คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : 3rd Tale ~ Braid From the Tower
3rd Tale ~ Braid From the Tower
ข้อหนึ่ง – ตอนนี้ผมมีผู้หญิงคนนึงอยู่บนเตียง ดูจากสภาพแล้วไม่ต้องเค้นสมองนึกก็รู้ได้ว่าเราเลยเถิดกันไปถึงไหนต่อไหน
ข้อสอง – ผมจะพูดอะไรกับเธอดีหลังจากที่เธอตื่นขึ้นมา
และข้อสาม – แมวตัวนึงกำลังนอนทับซิกแพ็กของผมอยู่
ผมมองหน้าเจ้าแมวที่กะพริบตาปริบๆก่อนจะสะบัดหางไปมาอย่างสบายอารมณ์
ถ้าไม่ติดว่าไอ้แมวบ้านี่มีเจ้าของ ผมจะจับมันทำแมวต้มให้รู้แล้วรู้รอด
...เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็ปัญหาทุกอย่างมันจะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าไม่ใช่เพราะแมวที่ชื่อ ‘ฮีบอม’ ตัวนี้...
ย้อนกลับไป 1 เดือนก่อน...
“ทำไมต้องเป็นผมล่ะพี่?” ผมถามพี่ชายตัวดีผ่านทางโทรศัพท์เป็นรอบที่สาม แต่คำตอบที่ได้ก็ยังเหมือนเดิม
“ถ้าไม่ใช่แกแล้วจะเป็นใคร? ไม่ต้องบ่นน่า ดูแลให้ดีล่ะ ฉันจะวางแล้ว” นั่น... แล้วคิมฮีชอลก็กดตัดสายไปดื้อๆ
“เมี้ยว~” เจ้าตัวปัญหานั่งตาแป๋วมองผมอยู่บนพื้นห้อง ทำไมมันถึงเป็นปัญหาน่ะเหรอ? ปัญหาก็คือเมื่อคิมฮีชอลคิดอยากจะชวนแฟนไปเที่ยวปารีส แล้วคิมฮีชอลก็ดันมีแมวสุดที่รักอยู่หนึ่งตัวซึ่งเจ้าของรักมากปานจะกลืนกิน แต่จู่ๆก็ดันเห็นแมวเป็น กขคง. ความซวยมันเลยมาลงที่ผมนี่แหละ เพราะผมดันต้องเป็นคนมารับเลี้ยงเจ้าฮีบอมระหว่างที่นายมันไม่อยู่
ให้ตายเถอะ นักธุรกิจหนุ่มหล่อรวยติดอันดับโลกอย่างเชวชีวอน ต้องมากลายเป็นพี่เลี้ยงให้กับแมวของปีศาจอย่างคิมฮีชอล
รู้ถึงไหนอายไปถึงนั่นเลยมั้งเนี่ย
“เมี้ยว~” ฮีบอมร้องขึ้นมาอีกทีแล้วเอาเท้าหน้าเขี่ยๆ ผม เออ รู้แล้วล่ะน่าว่าหิว ชิ แมวอะไร เอาแต่ใจเหมือนเจ้าของไม่มีผิด
ผมลุกขึ้นแล้วเดินเข้าครัวไปเปิดตู้เย็นหยิบเอาทูน่ากระป๋องกับนมกล่องออกมา ฮีบอมมองหน้าผมแล้วกระโดดแผล็วไปอยู่บนเคาน์เตอร์ข้างๆ ไมโครเวฟ
“จะให้อุ่นให้อีกเหรอ? พี่ฮีชอลนี่เลี้ยงแมวเอาแต่ใจเกินไปแล้ว” ผมบ่นขึ้นมาอีกทีแต่ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องตามใจเจ้าสี่ขานี่ ระหว่างเอาอาหารเย็นของมันเข้าเวฟ ผมก็หยิบไอแพดมาเปิดเช็คอีเมล์ดูไปเรื่อยๆ เจ้าแมวฮีบอมคงรู้ตัวว่าตัวเองก็ต้องรอเหมือนกัน มันเลยกระโดดลงจากเคาน์เตอร์แล้ววิ่งออกไปทางระเบียงห้อง คงจะไปนั่งกินลมชมวิวก่อนรับประทานอาหารเย็น ติสต์แตกเหมือนเจ้าของเห็นๆ
ติ๊ด!
