คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : 4th Tale ~ Alive Underneath the Water
4th Tale ~ Alive Underneath the Water
ฉันกำลังหายใจไม่ออก...อึดอัด... นั่นคือสิ่งที่ฉันรู้สึก
สายน้ำเย็นเยียบห่อหุ้มรอบตัวฉัน ดึงฉันลงไปสู่ความมืดมิดร้ายกาจที่กลืนกินแสงสว่างทุกเสี้ยวในสายตาให้หมดไป
ฉันกำลังจะตาย...
ไม่! ฉันไม่ได้อยากตาย! ฉันต้องไม่ตาย! ช่วยด้วย!!
ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นพร้อมกับเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มใบหน้าและเนื้อตัวสั่นเทาก่อนจะเสยผมให้พ้นจากใบหน้า อีกแล้ว... ฝันร้ายอีกแล้ว เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เกิดเรื่อง ฉันฝันร้ายทุกคืนจนกลัวที่จะหลับตา กลับที่จะต้องอยู่ในความมืดเพียงลำพัง
เมื่อไหร่ถึงจะหายนะ?
ฉันเปิดดูโทรศัพท์มือถือ นี่มันเพิ่งจะหกโมงเช้า แต่ฉันก็ไม่คิดจะนอนต่อแล้ว รู้ดีว่าบังคับตัวเองยังไงมันก็ไม่หลับเหมือนอย่างที่เป็นทุกๆวัน ฉันลุกขึ้นจากเตียงแล้วหยิบเสื้อผ้าเข้าไปอาบน้ำอุ่นๆ ก่อนจะเดินออกมานั่งหน้ากระจก
ให้ตาย... นี่คือฮวังมิยองเหรอเนี่ย
ฉันมองตัวเองที่จ้องตอบกลับมา ใต้ตาเป็นรอยบวมชัดเหมือนคนอดนอน ริมฝีปากแห้งผาก ฉันทาลิบบาล์มลงไปก่อนจะหยิบลิปสติกสีแดงสดขึ้นมาทาทับ ทนไม่ได้จริงๆกับการที่จะเห็นตัวเองโทรมแบบนี้ สุดท้ายพอคอนซีลเลอร์เอาไม่อยู่ ฉันเลยตัดสินใจทาขอบตาสีดำสนิท ใช้ลุคสโมคกี้อายส์แบบพังค์ๆ กลบความโทรมของตัวเอง
มันจะเป็นแบบนี้ต่อไปอีกไม่นานหรอก... รอจนวันที่ผู้ชายเลวๆคนนั้นโดนฟ้องจนหมดตัวก่อนเถอะ รับรองว่าวันนั้นมาถึงแน่!
ฉันเดินควงกุญแจรถออกไปจากคอนโดของยูริ ไม่ลืมที่จะหยิบแว่นกันแดดสุดเก๋ของปราด้าขึ้นมาสวม เช้าขนาดนี้ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าจะไปไหนได้ คือฉันตั้งใจจะเข้าไปเคลียร์งานที่บลูเพิร์ลน่ะค่ะ ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องเรารับอีเวนท์เข้ามาสองสามตัว พอช่วงที่ฉันไม่อยู่รู้สึกว่ายูริกับแทยอนจะผลัดกันเข้ามาดูงานให้ตอนนี้คงต้องกลับไปทำอะไรๆเอง จะมามัวนั่งเน่าเพราะผู้ชายคนเดียวแบบนี้ไม่ได้หรอก
ฉันเลี้ยวรถเข้าไปจอดที่ออฟฟิศก่อนจะเหลือบดูนาฬิกาที่หน้าคอนโซลรถ เพิ่งจะเจ็ดโมงนิดๆ กว่าสตาฟฟ์จะมาทำงานกันก็คงแปดโมงเก้าโมง แต่พอฉันก้าวเข้าไปเท่านั้นแหละ ทุกอย่างกลับผิดคาดมากๆ
ภาพความวุ่นวายตรงหน้าเป็นอะไรที่ฉันคาดไม่ถึงมาก่อน แถมดูพนักงานแต่ละคนของฉันเหมือนอดหลับอดนอนกันทั้งนั้น นี่มันอะไรกันเนี่ย
“คุณทิฟฟานี่!”
“จีวอน ทำไมทุกคนถึงได้ยุ่งวุ่นวายมากขนาดนี้ล่ะ?” ฉันหันไปถามเฮดออร์แกไนเซอร์พลางก้มหัวหลบป้ายคัทเอาท์ที่เด็กๆสองสามคนยกข้ามออกไปหน้าตาเฉย
“เอ่อ... คุณทิฟฟานี่ไม่เป็นไรแล้วเหรอคะ?” จีวอนถามกลับมา แน่ล่ะ... เพราะสตาฟฟ์ทุกคนของบลูเพิร์ลเป็นคนเตรียมงานแต่งระหว่างฉันกับอเล็กซ์ พนักงานที่นี่ก็ต้องรู้เรื่องเป็นคนแรกๆอยู่แล้ว
“ฉันตั้งใจจะกลับมาทำงานตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แต่ไหนบอกซิว่าทำไมทุกคนถึงได้อยู่ออฟฟิศกันยันเช้าแบบนี้?”
“คือ... คุณแทยอนกับคุณยูริห้ามแล้ว แต่พวกเราตั้งใจจะรับงานเพิ่มกันเองแหละค่ะ คุณฟานี่เพิ่งเสียจิลว์ไป เพราะงั้นพวกเราเลยอยากให้บลูเพิร์ลเป็นที่พึ่งให้กับคุณได้”
ฉันมองหน้าจีวอนแล้วก็พูดอะไรไม่ออก เหมือนมีก้อนแข็งๆจุกอยู่ที่ลำคอ ทั้งๆที่ฉันทิ้งทุกคนไปด้วยเรื่องงี่เง่าบ้าบอนั่น ทั้งๆที่ฉันคนเดียวที่ควรจะลำบาก แต่ทุกคนกลับพร้อมที่จะสนับสนุนฉัน ช่วยให้ฉันมีแรงลุกขึ้นสู้
“ไปทำงานกันเถอะ” ฉันส่งยิ้มให้จีวอน เธอยิ้มกว้างตอบกลับมา
“ดีใจจังค่ะที่ได้เห็นตายิ้มของคุณฟานี่อีก”
“อื้ม” ฉันพยักหน้าตอบ ส่งยิ้มให้เธออีกครั้ง นานแค่ไหนแล้วนะที่ฉันไม่ได้ยิ้มแบบนี้ ช่างมันเถอะ... ตอนนี้ฉันต้องทำงาน เพื่อทุกคน เพื่อตัวฉันเอง หลังจากนี้งานออร์แกไนซ์เซอร์จะต้องเป็นงานหลักของฉัน อย่างน้อยก็จนกว่าฉันจะเคลียร์เอาหุ้นจากจิลว์คืนมาได้
แล้วหลังจากนั้นฉันก็จะจัดการไอ้ผู้ชายบัดซบคนนั้นอย่างสาสม!
ผมยืนอยู่หน้าห้องที่เคยมาเมื่ออาทิตย์ก่อน ต่างกันตรงที่ว่าคราวนี้กดออดยังไง คุณนางเงือกน้อยก็ไม่โผล่มาเปิดประตูซักที
นี่ก็สิบโมงเช้า มาสายกว่าคราวที่แล้วตั้งสองชั่วโมง น่าจะตื่นแล้วสิ...
ผมกดออดอีกรอบ ชักจะมั่นใจแล้วว่าเธอคงไม่อยู่ เอาไงดีล่ะ โทรถามชีวอนมันจะรู้ไหมนะ? สุดท้ายผมก็ตัดสินใจโทรหาคุณเพื่อน เพราะหมอนั่นเป็นคนเดียวที่น่าจะบอกได้ว่าลูกความผมอยู่ที่ไหน
“ฮัลโหล” เสียงที่รับโทรศัพท์เป็นเสียงผู้หญิงท่าทางงัวเงีย แหม... เพื่อนผมคนนี้ทีแรกก็บอกว่าเป็นสุภาพบุรุษแต่นี่ยังไม่ทันจะแต่งงานอย่างเป็นทางการก็ลากคู่หมั้นขึ้นเตียงซะแล้ว
“อ่า... ผมยุนโฮนะครับ คุณซูยอง พอดีผมมาหาคุณทิฟฟานี่แต่ไม่เจอเธอที่คอนโดน่ะครับ”
“อ๋อ ยัยนั่น ถ้าไม่อยู่ที่ห้องป่านนี้ก็คงไปทำงานมั้งคะ?”
ทำงานเหรอ? ตั้งแต่เช้าขนาดนี้เนี่ยนะ?
