอนั่นไปแล้วก็หลุดเสียงร้องออกมาดังลั่น

    เฮ้ย!

    ก็ตอนนี้ กระเช้าชิงช้าสวรรค์ที่อยู่ติดกับเรา มีคู่รักชายหญิงที่กำลังเล่นฉากเลิฟซีนให้เห็นอยู่ตำตา สองคนนั้นจูบกันดูดดื่มชนิดที่ทำให้พี่คยูฮยอนกับพี่ซันนี่กลายเป็นเด็กอนุบาลไปเลย แถมท่าทางจะทำอะไรๆกันมากกว่าแค่จูบด้วยเนี่ยสิ

    อ๊าย! อะไรกันเนี่ย!

    และโดยที่ฉันไม่ทันตั้งตัว แบคฮยอนก็โดดเข้ามาล็อคคอฉันแถมยังปิดตาห้ามไม่ให้มองภาพตรงหน้าอีกแน่ะ

    ทำอะไรของนายน่ะ!

    เธอเป็นผู้หญิงนะ! คิดจะดูอะไรแบบนั้นหน้าตาเฉยรึไง ให้ตายเถอะคนสมัยนี้! โตๆกันแล้วไม่คิดจะอายฟ้าอายดินกันบ้าง ผู้ชายนี่ก็อะไรไม่ให้เกียรติแฟนตัวเองซะบ้างเลย! ฉันอยากจะหัวเราะกับคำบ่นยาวพรืดเป็นตาแก่ของหมอนั่น แต่หัวใจกลับเต้นแรงอย่างควบคุมไม่อยู่ ก็ตอนนี้น่ะ...ตอนนี้เหมือนแบคฮยอนกำลังกอดฉันอยู่เลยนี่นา ไม่รู้ตัวเลยรึไงว่าเราอยู่ใกล้กันขนาดไหน... ฉันได้แต่นิ่งเงียบฟังเสียงหัวใจเต้นเป็นดับสเต็ป

    ...แต่เพราะไม่อยากให้ความแตก ไม่อยากให้เขารู้ว่าตอนนี้ฉันคิดยังไง ฉันถึงได้โพล่งขึ้นมา

    อย่ามายุ่งไม่เข้าเรื่องนะ คิดว่าผู้ชายรู้เรื่องพวกนี้ได้แค่ฝ่ายเดียวรึไง นี่! เอามือออกไปเลยนะ อย่ามาปิดตาซะให้ยาก ย่าห์! บยอนแบคฮยอน!

    ว้อยยย! ยัยแสบหยุดเลยนะ อย่าหันไปสิ! ซูจี! เธอนี่บ้ารึไง! หลับตาสิ ฉันบอกให้หลับตา!”

    นายนั่นแหละหลับตา ไอ้ลูกหมาเตี้ย! ปล่อยนะคนจะดู!

    ค่ะ... มันจบลงตรงนั้นแหละ เดทของฉันกับบยอนแบคฮยอนในสวนสนุก

    ถึงจะไม่เข้าตามแผน แต่บนชิ้งช้าสวรรค์ที่มีแค่เราสองคน ช่วงเวลาที่ฉันได้เดินข้างๆเขาโดยที่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ

    อย่างน้อย...เรื่องราววันนี้ก็จะเป็นความทรงจำที่ดีที่ฉันจะไม่มีวันลืมเลย...

     

    “แน่ใจนะว่าโอเค?”

    ชานยอลหันมาถามฉันที่ยืนนิ่งอยู่หน้าโบสถ์ สถานที่สำหรับแผนสุดท้าย... การสารภาพความในใจที่แบคฮยอนมีต่อพี่ซันนี่...

    “โอเคสิ แต่ขอไม่เข้าไปตอนหมอนั่นร้องเพลงได้ไหม?” ฉันตอบออกไป แล้วแรงบีบเบาๆที่ไหล่จากมือของคริสตัลก็ทำให้ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

    “พี่ซันนี่จะมาถึงแล้วนะ ชานยอล คริสตัล ไปเตรียมตัวเถอะ” ซอลลี่พูดแล้วมือกีตาร์ขายาวกับมือเบสสุดชิคของเราก็วิ่งหายเข้าไปยืนประจำที่บนเวทีตามแผนที่ตกลงกันไว้ ฉันสูดลมหายใจลึกก่อนจะหันกลับมายิ้มกว้างส่งให้ซอลลี่

    “ดูเหมือนแบซูจีจอมเหวี่ยงรึยัง?”

    “ซูจีอ่า...”