เสียงไมโครเวฟดังขึ้น ผมวางไอแพด แล้วหยิบจานข้าวออกมาจากเตาก่อนจะวางลงกับพื้น
“ฮีบอม” ผมเรียก แต่คราวนี้ไม่ได้ยินเสียงตอบรับ “ฮีบอมมี่”
เฮ้ๆ คงไม่ซุ่มซ่ามตกตึกตายใช่ไหมนั่น เดี๋ยวงานก็ได้เข้าคนหล่ออีกรอบหรอก
ผมตัดสินใจเดินออกมาตามหาฮีบอมที่ระเบียงแต่กลับไม่เห็นวี่แววของมันเลยสักนิด
“เมี้ยว~” เสียงร้องดังขึ้นจากข้างบน ผมเงยหน้าขึ้นไปแล้วก็เห็นหางสีเทาฝุ่นห้อยลงมาจากระเบียงห้องข้างบน ขึ้นไปได้ยังไงล่ะนั่น
“ฮีบอม ลงมานี่มา” ผมเรียกเจ้าแมว แต่มันกลับทำตรงกันข้าม คือเดินหายเข้าไปในห้องของใครไม่รู้ งานเข้าแล้วไง ผมกำลังชั่งใจว่าจะเอาไงดีระหว่างเดินออกไปทางประตูหน้าห้องดีๆ แล้วไปเคาะเจ้าของห้องด้านบนเพื่อเอาตัวฮีบอมกลับมา หรือจะปีนขึ้นไป...
ครับ มันบ้ามาก แต่ผมเลือกอย่างหลัง... ไม่รู้สิ ผมสังหรณ์ใจคล้ายว่าฮีบอมกำลังนำทางผมไปหาอะหรสักอย่าง ผมมองซ้ายมองขวาหาตัวช่วยที่จะให้ปีนขึ้นไปข้างบนได้โดยปลอดภัย แต่ถึงยังงั้นนี่มันก็คอนโดสูงเสียดฟ้า แล้วผมก็อยู่ชั้นที่ยี่สิบ เกิดปีนขึ้นไปสุ่มสี่สุ่มห้ามีหวังโลกหมดคนหล่อไปอีกคนแน่ โชคดีอยู่อย่างคือห้องผมอยู่ติดกับระเบียงทางหนีไฟด้านนอกตึกพอดี ช่องว่างประมาณสองฟุตกว่าๆ พอทำให้ใจชื้นได้นิดนึงว่าผมคงปีนข้ามไปได้โดยไม่น่าจะตกลงไปข้างล่าง ผมพับแขนเสื้อ ปีนข้ามราวระเบียงแล้วสูดลมหายใจลึกๆก่อนจะเล็งให้แม่นๆแล้วกระโดดเกาะราวระเบียงด้านนอกของทางหนีไฟ ลมพัดผ่านตัวไปวูบหนึ่ง เล่นเอาใจหายตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเลยแฮะ
พออัตราการเต้นของหัวใจลดลงเท่าเดิม ผมก็ปีนข้ามราวระเบียงของทางหนีไฟเข้าไปแล้วเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นที่ยี่สิบเอ็ด... แน่นอนว่าผมต้องทำเหมือนเดิมอีก คือปีนข้ามราวระเบียงแล้วอุ้มเอาฮีบอมกลับมาก่อนที่มันจะไปป่วนอาละวาดทำข้าวของของใครเสียหาย
เลี้ยงแมวมันได้ประโยชน์อะไรตรงไหนนะเนี่ย
“เมี้ยว~” เสียงร้องดังขึ้นขณะที่ผมปีนข้ามไปราวระเบียงห้องของคนแปลกหน้าอย่างเงียบเชียบ ผมก้าวขาพาดข้ามไป—ผ้าม่านโปร่งสีเบจเหลือบทองปลิวออกมาระพื้นด้านนอก แล้วภาพที่ปรากฏตรงหน้าก็ทำให้หัวใจสั่นไหว ก่อนจะเร้นตัวหลบอยู่หลังกรอบประตู
“มาจากไหนน่ะเรา” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องออดอ้อนของเจ้าแมวเหมียว เธอนั่งหันหลังให้ผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งแบบแอนทีค แต่แค่เสี้ยวหน้าของเธอก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผมลืมหายใจ
สวย... ใช่เธอสวยจริงๆ
ขาเรียวยาวโผล่ออกมาจากชุดคลุมอาบน้ำที่เธอสวมไว้หลวมๆ มือบางๆของเธอลูบโลชั่นลงไปบนนั้นแล้วหัวใจผมก็เต้นแรงขึ้นมาจนแทบจุก เธอสะบัดผมยาวๆ แล้วหยิบหวีขึ้นมาค่อยๆ แปรงมันอย่างเบามือ...