“ที่ไหนเหรอครับ? พอดีผมต้องคุยกับเธอเพื่อแจ้งความคืบหน้าเรื่องคดี”
“เดี๋ยวฉันแมสเซจที่อยู่ไปให้แล้วกันนะคะ” ซูยองตอบกลับมาสั้นๆ ผมขอบคุณเธอแล้ววางสายไป แค่สองสามนาทีต่อจากนั้นเสียงข้อความก็ดังขึ้น... โอเค
ผมเลี้ยวรถออกจากคอนโดแล้วขับมาแถวๆย่านฮงแดตามที่อยู่ที่ซูยองส่งมาให้ อืม... ที่นี่เหรอ? ผมจอดรถตรงหน้าอาคารเรียบๆหลังหนึ่ง มันไม่ได้ดูซอมซ่อหรืออะไรหรอกนะ แต่ดูธรรมดาเกินกว่าที่จะเป็นออฟฟิศของสาวสวยไฮโซเจ้าของบริษัทน้ำหอม ผมลงจากรถ พยายามมองผ่านประตูกระจกที่ติดฟิล์มทึบ แต่แล้วจู่ๆมันก็เปิดออกพร้อมกับสตาฟฟ์สองสามคนแบกป้ายอะไรใหญ่ๆออกมาด้วย
“ซงฮยอน! ระวังป้ายนั่นด้วยนะ ชีวูกับโซอาไปเช็คเรื่องอาหารให้ฉันหน่อย อ้อ! จีมิน เธอยังไม่ได้โทรคอนเฟิร์มเวลาเริ่มงานกับร้านดอกไม้ใช่มั้ย?” เสียงหวานๆของคุณลูกความที่ผมจำได้แม่นดังขึ้นมาจากข้างใน ผมพยายามทำตัวเป็นแมทริกซ์ หลบหลีกความวุ่นวายกับสตาฟฟ์หลายสิบชีวิตที่วิ่งกันหัวปั่นเข้ามาข้างใน แต่ดูเหมือนว่าผมจะเจออะไรที่มันยิ่งวุ่นวายกว่า เพราะข้างในนี้บางคนกำลังตอกไม้ทำฉาก แข่งกับเสียงโทรศัพท์และเสียงพูดคุยที่ใกล้ๆจะเป็นการตะโกนแล้ว อีกด้านก็กำลังวางผังงานกันอย่างใจเย็น แน่นอนว่าหนึ่งในกลุ่มนั้นมีทิฟฟานี่อยู่ด้วย เธอก้มลงไปเขียนแผนงานบนโต๊ะ คุยกับลูกน้องได้สองสามประโยค แล้วก็หันไปตะโกนสั่งงานต่อ
แยกประสาทได้ดีชะมัดยาด
เอาล่ะ... ทีนี้ประเด็นก็คือ ผมจะดึงตัวลูกความผมออกมาคุยธุระยังไงดี?
“ไม่ทราบมีธุระอะไรรึเปล่าคะ?” หนึ่งในสตาฟฟ์ของทิฟฟานี่หันมามองหน้าผม ผมยิ้มขึ้นมาแล้วหันไปมองคุณลูกความที่ยังคงไม่รู้ว่าผมอยู่นี่
“อ๋อ รอแปบนะคะ คุณทิฟฟานี่!” เธอหันไปตะโกนเรียกเจ้าหญิงเงือกที่สะดุ้งสุดตัวก่อนจะมองเห็นผมแล้วเลิกคิ้ว ทิฟฟานี่โบกมือให้ลุกน้องเป็นเชิงว่ารับทราบก่อนจะหันไปสั่งงานต่ออีกสองสามคำแล้วสาวเท้าเร็วๆมาหา
“มีธุระอะไรคะ?” คำแรกก็ถามยังกับจะไล่แล้ววุ้ย
“คุณน่าจะรู้ดีนะว่าผมมีธุระอะไร” ผมตอบกลับไป ยกซองสีน้ำตาลให้เธอเห็น บนนั้นมีหมายศาลประทับอยู่ด้วย
มาดามฮวังพลิกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาแล้วเลิกคิ้ว
“รอสักเที่ยงได้ไหม ตอนนี้งานกำลังยุ่งมากเลยค่ะ ฉันต้องเคลียร์อีเวนท์สองงานของตอนบ่ายกับตอนเย็นให้เรียบร้อยก่อน หรือไม่งั้นทิ้งที่อยู่ไว้ ฉันจะขับไปหาคุณเองตอนฉันเลิกงาน” เธอพูดใส่ผมมาเป็นชุดก่อนจะเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว ดูจากสภาพแล้วกว่าเธอจะเสร็จงานคงปาเข้าไปสามชาติข้างหน้า =__= แล้วจะให้ผมแกร่วรอลูกความอยู่ยังงี้น่ะนะ
ผมตัดลินใจเดินตามเธอเข้าไป แล้วทิฟฟานี่ก็หันกลับมามองหน้าผม
“คุณตามฉันมาทำไม?”
“ก็ผมจะช่วยคุณทำงานไง เราจะได้มีเวลาคุยกันตอนเที่ยง” ผมตอบซื่อๆ
“ขอโทษเถอะ =__= คุณเป็นทนายนะ คุณทำงานออร์แกไนซ์ไม่เป็นหรอก”
“อย่าดูถูกผมสิคุณ ผมเคยจัดงานเลี้ยงรุ่นนักเรียนเกาหลีในฮาร์วาร์ดมาแล้วนะ” ผมอวด อันที่จริงตอนนั้นก็แค่โทรไปจองผับกับสั่งอาหาร ไอ้เรื่องการ์ดเชิญนู่นนี่นั่นมีคนอื่นรับผิดชอบให้หมดเลย
“คุณฟานี่ครับ! ท่าทางฉากของเย็นนี้จะเสร็จไม่ทัน ยอนซูแขนเจ็บน่ะครับ” สตาฟฟ์ผู้ชายคนหนึ่งเดินมาบอกเราด้วยสีหน้ากังวล ผมชะเง้อมองข้างหลัง เห็นช่างตอกไม้เอามือกุมไหล่ ท่าทางจะเจ็บหนัก
“พาเขาไปโรงพยาบาลก่อนเลย ทางนี้ไม่เป็นไร” ทิฟฟานี่สั่งการทันที แต่ดูเหมือนเธอจะเริ่มเครียด ดวงตาคู่นั้นกวาดมองฉากที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์อย่างกลุ้มใจ
“ผมทำต่อเอง” ผมพูดกับเธอก่อนจะถอดเสื้อสูทแล้วเหวี่ยงมันไว้บนโต๊ะ ทิฟฟานี่มองหน้าผมอย่างคาดไม่ถึง
“คุณน่ะนะ?”
“เชื่อมือเถอะน่า เอาแบบมาสิ” สตาฟฟ์ที่ยืนข้างๆเธอส่งแบบมาให้ผมอย่างไม่ค่อยแน่ใจ ผมยิ้มตอบก่อนจะพับแขนเสื้อขึ้นแล้วกวาดตาดูแบบ ก็แค่ต่อฉากให้ตั้งขึ้นไป ไม้ก็เตรียมไว้หมดแล้ว งานนี้หมูๆ
ผมเริ่มลงมือทำงานเงียบๆ เสียงค้อนดังขึ้นเป็นจังหวะ สตาฟฟ์อีกสองสามคนวิ่งเข้ามาช่วยผมจับโครงให้ตรง ไม่นานนักฉากที่เป็นระแนงไม้ก็เสร็จ เหลือแค่ทาสีกับจัดดอกไม้ลงไป ผมหันซ้ายหันขวามองหากระป๋องสี แต่ทิฟฟานี่กลับก้าวเข้ามา เธอถอดรองเท้าส้นสูงออกแล้วแล้วจุ่มแปรงลงในถังก่อนจะเริ่มลงมือทาสีด้วยตัวเอง
เป็นอะไรที่ผมไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น ไม่ได้ประชดนะ พูดจริงๆ
“นี่คุณ มัวแต่ยืนมองงานจะเสร็จมั้ย? ช่วยกันทาสิ” เธอยัดแปรงใส่มือผม ท่าทางดุแบบน่ารักๆของเธอไม่ได้ทำให้ผมกลัวสักนิด แต่ดูเหมือนเธอจะรู้ สักพักเราสองคนก็หัวเราะออกมา แต่ถึงยังงั้นเราก็ยังช่วยกันทาสีจนงานเสร็จ รวมทั้งสตาฟฟ์คนอื่นๆด้วย
พอรู้ตัวอีกทีเวลาก็เลยไปตั้งบ่ายสอง ความวุ่นวายต่างๆค่อยๆลดลงพร้อมกับจำนวนสตาฟฟ์ด้วย หลายคนนอนแผ่หลับสนิทอยู่ตรงพื้นที่เตรียมงาน ส่วนฝั่งออร์แกไนซ์บางคนก็ฟุบหลับไปบนโต๊ะ ทิฟฟานี่กำลังสั่งงานกับลูกน้องของเธออยู่ ท่าทางเธอจะอยากไปดูแลสถานที่จัดด้วยตัวเอง แต่เป็นเพราะผมนี่แหละ ที่ยืนกรานว่ายังไงเราก็ต้องคุยกันวันนี้ เธอเลยไม่มีทางเลือก
“ไง เรียบร้อยหมดแล้วรึยัง?” ผมพูดทันทีที่เธอเดินกลับมา หน้าตาดูเหนื่อยสุดๆ
“หมดแล้ว ไปกันเถอะ เดี๋ยวฉันเลี้ยงข้าวคุณเอง ถือว่าชดเชยที่มาช่วยงาน” เธอบอกก่อนจะถามต่อ “อยากกินอะไรล่ะ?”
ผมนิ่งไปซักพักแล้วหันไปยิ้มให้เธอ
“คุณเป็นเจ้ามือ งั้นคุณเลือกละกัน ^^”
“ถ้างั้นไปกินเนื้อย่างนะ” ทิฟฟานี่สวนกลับมาพร้อมหน้าตาลัลล้าสุดฤทธิ์แบบที่ผมไม่เคยเห็น แล้วเธอก็เดินนำผมลิ่วๆไปร้านเนื้อย่างที่อยู่ห่างจากออฟฟิศเธอไปแค่ช่วงตึกเดียว ร้านท่าทางดูเป็นร้านเล็กๆ ไม่ได้ไฮโซอะไรเลย แต่ดูเหมือนเธอจะมากินบ่อย เพราะเจ้าของร้านเอ่ยปากทักทันทีที่เจ้าตัวเดินเข้าไปนั่ง
“หายไปนานเลยหนูมิยอง วันนี้ไม่ได้พาสาวๆมากินด้วยเหรอจ้ะ?”
