ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SNSD] Feminine Club : คลับลับฉบับสาวๆ!

    ลำดับตอนที่ #9 : Profile No. 7 & No. 8 : เจสสิก้า & ทิฟฟานี่ [Part 2]

    • อัปเดตล่าสุด 9 ต.ค. 54


    SPECIAL GUESTS
    Photobucket Photobucket Photobucket 
    Jia Miss A         |      Riko Rania     | Thunder Mblaq



                   “สิก้า อย่าลืมหนังสือของน้องเล็กนะ” เสียงใสๆของซันนี่ดังขึ้นมาตามสาย พร้อมกับเสียงเจี๊ยวจ๊าวของสาวๆในคลับดังอยู่เบื้องหลัง

                    “จ้า ฉันไม่ลืมหรอก แต่คืนนี้ดึกแล้ว ฉันไม่เข้าคลับนะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้”

                    “อื้อ ตั้งใจซ้อมแล้วก็พักผ่อนให้มากๆล่ะ บ๊ายบาย” ซันนี่กดตัดสายไปหลังจากพูดจบ ฉันพันโทรศัพท์เก็บใส่กระเป๋า แต่เอ๊ะ นั่นไง เมื่อกี้เพิ่งรับปากกับซันนี่ไปแท้ๆ แล้วฉันก็ดันลืมหนังสือไว้ซะได้ เพราะฉันอยากจะศึกษาบทให้มากกว่านี้ก็เลยไปขอยืมหนังสือสามทหารเสือจากซอฮยอนมาอ่านค่ะ แต่ดูเหมือนว่าฉันจะทิ้งมันไว้ในห้องซ้อมเนี่ยสิ แถมพรุ่งนี้เป็นคิวที่ตาบ้านั่นต้องเข้ามาซ้อมด้วย -*- ไม่รู้ว่าควรจะขอบคุณการคอนเฟิร์มแคสที่ออกมาห่วยสิ้นดีรึเปล่า แต่กลายเป็นว่าพี่ผู้กำกับเลยจับคู่เลี่ยงไม่ให้ฉันได้เล่นประกบคู่กับคยูฮยอนเลย เพราะกลังเราสองคนจะตีกันตายบนเวที เพราะฉะนั้นตารางซ้อมของเราก็จะไม่ตรงกันด้วย ถึงแม้ว่าจะเจอกันทุกวันประปราย แต่เราสองคนก็ไม่ได้มีโอกาสซ้อมคู่กันจริงๆจังๆสักที

                    แต่ถึงจะไม่ได้แสดงคู่กัน แต่คำท้าของหมอนั่นก็ยังคงอยู่ แล้ววันทดสอบการแสดงของพวกเราก็ใกล้มาถึงเต็มทีแล้ว...

                    “ชื่อของข้าคือดาร์ตาญัง!
                    เสียงของใครบางคนดังขึ้นในห้องซ้อมมืดสลัว แม้ว่าฉันจะไม่ได้ยินเขาพูดบทบ่อยๆ แต่ฉันก็จำเสียงของเขาได้แม่นยิ่งกว่าใคร

                    “ปล่อยตัวคอนสแตนซ์ซะ มิลาดี ไม่เช่นนั้นดาบข้าจะได้ลิ้มรสเลือดเจ้า”

                    เสียงวาดดาบดังขึ้น เขากำลังยืนอยู่หน้ากระจก ซ้อมฉากที่จะต้องไปช่วยคอนสแตนซ์จากการลักพาตัวโดยสายลับอังกฤษ

                    คยูฮยอนวาดดาบขึ้นลงตามท่าเต้นและบล็อกกิ้งที่ซ้อมไว้ เขาพึมพำนับจังหวะเบาๆแทนเสียงเพลง แต่พอถึงจังหวะที่ต้องกระโดดหลบดาบของศัตรู เขาก็ล้มลงซะดื้อๆ

                    เห็นได้ชัดเลยว่าหมอนั่นจริงจังมาก เขาปาดเหงื่อ ทุบพื้นเบาๆอย่างขัดใจแล้วลุกขึ้นยืน แล้วก่อนที่ฉันจะได้คิดด้วยซ้ำ ขาไม่รักดีทั้งสองข้างก็ก้าวออกไปแล้ว

                    “ดาร์ตาญัง จงทำเพื่อองค์ราชินีและฝรั่งเศส ไม่จำเป็นต้องช่วยข้า” ฉันพูดออกไปตามบท สีหน้าของเขาดูแปลกใจ แล้วเจ้าตัวก็ได้แต่ยืนนิ่งไปสักพัก เอ...ต่อจากนี้ต้องเป็นฉากต่อสู้สินะ...

                    ฉันวิ่งไปหยิบดาบที่วางกองอยู่บนพื้นห้องแล้วตรงเข้ามาประจันหน้ากับเขา ฉันเงื้อมือแล้วฟาดดาบลงไปตามที่เคยเห็นรุ่นพี่แสดงมา คยูฮยอนยกดาบขึ้นมากันไว้ สีหน้าเขายังคงดูตกใจอยู่

                    “ตั้งสติหน่อยสิ ตอนนี้ฉันเล่นเป็นมิลาดี คู่ต่อสู้ของนายแล้วนะ” ฉันพูดออกไปก่อนจะสูดลมหายใจลึกๆ แล้วตั้งสมาธิเข้ากับบท “ความล่มสลายแห่งราชวงศ์กับหญิงคนรัก เจ้าเลือกอย่างหลังงั้นรึทหารเสือ?”

                    “หากหญิงคนรักผู้เดียวยังปกป้องไม่ได้ ข้าคงไม่อาจปกป้ององค์ราชินี”

                    แล้วเราสองคนก็เริ่มการต่อสู้ เสียงดาบกระทบกันเป็นจังหวะ ถึงจะไม่มีบทเพลงแต่พวกเรากลับแสดงได้ราวกับรู้ใจกัน แล้วก็ถึงจังหวะที่มิลาดีพลาดท่าดาร์ตาญัง คยูฮยอนสอดปลายดาบเข้ามาเกี่ยวด้ามดาบในมือฉันแล้วสะบัดมันออกไป ฉันแกล้งล้มลง ดวงตาคมปลาบของเขาจ้องมองมาที่ฉัน ปลายดาบถูกจ่ออยู่ใต้คาง บังคับให้ฉันต้องสบตาเขาตรงๆอย่างเลี่ยงไม่ได้

                    “จงไปซะ อย่าได้กลับมาเหยียบแผ่นดินฝรั่งเศสอีก”

                    คยูฮยอนวาดดาบเก็บแล้วถอยออกไป ฉันสูดลมหายใจลึก แล้วลุกขึ้นยืนหันหลังกลับเดินออกไปได้ห้าหกก้าวแล้วก็หันกลับมาใหม่... ตอนนี้ฉันต้องเป็นคอนสแตนซ์แล้ว เล่นสองบทเนี่ยมันลำบากจริงๆ

                    “ดาร์ตาญัง!” ฉันเรียกชื่อเขาตามบทก่อนจะวิ่งเข้าไปแล้วกระโดดเข้าสู่อ้อมกอด คยูฮยอนรวบเอวฉันไว้แล้วยกฉันขึ้นหมุนไปรอบๆ ก่อนจะดึงตัวฉันเข้ามาซบไหล่ จากนั้นเขาก็เริ่มร้องเพลง

     

    나 외로워도 되 널 생각할 땐

    ต่อให้ฉันต้องเหงา มันก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะทุกครั้งที่คิดถึงเธอ
    미소가 나의 얼굴에 번져

    ฉันก็จะมีรอยยิ้มขึ้นมา
    나 힘들어도 되 니가 행복할 땐

    ต่อให้ฉันต้องเหนื่อยก็ไม่เป็นไร แค่เพียงเธอมีความสุข

    사랑이 내 맘 가득히 채워

    ใจของฉันก็ถูกเติมเต็มด้วยความรัก


    오늘도 난 거친 세상속에 살지만

    วันนี้ฉันอาจต้องฟันฝ่าโลกที่ยากลำบากอีกครั้ง
    힘들어도 눈감으면 니 모습뿐

    ถึงแม้ว่ามันจะหนักหนา แต่เมื่อหลับตา ฉันก็เห็นแต่ภาพเธอ
    아직도 귓가에 들려오는 꿈들이

    เป็นความฝันที่ยังคงดังก้องอยู่ในหูของฉัน
    나의 곁에서 널 향해 가고 있잖아

    กำลังเปลี่ยนจากข้างกายฉันไปหาเธอ

    내 삶이 하루하루 꿈을 꾸는 것처럼

    ชีวิตของฉันทุกๆวันคงเหมือนกับความฝัน
    너와 함께 마주보며 사랑할 수 있다면

    หากเราสามารถมองกันและกัน และรักกันและกันได้
    다시 일어설 거야

    ฉันจะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง

    나에게 소중했던 기억속의 행복들

    สำหรับฉัน ความสุขแห่งช่วงเวลามีค่าเหล่านั้น

    힘든 시간 속에서도 더욱 따스했던

    จะทำให้ฉันอบอุ่นในช่วงเวลายากลำบาก
    희망은 내겐 잠들지 않는

    สำหรับฉัน หวังว่ามันจะเป็นความฝันที่ไม่มีวันหลับไหลตลอดไป

     

    ราวกับทุกๆคำในเพลงนั้นถูกส่งผ่านมาทางสายตา มือฉันที่ทาบอยู่บนแผ่นอกเขาสัมผัสได้ถึงเสียงหัวใจเต้น ใบหน้าของเราห่างกันแค่คืบ ฉันสัมผัสได้ถึงไอร้อนจากลมหายใจของเขาขณะที่ริมฝีปากได้รูปเคลื่อนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ...