ราวกับเจ้าหญิงบนหอคอย...
สัมผัสนุ่มๆ ตรงข้อเท้าทำให้ผมรู้ว่าฮีบอมกลับมาคลอเคลียอยู่ใกล้ๆ แล้ว แต่ตอนนี้ผมละสายตาจากเธอไปไม่ได้ และโดยที่ไม่รู้ตัวเลย กงล้อแห่งชคชะตาก็เริ่มหมุน
และเรื่องราวของผมกับเจ้าหญิงบนหอคอยก็เริ่มต้นนับตั้งแต่วินาทีนั้น...
“ไง ฟานี่!” ซันนี่ร้องทักฉันที่เดินเฉิดฉายเข้างานมากับเจสสิก้า ดูสิคะ เพื่อนฉันเพิ่งแต่งงานได้ไม่เท่าไหร่ก็ขยันควงคุณสามีออกมาโชว์ได้ทุกวี่ทุกวัน แหม... หมั่นไส้จังแฮะ
“ทำไมพักนี้ดูเหมือนจะมีเนื้อมีหนังมากขึ้นนะ เธอท้องรึเปล่าเนี่ย” ซันนี่หันมามองขวับพร้อมตีแขนฉันทันที
“จะบ้าเหรอ! เพิ่งจะแต่งกันยังไม่ครบเดือนด้วยซ้ำ ที่ฉันน้ำหนักขึ้นก็เพราะตานี่แหละ จู่ๆพักนี้ก็ไปหัดทำกับข้าวมาขุนจนฉันจะอ้วนเป็นหมูอยู่แล้วเนี่ย” เพื่อนฉันหันไปค้อนสามีตัวเองเข้าให้ แต่พี่คยูฮยอนกลับดึงตัวเธอเข้าไปโอบหลวมๆ
“จะน้ำหนักขึ้นอีกกี่สิบโลก็ช่าง ผมก็รักของผมยังงี้แหละ”
โอ๊ย ต่อมอิจฉาทำงานนนนนนนนนนน!!!!!!!!!!!!!
“ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะย่ะ” เจสสิก้าหยิกซันนี่เต็มแรง ยัยตัวเล็กนี่เลยได้ทีซุกเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดพี่คยูฮยอนยิ่งกว่าเดิม ตัดเพื่อนกันตอนนี้ยังทันไหมนะ?