“เพื่อนๆหนูไม่ว่างน่ะค่ะ ป้าจัดหมูสามชั้นมาเลยสองที่ค่ะ เอาสันในอีกสองนะคะ” ทิฟฟานี่สั่งรวดเดียวแล้วหันมาหาผม “คุณจะกินอะไร สั่งตามสบายเลยนะ”
“คุณสั่งเผื่อผมไปแล้วนี่ มาถามอะไรตอนนี้ล่ะ” คุณลูกความอ้าปากจะเถียงแต่ป้าเจ้าของร้านยกเตากับเนื้อมาให้ก่อน เราสองคนเลยยุติสงครามแล้วหันมาสนใจอาหารแทน ไม่อยากจะบอกว่าได้กินตอนหิวๆแบบนี้เนี่ยอร่อยสุดยอด ผมกำลังจะใช้ตะเกียบคีบเนื้อจากบนเตา แม่นางเงือกตัวดีก็เอาตะเกียบเธอฟาดมือผมแล้วสอยเนื้อชิ้นนั้นไปซะได้
“เฮ้ย! ผมเจ็บนะคุณ” ผมแกล้งโวยวายใส่
“ฮ่าๆ สมน้ำหน้า” ทิฟฟานี้ยิ้มกว้างแล้วหัวเราะเยาะผมก่อนจะส่งเนื้อชิ้นนั้นเข้าปาก น่าแปลก นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเพิ่งสังเกตเห็นรอยยิ้มของเธอ ตายิ้มคู่นั้นที่ทำให้โลกสดใส ทำให้หัวใจผมเต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
“นี่คุณ? ข้าวติดคอรึไง เงียบเชียว”
“เปล่าๆ ไม่มีอะไร กินต่อเถอะ” ผมบอกเธอแล้วก้มหน้าลงกับชามข้าวตัวเอง เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าตัวเองไปไม่เป็นขนาดนี้ นี่ผมเป็นบ้าอะไรขึ้นมาเนี่ย กับแค่ตายิ้ม โอเคว่ามันน่ารักกระชากใจ แต่ใช่ว่าจะมีแค่ทิฟฟานี่คนเดียวซะเมื่อไหร่ มีคนอีกตั้งเยอะแยะที่ยิ้มได้แบบนี้ หรืออาจจะน่ารักมากกว่านี้ด้วยซ้ำ
แต่อะไรล่ะ? อะไรที่ทำให้ผมหัวใจสั่นไหวได้ขนาดนี้?
คงไม่ใช่เพราะผมหลงรักนางเงือกคนนี้เข้าแล้วหรอกนะ...
ฉันกลับเข้ามาในออฟฟิศกับชองยุนโฮตอนบ่ายแก่ๆ แล้วก็เจอกับเซอร์ไพรส์เข้าอย่างจัง
เซอร์ไพรส์ที่ว่านั่นคือคิมแจคยองที่นั่งรออยู่ในห้องทำงานของฉันที่บลูเพิร์ล
“ไงคะ คุณทิฟฟานี่ ดูท่าทางจะงานยุ่งนะคะ ^^” ยัยแม่มดยิ้มให้ฉันอย่างเสแสร้ง
“ตรงข้ามกับคุณที่ดูท่าทางจะว่างงานนะคะ ทำไมล่ะ? กลายเป็นนางแบบตกกระป๋องเพราะข่าวฉาวแย่งแฟนชาวบ้านเค้าหรือไง” ฉันตอกกลับไป ไม่สนใจจะทำให้ตัวเองดูดีด้วยการรักษาท่าทีอะไรทั้งสิ้น ชองยุนโฮมองฉันอย่างอึ้งๆก่อนจะขำขึ้นมา
“ตรงกันข้ามเลยค่ะ ฉันน่ะยุ่งม๊ากมากจนต้องมาหาคนช่วยเตรียมงานแต่งของฉันกับอเล็กซ์ให้”
ฉันนิ่งอึ้งไป ผู้หญิงคนนั้นเดินเข้ามาใกล้พร้อมรอยยิ้มชวนขนลุก แต่ที่น่าขนลุกมากที่สุดคือคำพูดต่อมาที่ออกมาจากริมฝีปากสีชมพูดสดนั่น
“คงต้องรบกวนคุณจัดงานแต่งให้เราสองคนหน่อยนะคะ... จะเอาแบบที่คุณแพลนไว้แล้วไม่ได้ใช้ก็ได้นะ ฉันไม่ถือ ไหนๆคุณก็ไม่ได้จัดอยู่แล้วนี่”
ฉันได้แต่ยืนนิ่ง ร่างสั่นเทาอย่างควบคุมไม่อยู่ เหมือนตัวเองตกลงไปในทะเลมืดมิด แล้วคนสองคนที่ยืนดูฉันกำลังจมลงไปคืออเล็กซ์และคิมแจคยอง
“น่ากลัวว่าแผนนั้นคงจะได้ใช้นะครับ” เสียงนุ่มๆของชองยุนโฮดังขึ้น แล้วเขาก็ดึงฉันเข้ามาในอ้อมกอด ซ่อนใบหน้าฉันไว้กับเสื้อเชิ้ตเน่าๆที่เปรอะไปด้วยสีและเศษไม้
“เพราะผมกำลังจะแต่งงานกับทิฟฟานี่ ถ้าไม่มีธุระอะไรอื่นนอกจากนี้ผมขออนุญาตคุยเรื่องธุระส่วนตัวกับทิฟฟานี่เรื่องแพลนแต่งงานนะครับ คุณเข้ามาเองได้อยู่แล้ว ผมคงไม่ต้องไปส่ง” น้ำเสียงเย็นชากับประโยคไล่แบบสุภาพของเขาทำให้คิมแจคยองกระแทกส้นเท้ากลับออกไปอย่างหงุดหงิด แต่นั่นไม่ได้ช่วยให้ฉันรู้สึกดีขึ้นเลย ไม่เลยสักนิด
“ออกไป” ฉันผลักเขาออก หันหลังให้ชองยุนโฮเอื้อมมาคว้าข้อมือฉันไว้ แต่ฉันกลับสะบัดมันทิ้งอย่างไม่ใยดี
“ฉันบอกให้ออกไป ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณ!”
เสียงประตูปิดดังขึ้นทั้งๆที่ฉันยังคงหันหลังอยู่ เขาออกไปแล้ว... แล้วเรี่ยวแรงทั้งหมดของฉันก็หายไป ฉันทรุดลงไปนั่งกับพื้น ร้องไห้ออกมาทั้งๆที่ไม่คิดว่าตัวเองจะเหลือน้ำตา เขาจะโกรธรึเปล่า? เขาจะเข้าใจฉันไหม? เขาคงไม่ได้เกลียดฉันไปแล้วหรอกนะ?
ทั้งหมดที่ทำลงไปก็เพราะแค่ฉันเสียใจจนไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตาของฉันอีกแล้ว...
ผมทำอะไรผิด?
ผมถามตัวเองเป็นร้อยๆครั้งได้แล้วตั้งแต่ที่แยกกับทิฟฟานี่ฮวังที่ออฟฟิศของเธอ สรุปว่าเราก็ยังไม่ได้คุยเรื่องความคืบหน้าของคดี ซ้ำร้ายผมยังโดนเธอตวาดไล่ออกมาอีก หรือว่าเธอโกรธที่ผมอ้างเรื่องแต่งงาน? ก็ผมทนไม่ได้ที่จะยืนนิ่งแล้วปล่อยคิมแจคยองเล่นงานเธอด้วยวิธีสกปรกแบบนั้น ทิฟฟานี่แทบไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ยัยป้านั่นจะมาซ้ำเติมให้ได้อะไรอีกก็ไม่รู้ -*-
เสียงโทรศัพท์มือถือผมดังขึ้นอีกรอบ เบอร์ไม่คุ้นด้วยแฮะ ผมแวะจอดรถเข้าข้างทางก่อนจะรับสาย
“สวัสดีครับ”
“คุณยุนโฮ ฉันแทยอนเองนะคะ วันนี้คุณเจอฟานี่บ้างรึเปล่า?” เสียงเล็กๆของคิมแทยอนถามผม เหมือนจะดูเครียดๆนิดหน่อย
“ครับ ผมเพิ่งแยกกับเธอมาเมื่อตอนบ่ายนี่เอง เกิดอะไรขึ้นรึเปล่าครับ?”