    “ฉากนี้... นายห้ามจูบจริงไม่ใช่เหรอ” ฉันพูดขึ้นมาแล้วก็เหมือนบรรยากาศรอบตัวเมื่อกี้หายไปทันที คยูฮยอนปล่อยฉันออกจากอ้อมกอดแล้วยกแขนขึ้นเกาหัว ส่วนฉันก็รู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงไปถึงหู หัวใจเต้นรัวยิ่งกว่ากลองชุดซะอีก ทุกทีสิน่า... ฉันแพ้ทางเสียงของเขาจริงๆ ผู้ชายคนนี้มีเสียงที่สะกดได้ทุกคน นักร้องหลายๆคนบอกว่าเสียงของคยูฮยอนคือเสียงจากสวรรค์ บนโลกนี้คนที่สามารถทำแบบนี้ได้ นอกจากโจวคยูฮยอนฉันเห็นก็มีแต่แทยอนแล้วก็พี่โบอาเท่านั้น

    “นาย... อยากชนะฉันมากขนาดนั้นเลยเหรอ?” ฉันหาเรื่องถามขึ้นมาทำลายความเงียบน่าอึดอัด

    “หา อะไรนะ?”

    “ก็การแข่งของเราไง นายมาซ้อมดึกๆแบบนี้เพราะไม่อยากแพ้ฉันล่ะสิ”

    “ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะ ฉันไม่ได้เป็นพวกชอบเอาชนะขนาดนั้นนะ” โกหกเต็มประตู... คนอย่างโจคยูฮยอนน่ะเกลียดการพ่ายแพ้ที่สุดในสามโลกเลย “แพ้ชนะมันเรื่องรอง... ฉันแค่อยากทำให้มันออกมาดีที่สุดก็แค่นั้นเอง”  แววตาของเขาฉายแววมุ่งมั่นไม่ผิดจากบทที่เขาได้รับเลยสักนิด ฉันเริ่มเห็นแล้วล่ะว่าทำไมหมอนี่ถึงได้รับบทนี้...

    “นี่ แล้วเธอน่ะ ดึกดื่นแล้วทำไมยังไม่กลับบ้านอีก เขาเดินมาขยี้หัวฉันเบาๆ พร้อมกับยิ้มนิดๆ จู่ๆมาโหมดนี้ ชักจะไปต่อไม่ถูกแฮะ

    “ก็... ลืมของน่ะ” ฉันเอื้อมมือไปคว้าหนังสือของซอฮยอนที่เป็นภาษาอังกฤษล้วนทั้งเล่มยกขึ้นมาให้หมอนั่นดู

    “โห... นี่เธออยากชนะฉันมากขนาดนั้นเลยเหรอ?” หมอนั่นย้อนกลับมาด้วยประโยคเดียวกัน

    “ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะ ฉันไม่ได้เป็นพวกชอบเอาชนะขนาดนั้นนะ... แพ้ชนะน่ะแค่เรื่องรอง ฉันอยากทำออกมาให้ดีที่สุดต่างหาก” ฉันสวนกลับไปบ้าง แล้วหมอนั่นก็ทำตาโตก่อนจะเริ่มผุดยิ้ม แล้วเราทั้งคู่ก็หัวเราะออกมาพร้อมๆกัน...

    ลงท้าย ไปไงมาไงไม่รู้ ฉันต้องมานั่งกินรามยอนเป็นอาหารค่ำกับตาบ้านี่ ไม่อยากจะบอกเลยว่าหมอนี่พูดมากสุดๆ พดยังกับจะมีใครมาแย่งพูดงั้นแหละ ทำไมเห็นออกวาไรตี้ทีไรปล่อยให้พี่ฮยองจุนพูดน้ำไหลไฟดับอยู่คนเดียวนะ

    “นี่ มองหน้าฉันแล้วทำให้รามยอนอร่อยขึ้นรึไง? เธอน่ะปล่อยฉันพูดจนเส้นอืดอยู่คนเดียว ไอ้เรารึอุตส่าห์ไม่อยากให้บรรยากาศมาคุ” คยูฮยอนบ่นอุบเหมือนเด็กๆ เห็นแล้วฉันก็อดขำไม่ได้

    “นายเนี่ยท่าจะบ้า ก็ตัวเองพูดเอาๆอยู่คนเดียว จะให้ฉันพูดแทรกตรงไหนล่ะ” ฉันย้อนกลับไป อันที่จริงเขาเพิ่งเล่าให้ฉันฟังเรื่องตอนเป็นเด็กฝึกหัดน่ะค่ะ เรื่องทั้งหมดนั่นฉันได้อ่านมาจากเว็บบอร์ดแล้ว แถมฟังจากที่เขาเคยเล่าในรายการวิทยุมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ว่าก็มันก็มีเรื่องบางอย่างที่ฉันไม่เคยรู้ อย่างเช่น เขาเพิ่งถูกเปลี่ยนตัวเข้ามาก่อนเดบิวท์แค่ไม่กี่เดือน และด้วยระยะเวลาการเป็นเด็กฝึกที่สั้นกว่าคนอื่น เลยทำให้ทั้งพี่คิบอมและพี่ฮยอนจุงไม่ยอมรับเขาในตอนแรก แต่เดี๋ยวนี้เปลี่ยนมาเป็นมักเน่ออนท็อปซะแล้ว

    “เล่าเรื่องของเธอบ้างสิ อย่างเช่น... เธอมีพี่น้องรึเปล่า? แล้วเข้าเอฟคลับมาได้ยังไง?”

    “ก็...ฉันมีน้องสาวคนนึง ส่วนเอฟคลับ... พี่ซานดาราเป็นคนชวนฉันเข้ามา” ฉันตอบ แล้วเขาก็เลิกคิ้ว

    “แล้วไงต่อ?”

    “ก็ไม่แล้วไง เท่านี้แหละ”

    “เธอนี่นะ หัดเรียนรู้ทักษะรายการวาไรตี้ไว้ซะมั่งสิ -*- หัดเล่าอะไรยาวๆให้มันเป็นบ้าง” หมอนั่นทำเสียงจิ๊กจั๊กใส่ฉัน แหม ก็คนมันพูดไม่เก่งนี่นา ฉันไม่ได้เก่งเหมือนซูยองกับซันนี่นะ สองคนนั้นถ้าเดบิวท์เมื่อไหร่ต้องได้เป็นเจ้าแม่วาไรตี้แหงๆ

    “ก็ฉันไม่ถนัดเล่าเรื่องของตัวเองนี่นา...”

    “งั้นเริ่มจากไอ้นี่เป็นไง” เขาชี้ไปที่หนังสือสามทหารเสือของซอฮยอนที่ฉันใช้เป็นโต๊ะกินข้าวชั่วคราว “เริ่มจากบทคอนสแตนซ์ของเธอนี่แหละ เล่าให้ฟังหน่อยสิ อยากรู้ว่าคอนแสตนซ์ในหนังสือเป็นยังไง” เขากอดเข่าแล้วมองฉันตาแป๋วเหมือนเด็กๆ ฉันรู้สึกตัวเองใจเต้นผิดจังหวะขึ้นมาซะงั้น ไม่ได้ๆ นึกเรื่องบทเข้าไว้ เอ...คาแรคเตอร์ของคอนสแตนซ์...

    “ในหนังสือเล่มนี้น่ะ คอนสแตนซ์เป็นเด็กสาวที่ถูกจับให้แต่งงานกับขุนนางแก่ๆคนหนึ่งโดยไม่เต็มใจ แต่พอได้มาพบดาร์ตาญัง เธอก็ตกหลุมรักเขา... ทั้งคู่เป็นรักแรกของกันและกัน แต่ว่าคอนสแตนซ์ไม่สามารถหย่าขาดกับสามีได้ เลยได้แต่แอบนัดพบกับดาร์ตาญังอย่างลับๆ จนกระทั่งเลดี้มิลาดี ศัตรูของดาร์ตาญังรู้ความลับของทั้งคู่ เธอเลยจับตัวคอนสแตนซ์ไป แล้วใช้ยาพิษฆ่าเธอเป็นการแก้แค้นดาร์ตาญัง”

    “น่าเศร้าจัง แสดงว่าบทของเราก็ปรับไปเยอะเลยนะ” สามทหารเสือเวอร์ชั่นที่เราเล่นนี่ บทคอนสแตนซ์ของฉันถูกปรับให้เป็นแค่หญิงสาวธรรมดาที่เป็นลูกสาวช่างเสื้อคนสนิทของพระราชินีค่ะ แล้วเราก็ไม่ได้แสดงไปไกลถึงฉากที่คอนแสตนซ์ตาย แค่เล่นถึงตรงที่ดาร์ตาญังสาบานตนเป็นทหารเสือเท่านั้น

    “แต่ถึงจะปรับบทยังไง ก็ยังไม่สมหวังอยู่ดีนั่นแหละ สุดท้ายบทเธอก็โดนจับแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก ส่วนบทฉันก็เลือกที่จะทำตามความฝัน” เขาเปรยขึ้นมาก่อนจะเปลี่ยนท่าเป็นนั่งยืดขา “แล้วถ้าเธอเกิดเธอเป็นคอนแสตนซ์ เธอจะยอมทนอยู่กับคนที่ไม่ได้รักไหม?” เขาหันมาถามพร้อมรอยยิ้ม อยากจะบอกว่าถ้าฉันเป็นคอนแสตนซ์จริงๆแล้วหมอนี่เป็นดาร์ตาญังล่ะก็ ฉันก็คงไม่เหลือหัวใจไปรักใครที่ไหนในโลกได้อีกแล้วล่ะ

    “เรารักเขารึเปล่าบางทีมันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก” ฉันตอบออกไป “แต่ถ้าหากเขาไม่รักเรา ถ้าดันทุรังรักเขาต่อไปก็ทำร้ายหัวใจตัวเองเปล่าๆ” รู้สึกเหมือนคำพูดนี้จะทิ่มแทงใจของฉันอย่างประหลาด

    น่าแปลกที่คนข้างๆฉันไม่ต่อปากต่อคำเหมือนทุกที แล้วภาพวันที่เขาคุยกับพี่ปาร์คบอมก็ฉายกลับเข้ามาในหัว...