    “งั้นฉันเข้าไปบอกแบคฮยอนล่ะนะ” ฉันไม่รอฟังคำพูดจากซอลลี่ เพราะกลัวว่าความเข้มแข็งที่ก่อขึ้นมาจะพังทลายซะก่อน แต่พอเปิดประตูเข้าไปแล้วเห็นหน้าตาหงอยๆเหมือนลูกหมาโดนทิ้งของเขา กำแพงของฉันก็โดนตีกระหน่ำยับเยิน ฉันก้าวเข้าไปกระซิบข้างๆแบคฮยอน

    นี่! อย่ามัวแต่ยืนเหม่อสิ พี่ซันนี่มาแล้วนะ! เขาเพียงแต่ครางรับในลำคอกับคำพูดของฉัน หมดหน้าที่แล้วนะซูจี เธอทำดีที่สุดแล้วนะ... ฉันสาวเท้าเร็วๆออกมาจูงมือซอลลี่ที่มีสีหน้ากังวลแบบปิดไม่มิดออกมาด้วย พี่ซันนี่ตบไหลฉันเบาๆก่อนจะก้าวเข้าไปข้างในแทนที่

    ฉันไม่ได้ยินว่าเพลงที่หมอนั่นร้องเป็นเพลงอะไร หรือร้องเพราะมากแค่ไหน เพราะไม่ว่ายังไงใจความในเพลงนั้นก็ไม่ได้สื่อถึงฉัน ไม่ได้ร้องให้ฉัน ไม่ใช่ฉันที่บยอนแบคฮยอนรักแม้ว่าฉันจะรักเขามากแค่ไหนก็ตาม

    พี่คยูฮยอนเดินเข้ามาบีบมือฉันเบาๆก่อนจะใช้ปลายนิ้วเกลี่ยคราบน้ำตาออกจากใบหน้า

    “ไปทำให้แผนนี้จบกันเถอะนะ ซูจี”

    ฉันพยักหน้า แล้วปล่อยให้พี่ชายที่น่ารักเดินนำเข้าไป ซอลลี่เดินเข้ามาจับมือฉันแน่นก่อนที่เราสองคนจะตามเข้าไปบ้าง

    แต่งงานกับผมนะครับซันนี่... เป็นนางฟ้าของผมตลอดไปนะ

    เสียงนุ่มทุ้มของพี่คยูฮยอนดังขึ้นพร้อมกับฉากขอแต่งงานหวานแหววตรงหน้า แต่พอฉันเห็นสีหน้าของคนที่ยืนอยู่บนเวทีเท่านั้นร่างกายมันก็ชาไปหมดอย่างที่บอกไม่ได้ว่ามีสาเหตุมาจากอะไร

    นี่ฉันคงต้อง...ทำใจยอมรับความพ่ายแพ้อีกครั้งแล้วใช่ไหม?

    เขาจะรู้บ้างไหม จะรู้บ้างไหมนะว่าทุกครั้งที่เขาพ่ายแพ้ ทุกครั้งที่แผนโง่เง่านั่นล่มไม่เป็นท่า ฉันคนนี้ยืนมองเขาจากที่ไกลๆ เจ็บปวดมากกว่าเขาตั้งไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า

    ฉัน... ขอปฏิเสธค่ะ

    พี่ซันนี่พูดออกมา แล้วจงแดก็ปล่อยไม้กล้องในมือให้ร่วงลงกับพื้น แว่บหนึ่งที่ฉันเห็นแบคฮยอนสบตา แต่แล้วเขาก็หันกลับไปมองพี่ซันนี่ด้วยสีหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน

     “ขอโทษนะคะ... แต่ฉัน...ตอนนี้...ฉันแต่งงานกับพี่ไม่ได้จริงๆ

    พี่ซันนี่เอ่ยย้ำชัดอีกครั้ง ส่วนพี่คยูฮยอนก็แอคติ้งต่ออย่างแนบเนียนต่างจากคนๆเดียวในห้องนี้ที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไร ทุกความเสียใจที่ถ่ายทอดผ่านใบหน้าเศร้าหมองนั่นล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องจริง แค่เห็นเท่านั้นหัวใจฉันก็บีบรัดรุนแรงจนแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

    ผมขอเหตุผลได้ไหมครับ? ทำไมพี่ถึงแต่งงานกับพี่ชายไม่ได้ ในเมื่อพี่คยูฮยอนก็รักพี่มากขนาดนี้?”

    แบคฮยอนเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาท่ามกลางความประหลาดใจของทุกคน แต่พี่ซันนี่ก็ยังคงเล่นละครนอกบทต่อได้อย่างไม่มีพิรุธเลยสักนิด

    “...ไม่ใช่...เพราะผมใช่ไหมครับ?” เขาพูดต่อไป ตอนนี้ภาพตรงหน้าฉันเบลอไปหมดแล้ว แม้แต่น้ำเสียงของแบคฮยอนก็เหมือนจะดังมาจากที่ไกลแสนไกล

    ใช่...เหตุผลที่ทำให้พี่ปฏิเสธพี่คยูฮยอนก็คือเธอ...แบคฮยอน

    พี่ซันนี่หมุนตัวออกไปโดยไม่รอคำพูดจากใครอีก ฉันได้แต่ยืนนิ่งเหมือนถูกสาปไปชั่วครู่ที่ได้เห็นแววตารู้สึกผิดฉายชัด

    จบแล้ว แผนสุดท้ายของพวกเรา...

    ฉันเองก็ควรจะจบความรักข้างเดียวของตัวเองไว้ตรงนี้เหมือนกัน...

    ...............................

    .......................

    ................

    ..........

    .......

    .....

    ...

    .

    .

    .

     

     

     

     

    ทั้งๆที่เคยคิดแบบนั้น... คิดว่าตัวเองจะต้องตัดใจแล้วแท้ๆ...แต่ว่านะ...

    “...จี...ซูจี! ย่าห์!

    “ห... หือ ว่าอะไรนะ?”

    “มัวแต่เหม่ออะไรอยู่น่ะ ถามตั้งหลายรอบแล้วนะ ทำไมไม่ตอบ?”

    “ถามอะไรเหรอ?” ฉันเลิกคิ้วมองแบคฮยอนที่เอนตัวกลับลงไปนอนแผ่บนพื้นหญ้า ตาใสๆคู่นั้นมองมาที่ฉันโดยไม่พูดอะไรครู่ใหญ่ แล้วเขาก็ถอนหายใจเล็กๆ

    “ช่างเถอะ ไม่อยากรู้แล้ว”

    “หือ? อะไรของนายเนี่ย ถามมาสิ ตอนนี้ฟังแล้ว” ฉันกระตุกแขนเสื้อหมอนั่นแต่แบคฮยอนก็ได้แต่ส่ายหน้า เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่นั่นแหละ พอเซ้าซี้ไม่สำเร็จฉันเลยเปลี่ยนแผนลงนอนแผ่ข้างๆเขาแทน ท้องฟ้าสวยจัง และตอนนี้ฉันก็มีความสุขจัง มีความสุขจนแทบนึกไปว่าเรื่องราวที่ผ่านมามันไม่เป็นความจริง ใครจะไปคิดว่าวันนี้ฉันไม่ได้เป็นแค่ คนแอบรักอีกต่อไปแล้ว แต่กลับได้เป็น คนรักของบยอนแบคฮยอนขึ้นมาจริงๆ

    “นี่”

    “หือ?”

    “ถ้าวันนั้นฉันไม่ตามมาง้อ เธอจะทำยังไง?”

    “อืม... ทำไงได้ล่ะ ก็คงตัดใจล่ะมั้ง”

    “เหอะ... ยอมแพ้ง่ายจังเลยนะ”

    “นายเจอแบบฉันแล้วไม่ยอมแพ้มั่งให้มันรู้ไป นายน่ะทนได้ไม่ถึงครึ่งของฉันหรอก” ฉันแลบลิ้นใส่อีตาบ้าตรงหน้า แต่เขากลับเอื้อมมือมากุมมือฉันไว้ ดวงตาคู่นั้นจ้องตรงมาที่ดวงตาของฉัน

    “โชคดีจังนะที่เรารู้สึกเหมือนกัน”

    “อ...อะไรกันเล่า!” ฉันเอามืออีกข้างที่ว่างตีแบคฮยอนแรงๆ แต่หมอนั่นก็ยังไม่เลิกทำสีหน้าจริงจังใส่ จนฉันรู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนผ่าวไปหมด

    “ซูจี”

    “หืม?”

    “รักกันไปนานๆนะ”

    ฉันได้แต่ส่งยิ้มกลับไปให้แบคฮยอนที่หันกลับไปนอนมองท้องฟ้าอยู่อย่างสบายใจ

    ก็แอบรักมาตั้งนานแล้ว แถมตอนนี้ยังรักมากซะขนาดนี้

    ให้ตายฉันก็เลิกรักบยอนแบคฮยอนไม่ได้หรอกนะ ยังไงก็ไม่ยอม!

    แต่จะว่าไป...

    บยอนแบคฮยอนยังไม่เคยพูดว่ารักฉันสักครั้งเลยนี่นา...

     

     

    To be continued in Valentine’s Special :)

     

     



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×