“ผมต้องไปทำงานแล้วล่ะ ฝากซันนี่ด้วยนะครับ” พี่คยูฮยอนหันมาหาฉันกับเจสสิก้าก่อนจะบีบจมูกคุณภรรยาตัวเล็กทีนึงแล้วเดินแยกออกไปอีกทาง
“เธอนี่ใช้เพื่อนคุ้มจังเนอะ...” ฉันหันไปพูดกับซันนี่ เรื่องของเรื่องคือพวกเราสามคนอยู่ในงานเลี้ยงเปิดตัวบริษัทใหม่ของแบรนด์ชเวกรุ๊ปค่ะ ชเวกรุ๊ปเริ่มต้นจากการเป็นบริษัทส่งออกเคมีภัณฑ์ แล้วต่อจากนั้นก็ขยายกิจการอื่นๆมาเรื่อยๆ ทั้งโรงแรม ห้างสรรพสินค้า และตอนนี้ก็เริ่มมาบุกตลาดเครื่องประดับกับเค้าบ้าง โดยเข้ามาร่วมทุนให้กับบริษัทใหม่เอี่ยมในเครือของเอสจิวเวลรี่ที่ตั้งชื่อใหม่ว่าซันไรส์… ก็โปรเจคต์ใหม่ของซันนี่เค้านี่แหละ
“คุ้มตรงไหนกันยะ?” ยัยเตี้ยถามกลับมา
“ไม่คุ้มได้ยังไง ตอนโปรโมทงานเธอก็ไปขอลงหนังสือยูริสองหน้าฟรีๆ แล้วยังให้ฉันช่วยเชิญนักธุรกิจต่างประเทศมาให้ พิธีกรก็เรียกทิฟฟานี่มาช่วย เสื้อผ้าฮโยยอนก็ช่วยออกแบบ แถมซูยองยังมาเดินชุดฟินาเล่ให้ฟรีๆอีกตะหาก” เจสสิก้าร่ายยาวเป็นชุดชนิดที่เล่นเอาซันนี่หน้าเจื่อนก่อนจะหันมาเล่นงานฉันเป็นการเปลี่ยนเรื่อง
“ว่าแต่เธอเถอะ เมื่อไหร่จะแต่งงานยะฟานี่ เห็นบอกว่าเตรียมตัวอยู่ไม่ใช่รึไง?”
“ทั้งฉันทั้งอเล็กซ์กำลังยุ่งๆ อยู่น่ะ แต่คงอีกไม่นานนี้แหละ” ฉันตอบ ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อเจ้าของงานอีกคนก็เดินตรงมาทางเราพร้อมรอยยิ้มกระชากใจสาว หล่อชะมัดเลย!
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหมครับ?”
“เรียบร้อยหมดแล้วล่ะค่ะ นี่อีกห้านาทีไฮไลท์แฟชั่นโชว์ประมูลเครื่องเพชรก็จะเริ่มแล้ว”
“ขอบคุณครับ ผมเชื่อฝีมือพวกคุณนะ” พี่ชีวอนยิ้มกว้างแล้วก็หันไปทักทายพวกนักลงทุนไฮโซที่เพิ่งเดินเข้ามา ฉันเหลือบมองนาฬิกาหันไปมองหน้าซันนี่ถามความเห็น
“รู้แล้วล่ะน่า” นั่นแหละ ยังไม่ทันพูดอะไรยัยตัวเล็กก็รู้ดีซะแล้ว ซันนี่ยื่นแขนมาให้ฉันควงแล้วเราสองคนก็เดินเข้าไปหลังเวทีเพื่อเตรียมตัวสำหรับขึ้นเวทีสัมภาษณ์ซันนี่ที่เป็นเจ้าของผลงานออกแบบเครื่องประดับชิ้นฟินาเล่--ซึ่งตอนนี้ประดับอยู่บนผมของซูยอง