    เขาคงเจ็บปวดมากสินะ...  แต่เขาคงไม่รู้เลยว่าฉันเจ็บกว่าเขาเป็นร้อยเท่า

     

     

    “โห...” ฉันมองไปรอบๆอย่างตื่นเต้น เกิดมานี่ก็เพิ่งเป็นครั้งแรกนี่ล่ะค่ะที่ได้เข้าห้องอัดกับเขา รู้สึกดีใจจังที่เกิดมาเสียงดี

    “แทงกู ฉันจะทำได้มั้ยเนี่ย” ทิฟฟานี่ดูกังวลกับงานนี้เป็นพิเศษ ทั้งๆที่ปกติฟานี่เป็นคนโพสิทีฟเกินร้อย อะไรยังไงก็คิดบวกได้เสมอ ประหลาดจังแฮะ

    เรื่องของเรื่องก็คือพี่โบอามีโปรเจคต์ดันน้องๆอีกแล้ว ย้ำว่าอีกแล้วค่ะ คราวนี้ฉันกับทิฟฟานี่ถูกยืมตัวมาเป็นนักร้องฟีเจอร์ริ่งในงานโซโล่ของคิมฮยอนจุงวงปรินซ์ พักนี้ดูเหมือนดวงคลับเราจะโคจรมาร่วมงานกับหนุ่มๆวงนี้บ่อยจังเลยแฮะ สิก้าก็แสดงละครกับพี่คยูฮยอนอยู่ด้วย

    “สวัสดีค่ะ น้องแทยอนกับทิฟฟานี่ใช่ไหมคะ?” หญิงสาวสวยคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพวกเราพร้อมรอยยิ้ม

    “ค่ะ สวัสดีค่ะ” ฉันกับฟานี่โค้งคำนับตามมารยาท

    “พี่ชื่ออีซูมีนะคะ เป็นหนึ่งในผู้จัดการวงปรินซ์ เดี๋ยวก่อนเข้าห้องอัดเราไปซ้อมคิวกันก่อนนิดนึงนะ” พี่ซูมีที่ดูท่าทางใจดีเดินนำเราเข้าไปในห้องๆหนึ่ง ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองลดขนาดลงเหลือแค่สองนิ้ว หวา... นั่นไงคิมฮยอนจุง เกิดมาเพิ่งจะได้เห็นไอดอลตัวเป็นๆนอกจากพี่โบอาครั้งแรก หล่อออร่าชะวิ้งชะวับเลยแฮะ > <

    “สวัสดีครับ” พี่เค้าส่งยิ้มเทพบุตรมาให้ ฉันเห็นทิฟฟานี่หน้าแดงขึ้นนิดหนึ่ง แต่ก็โค้งกลับไปตามมารยาท = = เอ...แปลกแฮะ ปกติทิฟฟานี่เป็นคนอเลิร์ทเต็มร้อยนี่นา เจอแบบนี้ถ้าไม่ซัดตายิ้มใส่ก็คงจะแนะนำตัวเองด้วยเสียงแหลมปรี๊ด

    “นี่เนื้อเพลงจ้ะ” พี่ซูมีส่งกระดาษเนื้อเพลงให้เราคนละใบ พร้อมกับหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ พี่ฮยอนจุงอย่างสนิทสนม สายตาที่มองเนี่ยหวานเยิ้มเลยแหละ... หรือว่าคู่นี้มีอะไรหลังกล้องรึเปล่านะ?

    “น้องๆฟังเดโมมากันแล้วใช่ไหมครับ?” พี่ฮยอนจุงถาม ฉันกับฟานี่พยักหน้าแทนคำตอบ “งั้นเดี๋ยวเรามาเริ่มกันเลยนะ 5-6-7…

    “ขอโทษครับที่ผมมาช้า!” บานประตูเหวี่ยงเปิดออกพร้อมร่างใครคนหนึ่งที่วิ่งพรวดพราดเข้ามา แก้มขาวๆเป็ฯสีแดงระเรื่อเพราะความเหนื่อย ในมือของเขาถือกระเป๋าไวโอลินมาด้วย แล้วดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นก็หันมามองพี่ฮยอนจุง ฉัน แล้วก็ไปหยุดลงที่ฟานี่ก่อนจะยิ้มกว้าง

    “เจอกันอีกแล้วนะครับ เจ้าหญิงของผม”


     

    วันนี้เป็นวันฟิตติ้งชุดแสดงครับ และแน่นอนว่าวันนี้เป็นวันดีเดย์ระหว่างการแข่งขันของผมกับเจสสิก้าด้วย จากที่ประเมินกัน ผมไม่อยากจะยอมรับว่ายัยเด็กคนนี้เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวจริงๆ ตั้งแต่ตอนที่เธอเข้ามาต่อบทให้ผมแล้วเล่นทั้งสองบทพร้อมกัน ผมยังไม่อยากเชื่อเลยว่าผมประเมินเธอต่ำไปตั้งแต่ต้น คนที่จะทำแบบนั้นได้จะต้องสมาธิสูงมากๆ แล้วไหนจะแววตาของเธอตอนที่อยู่ในอ้อมกอดผมวันนั้น... แววตาที่ทำให้ผมแทบจะเชื่อสนิทใจว่ามันไม่ได้เป็นการแสดง เป็นแววตาที่ผู้หญิงคนหนึ่งมองผู้ชายที่เธอรักสุดหัวใจ...

    เฮ้ย! นี่ผมฟุ้งซ่านไปไหนแล้วเนี่ย

    เอาเป็นว่าตอนนี้ผมยืนอยู่หน้ากระจกแล้วครับ ชุดเสื้อผ้าดาร์ตาญังนี่เท่ไม่ใช่เล่นเลยแฮะ ผมลองชักดาบที่คาดเอวออก ว้าว! ชอบสุดๆไปเลย

    “เฮ้! นางเอกมาแล้วแน่ะ” ผมได้ยินเสียงสตาฟฟ์เรียก แล้วผมก็หันกลับไปมอง คอนสแตนซ์ทั้งสองก้าวออกมา พี่ดาน่า และเจสสิก้า... ยัยเด็กปากจัดคนนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ ผมสีน้ำตาลประกายทองถูกรวบเป็นเปียหลวมๆพาดบ่า ชุดกระโปรงคอร์เส็ตสีแดงเข้มยิ่งเน้นรูปร่างให้ดูเป็นผู้หญิงมากขึ้น เสื้อแขนยาวตัดเย็บด้วยผ้าชีฟองสีขาวที่สวมไว้ด้านในยิ่งทำให้เธอดูเหมือนตุ๊กตา แต่พอผมเห็นว่าคอเสื้อนั่นกว้างมากจนเผยช่วงไหล่ลงมาจนถึงเนินอกของเธอ ผมก็รู้สึกอยากประท้วงขึ้นมาตะหงิดๆ ยัยเด็กนี่ยังเรียน ม.ปลายอยู่เลยนะ!

    “ไง อึ้งไปเลยสิเรา เสียดายใช่มั้ยที่ไม่ได้เล่นคู่กับสิก้า” พี่บอมแรพูดตรงซะจนผมจุกยิ่งกว่าโดนต่อยอีก ผมกระแอมออกมาเบาๆ แล้วกระซิบตอบไป

    “ม...ไม่ได้คิดยังงั้นซักหน่อย ผมเล่นกับยัยนี่ละครคงล่มไม่เป็นท่า” ผมแก้ตัว...ไม่ใช่สิ ผมต้องรู้สึกยังงั้น ให้ตาย...ทำไมหัวใจถึงสั่นแปลกๆนะ

    “เฮ้ย ท่ามากอยู่ได้น่า! พระเอกเข้าไปชมนางเอกหน่อยไป๊!” ว่าแล้วพี่บอมแรก็ผลักผมหน้าคะมำตรงเข้าไปหาเจสสิก้า ยัยนั่นดูเหมือนจะตกใจนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ตรงกันข้ามเธอกลับมองผมอย่างคาดหวัง

    “เอ่อ... ชุด...ไม่อึดอัดเหรอ” ผมไม่กล้าสบตาตรงๆเลยเบี่ยงไปมองเชือกร้อยคอร์เส็ตที่อยู่บนตัวเธอแทน แต่- -เวรตะไลแล้วไงไอ้คยูเอ๊ย แค่ผมก้มนิดเดียว หน้าอกเจสสิก้าก็แทบจะทิ่มเต็มตา ทำไงดี คนหล่อจะเสียเลือดก็งานนี้แหละครับ

    “ไม่หรอก ใส่ได้พอดี... ว่าแต่นายเถอะ หูแดงหมดแล้ว ไหวรึเปล่าเนี่ย?”

    ผมยกมือขึ้นปิดหูไม่รักดีของตัวเองโดยอัตโนมัติ ก่อนจะรีบแก้ตัว “ก็เพราะว่าร้อนน่ะสิ! ฉันใส่เสื้อตั้งหลายชั้น ก็ต้องร้อนกว่าเธอเป็นธรรมดา”

    “แต่ฉันว่าแอร์ห้องนี้เย็นไปนะ สงสัยคอเสื้อจะกว้างไปหน่อย” เจสสิก้ายกมือขึ้นลูบไหล่บอบบางของตัวเองอย่างไม่ค่อยมั่นใจ ณ วินาทีนั้นผมรู้สึกอยากเอาอะไรก็ได้ที่มีบนโลกมาห่อตัวเธอไว้ให้มิดชิดแล้วเก็บไว้ให้พ้นจากสายตาผู้ชายทุกคน นี่ผมเป็นอะไรไปแล้วเนี่ย!

    “แหม เจสสิก้า พอแต่งแบบนี้แล้วคนดูต้องชอบแน่ เธอสวยขึ้นเป็นกองเลย” พี่เจย์จากวง Trax ไอดอลอีกคนที่เป็นดับเบิ้ลแคสบทเดียวกับผมเดินเข้ามาทัก... ฮึ่ย ยัยเด็กนี่ต้องเล่นคู่กับพี่เจย์ทุกรอบซะด้วย

    “นี่ ดาน่านางเอกของนายน่ะอยู่ทางโน้น ไม่ต้องมายุ่งกับสิก้าของฉันเลย” พี่เจย์โอบไหล่สิก้าอย่างสนิทสนม ทำเอาผมรู้สึกหมั่นไส้ อยากชักดาบมาแทงพี่แกสักแผลสองแผล เล้วยัยเด็กบ้านี่ก็ดันหัวเราะคิกคักกับพี่เจย์ไปด้วย ฮึ่ย!