“ทิฟฟานี่หายไปอีกแล้ว พวกเราติดต่อเธอไม่ได้ ทุกคนกำลังแยกย้ายกันตามหาอยู่ค่ะ”
“คุณไปดูที่ผับรึยังครับ?” ผมถามกลับไปก่อนจะเข้าเกียร์แล้วเหยียบคันเร่ง ดึงรถให้พุ่งกลับไปอยู่บนถนน
“ถ้าเดอะไนน์เราไปกันแล้วค่ะ”
“งั้นผมจะไปดูที่ผับประจำของคุณอเล็กซ์ เธอคงอยู่ที่นั่น ถ้าเจอแล้วเดี๋ยวผมโทรหานะครับ” ผมตอบกลับไปแล้วกดวางสาย ผมเกลียดการกระทำอะไรก็ตามที่มันดูสิ้นคิด แต่ผู้หญิงคนนี้ก็ทำทุกอย่าง ตั้งแต่ยกหุ้นบริษัทกับคอนโดให้คนรักง่ายๆแค่เขาขอแต่งงาน โดดลงไปในทะเลเพราะผิดหวัง หรือแม้กระทั่งพยายามทำตัวอ่อยผู้ชายคนอื่นให้อดีตแฟนอิจฉา ทั้งหมดนั่นมันสิ้นคิดสุดๆเลย แต่ก็น่าแปลกที่ถึงแม้เธอจะงี่เง่าแค่ไหน ผมก็เกลียดเธอไม่ลง
ผมเลี้ยวรถเข้ามาจอดหน้าผับที่เราเจอกันครั้งแรกแล้วก็แทบจะเหาะเข้าไปข้างใน ที่นี่คนยังเยอะเป็นปกติ เทียบกับผับเดอะไนน์ที่ผมเคยไปกับชีวอนขอบอกว่าที่นั่นดูดีมีคลาสกว่ากันเยอะ คิดดูว่าแค่ผมสาวเท้าเข้ามาก้าวแรกก็มีผู้หญิงที่คอยนั่งดริงค์เดินตามเกาะแกะทอดสะพานปูพรมแดงให้ตลอดจนปฏิเสธแทบจะไม่ไหว ผมพยายามเดินเลี่ยงผู้หญิงพวกนั้นแล้วมองหาทิฟฟานี่ ในที่สุดผมก็เห็นเธอ ผู้หญิงผมแดงที่วันนี้อยู่ในชุดมินิเดรสสีดำ เธอแต่งหน้าจัดกว่าปกตินิดหน่อย เรียวปากสวยได้รูปทาลิปสติกสีแดงสด เธอสวยโดดเด่นกว่าใครๆ แต่ใบหน้าที่เหมือนตุ๊กตานั่นไม่มีรอยยิ้มอยู่เลย ผู้ชายหลายคนวนเวียนอยู่ใกล้ๆแทะโลมเธอด้วยสายตา และสัมผัส
มันจะมากเกินไปแล้วนะ...
รู้ตัวอีกทีผมก็พาตัวเองไปยืนประชิดเธอแล้วส่งสายตาพิฆาตให้กับไอ้พวกเจ้าชู้ทั้งหลายที่อยู่รอบ ทิฟฟานี่มองผมก่อนจะยิ้มขึ้นมานิดๆ เรียวปากสีแดงของเธอนี่มันยั่วกันชะมัดยาด แล้วแขนขาวๆก็โอบรอบคอผมก่อนเจ้าตัวจะเขย่งขึ้นแล้วจูบ
ผมรู้สึกได้ถึงสัมผัสลื่นๆของลิปสติกบนเรียวปาก ไม่ใช่แค่สี แต่สัมผัสของมันก็ร้อนแรงตามไปด้วย ผมขบริมฝีปากของเธอเบาๆ แล้วเริ่มจูบตอบ เหมือนกับว่าเราสองคนกำลังดำดิ่งอยู่ใต้ผิวน้ำ อย่างเดียวที่จะต่อลมหายใจของเธอได้คือลมหายใจของผม
“จูบเก่งนี่” ทิฟฟานี่กระซิบบอกผมเมื่อเราผละออกจากกัน แก้มเธอแดงเรื่อ ลมหายใจร้อนๆหอบสั่น เซ็กซี่ชะมัด ผมโอบเอวดึงให้ร่างบางๆเข้ามาพิงกับตัวผมแล้วสายตาผมก็เหลือบไปเห็น... อเล็กซานเดอร์ ยูเซบิโอ หมอนั่นกำลังจ้องตรงมาทางเรา สีหน้าบอกชัดว่ากำลังเคืองสุดๆ ผมรู้เจตนาของแม่นางเงือกน้อยนี่แล้ว
“คิดเหรอว่าแค่นั้นจะทำให้หมอนั่นรู้สึกอะไร ถ้าอยากแก้แค้นล่ะก็... ผมช่วยจัดให้ได้เยอะกว่านี้นะ” ผมกระซิบบอกข้างหูเธอ กลิ่นว้อดก้าอ่อนๆ จากเรียวปากแดงฉ่ำเมื่อครู่เริ่มทำให้ผมคุมตัวเองไม่อยู่ซะแล้ว ทิฟฟานี่เงยหน้าขึ้นมองผม แล้วผมก็เห็นว่าผลจากการจูบมาราธอนของเราทั้งคู่ทำให้ลิปสติกเปื้อนรอบๆขอบปากเธอ แต่นั่นมันดูเร้าใจชะมัดยาด เชื่อเลยว่าตอนนี้ผู้ชายคนไหนก็ต้องการแม่เงือกน้อยคนนี้ขึ้นไปนอนอยู่บนเตียงไม่เว้นแม้แต่ผม
“มานี่ดีกว่า” ผมโอบเอวเธอพาเราทั้งคู่เดินตรงมายังโซฟาที่อยู่ตรงข้ามโต๊ะนั่งของอเล็กซ์ หมอนั่นจ้องผมยังกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่ผมก็จ้องกลับด้วยสายตาท้าทาย
“ทำให้หมอนั่นเจ็บ เจ็บยิ่งกว่าที่ฉันเจ็บ ทำได้ใช่มั้ยคุณทนาย?” ทิฟฟานี่กระซิบห่างจากปลายจมูกผมเพียงไม่กี่เซนต์ แล้วผมก็เริ่มทำตามแผนในใจที่คิดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อกี้ นั่นคือจูบลบรอยเปื้อนลิปสติกรอบๆริมฝีปากของเธอ ลมหายใจหนักๆบวกกับกลิ่นแอลกอฮอล์ที่เป่ารดอยู่ข้างๆนั่นยิ่งเหมือนเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ลงท้ายแล้วผมก็จูบเธออีก ไม่สนว่าลิปสติกจะเปรอะเปื้อน หรือตอนนี้ปากผมคงแดงพอๆกับปากเธอ สายตาผมมองไปทางอเล็กซ์ หมอนั่นเริ่มเล่นเกมบ้างด้วยการควงผู้หญิงมานั่งตักแล้วจูบดูดดื่มอย่างที่ผมกับฟานี่กำลังทำ แต่บอกได้เลยว่านั่นน่ะจืดสนิท ผู้หญิงของหมอนั่นไม่ได้สวยเท่าเสี้ยวนึงของผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมกอดผม ผมไล่จูบลงมาถึงปลายคางและซอกคอ รวบลอนผมแดงนุ่มๆนั่นมาพาดบ่าอีกข้างให้ผู้ชมวีไอพีเห็นกันจะๆว่าคิสมาร์คบนผิวขาวๆนี่มันดูเย้ายวนขนาดไหน
“เขามองอยู่รึเปล่า?” ทิฟฟานี่กระซิบถาม แล้วขยับตัวขึ้นมานั่งบนตักบนตักผม เป็นงานสุดๆไวสุดๆเลยแฮะ ผมให้รางวัลเธอด้วยการโน้มตัวลงจูบเธอก่อนจะขบเบาๆที่ข้างหู
“ไม่มีใครละสายตาจากคุณตอนนี้ได้หรอก ที่รัก”
“ดี งั้นทำให้สายตาของทุกคนหยุดอยู่ที่ฉัน มองฉัน แค่ฉันคนเดียว” เธอพูดก่อนจะจับใบหน้าผมไว้แล้วประทับจูบร้อนแรงลงมาอีก ผมไม่แน่ใจว่าประโยคสุดท้ายเธอหมายถึงผมหรือหมายถึงผู้ชายหน้าโง่คนนั้น แต่ถ้าหากว่าทิฟฟานี่ยังไม่หยุดล่ะก็ มีหวังเราสองคนได้เล่นหนังเรทอาร์กลางผับแน่ๆ!
“กลับ!” เสียงของอเล็กซ์ดังขึ้น แล้วร่างสูงๆของหมอนั่นกับเพื่อนอีกสองสามคนก็ลุกขึ้นเดินปึงปังออกจากร้านไปท่ามกลางสายตาคนมอง โอเค เอาเป็นว่าเกมนี้เธอชนะ ผมก้มลงมามองทิฟฟานี่ คิดว่าคงเห็นเธอยิ้มอย่างสะใจ แต่เปล่าเลย ตาสวยๆคู่นั้นดูเจ็บปวด น้ำตารื้นขึ้นมาแต่เธอพยายามจะกลั้นมันไว้ แค่เห็นภาพนี้สติสตังของผมก็กลับคืนผม รู้ว่าตัวเองเป็นใคร เธอเป็นใคร
เธอยังรักไอ้หมอนั่นอยู่...
แล้วทำไมผมต้องรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกขนาดนี้นะ?
“กลับกันเถอะ เดี๋ยวผมไปส่ง” ผมพูดกับเธอเบาๆแล้วถอดเสื้อสูทห่มลงบนไหล่นวลที่ยังมีรอยคิสมาร์คประทับอยู่ ใช้ปลายนิ้วปาดรอยลิปสติกที่เลอะออกมาให้ดูเรียบร้อย แล้วก็เห็นน้ำตาไหลลงมาช้าๆ มันหยดลงสัมผัสปลายนิ้วผม
เจ็บ... เจ็บเหมือนโดนเข็มแทง...
แย่แล้ว... ชองยุนโฮ นี่มันแย่สุดๆไปเลย...
ผมเหลือบมองหน้าเธอที่เผลอหลับไประหว่างเราอยู่บนรถด้วยกัน ผมว่าผมรู้แล้วล่ะว่าไอ้ความรู้สึกเจ็บแบบชาๆนี่มีสาเหตุมาจากอะไร
ผมหลงรักนางเงือกแสนสวยคนนี้เข้าซะแล้ว...
อีกแล้ว... ฉันกำลังจมลึกลงไป ลึกลงไป อากาศถูกบีบออกไปจากปอด ฉันหายใจไม่ออก
ไม่! ไม่นะ ไม่!