“สวยสุดยอดไปเลย” ซันนี่ปรี่เข้าไปหานางแบบมือโปรของเราที่ยืนแสตนด์บายรออยู่ ธีมของคอนเซปต์ในครั้งนี้คือเทพนิยายค่ะ เครื่องประดับที่โชว์ก็จะเป็นเครื่องประดับเล็กๆ สำหรับใส่ไปปาร์ตี้หรืองานเลี้ยงที่ดูหรูหราคลาสสิค ชิ้นพิเศษที่ซูยองเป็นนางแบบให้คือที่ติดผมรูปดอกไม้ที่ทำจากทองคำประดับด้วยอะความารีน ตัดกับเดรสสีทองยาวลากพื้นแบบเจ้าหญิง จงใจเปิดช่วงไหล่และเน้นรูปร่างเพรียวๆ ด้วยผ้ากำมะหยี่ฝีมือการดีไซน์ของฮโยยอน ผมยาวๆ ของเธอถูกถักเป็นเปียพาดมาที่บ่า เพราะงานนี้ซูยองถึงกับลงทุนไปต่อผมมา ถึงได้ออกมาสวยตรงกับคอนเซปต์เจ้าหญิงราพันเซลผู้เลอโฉมจนเจ้าชายหลายต่อหลายคนยอมเสี่ยงชีวิตปีนขึ้นไปพิชิตใจเจ้าหญิงบนหอคอยสูงเสียดฟ้า
...ซึ่งอันที่จริง ตอนแรกฉันเกือบคิดว่าซันนี่เลือกซูยองมาเพราะนึกประชดเสียด้วยซ้ำ ใครๆ ก็รู้ว่านางแบบสาวไฮโซ ชเวซูยองเป็นจอมหยิ่งที่หักอกหนุ่มมานับไม่ถ้วน โปรไฟล์ไม่ดี หน้าตาไม่ผ่าน บ้านไม่รวย แม่เจ้าประคุณเธอก็เขี่ยทิ้งแบบไม่นึกเสียดาย ทั้งๆ ที่ก็มีคนมาจีบไม่เว้นแต่ละวัน แต่ไม่เห็นว่าใครจะมาตรฐานผ่านเกณฑ์ที่กำหนดเลยสักคน
หวังว่าคืนนี้ อาจจะมีเจ้าชายรูปหล่อขี่ม้าขาวมาสอยเจ้าหญิงลงจากหอคอยงาช้างได้สักทีนะ
“คิดว่าราคาประมูลจะได้ซักเท่าไหร่ ห้าสิบล้านวอนถึงมั้ยนะ?” ซันนี่ลูบคางทำท่าคิดแบบน่ารัก
“ถ้าได้เกินนั้นฉันจะจูบคนประมูลเลย แต่ต้องเป็นหนุ่มหล่อนะ” ซูยองว่าแล้วพวกเราก็ขำกันใหญ่
“ไปเถอะสาวๆ” ฉันหันไปดูเวลาอีกรอบ สตาฟฟ์ที่ยืนหลังเวทีโบกมือเรียกแล้ว
“ไปทำให้โลกตะลึงด้วยความสวยกันเถอะ”
เสียงปรบมือดังกระหึ่มพร้อมๆกับที่แฟลชสว่างวูบวาบเมื่อนางแบบชื่อดังในชุดฟินาเล่ปรากฏตัว
ชเวซูยองที่ก่อนหน้านี้ทิฟฟานี่กับซันนี่คุยว่าสวยนักสวยหนา ผมเคยเห็นเธอผ่านๆตามนิตยสาร แต่ก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่ผมต้องหยุดมองเธอ... ไม่มีเลยจนกระทั่งครั้งนี้ เพราะผมเพิ่งนึกได้ว่าเธอคือผู้หญิงที่ผมเห็นในวันนั้น
ร่างเพรียวระหงของเธอเดินอย่างมาดมั่นมาบนแคทวอล์ค ดวงตาคมๆคู่นั้นกวาดมองดูเย่อหยิ่งเหมือนกับเธอเป็นเจ้าหญิงจริงๆ ไม่เคยมีสายตาของผู้หญิงคนไหนทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองต่ำเตี้ยเรี่ยดินได้ขนาดนี้ ให้ตายเถอะ! ผมชักจะหมั่นไส้ขึ้นมาตงิดๆแล้วแฮะ
“คอนเซปต์ของงานชิ้นนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากเทพนิยายเรื่องราพันเซลค่ะ ชื่อว่า Heart of the Tower ซึ่งเป็นตัวแทนของเจ้าหญิงในเทพนิยาย สวยงาม เลอค่า แต่ในขณะเดียวกันก็แข็งแกร่งและดูลึกลับน่าค้นหาค่ะ” เสียงหวานๆ ของซันนี่เอ่ยถ้อยคำอธิบายที่ดูจะเหมาะเจาะกับทั้งตัวนางแบบและเครื่องประดับชิ้นนั้นเป็นอย่างดี เสียงปรบมือดังขึ้นเกรียวกราวเมื่อชเวซูยองหมุนตัว สะบัดกระโปรงแล้วเหยียดรอยยิ้มเล็กๆ ขึ้นก่อนจะเชิดคางมองเหล่าผู้ประมูลด้วยหางตา