    “ก็ไม่ได้ตั้งใจจะเข้ามาทักนางเอกของพี่เท่าไหร่หรอกครับ เพราะยังไง นางเอกของผมก็สวยกว่า แล้วก็มืออาชีพกว่า”

    เจสสิก้ามองค้อนผม แว่บหนึ่งผมเห็นแววตาคล้ายว่าเธอเสียใจ แต่แล้วรอยยิ้มเย็นชาก็ปรากฏขึ้นบนเรียวปากของเธอ

    “พูดคำนั้นเร็วไปหน่อยมั้ย? รอให้ผลการตัดสินออกมาก่อนดีกว่า”

    “ได้! งั้นก็เริ่มเลยแล้วกัน” ผมบอกอย่างหงุดหงิด ก่อนจะหันไปควบคุมอารมณ์ ตั้งสมาธิเงียบๆ พี่ผู้กำกับเหมือนจะได้ยินที่เราสองคนเถียงกัน ตอนนี้ทุกคนเลยล้อมวงแล้วเปิดพื้นที่ตรงกลางไว้ให้พวกเรา

    “เจสสิก้า เธอเริ่มก่อนเลย” พี่ผู้กำกับพูดขึ้น แล้วเจสสิก้า...ไม่สิ...คอนสแตนซ์ก็ก้าวออกไป พร้อมกับดาร์ตาญังที่รับบทโดยพี่เจย์ และนักแสดงสมทบคนอื่นๆที่รู้คิวโดยไม่ต้องเอ่ยปากบอก

    มันแทบไม่มีที่ติเลย เจสิก้าคือคนที่โดดเด่นที่สุดบนฟลอร์ ทั้งการเต้นรำ การร้องเพลง แววตาของเธอ ทุกคนในที่นั้นราวกับต้องมนตร์สะกด แค่พริบตาเดียว การแสดงของเจสสิก้าก็จบลงพร้อมกับเสียงปรบมือ

    “ยอดเยี่ยมมาก คยูฮยอน งานนี้คงโหดหน่อยล่ะนะ” พี่บอมแรที่ยืนข้างๆผมเอ่ยขึ้นมา แต่ดวงตาของผมจับจ้องอยู่คนบนฟลอร์ที่ควรจะเป็นคู่แข่ง เธอยิ้มรับคำชมจากทุกคน และชั่วขณะที่เราสบตากัน สายตาของเธอฉายแววบางอย่างคล้ายความเป็นห่วง... แต่ผมก็ลบความคิดนั้นออกไปทันทีที่พี่เจย์จูงมือเธอเดินกลับเข้าไปรวมกับคนอื่นๆ และผมก็ก้าวเข้าไปยืนแทนที่ สูดลมหายใจลึกๆ เรียกเอาดาร์ตาญังที่อยู่ในตัวผมให้ออกมาโลดแล่น... เมื่อลืมตาขึ้น ผมจะไม่ใช่โจคยูฮยอนอีกต่อไป... ผมคือดาร์ตาญัง

     

     

    “ฉากนี้ผมขอเล่นคนเดียวนะครับ”

    เขาเอ่ยขึ้นทั้งๆที่ยังหลับตา และเมื่อเขาลืมตาขึ้น เราทุกคนก็รู้ว่าการแสดงได้เริ่มแล้ว

    “ข้ามีโอกาสเพียงหนึ่ง... ระหว่างความรักและหน้าที่ ระหว่างหญิงคนหนึ่งที่อยากปกป้อง และหญิงคนหนึ่งที่จำเป็นต้องปกป้อง” ดวงตาคู่นั้นฉายแววเจ็บปวดลึกเมื่อสบตากับฉัน มือของเขาเอื้อมไปจับด้ามดาบก่อนจะวาดมันขึ้นในอากาศ

    “แต่แม้หัวใจข้าจะแหลกสลาย เลือดและกายจะขอพลีให้แผ่นดิน!

    เขาชูดาบขึ้นฟ้า ไม่น่าเชื่อ... แค่บทเพียงสองบรรทัด ท่าทางเพียงแค่นิดเดียว แต่ฉันกลับขนลุกอย่างบอกไม่ถูก...

    “ทหารเสือ!” เขาตะโกนก้อง

    “ทหารเสือ!” เสียงขานรับดังขึ้นจากรุ่นพี่สามคนที่รับบทสามทหารเสือ พวกเขาชักดาบแล้วก้าวออกไป เสียงดาบกระทบดาบดังก้องขึ้นในห้องซ้อมที่เงียบงัน คยูฮยอนไม่หวั่นไหวเลยสักนิด ราวกับเขารู้มาแล้ว ...ไม่สิ... มันไม่มีผลเลยต่างหาก ไม่มีผลเลยว่าจะเล่นคนเดียวหรือมีใครเข้ามาเล่นด้วย แม้จะไม่มีใครขานรับ แต่เขาก็สร้างมันขึ้นมาได้ และเติมมันเข้ามาในการรับรู้ของผู้ชมทุกคน... นี่สินะ การแสดงที่แท้จริง ที่สามารถสร้างทุกสิ่งขึ้นมาได้จากความว่างเปล่า ตอนนี้ฉันไม่เพียงแต่เห็นแค่พวกเขาสี่คน... แต่ฉันเห็นทหารเสือทั้งสี่ยืนอยู่หน้าบัลลังก์ กล่าวสัตย์ปฏิญานต่อหน้าองค์ราชินี

    “ทหารเสือเป็นหนึ่งเพื่อแผ่นดิน!” ดาร์ตาญังประกาศก้อง แล้วเสียงปรบมือก็ดังกระหึ่ม แม้แต่พี่ผู้กำกับก็ยังยืนขึ้นปรบมือให้ เขาหันมายิ้มกับฉันอย่างอ่อนโยน

    “คราวนี้พี่ก็มั่นใจแล้วว่าเลือกนักแสดงไม่ผิดตัว เธอว่าอย่างนั้นไหม สิก้า?”

    ฉันได้แต่ยิ้มตอบ รู้แล้วว่าผลที่ออกมาจะเป็นยังไง แต่ฉันกลับไม่รู้สึกเสียใจสักนิดเลย

    จนกระทั่งหันหลังกลับไปแล้วเห็นปาร์คบอมยืนอยู่ตรงนั้น...

     

     

    “เธอไปรู้จักเฮนรี่ได้ยังไง?” พี่ฮยอนจุงเปิดฉากทันทีที่เหลือเพียงแค่เราสองคนอยู่ในห้อง พี่ซูมีไปซื้อน้ำมาให้โดยมีแทยอนอาสาตามไปด้วย ส่วนเฮนรี่ก็ปลีกตัวไปอัดเสียงไวโอลินก่อน

    “พี่ไม่จำเป็นต้องรู้หรอกค่ะ” ฉันตอบกลับ พยายามจดจ่ออยู่กับเนื้อเพลง แต่พี่ฮยอนจุงกลับดึงมันออกไปจากมือฉันแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้

    “เธอต้องตอบคำถามพี่นะทิฟฟานี่”

    “ก็แล้ววันนั้นที่นัดกันทำไมพี่ไม่ไปล่ะคะ? พี่จะได้รู้ว่าฉันเจอเฮนรี่ได้ยังไง” พี่ฮยอนจุงนิ่งอึ้งไปทันที

    “เธอโกรธที่พี่ไม่ไปตามนัดเหรอ?”

    “ไม่หรอกค่ะ ฉันรู้ว่าพี่มีงาน ฉันรู้ว่าพี่ไม่ได้ตั้งใจจะปล่อยให้ฉันรอ ฉันรู้ดีค่ะ” ฉันพูดทั้งหมดออกไปพยายามทำเสียงไม่ให้สั่น

    “ฟานี่พี่ขอโทษนะ แต่เราเคยคุยกันแล้วนี่... พี่รู้ว่าการคบกับไอดอลมันลำบาก แต่

    “พอเถอะค่ะ ฉันเข้าใจ ฉันรู้ดีทุกอย่างค่ะ... เรื่องนี้ไว้คุยกันทีหลังดีกว่า วันนี้ฉันมาเพราะเรื่องงานนะคะ” ฉันดึงกระดาษเนื้อเพลงกลับมาแล้วหมุนเก้าอี้หันหลังให้เขา พี่ฮยอนจุงกลับไปฟังเดโมเพลงเงียบๆ เราสองคนไม่ได้คุยอะไรกันอีกจนกระทั่งแทยอนและพี่ซูมีกลับมา

    “นี่จ้ะ ฮยอนจุง ชามะนาวกับผ้าเช็ดหน้าอุ่นๆ” ฉันได้แต่นั่งมองพี่ซูมีซับผ้าขนหนูอุ่นๆลงบนใบหน้าของผู้ชายที่เป็นแฟนฉัน สายตาที่พี่เค้ามอง ทำไมฉันจะไม่รู้... พี่ซูมีชอบพี่ฮยองจุน ชอบมากด้วย... หัวใจฉันเจ็บแปลบทันทีที่ยอมรับความจริงข้อนี้ พวกเขาอยู่ด้วยกันตลอด มีเวลาใกล้ชิดกันมากกว่าฉันที่เป็นแฟนตัวจริงซะอีก

    “ฟานี่ หน้าเธอดูแย่ๆนะ เป็นอะไรรึเปล่า?” แทยอนถามด้วยความเป็นห่วง แต่ฉันแค่ส่ายหน้าแล้วยิ้มตอบกลับไป

    “ก็แค่ไม่ค่อยมั่นใจน่ะ ไม่มีอะไรหรอก ซ้อมกันต่อเถอะ”