ฉันไม่อยากตาย ฉันไม่อยากจมลงไปสู่ก้นทะเลมืดมิดอีกแล้ว
ใครก็ได้ช่วยที!
“...ฟานี่... ทิฟฟานี่!” เสียงเรียกที่คุ้นเคยดึงฉันกลับเข้ามาสู่โลกแห่งความเป็นจริง
“ช่วยด้วย... ฉัน... หายใจไม่ออก...” ฉันได้ยินเสียงตัวเองพูดออกไปอย่างแหบแห้ง ชองยุนโฮมองฉันอย่างตกใจ ก่อนจะดึงร่างสั่นเทาของฉันเข้าไปในอ้อมกอด
“คุณฝันร้าย ไม่เป็นไรนะ ผมอยู่ตรงนี้แล้ว”
“คุณจะไม่ทิ้งฉันไปใช่ไหม?”
“อืม” เขาลูบผมฉันเบาๆ อ้อมแขนอุ่นๆนั่นทำให้ฉันลืมความรู้สึกเย็นเยียบในฝัน ลืมกระแสน้ำที่โหดร้าย ลืมความรักที่มีแต่การทรยศหักหลัง...
จะว่าไป... ทำไมฉันถึงได้มาอยู่ที่นี่ล่ะ? นี่มันไม่ใช่คอนโดของยูรินี่!
ฉันผลักเขาออกจากอ้อมกอดทันทีที่สติสตังกลับมาเต็มที่ รู้สึกหน้าร้อนผ่าว ให้ตาย! เมื่อคืนเราจูบกันไปกี่ครั้งนะ? เพราะฉันโมโหคิมแจคยองมากไปหน่อย ฉันเลยดื่มเข้าไปซะเยอะ บอกตามตรงว่าตอนชองยุนโฮเข้ามาสมองฉันก็เหลืออำนาจสั่งการไม่ถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์แล้วด้วยซ้ำ แล้วหลังจากจูบเราไม่ได้มีอะไรกันใช่ไหม?
“ไม่ต้องมองแบบนั้นหรอก นี่บ้านผมเอง เมื่อวานคุณเมาหลับปลุกยังไงก็ไม่ตื่น ผมเลยพาคุณมาที่นี่ เสื้อผ้านั่นแม่บ้านก็เป็นคนเปลี่ยนให้” เขาอธิบาย แล้วฉันก็ก้มลงมองตัวเอง ฉันสวมเสื้อนอนแขนยาวที่เป็นชุดกระโปรงเรียบร้อย ไม่ได้มีร่องรอยความเสียหายอะไรเลย ส่วนคุณทนายก็ตาบวมผมยุ่งอยู่ในเสื้อกล้ามกับกางเกงขายาวสีซีดๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันไม่เห็นเขาใส่สูท มีซิกแพ็คกับเค้าเหมือนกันแฮะ
“แน่ใจนะว่าคุณไม่ได้กระทำการกักขังหน่วงเหนี่ยวกับล่วงละเมิดทางเพศฉันไปเมื่อคืน ฉันหาทนายใหม่ได้นะถ้าจำเป็น” ฉันพูดออกไป แกล้งยกข้อหาให้ทนายตัวจริงที่ขำขึ้นมาก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้
“ถ้าตั้งแต่ก้าวเข้าบ้านมาล่ะก็ไม่ แต่ก่อนหน้านั้นผมอาจจะโดนข้อหาหลัง ถ้าคุณอยากจะฟ้องน่ะนะ”
“ทำคดีฉันให้รอดก่อนเถอะน่า!” ฉันดันหน้าเขาออกไปแล้วรีบลุกจากเตียง รู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผล ก็จะไม่ให้เขินได้ไง เราแทบจะฟัดกันกลางฝับ แถมฉันยังมาเล่นนอนบนเตียงเขาต่อทั้งคืนแบบนี้ ไม่ให้รู้สึกอะไรก็บ้าแล้ว
“หิวมั้ย? ผมทำอะไรให้กิน”
“ไม่ค่ะ ฉันกลับดีกว่า รบกวนคุณมาทั้งคืนแล้ว”
“ผมอยากให้คุณรบกวนมากกว่านี้นะ ถ้าเป็นไปได้” ชองยุนโฮพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม แล้วฉันก็เพิ่งรู้ตัวว่าไอ้คำที่เค้าพูดมันหมายถึงอะไร ฉันถลึงตาใส่คุณทนายตัวดีที่ยิ้มทะเล้นแล้วหัวเราะขึ้นมาก่อนจะขยี้ผมฉันเบาๆเหมือนเป็นเด็กสิบขวบ
“ไปอาบน้ำแต่งตัวเถอะครับ เดี๋ยวทานข้าวเช้าเสร็จแล้วผมขับไปส่ง”
อันตราย นี่มันชักอันตรายมากเกินไปแล้ว... ฉันรู้ว่าไอ้อาการหัวใจเต้นแรงผิดปกติแบบนี้มันเกิดจากอะไร แต่ไม่สิ มันจะเกิดขึ้นได้เร็วขนาดนี้เลยเหรอ?
บาดแผลครั้งเก่ายังไม่ทันหาย ฉันก็กำลังจะตกหลุมพรางที่อยู่ข้างหน้าอีกครั้งแล้ว...
หลุมพรางของความรัก...
“แล้วไม่มีใครคิดจะบอกฉันซักคำเลยเนี่ยนะ?” ตามคาด ซันนี่โวยวายทันทีที่ฉันเล่าเรื่องทิฟฟานี่ให้ฟังแบบหมดเปลือก อันที่จริงสองคนนี้กลับมาจากฮันนีมูนได้สองสามวันแล้วค่ะ แต่เพราะปริมาณงานมหาศาลของมนุษย์บ้างานอันดับสองรองจากทิฟฟานี่ ยัยเตี้ยนี่เลยขอเวลาเคลียร์ตัวเองก่อนซักระยะ แล้วเลือกจะมาเจอเราที่ปาร์ตี้ฉลองวันเกิดของยุนอา แน่นอนว่าจัดที่เดอะไนน์
“คิมแทยอน เสียแรงจริงๆที่เราอยู่ห้องข้างกัน -*-” ซันนี่ยังยัวะไม่เลิก ฉันเลยหันไปมองหน้าพี่คยูฮยอนอย่างอับจนปัญญา
“ที่รักครับ ตั้งแต่กลับมาคุณก็ไปนอนบ้านผม แล้วจะเจอแทยอนได้ยังไง?”
“เออ จริงด้วยแฮะ” =__= ดูมันค่ะ ดูมันทำ แต่อันที่จริงฉันก็แอบปลื้มอยู่เหมือนกันที่ซันนี่ไม่ย้ายออกไปหลังแต่งงาน ทั้งๆที่ฉันทำใจไว้แล้วล่ะว่าต่อไปนี้ยัยตัวป่วนนี่ต้องหอบผ้าหอบผ่อนทิ้งฉันไปอยู่ที่บ้านของคุณสามี แต่กลับกลายเป็นว่าซันนี่ใช้วิธีสลับไปสลับมาเหมือนนินจา คุณสามีเพื่อนก็เหมือนตามใจ ยกคอนโดให้คุณชางมินกับน้องสาวไปง่ายๆแล้วก็ย้ายมาเป็นเพื่อนข้างห้องฉันอีกคนซะงั้น
ฉันรู้ว่าซันนี่ห่วงฉัน รู้ว่ายัยเตี้ยนี่กลัวว่าฉันจะเหงา
แต่นั่นไม่ช่วยให้ฉันหายเคืองเรื่องที่ไปฮันนีมูนแล้วโทรมาปลุกตอนตีสี่ ณ วันที่เราเพิ่งเจอตัวทิฟฟานี่หรอกนะ -*-
“แล้วเมื่อไหร่ฟานี่จะมา ฉันอยากซักฟอกยัยนั่นจะแย่อยู่แล้ว”
“แหม แทนที่จะถามหาเจ้าของวันเกิด ถามหาพี่ฟานี่แบบนี้เดี๋ยวเค้าก็น้อยใจหรอก” ยุนอาที่เพิ่งเดินเข้ามาพร้อมกับพี่ชีวอน ซูยองและฮโยยอนแกล้งทำท่าแอ๊บแบ๊ว โว้ว! วันนี้ผู้กองอิมเปลี่ยนโหมดจากสาวโหดเป็นสาวสวย เล่นเอาหนุ่มๆน้ำลายไหลเยิ้มตั้งแต่หน้าผับมาจนถึงโต๊ะเลย
“เค้าขอโต๊ดนะตะเอง อ้ะ ของขวัญวันเกิด~” ซันนี่ยื่นกล่องเล็กๆให้เจ้าของวันเกิดที่ทำตาโตเป็นไข่ห่าน
“ขอบคุณค่ะ สวยจัง > <~” ยุนอาทำท่าดี๊ด๊าเมื่อเห็นสร้อยเงินในกล่องทำเป็นรูปปืนไขว้ฝังเพชรเม็ดเล็กๆเรียงเอาไว้ เป็นของขวัญที่พวกเราในกลุ่มรวมหัวกันทำให้ ส่วนวันเกิดซันนี่ที่เพิ่งผ่านไปน่ะไม่ต้องถาม... ทริปบนบอลลูนนั่นไง =__= บอกตามตรงว่าค่าเช่าบอลลูนเนี่ยแพงพอๆกับสร้อยฝังเพชรของผู้กองอิมเค้าเลยแหละ ดีนะว่ามีตัวหารเพิ่มมาอีกสามคือพี่ฮีชอล พี่ชีวอนและคุณสามีที่เป็นเจ้าของไอเดีย แต่อันที่จริงขนหน้าแข้งก็ไม่ค่อยจะร่วงกันหรอก บอกแล้วว่าเลือกคบกันที่หน้าตาและฐานะเป็นสองคุณสมบัติหลัก