“เอาล่ะค่ะ ทีนี้ก็ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอยแล้ว การประมูล Heart of Tower ชิ้นนี้ ราคาเริ่มต้นอยู่ที่สิบล้านวอนค่ะ” ทิฟฟานี่ประกาศ แล้วก็มีป้ายสองสามป้ายถูกยกขึ้นในทันที
“สิบสองล้านวอน”
“สิบห้าล้านวอน”
“ยี่สิบล้านวอน”
“ห้าสิบล้านวอน”
เสียงฮือฮาดังขึ้นทันทีที่ราคาพุ่งโดดแบบเกินเท่าตัว ผมหันไปมองคนเสนอราคาแพงลิบลิ่ว ท่าทางเป็นนักธุรกิจวัยกลางคน สายตานี่เหมือนจะสนใจคนมากกว่าสนใจของด้วยซ้ำ
“ห้าสิบล้านวอน มีใครเสนอมากกว่านี้มั้ยคะ?” ทิฟฟานี่ถามเสียงหวาน พวกนักประมูลทั้งหลายดูจะช็อกกับราคาที่แพงหลุดโลก แม้แต่ตัวคนออกแบบก็ดูจะประหลาดใจไม่น้อยไปกว่ากัน
...แต่ผมว่ามันยังถูกไปนะ
“ร้อยล้านวอนครับ”
ทันทีที่ผมพูดจบ แสงแฟลชก็รัวขึ้นมายังกับปืนกล เสียงฮือฮายิ่งดังกว่าเดิม ผมเห็นซันนี่ทำตาโตเท่าไข่ห่าน ทิฟฟานี่เองก็ตกใจจนลืมสคริปท์ไปเลย แต่นางแบบเจ้าของงานประมูลกลับมองผมด้วยตานิ่งๆ เหมือนผมไม่ได้เป็นคนเสนอเงินจำนวนร้อยล้านนั่นออกไป
“ร...ร้อยล้านวอนครั้งที่หนึ่ง ร้อยล้านวอนครั้งที่สอง ร้อยล้านวอนครั้งที่สาม Heart of Tower ขายไปด้วยราคาร้อยล้านวอน ยินดีด้วยค่ะ”
ผมยิ้มเล็กๆ ก่อนจะเดินขึ้นไปบนเวที ชเวซูยองก้าวเข้ามายืนข้างๆอย่างรู้คิวเพื่อให้นักข่าวถ่ายรูป
“แหม เหมือนเจ้าชายกับเจ้าหญิงเลยนะคะ” ทิฟฟานี่แซวขึ้นมา ทำให้คนข้างๆผมหันไปค้อนเธอตาเขียวปั้ด อะไรกัน? ปกติผู้หญิงที่ไหนได้ยืนข้างผมก็ดีใจจนเนื้อเต้นกันทั้งนั้น ยัยนี่ท่าจะประหลาด
“จะว่าไปแล้ว เมื่อกี้คุณซูยองบอกนี่คะว่าจะจูบผู้ชนะการประมูล ยังงี้ต้องทวงกันหน่อยแล้วล่ะค่ะ” ทิฟฟานี่หยอดพร้อมกับที่ซูยองเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แล้วค่อยหันมามองผมอย่างลำบากใจก่อนจะหันไปมองนักข่าวที่ยกกล้องขึ้นเล็งเต็มที่ ดูเหมือนจะไม่มีทางเลือกแฮะ...
“เอ่อ... ขอโทษนะคะ ฉันไม่รู้ว่าคุณสะดวกรึเปล่า...”
“ไม่มีปัญหาครับ ผมยังโสด”
“งั้นก็... ขอโทษด้วยนะคะ” ซูยองเขย่งขึ้นแล้วหอมแก้มผมเบาๆ แสงแฟลชสว่างขึ้นเป็นชุดจนผมตาพร่า... แน่นอนว่ามีอีกอย่างที่สว่างขึ้นมาในหัวผมเช่นกัน...
วิธีสอยเจ้าหญิงลงมาจากหอคอยไงล่ะ...