    ใช่... ฉันไม่มั่นใจจริงๆ... ไม่มั่นใจว่าเขายังคงรักฉันอยู่อย่างที่พูดรึเปล่า

    แต่จนแล้วจนรอดการอัดเสียงก็สำเร็จลงไปได้ เฮนรี่ที่อัดเสียงไวโอลินเสร็จไปตั้งแต่เช้าก็อยู่รอกลับพร้อมพวกเรา แต่ฉันไม่สนใจหรอก เพราะทั้งวัน ฉันมัวแต่สนใจเรื่องที่พี่ซูมีตัวติดกับกับพี่ฮยอนจุงตลอดเวลา พวกเขาทั้งหัวเราะ คุยเล่นกัน ป้อนขนมให้กัน นั่งทานข้าวด้วยกัน... พี่เค้าได้ทำทุกอย่าง ในขณะที่แฟนอย่างฉันยังไม่มีโอกาสทำเรื่องแบบนั้นเลยสักนิด

    “ขอตัวกลับก่อนนะคะ” แทยอนพูดขึ้นพร้อมกับโค้งคำนับ แล้วพวกเราสามคน... รวมทั้งเฮนรี่ด้วย ก็เดินออกมาจากสตูดิโอ

    ~ติ๊ด ตีติด ติดตี๊~

    เสียงข้อความโทรศัพท์ของฉันดังขึ้น คนส่งไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกค่ะแต่เป็นพี่ฮยอนจุงเอง

    พี่อยากคุยกับเธอ จะรอที่ห้องอัดนะ

    “เอ้อ แทงกู” ฉันหันไปเรียกแทยอนที่หยุดเดินแล้วหันมามองพร้อมกับเฮนรี่ “รู้สึกว่าฉันจะลืมของไว้ที่ห้องอัดน่ะ ขอกลับเข้าไปเอาก่อนนะ”

    “ลืมอะไรไว้เหรอ ให้ผมไปช่วยหามั้ย” เฮนรี่อาสา แต่ฉันรีบส่ายหน้า

    “ไม่เป็นไร พวกเธอกลับไปกันก่อนเลย ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ” ฉันรีบตัดบทแล้ววิ่งกลับเข้ามา หลังจากดูจนแน่ใจแล้วว่าสองคนนั้นไม่ได้ตามมาด้วย ฉันก็รีบวิ่งไปทางห้องอัดเสียงทันที ประตูเปิดแง้มไว้อยู่ ฉันได้ยินเสียงคนคุยกันลอดออกมา... ไหนพี่ฮยอนจุงบอกว่ารอฉันอยู่ในนี้คนเดียวไงล่ะ ฉันแง้มประตูออกนิดหน่อยแล้วแอบมองเข้าไปข้างใน

    “ซูมี บอกแล้วไงว่าเดี๋ยวผมตามออกไป คุณกลับไปก่อนได้เลย”

    “ไม่ได้นะ ฉันมีหน้าที่ดูแลเธอนี่... หรือว่าเธอมีเรื่องอะไรปิดบังฉันรึเปล่า”

    หัวใจฉันหล่นวูบไปอยู่ตาตุ่มทันที หรือว่า...พี่ซูมีจะจับได้เรื่องที่ฉันคบกับพี่ฮยอนจุง ยังงี้อนาคตแฟนฉันก็ดับวูบเลยน่ะสิ

    “ไม่มีอะไรครับ แต่ผมมีธุระนิดหน่อย”

    “คงไม่ใช่ธุระกับเด็กที่ชื่อทิฟฟานี่นั่นหรอกใช่ไหม?” น้ำเสียงของพี่ซูมีเริ่มมีแววไม่สบอารมณ์ขึ้นมาแล้วแฮะ ฉันควรจะไปตั้งแต่ตอนนี้ ควรจะไปเพื่อไม่ให้ใครจับได้ แต่ขาก็กลับก้าวไม่ออกซะดื้อๆ

    “ไม่มีอะไรซะหน่อย” พี่ฮยอนจุงปฏิเสธทันที “ไปเอาเรื่องนั้นมาจากไหน ผมเพิ่งเคยเจอเด็กคนนั้นนะ”

    “ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว” พี่ซูมีตัดบท “จำไว้นะว่าถึงยังไงเธอก็เป็นไอดอล ไม่ว่ายังไงเรื่องความรักก็เป็นสิ่งต้องห้าม เธอห้ามมีความรัก ห้ามคิดที่จะมี และไม่ควรจะมี เพราะนั่นน่ะเป็นการทำลายอนาคตตัวเองชัดๆ”

    “รู้แล้วล่ะน่า” พี่ฮยอนจุงตอบรับเสียงเบา

    “รู้อย่างเดียวไม่ได้ ต้องจำเอาไว้ด้วย ไม่ควรจะมีผู้หญิงคนไหนมาดึงชีวิตเธอให้ตกต่ำลงไปนะ คิมฮยอนจุง”

    สิ้นสุดคำของพี่ซูมี ฉันก็วิ่งออกมาทันที ถึงแม้จะยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ได้ แต่น้ำตาของฉันก็ไหลลงมาอย่างหยุดไม่อยู่ ฉันได้แต่วิ่งมาเรื่อยๆจนถึงป้ายรถเมล์แล้วก็ทรุดตัวลงนั่งก้มหน้าร้องไห้ และเหมือนสภาพอากาศเองก็คงจะอยู่ในอารมณ์เดียวกัน ฝนถึงได้เทลงมาหนักหน่วง แต่ต่อให้ฝนจะตกลงมาหนักกว่านี้สักเท่าไหร่ ฉันก็ไม่สนใจ หูของฉันยังคงมีแต่คำพูดของพี่ซูมีดังก้อง

    ไม่ควรจะมีผู้หญิงคนไหนมาดึงชีวิตเธอให้ตกต่ำลงไปนะ คิมฮยอนจุง

    การที่ฉันรักเขา... ทำให้ชีวิตเขาตกต่ำลงใช่ไหม?

    เสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาช้าๆ ก่อนที่ฉันจะรู้สึกได้ว่ามีเงาของอะไรบางอย่างทอดมาบังตัวฉันไว้ ฉันเงยหน้าขึ้น มองเห็นร่มสีฟ้าใสอยู่ข้างบน และเบื้องหลังร่มนั้นคือใบหน้าของเฮนรี่

    “อย่าปฏิเสธนะ” เขารีบชิงพูดขึ้นก่อน “ครั้งแรกสุดก็ผ้าเช็ดหน้า ครั้งที่สองก็เป็นเรื่องที่นั่ง แล้วพอมาครั้งนี้คุณอย่าปฏิเสธร่มคันนี้เลยนะ”

    ฉันหัวเราะขึ้นมาเบาๆ ทั้งๆที่เราสองคนอยู่ใต้หลังคาของป้ายรถเมล์ที่ร้างผู้คนและไม่จำเป็นต้องการร่มเลยสักนิด ฉันเอื้อมมือไปรับด้ามร่มมาถือไว้แต่เขาเองกลับไม่ยอมปล่อย

    “อย่างน้อยที่มีร่มกั้นระหว่างเราสองคนอยู่ คุณจะได้มีข้อแก้ตัวว่าน้ำตาที่ผมเห็น มันเป็นแค่หยดน้ำฝนที่ติดมากับร่ม”

    “ทำไมล่ะ?....” ฉันถามเขาแม้ว่าน้ำตาจะยังไม่หยุดไหล ใบหน้าหลังร่มสีสดใสนั้นยังคงมีรอยยิ้มอยู่

    “ก็เพราะผมชอบคุณไง”

     

     

    “เป็นไงบ้างเจสสิก้า” พี่คิบอมวงปรินซ์เดินเข้ามาทักฉันพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น “ทีมแคสติ้งตาถึงนะ พอแต่งแบบนี้แล้วเธอสวยมากเลย สวยกว่าพี่ดาน่าซะอีก” คำกระเซ้าของพี่เค้าเรียกให้พี่ดาน่าหันมาค้อนขวับทันที

    “ขอโทษนะที่พี่ไม่สวยเหมือนเจสสิก้า ใช่มั้ยคยูฮยอน” พี่ดาน่ายกมือขึ้นตบบ่าหมอนั่นที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆรุ่นพี่ปาร์คบอม เขายังไม่สบตาฉันเลย แถมยังพูดน้อยกว่าปกติ ใช่สินะ ต่อหน้าพี่ปาร์คบอมเขาคงจะห่วงภาพพจน์ตัวเอง... คงจะชอบเธอมากเลยสินะ

    “ฉัน... ขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ” ฉันหมุนตัวเดินกลับออกมาจากวงสนทนา ไม่สามารถยืนอยู่ตรงนั้นได้อีกต่อไป นี่หมายความว่าฉันสอบตกเรื่องการแสดงใช่ไหม? แค่นี้ก็ซ่อนความรู้สึกตัวเองไว้ไม่ได้

    “สิก้า... เจสสิก้า จองซูยอน!” เสียงเรียกดังขึ้นพร้อมกับที่มือแข็งแกร่งคู่นั้นเอื้อมมาคว้าแขนฉันไว้ ดึงตัวฉันเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเขา

    “ปล่อยนะ” ฉันพยายามปลดมือเขาออก แต่จู่ๆน้ำตาก็ไหลลงมาซะดื้อๆ ฉันรีบก้มหน้าลง ไม่อยากให้เขาเห็นว่าฉันร้องไห้

    “เธอ...ร้องไห้ทำไม” อย่านะ อย่ามาถามฉันแบบนี้ อย่ามาทำเหมือนว่าเป็นห่วงทั้งๆที่ เขาไม่ได้รู้สึกอะไรเลยสักนิด

    “ฉันก็แค่...เจ็บใจที่แพ้นาย ไม่มีอะไรหรอก” ฉันตอบออกไปแล้วเชิดหน้าขึ้น คิดว่าเขาคงจะหัวเราะเยาะใส่แล้วทำให้ฉันโกรธเหมือนทุกที แต่ดวงตาคู่นั้นกลับทอดแววอ่อนโยนก่อนจะพูดสิ่งที่ฉันไม่อยากเชื่อที่สุดออกมา

    “...ขอโทษนะ” แค่สามพยางค์สั้นๆหัวใจฉันก็เต้นแรงอย่างไม่น่าเชื่อ เขาจะรู้ไหมนะ? ผู้ชายคนนี้จะรู้ไหมว่าเขามีอิทธิพลกับฉันมากแค่ไหน? ฉันไม่รู้ว่าเขาเห็นอะไรในแววตาของฉัน แต่เขากลับทำสีหน้าคล้ายหงุดหงิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะพูดออกมา “ฉันรู้ว่ามันดูแปลกๆ เธออาจจะหัวเราะเยาะฉันก็ได้ แต่เธอจะทำอะไรล่ะ... อะไรก็ได้น่ะที่ไม่ใช่ร้องไห้ ไม่ใช่สีหน้าเศร้าๆแบบนั้นด้วย ฉันรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออกยังไงไม่รู้เวลาเธอเป็นแบบนี้” ท่าทางงุ่นง่านเหมือนเด็กเอาแต่ใจของเขาทำให้หัวใจฉันเต้นถี่ขึ้นมาอีกแล้ว ทำไมล่ะ? ทำไมถึงไม่อยากเห็นฉันเสียใจ? ทำไมเขาถึงทนไม่ได้กับการที่ฉันร้องไห้? หรือว่า...