“อ้าว! ให้ของขวัญซะแล้วเหรอ ขอโทษนะคะที่มาไม่ทัน” ซอฮยอนก้าวเข้ามาร่วมโต๊ะพร้อมควงทิฟฟานี่มาด้วย
“ฮวังมิยอง มานั่งข้างฉันเลย เรามีเรื่องต้องเคลียร์กัน” ซันนี่พูดขึ้นด้วยโหมดเผด็จการ เล่นเอาฟานี่ยิ้มแหยๆก่อนจะก้าวเข้าไปนั่งข้างยัยเตี้ยที่กระเถิบออกไปจนจะนั่งตักคุณสามีอยู่แล้ว
“ควอนยูลกับสิก้าล่ะ?” ฮโยยอนถามขึ้นมาเมื่อสองสาวขาประจำยังไม่โผล่ให้เห็นหน้า
“ฉันอยู่นี่ แต่สิก้าต้องบินด่วนไปซานฟรานเมื่อเย็นนี้ เลยฝากมาแฮปปี้เบิร์ธเดย์แทน” ยูริโผล่เข้ามาพร้อมกับพี่ฮีชอลที่ถือเค้กตามหลัง แล้วพวกเราก็ระเบิดเสียงเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ดังลั่น ก่อนจะตามด้วยเสียงหัวเราะเมื่อพี่ฮีชอลทำท่าทางเต้นตลกๆเหมือนเลดี้กาก้า
“นี่ พอแล้วไม่ต้องเยอะเลย อายเค้าบ้างสิ!” ยูริหันไปตีแฟนตัวเองแต่กลับขำไม่หยุด
“นี่! พวกพี่แต่งงานเป็นของขวัญวันเกิดให้ฉันสิ! ฉันอยากอุ้มหลาน” เจ้าของวันเกิดหันไปทำตาลุกวาวใส่คู่รักสองคู่ที่ยังไม่มีกำหนดจะแต่ง ยูริกับพี่ฮีชอลส่ายหน้าทั้งคู่
“ไว้หลานเธอจะเกิดแล้วค่อยพูดเรื่องนี้กัน ไปลุ้นคู่นั้นก่อนเลยไป” พี่แกโบ้ยไปทางหมาป่ากับหนูน้อยหมวกแดง เหอะ คู่นี้ไม่ต้องลุ้นหรอก ช้าหรือเร็วก็แค่นั้น =__=
“ส่วนคู่เรา...” พี่ชีวอนพูดขึ้นมาก่อนจะสบตากับซูยองเป็นนัยๆ แล้วคุณเพื่อนสูงก็ล้วงกระเป๋าหยิบเอาปึ๊งการ์ดมาแจก
“ไง ของขวัญวันเกิดถูกใจมั้ยล่ะผู้กองอิม ^^” ซูยองพูดขำๆ โหยยยยย ดูคุณเธอทำเข้า แจกการ์ดแต่งงานกลางปาร์ตี้วันเกิด
“สุดๆอ่ะ >_<”
“เดี๋ยวก่อนนะ... วันที่นี้มัน...” ฟานี่มองการ์ดอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา แล้วหันไปมองหน้าชีวอนกับซูยอง “นี่พวกเธอ...”
ฉันเปิดการ์ดดูบ้าง ข้างในนั้น วันที่ระบุจัดงานแต่ง คือวันเดียวกันกับที่คิมแจคยองและอเล็กซ์ประกาศไว้
สองคนนี้แต่งงานกันเพื่อทิฟฟานี่ เพื่อที่ทิฟฟานี่จะได้ไม่ต้องโดนนักข่าวรุมล้อมในวันนั้น และเพื่อทำให้ทุกคนหันมาสนใจงานแต่งของเจ้าชายแห่งชเวกรุ๊ปและนางแบบสาวไฮโซมากกว่างานแต่งจอมปลอมนั่น ให้ตาย นี่มันหักหน้าอเล็กซ์กับคิมแจคยองสุดๆเลย
“ไม่ต้องซึ้งนะฟานี่ บอกไว้ก่อนว่าจริงๆเราแพลนจะแต่งกันหลังงานเธอพอดี สองคนนั้นดันเลื่อนมาชนเอง”
“โกหกชัดๆ” ฟานี่ยิ้มกว้าง แต่ตาเริ่มแดงๆ แล้วเธอก็โถมตัวเข้าไปกอดทั้งคุณเพื่อนและคุณคู่หมั้นเพื่อน “ขอบคุณนะที่ทำเพื่อฉันมากขนาดนี้ ขอบคุณมาก ทุกๆคนเลย”
“แต่วันนี้ฉันเป็นนางเอกนะคะ กรุณาทำเพื่อฉันด้วยการลงไปแดนซ์ด้วยกันก่อน ไปเร็วพี่ฟานี่!” น้องรองดึงมือฮโยยอนกับทิฟฟานี่ให้ลุกขึ้นแล้วเด็กๆก็ลงไปเต้นกัน พวกเราที่เหลือได้แต่เหม่อมองตายิ้มคู่นั้นที่ไม่ได้เห็นมานาน
ก่อนที่มันจะหายไปด้วยการเข้ามาของใครบางคน
อเล็กซานเดอร์...
“เป็นเรื่องแล้วไง” ฮโยยอนลุกพรวดขึ้นทันที พวกเราทั้งหมด ทิ้งโต๊ะแล้วเดินลงไปบนฟลอร์ที่ทิฟฟานี่กับอีกสองสาวกำลังยืนประจันหน้ากับอเล็กซ์อยู่
“ไง ครับสาวๆ ขอผมกับเพื่อนๆปาร์ตี้ด้วยในฐานะคนเคยรู้จักแล้วกันนะครับ” หมอนั่นพูดขึ้นมา หน้าไม่อายชะมัดยาด
“เฮ้อ! วันนี้วันเกิดแท้ๆ ดันซวยมาเจอพวกขยะสังคมซะได้” อิมยุนพูดก่อนจะสะบัดผมใส่อเล็กซ์หน้าตาเฉย เฮ้ยๆ นั่นแรงนะนั่น =__=
แต่ไม่รู้ว่าอดีตว่าที่เจ้าบ่าวของทิฟฟานี่โบกหน้ามาด้วยอะไร หมอนั่นผลักยุนอาถอยไปข้างๆแล้วก้าวเข้ามาหาทิฟฟานี่เฉยเลย
“วันนี้ผู้ชายคนใหม่ของคุณไม่มาด้วยเหรอ? หรือว่าจะเปิดโอกาสให้ผมรื้อฟื้นความหลัง?”
“ความหลังที่คุณหลอกฉันน่ะเหรอ?”
“ก็คุณโง่ให้ผมหลอกเอง ทิฟฟานี่... ผมคืนให้คุณได้นะ ทุกอย่างเลย แม้กระทั่งตัวผม” เขายกมือขึ้นพันเส้นผมทิฟฟานี่ช้าๆ ตอนนี้เจ้าของวันเกิดแทบจะตบะแตกแล้ว ส่วนพวกเราที่เหลือ ไม่ได้อยากจะปล่อยให้อีตาบ้านี้แตะต้องตัวเพื่อนฉันนักหรอก แต่เพราะทิฟฟานี่ยังไม่แสดงท่าทีอะไรต่างหาก ถ้าเกิดหมอนั่นพร้อมจะแตะฟานี่มากกว่าแค่ปลายผม รับรองว่าไม่ยุนอาก็ใครคนใดคนหนึ่งได้โดดเข้าไปฉีกเขาเป็นชิ้นๆแน่
“กรุณาเอามือสกปรกของคุณออกไปให้พ้นจากลูกความของผมด้วยครับ” เสียงนุ่มๆที่คุ้นเคยดังขึ้น แล้วคุณทนายคนเก่งของทิฟฟานี่ก็ก้าวเข้ามา ท่าทางเหมือนจะยืนอยู่นานแล้วแต่ก็ไม่มีใครสังเกตเห็นเขาเลย
“ลูกความ?” หมอนั่นเลิกคิ้ว แล้วสีหน้าเค้าก็เริ่มเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ก่อนที่เจ้าตัวจะหัวเราะออกมา
“ฟานี่? คุณจะฟ้องผมงั้นเหรอ? คุณจะฟ้องผมด้วยข้อหาอะไร? ในเมื่อคุณเซ็นยกทุกอย่างให้ผมเองกับมือ”
“ได้สิครับ” ชองยุนโฮตอบก่อนจะดึงทิฟฟานี่เข้ามาข้างๆตัวเขา แล้วส่งยิ้มให้ยุนอาที่ส่งยิ้มหวานเชือดคอไปให้อเล็กซ์ แล้วโดยที่พวกเราไม่คาดคิดยุนอาก็ดึงเอาไมโครโฟนไร้สายออกมาจากคอเสื้อชุดเดรสที่สวมอยู่ แล้วมองสบตากับชองยุนโฮที่หยิบเครื่องอัดเสียงออกมาจากในสูท
“เวลาฉันไปสืบคดีก็ใช้มุกประมาณนี้แหละ กะแล้วว่านายต้องไม่พลาดมาป่วนในงานวันเกิดฉัน ทีนี้ก็... อยากไปโรงพักตอนนี้เลยหรือจะรอหมายเรียกจากศาลล่ะ? ฉันทำงานวันเกิดตัวเองได้นะ ไม่ถือ ^^” ยุนอาส่งยิ้มสะใจสุดๆไปให้คุณจำเลยที่ตอนนี้หน้าซีดยิ่งกว่าไก่ต้ม เลเวลอัพมากๆอ่ะ ผู้กองอิม =__= ปกติเอะอะชักปืนยิง เดี๋ยวนี้หัดมีแผนตลบหลัง ร้ายกาจที่สุด!
“นี่นามบัตรผมครับ ติดต่อมาแล้วกันถ้าคุณอยากเจรจาไกล่เลี่ย แต่ยังไงผมก็ส่งคำยื่นฟ้องไปแล้ว คงจะถอนฟ้องยากหน่อยนะครับ” คุณยุนโฮเสียบนามบัตรของเขาลงในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตของหมอนั่น พร้อมกับรอยยิ้มเยาะเย้ยที่ฉันบวกให้อีกร้อยแต้มในใจ
“แก!” อเล็กซ์กัดฟันกรอดทำท่าเงื้อหมัด แต่ก็ต้องชะงักไว้ด้วยคำพูดต่อมาของยุนอา
“ถ้าอยากโดนข้อหาทำร้ายร่างกายอีกข้อก็ลองดู”
“ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ!” หมอนั่นพูดก่อนจะถุยน้ำลายลงพื้นแล้วก้าวยาวๆจากไป เล่นเอาพวกเราทุกคนถอนหายใจด้วยความโล่งอกแต่ซันนี่ที่ยืนข้างๆกลับกระตุกชายกระโปรงฉันแล้วบุ้ยใบ้ไปทางทิฟฟานี่ที่ยังคงอยู่ในอ้อมกอดของคุณยุนโฮ
“ฟานี่ เธอไม่เป็นไรใช่ไหม?” ยูริหันไปถาม เธอยังคงก้มหน้านิ่งอยู่กับไหล่ของยุนโฮ ไหล่บางๆเริ่มสั่น พวกเราทั้งหมดคิดว่าเธอร้องไห้จนกระทั่งเสียงหัวเราะดังขึ้นมา
“สุดยอดไปเลย! เห็นหน้าหมอนั่นรึเปล่า? ฉันนึกว่ายุนอาจะชักปืนยิงเขาทิ้งซะแล้ว ตลกสุดๆเลยอ่ะ”
“ตลกตรงไหนยะ -*-” ฉัน ซูยอง กับฮโยยอนประสานเสียงขึ้นมาพร้อมกัน พวกเราทุกคนนิ่งไปอึดใจหนึ่ง จากนั้นเสียงหัวเราะก็ระเบิดขึ้นอีกรอบ คราวนี้ฮาของจริงอ่ะ
“ทำลายคำสาปได้แล้วนะคุณนางเงือก” คุณยุนโฮพูดขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มละลายใจสาวให้ทิฟฟานี่ หันไปค้อนขวับ แต่แล้วสีหน้าเธอก็เปลี่ยนไปเมื่อได้ยินคำพูดของเขา
“หน้าที่ในฐานะทนายของผมคงหมดแล้ว ผมจะโทรมาแล้วกันถ้าทางนั้นอยากไกล่เกลี่ย หรือถ้าไม่เราคงได้เจอกันอีกทีในศาล”
“เดี๋ยวสิ แล้วคุณจะไม่มาอธิบายร่างคำฟ้องให้ฉันก่อนเหรอ?” ทิฟฟานี่ดึงชายเสื้อของเค้าเอาไว้ สายตาเธอมีแววบางอย่างคล้ายไม่อยากให้เขาไป ฉันกับซันนี่สบตากัน อืม... ไม่ชอบมาพากลแล้วแฮะ
“คุณจบนิติฯ ผมว่าคงไม่จำเป็น” คุณยุนโฮดึงมือเพื่อนรักของฉันออกไปก่อนจะหมุนตัวกลับมา รอยเศร้าๆในดวงตานั่นบอกชัดเจนว่าเขารู้สึกยังไง...กับทิฟฟานี่
“คุณพ้นคำสาปแล้ว ขอให้มีชีวิตที่ดีนับจากนี้ไปนะครับ”
ร่างสูงๆของทนายความคนเก่งหมุนตัวแล้วเดินกลับออกไป ทิ้งให้พวกเรามองตาม...
...แต่ฉันไม่แน่ใจเลยว่าคำสาปจะสิ้นสุดลงตรงนี้จริงๆ...
“ไอ้เพื่อนโง่ ไอ้เพื่อนซื่อบื้อ! จบฮาร์วาร์ดมาซะเปล่า เรื่องแค่นี้ทำไมไม่คิดให้ได้เองวะ!”
ชเวชีวอนสวดผมมาเป็นชุดอย่างที่ตัวผมเองก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน ให้ตาย... แต่ก่อนผมเคยคิดว่ามนุษย์คนไหนทำหมอนี่ยั๊วะได้คงต้องงี่เง่าบัดซบ ตอนนี้ผมรู้แล้วล่ะ...
รู้ว่าตัวเองงี่เง่าบัดซบมากแค่ไหน
ตั้งแต่วันที่ผมหันหลังเดินจากทิฟฟานี่มาในวันนั้น มันเป็นแค่ความขี้ขลาดของผมเองที่ไม่อยากเจ็บปวด ไม่อยากร้องไห้เสียน้ำตาเพราะกลัวความผิดหวัง เพราะผมรู้ว่าเธอยังไม่ลืมผู้ชายคนนั้น ผมมอบหมายเรื่องคดีให้เพื่อนทนายความคนอื่นทำแทน แน่นอนว่ามันจบลงในวันรุ่งขึ้นตรงที่อเล็กซ์ยอมคืนทุกสิ่งทุกอย่างให้เธอก่อนเรื่องจะไปถึงศาล ซูยองบอกว่าหลังจบคดี ฟานี่ก็เก็บตัวเงียบ ไม่แม้แต่จะคุยกับเพื่อนๆคนอื่นในกลุ่ม เธอขายอพาร์ทเมนท์นั่นทิ้ง แล้วก็ดันปิดตายตัวเองไปจากชีวิตเธอ คิดเอาเองว่าเธอไม่เป็นอะไร
ทั้งๆที่ผมน่าจะรู้ว่าน้ำตามากมาย ไอ้อาการฝันร้าย หรือแม้แต่อารมณ์แปรปรวนของเธอ ทั้งหมดมันเป็นส่วนหนึ่งของอาการซึมเศร้า
“ไม่ใช่ว่าฉันเคยบอกแกแล้วรึไงว่าสภาพทิฟฟานี่เป็นยังไง? ฉันไม่เคยบอกแกรึไงว่าเธอคิดจะฆ่าตัวตาย ตั้งแต่ตอนที่แกเป็นคนช่วยเค้าขึ้นมาจากน้ำ!” ชีวอนเปลี่ยนเป็นตะโกนใส่ผมแม้ว่าเราจะนั่งห่างกันแค่โต๊ะคั่นกลาง
ใช่... ผมเป็นคนที่ดึงเธอขึ้นมาจากทะเลในวันนั้น เป็นความบังเอิญที่ผมไปเที่ยวบ้านพักตากอากาศที่ชอกโซ เป็นความบังเอิญที่ผมเห็นเธอกระโดดลงไป หลังจากรอจนมั่นใจว่าเธอไม่ได้แค่อยากว่ายน้ำเล่น ผมเองนี่แหละ ที่เป็นคนกระโดดลงไปในน้ำเพื่อช่วยเจ้าหญิงเงือกขึ้นมา
...เหมือนในนิทาน นอกจากเธอจะไม่รู้ว่าใครเป็นคนช่วยเอาไว้ เธอยังไม่คิดจะแคร์ด้วยซ้ำ แต่ทั้งๆยังงั้นผมก็ยังรู้สึกตัวเองงี่เง่าบรรลัยที่ทิ้งเธอไว้แล้วหนีมา
“แล้วแบบนี้เราจะเริ่มตามหาทิฟฟานี่ที่ไหนดีล่ะคะ?” ซูยองพูดขึ้นมา ตอนนี้ยังไม่มีใครที่รู้เรื่องการหายตัวไปอีกครั้งของทิฟฟานี่นอกจากสองคนนี้ ที่รู้ก็เพราะว่าฟานี่อาสาเป็นคนช่วยเตรียมงานแต่งให้ทั้งคู่ และวันนี้เธอก็มีนัดต้องมาคุยเรื่องการเตรียมงาน แต่ว่าเจ้าตัวก็หายไปตั้งแต่เมื่อคืน จนป่านนี้จะเที่ยงของอีกวันแล้วยังไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน
“ฉันจะไปตามหาทิฟฟานี่ นายบอกคนอื่นๆให้ช่วยดูอีกแรงแล้วกัน” ผมลุกขึ้นยืนแล้วกำกุญแจรถแน่น ไม่สนใจเสียงทักท้วงจากสองว่าที่คู่บ่าวสาวที่ดังตามมา
ผมจะตามหาเธอให้เธอ ไม่ว่าสุดก้นทะเลลึก หรือที่ไหนๆ ผมก็จะหาเธอให้เจอให้ได้
...แล้วก็ไม่มีวันจะปล่อยเธอให้หายไปกับฟองคลื่นอีกแล้ว
หัวใจฉันยังเต้นอยู่รึเปล่านะ?