    “นี่ ไม่ต้องซ้อมคิวกันถึงในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ได้นะ” เสียงหวานของพี่ปาร์คบอมดังขึ้นก่อนที่ร่างสูงโปร่งจะก้าวเข้ามา

    “พี่เข้ามาทำไมครับ” คยูฮยอนหันไปถามพี่บอมขณะที่ฉันก้มหน้าลง เขายังคงกำข้อมือฉันไว้แน่น

    “เข้ามาดูว่าเธอสองคนไม่ได้มีอะไรเกินเลยมากไปกว่าที่เล่นตามบทน่ะสิ พี่ได้ยินทุกคนพูดกันนะ ว่าเธอสองคนมีท่าทางแปลกๆ ขนาดเด็กคนนี้ไม่ได้เล่นรอบเดียวกับเธอทุกคนยังพูดถึงกันขนาดนี้ แล้วฉันจะไว้ใจไม่มาดูเธอได้ยังไงกัน” พี่ปาร์คบอมพูดด้วยเสียงห้วนพลางมองฉันด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรเอาซะเลย

    “ปล่อยเถอะ ฉันจะออกไปแล้วจะได้ไม่อยู่เกะกะนายกับพี่บอม” ฉันพยายามบิดข้อมือออก แต่เขากลับจับฉันไว้แน่นกว่าเดิม

    “พี่พูดเหมือนผมเป็นอะไรกับพี่ยังงั้นแหละ” น้ำเสียงที่เขาพูดฟังดูเย็นชา มือที่จับฉันไว้เริ่มสั่น

    “ก็เธอบอกเองนี่นาว่าเธอชอบพี่ เธอยังเคยขอพี่คบเป็นแฟน เธอลืมไปแล้วเหรอคยูฮยอน” พี่ปาร์คบอมเดินเข้ามาใกล้แต่คยูฮยอนกลับถอยออกมาแล้วดึงฉันตามมาด้วย

    “แต่พี่ไม่ได้ชอบผม แล้วผมจะดันทุรังชอบพี่ต่อไปเพื่ออะไร? ตลอดเวลาพี่เห็นผมเหมือนเป็นของเล่น พี่ปฏิเสธผมมาตลอด แต่พอผมเริ่มจะสนใจใคร พี่ก็เข้ามาวุ่นวาย แล้วสุดท้ายพี่ก็มีคนอื่น ผมไม่มีอะไรเหลือให้พี่มาตั้งนานแล้ว เพราะผมแคร์ผมถึงไม่เคยพูดตรงๆให้พี่เลิกยุ่งกับผม และเพราะผมรู้ว่าพี่ไม่เคยคิดจริงจังผมเลยไม่เห็นว่าจะต้องปฏิเสธ แต่วันนี้พี่ล้ำเส้นผมมากเกินไป พี่ไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวผมสักนิด กรุณาออกไปด้วยครับ”

    รุ่นพี่ปาร์คบอมดูเหมือนจะโกรธจัด แต่เธอก็หลับตาสูดลมหายใจลึก แล้วเผยรอยยิ้มหวานขึ้นมาใหม่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

    “แล้วถ้าพี่เปลี่ยนใจยอมให้เธอมาคบกับพี่ล่ะ? คราวนี้พี่มีสิทธิ์ในตัวเธอแล้วใช่มั้ย?”

    “เมื่อกี้ผมพูดตรงไหนไม่เคลียร์เหรอครับ? ผมบอกไปแล้วไงว่าผมไม่เหลือความรู้สึกอะไรให้พี่ตั้งนานแล้ว ต่อให้เราคบกัน อีกไม่นานพี่ก็จะทิ้งผม ผมรู้ดี ผมไม่คิดจะทำร้ายตัวเองด้วยการคบกับพี่หรอกครับ” คยูฮยอนพูดอย่างเด็ดขาด แม้ฉันจะรู้สึกได้ว่ามือของเขาเย็นเยียบก็ตาม ส่วนพี่ปาร์คบอมได้แต่ยืนนิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มขึ้นมาใหม่

    “เธอชื่อเจสสิก้าใช่ไหม?” ฉันสะดุ้งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองพี่ปาร์คบอมเต็มตา

    “จำเอาไว้นะ ว่าเธอเป็นแค่ทางเลือกหนึ่งของคยูฮยอน... เหมือนที่เขาเป็นเป็นทางเลือกหนึ่งของฉัน ระหว่างความรักกับความฝัน ถ้ายังคิดอยากจะเป็นไอดอล เรื่องความรักก็คือสิ่งต้องห้าม เธอน่าจะรู้ดีนี่? แล้วเธอคิดจะไปเป็นตัวเลือกให้เขารึไง?”

    “พี่เลิกพูดไร้สาระแล้วออกไปซะที!” คยูฮยอนเริ่มขึ้นเสียง

    “ทำไมฉันจะพูดไม่ได้... ก็เหมือนบทที่เธอเล่นนั่นแหละ เธอก็คือดาร์ตาญัง และเดี๋ยวเธอก็จะทำแบบนั้น... คือทิ้งความรักไปหาความฝัน หรือเธอจะลาออกจากวงเพื่อไปคบผู้หญิงคนเดียว? คงไม่ใช่ไหมล่ะ?” เสียงหัวเราะเย็นเยียบของพี่บอมดังก้องอยู่ในห้อง เธอหมุนตัว แล้วเดินก้าวออกไปช้าๆ

    “จำเอาไว้เลยนะเจสสิก้า... สุดท้ายเธอก็จะโดนคยูฮยอนทิ้งเหมือนกัน”

    เสียงกระแทกประตูดังขึ้นตามหลัง แต่เราสองคนยังยืนอยู่เงียบๆต่อไปอย่างนั้น จนในที่สุดเขาเหมือนจะเพิ่งรู้สึกตัวว่าบีบข้อมือฉันอยู่

    “ขอโทษนะ เธอเจ็บรึเปล่า” เขาคลายมือออกพร้อมกับหันมาถามฉันด้วยความเป็นห่วง แต่ฉันหมดความอดทนแล้ว ฉันผลักเขาเต็มแรงจนเขาเซไปชนกับตู้ล็อกเกอร์ด้านหลัง ไม่สนใจจะปกปิดน้ำตาของตัวเองอีกต่อไป

    “นายเห็นฉันเป็นตัวอะไร! อย่าเอาฉันมายืนรับฟังปัญหาเรื่องความรักของนายได้ไหม! ฉันเกลียดนายที่สุด! จำเอาไว้เลยว่าฉันเกลียดนาย!

                        ฉันวิ่งหนีเข้าไปในห้องน้ำ แล้วล็อกประตูขังตัวเองเอาไว้ในนั้น ก่อนจะทรุดตัวลงกับพื้นแล้วเริ่มร้องไห้อย่างควบคุมไม่อยู่ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงทำให้ฉันเจ็บปวดได้ขนาดนี้...ไม่รู้เลยจริงๆ...


    ฉันควรจะให้โอกาสเฮนรี่ดีมั้ยนะ?

    หรือฉันควรจะยังคงรักพี่ฮยอนจุงต่อไปดี... เฮ้อ...

    “เป็นอะไรฟานี่ พักนี้ถอนหายใจบ่อยนะ” ซันนี่ตบหลังฉันเบาๆ ตอนนี้เราอยู่ในกองถ่ายเอ็มวีของพี่ฮยอนจุงค่ะ พี่เค้าตื๊อชะมัดยาดเลย ยังอุตส่าห์มากล่อมพี่โบอา ขอให้พวกเรามาเป็นแดนซ์เซอร์ให้เฉพาะในเอ็มวี คงจะได้เห็นหน้าสักคนละสามวิล่ะมั้ง = = ไม่บอกก็รู้ว่าเจ้าตัวมีจุดประสงค์ แต่ว่า...ก็นะ...ฉันอยากให้เขามาเจอฉัน หรืออย่างน้อยก็โทรหาฉันโดยไม่เอาเรื่องงานมาเป็นเครื่องมือแบบนี้

     

    “ฟานี่ น้ำ!” รอยยิ้มสดใสของเฮนรี่โผล่ขึ้นมาตรงหน้าพร้อมกับ แก้วน้ำสีชมพูสดใสที่เขายื่นให้ฉัน ยอมรับเลยว่าเฮนรี่น่ารักจริงอะไรจริง แต่ก็ไม่ทำให้ฉันใจเต้นได้เหมือนเวลาที่ฉันอยู่กับพี่ฮยอนจุงหรอกน่า...

    แล้วจะไปคิดถึงตาบ้านั่นทำไมนะทิฟฟานี่!