ฉันถามตัวเองแบบนี้เป็นครั้งที่ร้อยระหว่างที่นั่งมองพระอาทิตย์ตกดินริมท่าเรือตรงจุดเดิมที่ฉันเคยมาโดดลงทะเล... แต่ก่อน มันเป็นจุดที่ฉันโดดลงไปว่ายน้ำเล่นบ่อยๆ ไม่ได้อันตรายอะไรเลยด้วยซ้ำ เพราะถึงแม้น้ำจะลึก แต่ฉันก็ว่ายน้ำเก่ง... ฉันนึกถึงเวลาที่ปล่อยตัวเองไปกับกระแสน้ำเย็นๆ วันนั้นฉันก็คิดแบบนี้ล่ะ แค่อยากจะให้สายน้ำช่วยละลายความเจ็บปวด แต่กลายเป็นว่าฉันกลับหมดสติเพราะความอ่อนเพลีย ความเครียด และความเย็นของกระแสน้ำ ไม่รู้ว่าใครที่เป็นคนช่วยฉันเอาไว้ ฉันไม่ได้ถาม แล้วก็ไม่ได้บอกเพื่อนๆ เพราะไม่คิดว่าจะมีใครช่วยตามหาตัวเขาได้
คงจะเป็นนางเงือกล่ะมั้ง?
ฉันทรุดตัวลงนั่ง แช่เท้าลงไปในน้ำใสๆ นึกถึงภาพใครบางคน... ไม่ใช่อเล็กซ์ แต่เป็นชองยุนโฮ
เหมือนหัวใจบีบแรงขึ้น ยังกับมันกลับมีชีวิตได้อีกครั้ง
แต่ถ้ามันหยุดเต้นอีกรอบ คราวนี้ฉันคงทนความเจ็บปวดไม่ไหว...
ทำยังไงดีนะ?
“ทิฟฟานี่! ฮวังมิยอง!!” เสียงที่ฉันคิดถึงที่สุดดังขึ้นมา แล้วฉันก็หันกลับไป ผู้ชายคนนั้นกำลังวิ่งตรงเข้ามาก่อนจะก้มลงหอบหายใจอย่างแรง หัวใจฉันเต้นถี่ขึ้น นี่เป็นความจริงรึเปล่านะ?
“คุณ... จะทำอะไร” เขาถามออกมาทั้งๆที่ยังคงหอบหายใจอยู่
“แล้วคุณคิดว่าฉันจะทำอะไรล่ะ?”
“อย่าโดดลงไปนะ”
“ท่าทางฉันเหมือนคนอยากฆ่าตัวตายมากขนาดนั้นเลยเหรอ” ฉันถามกลับ เริ่มจะเดาได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น... ยัยพวกเพื่อนตัวแสบ นี่ไล่ให้ฉันมากินลมชมวิวแถวบานพักอากาศเพื่อจะปั่นหัวชองยุนโฮเล่นงั้นเหรอ
งั้นต้องจัดซักหน่อย แก้เซ็ง
“คุณ... คุณเป็นโรคซึมเศร้าอยู่นะ อย่าพยายามคิดอะไรในแง่ลบสิ ถึงผู้ชายคนนั้นไม่ต้องการคุณแต่มีคนอีกตั้งมากมายที่รักคุณ” คุณทนายมืออาชีพพูดอย่างร้อนใจ เล่นเอาซะฉันนึกภาพไม่ออกเลยว่าเวลาเขาอยู่ในศาลแล้วมาดจะเป็นแบบไหน
“คุณคิดงั้นเหรอ? แต่ฉันไม่เห็นใครรักฉันเป็นตัวเป็นตนซักคน”
“เพื่อนๆคุณไง”
“ยัยพวกนั้นเดี๋ยวก็แต่งงานแล้วทิ้งฉันไปหมด”
“ครอบครัวคุณล่ะ?”
“พ่อกับพี่สาวฉันหนีไปอยู่อเมริกาตั้งนานแล้ว”
“คนที่ออฟฟิศก็รักคุณจะตาย”
“พวกเขาก็แค่เคารพฉันในฐานะเจ้านาย เห็นมั้ย? ไม่ได้มีใครต้องการทิฟฟานี่ฮวังสักคน” ฉันตอบแถๆไป สงสัยว่าอีกเดี๋ยวคงได้เห็นคุณทนายดิ้นๆอยู่ตรงหน้า แต่ประโยคต่อมาของเขาทำให้หัวใจที่เต้นรัวของฉันแทบจะหยุด
“แล้วผมล่ะ?”
“หา?”
“ผมไงที่รักคุณ ต้องการคุณ ไม่ว่าคุณจะเป็นนางเงือก เป็นฟองคลื่น เป็นทิฟฟานี่ฮวัง หรือเป็นฮวังมิยอง” ดวงตาคู่นั้นจ้องมองมาที่ฉันอย่างคาดหวัง เขาไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม? ฉันเชื่อเขาได้ใช่ไหม?
แล้วก่อนที่จะทันรู้ตัวแขนคู่นั้นก็ดึงฉันเขาไปในอ้อมกอด แล้วกระซิบลงแผ่วเบาที่ข้างหู
“ถ้าคุณยังลืมเขาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร... แต่อย่าหายไปนะ... อย่าหายไปจากโลกไปนี้ อย่าหายไปจากชีวิตของผม ผมขอร้อง”
“ถ้าคุณจะไม่ฟ้องฉันกับเพื่อนๆข้อหาหลอกลวงล่ะก็นะ” ฉันตอบออกไปพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆ ชองยุนโฮผงะออกไปแต่มืออุ่นๆนั่นก็ยังจับไหล่ฉันแน่น
“คุณว่าอะไรนะ?”
“ก็... ไปโดนซูยองหลอกมาด้วยเรื่องอะไรล่ะ? ยัยนั่นกับพี่ชีวอนเป็นคนบอกให้ฉันมาพักร้อนที่ชอกโซนี่ระหว่างหาอพาร์ทเมนท์ใหม่ แล้วเมื่อกี้น่ะ ฉันแค่ล้อเล่น” ฉันตอบกลับไป แล้วหน้าหล่อๆนั่นก็เปลี่ยนอารมณ์ขึ้นมาทันที
“นี่คุณหลอกผมเล่นเหรอ? คุณรู้มั้ยว่าผมตามหาคุณจนแทบบ้า! ผมน่ะ...” แล้วเขาก็หยุดคำพูดลงดื้อๆ ก่อนจะหันหลังกลับแต่ยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่าเพราะโกรธหรือเพราะเพิ่งรู้ตัวว่าหลุดคำพูดสารภาพรักฉันออกมากันแน่
สักพักหนึ่งที่ฉันนั่งมองฟองคลื่นม้วนตัวอยู่บนผิวน้ำทะเล ปล่อยให้เสียงลมเสียงน้ำพูดแทนคำพูดเป็นล้านๆคำในหัวที่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน
“ฟองคลื่นเยอะนะ คุณว่าไหม?” ยุนโฮพูดขึ้นมา แล้วก็นั่งลงข้างๆ แกว่งเท้าลงแช่น้ำกับฉัน
“อื้อ... ฟองคลื่นเยอะมากขนาดนี้ นางเงือกที่ความรักไม่สมหวังคงมีเยอะน่าดูเลย คุณว่าไหม?”
“ตรงนี้ก็มีสองไง คุณแล้วก็ผม” เขาพูดออกมา คงตั้งใจให้มันฟังตลก แต่ดวงตาคู่นั้นกลับฉายแววเศร้ามากกว่า
“แต่ถ้าทะเลไม่มีฟองคลื่น ก็คงไม่ใช่ทะเล เหมือนกับความรัก ถ้าไม่เจ็บปวดก็คงไม่ใช่รักที่แท้จริง”
“ผมรู้” เขาตอบสั้นๆ แล้วเราต่างคนต่างก็นิ่งกันไป
“ฉันรู้ว่าคุณไม่ชอบทำอะไรบ้าๆ แต่... คุณอยากลงไปวายน้ำด้วยกันมั้ยคะ?” ฉันถามเขา มองหน้าคุณทนายที่ดูเอ๋อสุดขีด
“ว่ายน้ำ?”
“ก็... ถ้าฉันเป็นนางเงือก ตอนนี้ก็พ้นคำสาปแล้ว แต่ว่า... ฉันไม่อยากว่ายน้ำไปคนเดียว คุณอยากลงไปกับฉันไหม? มันอาจจะลึก อาจจะไม่ชินในตอนแรกๆ แต่ถ้าสักวันฉันพร้อม... ฉันกลับขึ้นมาบนฝั่ง มาหาคุณ” ฉันขยายความ แล้วก็รู้สึกตัวเองงี่เง่าสิ้นดีที่พูดออกไปตรงๆไม่ได้ สมองฉันอาจจะยังไม่ลืมความทรงเลวร้าย แต่หัวใจกลับบอกให้ฉันรั้งผู้ชายคนนี้เอาไว้ทุกวิถีทาง บอกว่าฉันต้องการเขา
“ต่อให้คุณไม่กลับขึ้นมา ผมก็จะว่ายตามลงไปจนสุดก้นทะเลเลย” ยุนโฮยิ้มให้ฉันก่อนจะยกมือขึ้นจับผมแดงเหมือนนางเงือกทัดหูให้เบาๆ แค่มองตาผู้ชายคนนี้ฉันก็แน่ใจแล้วว่าคำสาปร้ายจะไม่กลับมาอีก เพราะฉันเจอแล้ว เจอเจ้าชายตัวจริงที่ไม่รอให้เจ้าหญิงเงือกขึ้นมาหา แต่เป็นเจ้าชายที่พร้อมจะโดดลงทะเลมาเพื่ออยู่กับฉัน เพื่อรักฉัน
“อย่าลืมผายปอดให้ผมด้วยนะ”
“บ้า!”
ถึงฉันจะตีเขา แต่สุดท้ายริมฝีปากอุ่นๆนั่นก็โน้มลงมาพร้อมกับลมหายใจร้อนๆ
อืม... ฉันชักจะชอบวิธีผายปอดแบบนี้ซะแล้วสิ
ความคิดเห็น