    “ขอไปถ่ายชอตของผมก่อนนะ เดี๋ยวมา ^^” เฮนรี่โบกมือก่อนจะวิ่งไปตามเสียงเรียกของพี่ผู้กำกับ ไม่รู้ว่าบังเอิญหรืออะไรดีที่เฮนรี่เป็นเด็กผ่านโกลบอลออดิชั่นของค่าย SM เข้ามา แล้วก็เป็นโปรเจคต์ เด็กปั้นคนใหม่ของท่านประธานอีซูมาน หรือลุงของซันนี่ เพราะงั้นนอกจากจะได้มาเล่นไวโอลินในเพลงแล้ว เฮนรี่ก็โดนจับมาถ่ายเอ็มวีกับพวกเราเหมือนกันค่ะ แม้ว่าจะมีชอตไวโอลินให้ออกไม่เท่าไหร่ แต่ก็เท่ระเบิดระเบ้อเลยล่ะค่ะ

    “โอ๊ย เห็นคนเนื้อหอมแล้วหมั่นไส้จัง = =” ยูริยืนเท้าสะเอวมองเฮนรี่อย่างไม่เป็นมิตรสุดๆ จนโดนซูยองเอานิ้วชี้มาจิ้มกลางหน้าผากเล่นเอาแทบหงายหลัง

    “ให้มันน้อยๆหน่อย แหมทีตอนตัวเองอินเลิฟน่ะน่าหมั่นไส้ออกนอกหน้ากว่านี้เยอะย่ะ พอเพื่อนจะได้ดิบได้ดีทำมามีหวงนะ”

    “แหม ก็ต้องมีบ้างอะไรบ้าง” ยูริรีบกลบเกลื่อนแล้วเดินไปซ้อมท่าเต้นกับฮโยยอนทันที ยัยน้องรองยุนอาก็ได้แต่หัวเราะคิกคัก แต่พอหันมาหาฉันเธอก็ขมวดคิ้วมุ่น

    “มีคำว่า ไม่สบายใจตัวโตๆ เขียนอยู่บนหน้าพี่”

    “เห? ชัดขนาดนั้นเลยเหรอ?”

    “ก็ใช่น่ะสิ” ซันนี่พูดขึ้นด้วยอีกคน “ท่าทางจะเป็นปัญหาหัวใจซะด้วย”

     

     

    ไอ้เด็กคนนั้นกำลังจีบทิฟฟานี่

    ผมสาบานได้ สาบานเอาอะไรเป็นประกันก็ได้ว่าเด็กคนนั้นกำลังจีบทิฟฟานี่ และผมหงุดหงิดสุดๆ ผมอยากให้ตายิ้มของทิฟฟานี่เป็นของผมคนเดียว อยากให้เสียงหวานๆของเธอพูดอ้อนผมคนเดียว แต่ผมก็รู้ครับว่าผมผิดที่มีเวลาให้เธอน้อย แถมยังเบี้ยวนัดเธอบ่อยๆ ไม่ได้แก้ตัวนะ ผมมีเหตุผล...

    เพราะผมมีสโตล์กเกอร์ตามติดเป็นเงาอยู่

    คนๆนั้นเป็นใครก็ไม่รู้ แต่เค้าคอยเผ้ามองผมอยู่ทุกฝีก้าว ครั้งแรกสุด ผมไม่ได้สนใจสักนิดแต่ผมดันเผลอทำเสื้อแจ็กเกตตัวนึงที่ชอบมากหายไป ทั้งๆที่เป็นตัวที่ผมใส่มาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กฝึก แต่จู่ๆใครบางคนก็ส่งเสื้อตัวนั้นมาให้ สีเดิม ยี่ห้อเดิม ไซส์เดิม แต่เป็นตัวใหม่เอี่ยม น้อยคนที่จะรู้ว่าผมชอบเสื้อตัวนี้มาก ทีแรกผมคิดว่ามันเป็นแค่ความบังเอิญ แต่กลายเป็นว่าข้าวของหลายอย่าง ของกิน ของใช้ที่พัง หรือไม่ก็หายไป มักจะมีบุคคลลึกลับคนนี้ส่งมาให้ตลอด... ไม่เคยมีชื่อผู้ส่ง แม้แต่การ์ดสักใบก็ไม่มี

    ผมคงคิดว่าตัวเองโดนแฟนคลับที่ชื่นชอบเป็นพิเศษส่งมา ถ้าไม่ติดตรงที่เรื่องนี้เริ่มน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ เริ่มมีข้อความเข้ามาในโทรศัพท์หรืออีเมล์ส่วนตัว ถามว่าได้รับของหรือยังบ้างล่ะ สบายดีไหมบ้างล่ะ ผมเคยโทรกลับไป เคยเอาเบอร์ไปเช็คกับทางศูนย์ก็แล้ว แต่ไม่ได้ความอะไรเลย จุดที่น่ากลัวที่สุดคือ หลังจากการไปเดทกับฟานี่ครั้งหนึ่งเมื่อราวๆสามสี่เดือนที่แล้ว ทั้งๆที่ผมพรางตัวสุดฤทธิ์ แต่บุคคลปริศนากลับส่งรูปทิฟฟานี่มาให้ผมทางมือถือ

    แล้ววันต่อมาก็มีซองจดหมายส่งถึงผม ข้างในมีกระดาษแผ่นหนึ่ง...เปื้อนเลือด...

    นั่นเป็นแค่คำเตือน ผมรู้... ถ้าผมไม่ระวังตัวให้มากกว่านี้ คนที่โดนทำร้ายไม่ใช่ผม แต่จะเป็นฟานี่...คนที่ผมรักที่สุด เพราะงั้น ผมถึงได้เอาเรื่องงานมาอ้างเวลาผิดนัดหรือไม่โทรหาเธอ แม้ว่าอยากจะเจอหรือได้ยินเสียงของฟานี่แทบตาย แล้วคราวนี้ ผมก็ใช้เรื่องงานเป็นสะพานเชื่อมให้เราได้เจอกัน

    แต่ก็ดันมีก้างชื่อเฮนรี่เข้ามาขวางคอ -*-

    ผมล่ะเกลียดเด็กคนนี้จริงๆ!

    “ฮยอนจุง วันนี้สีหน้าเธอดูไม่ค่อยดีเลยนะ” ซูมีหันมาถามผม

    “เพลียๆ นิดหน่อยน่ะ” ผมตอบเธอ แต่สายตายังไม่ละไปจากภาพที่ทิฟฟานี่ยิ้มหวานแล้วรับแก้วน้ำมาจากมือหมอนั่น ผมรอจนหมอนั่นเดินไป แล้วก็ก้าวย้าวๆเข้าไปกลางกลุ่มสาวๆ

    “มากับพี่หน่อยสิ” ผมพูดแล้วก็ลากตัวเธอไปอีกทางที่ปลอดคนทันที

    “พี่ทำอะไรคะ เดี๋ยวคนอื่นๆก็สงสัยหรอก” ทีแบบนี้ล่ะถามเสียงแข็งเชียวนะ

    “สงสัยก็ปล่อยเขาไปสิ ดีซะอีกบางทีคงถึงเวลาที่เราต้องบอกเรื่องนี้กับทุกคนแล้วล่ะมั้ง”

    “แน่ใจเหรอคะว่าพี่อยากให้ทุกคนรู้” ดวงตากลมโตของทิฟฟานี่จ้องมองผมอย่างคาดหวัง ทำไมผมจะไม่รู้ เธอเบื่อการคบกันแบบหลบๆซ่อนอย่างนี้ ใช่ว่าผมเองจะไม่เบื่อ ทุกครั้งที่ผมนัดเดทกับเธอแล้วไม่สามารถหาข้ออ้างปลีกตัวออกมาจากอะไรหลายๆอย่างได้ ผมเองก็แทบบ้าเหมือนกัน แต่สิ่งที่ผมกลัวที่สุดก็คือ การที่ทิฟฟานี่จะโดนทำร้าย ถ้าเป็นแบบนั้นผมคงไม่ให้อภัยตัวเองเลย ให้ตายเถอะ! ต้องทำยังไงสโตล์กเกอร์คนนั้นถึงจะออกไปจากชีวิตผมนะ!

     “ถ้ามันลำบากใจก็ไม่ต้องทำหรอกค่ะ” ทิฟฟานี่พูดขึ้น ดวงตาของเธอฉายแววผิดหวังจนผมอยากดึงเธอเข้ามากอด แต่เหมือนกับตอนนี้มีกำแพงบางๆขวางเราสองคนเอาไว้

    “ไม่ใช่ยังงั้น- -ฟานี่”

    “ทุกคนเข้าฉากได้แล้ว!” เสียงของผู้กำกับตะโกนขึ้นมาแล้วฟานี่ก็ก้าวเท้าเร็วๆจากไปทันที ทิ้งให้ผมยืนอยู่ตรงนั้นและรู้สึกตัวเองไร้ค่าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

     

     

    “รู้สึกไหมว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล?” พี่แทยอนหันมากระซิบกับฉันและพี่ซันนี่ ตอนนี้พวกเรากำลังยืนอยู่ตามจุดบล็อกกิ้งสำหรับเริ่มเพลงค่ะ โหย ไม่อยากจะบอกว่าถ้าไม่รู้สึก เมื่อกี้ฉันคงไม่ทักหรอก = =

    “ปกติฟานี่ดี๊ด๊าจะตาย แต่พักนี้รู้สึกจะซึมไปหน่อย อย่างว่าแหละ ฉันฟันธงเลยว่าปัญหาหัวใจชัวร์ป้าบ” พี่ซันนี่ดูท่าจะมั่นใจเอามากๆ

    “แต่เราไม่รู้ตัวคู่กรณีนี่นา” ฉันพูดขึ้นมาก่อนจะเงยหน้ามองเพดาน เอ...ผู้ชายรอบๆตัวพี่ฟานี่นอกจากพี่เฮนรี่แล้วจะมีใครอีกนะ พี่สิก้าก็ไม่อยู่ให้หลอกถามซะด้วยสิ แย่จัง...

    ฉันยืนคิดอยู่นานกว่าจะรู้ว่าตัวเองกำลังจ้องไฟสปอตไลท์ดวงหนึ่งที่แกว่งอย่างหน้าหวาดเสียวอยู่กับโครงเหล็กข้างบน นั่นมันเป็นเอฟเฟกต์หรือไงนะ? ฉันมองลงมาตรงตำแหน่งที่ไฟนั่นจะตกลง พี่ฟานี่กำลังยืนอยู่เงียบๆตรงนั้น- -

    เปรี๊ยะ!

    “พี่ฟานี่!!!

    โครม! เพล้ง!!

    ฉันกรีดร้องออกไปสุดเสียง ตัวแข็งทื่อเมื่อน้ำหนักสปอตไลท์ดวงนั้นดึงสายไฟจนขาดแล้วทิ้งตัวลงมาข้างล่าง ระหว่างที่ทุกๆคนยืนตัวแข็งทำอะไรไม่ถูกอยู่ พี่ซันนี่ที่ตั้งสติได้เป็นคนแรกรีบวิ่งไปคว้าตัวพี่ทิฟฟานี่ออกมาได้อย่างหวุดหวิด เสียงกระจกไฟสปอตไลท์แตกกระทบพื้นดังก้อง แล้วก็ตามมาด้วยเสียงเอะอะโวยวาย พวกเราทุกคนรีบวิ่งไปดูอาการพี่ซันนี่กับพี่ฟานี่ที่ทันที

    “พวกเธอเป็นอะไรรึเปล่า?” พี่ซูยองถามทั้งสองคนที่นั่งกองอยู่กับพื้น พี่ฟานี่กอดพี่ซันนี่แน่น ใบหน้าซีดเผือด

    “เกือบตายเลยน่ะสิ” พี่ซันนี่กระซิบก่อนจะหันไปถามพี่ทิฟฟานี่ “เธอเจ็บตรงไหนรึเปล่า?”

    “ไม่เป็นไร แค่โดนเศษกระจกสปอตไลท์บาด ขอบคุณนะซันนี่”

    “พวกเธอไม่เป็นอะไรนะ?” ทีมงานกองถ่ายรีบวิ่งเข้ามาดูพวกเรา พี่เฮนรี่กับพี่ฮยอนจุงเองก็เหมือนกัน

    “พวกคุณบาดเจ็บนี่นา ไปทำแผลเถอะครับเดี๋ยวผมพาไป” พี่เฮนรี่ก้าวเข้ามาแล้วพยุงพี่ทิฟฟานี่ แหม... งานนี้เจ็บสองคนนะ พอเห็นพี่ซันนี่ทำหน้าแอบเซ็งฉันเลยเดินเข้าไปช่วยพยุงพี่เค้าให้ แต่คู่ของพี่เฮนรี่กับพี่ฟานี่ก็ไปกันไกลแล้ว ฉันเลยค่อยๆพยุงพี่ซันนี่ที่เดินกระโผลกกระเผลกผ่าฝูงคนออกมา พี่ฮยอนจุงหน้าซีดมากเลย

    “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ แบบนี้เค้าถือเป็นลางดีไม่ใช่เหรอ? สงสัยเพลงนี้ของพี่คงดังถล่มทลายแน่ๆ” พี่ซันนี่พยายามพูดแก้สถานการณ์ให้ ทีมงานคนอื่นๆดูเหมือนจะโล่งใจขึ้นมานิดหน่อย หลายคนเริ่มเก็บกวาดสถานที่ หนึ่งในนั้นน้องเล็กซอฮยอนของเราก็อาสาช่วยเคลียร์ไฟเจ้าปัญหาที่เกือบตกลงมาจัดการสมาชิกเอฟคลับ ฉันพาพี่ซันนี่ไปนั่งพัก มีรอยแผลโดนกระจกบาดตามแขนนิดหน่อยกับข้อเท้าเคล็ด นอกนั้นดูเหมือนจะไม่เป็นอะไรมาก

    “ขอโทษนะ เธอเจ็บตัวเพราะช่วยฉันแท้ๆเลย” พี่ฟานี่พูดเมื่อเห็นรอยแผลของพี่ซันนี่

    “ก็อยากจะบ่นอยู่หรอกนะว่าฉันอุตส่าห์ทำตัวเป็นฮีโร่แท้ๆ แต่ดันมาเจ็บหนักกว่าเธอ แถมยังไม่มีหนุ่มมาคอยเอาอกเอาใจอีก” แหม ได้ทีก็แขวะเลยนะเนี่ย ฉันเหลือบมองหน้าพี่เฮนรี่ที่ดูจะขำน้อยๆกับคำแซวของพี่ซันนี่ ส่วนพี่ทิฟฟานี่เนี่ยหน้าแดงไปหมดแล้ว

    “วันนี้ยอมให้เพราะเธอช่วยฉันไว้หรอกนะ”

    “คิดมากน่า” พี่ซันนี่ตบไหล่พี่เค้าเบาๆ “ฉันแค่เป็นคนแรกที่เข้าไปเท่านั้นเอง ไม่มีใครปล่อยให้เธอเป็นอะไรไปหรอก จริงมั้ย ยุนอา”

    ฉันยิ้มรับคำพูดของพี่ซันนี่แทนคำตอบขณะที่กำลังหาผ้าพันข้อเท้าในกล่องปฐมพยาบาล แต่ดูเหมือนมันจะหมดแฮะ

    “ไม่มีผ้าพันข้อเท้าเหรอ เดี๋ยวผมไปซื้อมาให้ใหม่นะ”

    “อ๊ะ ฉันไปด้วย” พี่ฟานี่กับพี่เฮนรี่อาสา แล้วทั้งคู่ก็ออกไปพร้อมกัน เหลือไว้แค่ฉันกับพี่ซันนี่ ฉันเลยทำแผลที่พี่เค้าโดนกระจกบาดไปพลางๆ ขณะที่ซอฮยอนนำทีมสาวๆคนอื่นเดินเข้ามาหา

    “เมื่อกี้พี่บอกว่าเป็นลางดีใช่ไหมคะ?” น้องเล็กเปิดมาเรียบๆ ส่วนพี่ๆคนอื่นมองหน้ากันดูท่าทางกังวลอะไรบางอย่าง

    “ทำไมเหรอ?” ฉันถามขึ้นมา

    “ก็เพราะไม่ใช่ลางดีอย่างที่ซันนี่ว่าน่ะสิ” พี่ฮโยยอนพูด “สายไฟที่ดึงสปอตไลท์ดวงนั้นมีรอยโดนตัด”

    ฉันกับพี่ซันนี่สบตากันอย่างตื่นๆ ขณะที่พี่แทยอนถอนหายใจเล็กๆก่อนจะพูดขึ้นมา

    “ใช่... ฟานี่ของเรา อาจจะโดนแอนตี้แฟนหมายหัวเข้าซะแล้ว...”

     

     

    ผมมือสั่น...

    ในที่สุดมันก็เริ่ม สิ่งที่ผมกลัวที่สุด...

    สโตล์กเกอร์คนนั้นตั้งใจจะเล่นงานทิฟฟานี่ ผมไม่รู้ว่าเค้าทำได้ยังไง อาจจะไหว้วานใครมา หรืออาจเป็นคนใกล้ตัวอย่างคาดไม่ถึงก็ได้

    วินาทีที่ไฟดวงนั้นร่วงลงมาใส่ทิฟฟานี่ที่ยืนไม่รู้เรื่องรู้ราว หัวใจผมแทบจะหยุดเต้นไปแล้ว แม้กระทั่งตอนนี้... มือของผมก็ยังสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ ผมอยากดึงเธอเข้ามากอด อยากพิสูจน์ให้เห็นกับตัวเองว่าเธอไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ อยากเป็นคนปกป้องเธอ...

    “พี่ฮยอนจุงครับ มาทำอะไรตรงนี้?” เฮนรี่ทักผม เจ้าเด็กนั่นเดินออกมาพร้อมกับทิฟฟานี่ ชั่วขณะที่เราสองคนสบตากันมันดูเนิ่นนาน

    “เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” ผมหลุดปากถามออกไปจนได้ ฟานี่แย้มรอยยิ้มบางๆขึ้น

    “ไม่เป็นอะไรค่ะ ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง” เธอตอบผมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วจูงมือเฮนรี่เดินจากไป

    หัวใจผมเจ็บแปลบ ทำไมนะ? ทำไมไม่เป็นผมที่ยืนอยู่ตรงนั้น ปกป้องเธอ ดูแลเธอ...

    แตร๊ง~ แตร๊ง~

    เสียงข้อความโทรศัพท์ดังขึ้นมา ผมเปิดออกดู แล้วสิ่งที่อยู่ข้างในก็ทำให้ผมตัวชาวาบ...

    ภาพของหลอดไฟก่อนหน้าที่จะร่วงลงมา มือของใครบางคนใช้คีมตัดเหล็กบากสายไฟเอาไว้ให้ชำรุด คนๆนั้นรู้ว่าไฟดวงนี้จะต้องอยู่เหนือทิฟฟานี่ ด้านล่างภาพมีข้อความสั้นๆที่ทำให้ผมกลัวจับขั้วหัวใจ

     

    ฉันจะฆ่า ถ้าคุณไม่เลิกยุ่งกับมัน

     

    ผมเหม่อมองทิฟฟานี่ที่เดินกลับมาแล้ว เธอหันมาสบตาผม แล้วผมก็รู้ว่าตัวเองควรจะต้องทำอะไร...

    ผมกดโทรศัพท์อย่างใจลอย เดินหันหลังออกไปยังที่ที่ลับตาคน เสียงเพลงรอสายที่คุ้นเคยยดังขึ้น แล้วฟานี่ก็รับโทรศัพท์

    “มีอะไรเหรอคะ?”

    “เธอชอบเฮนรี่มากใช่ไหม?...” ผมพูดออกไป

    “พี่พูดอะไรน่ะ พี่ก็รู้นี่คะว่าฉัน--

    “มันก็ดีแล้วนี่... เธออยากคบกับเฮนรี่ก็ตามสบาย พี่ไม่ห้าม เพราะพี่ก็เบื่อเธอแล้วเหมือนกัน”

    ทิฟฟานี่นิ่งไป เสียงเจี๊ยวจ๊าวของสาวๆเอฟคลับดังอยู่เป็นแบ็คกราวด์ ตอนนี้เธอคงไม่ร้องไห้ คงยังไม่ร้องเพราะเธออยู่ท่ามกลางเพื่อนๆ แต่หลังจากนี้...

    “ถ้างั้น... เราจบกันแค่นี้ก็ได้ค่ะ ลาก่อน” เธอพูดเสียงเบาแล้วกดตัดสายไป เสียงสัญญาณดังก้องอยู่ในหู โดยเฉพาะสองพยางค์สุดท้ายที่เธอพูดกับผม...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×