เสียงอึกทึกครึกโครมดังขึ้นในผับเดอะไนน์เหมือนอย่างเคยเมื่อฉันก้าวเข้าไปในร้าน เป็นปกติที่โต๊ะประจำของพวกเราเก้าคนจะมีคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว เดือนนึงจะมีซักครั้งสองครั้งที่พวกเราจะอยู่ที่ผับกันพร้อมหน้าแบบยกกลุ่ม แต่ขาประจำที่มาบ่อยๆแบบขาดไม่ได้ทุกครั้งที่มีมีทติ้งคือแทยอน ฟานี่ ฮโยยอน ฉัน แล้วก็ซันนี่ที่เพิ่งจะมาโดดมีทติ้งเอาบ่อยๆหลังแต่งงานนี่ล่ะ แต่พักนี้ก็เริ่มมาถี่เหมือนเดิม แค่พาสามีมานั่งเฝ้าด้วย
แต่วันนี้คุณสามีจอมหวงของเพื่อนฉันเหมือนจะไม่มาแฮะ ยัยเตี้ยนี่ถึงได้นั่งเน่าเฝ้าโต๊ะด้วยสีหน้าบูดสนิท
“ไงเธอ พี่คยูฮยอนไม่มาก็นั่งหน้าเหี่ยวเชียวนะ แล้วคนอื่นๆล่ะ?” ฉันถามขึ้นมาเพราะนอกจาซันนี่แล้วดูไม่เห็นวี่แววสาวๆคนอื่นเลย
“จริงๆ ฮโยยอนกับฟานี่จะมานะ แต่เห็นว่าติดงานด่วนอะไรซักอย่าง ยูริก็เสร็จงานจากปารีสแล้วจะบินไปต่องานแฟชั่นอีเวนท์ที่มิลาน นั่นล่ะที่สาเหตุที่สามีฉันหายตัวไป” ซันนี่ทำหน้าบูดอยู่บนโต๊ะ ก็น่าเห็นใจอยู่หรอกนะ เพิ่งแต่งงานกันแท้ๆ แต่แผนฮันนีมูนที่วางกันไว้รอบแรกก็โดนเลื่อนเพราะพี่คยูฮยอนต้องอยู่เคลียร์งานให้พี่ฮีชอลกับยูริเมื่อคราวโน้น หลังจากนั้นก็มีเคสตามมาเรื่อยๆ ไม่ได้หยุด
“ชิ...เอะอะก็ทำแต่งาน เดี๋ยวแม่ก็อ่อยผู้ชายคนอื่นซะเลย” ฉันมองหน้ายัยเตี้ยที่ดูเหมือนจะดื่มไปเยอะใช้ได้ แก้วตั้งเป็นพรืดแบบนี้ยังนั่งจ้ออยู่ได้ก็ทนทายาดชะมัดแล้ว
“จะทิ้งเมื่อไหร่บอกนะ เดี๋ยวฉันเคลมคุณสามีต่อให้เอง” พอหยอดเข้าให้ซันนี่ก็ทำตาเขียวปั๊ดใส่กันซะงั้น ไม่แน่จริงนี่หว่า
“ว่าแต่เธอน่ะ ไปสืบๆมามั่งมั้ยว่าเมื่อไหร่ยูริจะแต่งกะพี่ฮีชอล?” ดูนั่น เปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉยเลยแฮะ ไอ้ที่ถามเนี่ยคือกะจะให้สองคนนั้นลงเอยกันไปซะ จะได้ไม่มายุ่งวุ่นวายกับสามีสุดที่รักล่ะสิ
“คู่นั้นยังตะลอนทัวร์ถ่ายแบบกันอยู่เลยนะยะ ให้แงะควอนยูริออกจากงานนี่จับหมูไปเต้นแทงโก้ยังง่ายกว่าเลย”
“ชิ” ซันนี่สะบัดสะบัดหน้าไปอีกทาง แต่แล้วเธอก็ทำตาโต แล้วตีแขนฉันเต็มแรง ยัยเตี้ยซาดิสม์!
“สวัสดีครับ” หน้าหล่อๆของคุณชายชีวอนแห่งตระกูลชเวยื่นเข้ามาทักทายพร้อมรอยยิ้มแบบเทพบุตร สีหน้าหมอนี่ดูไม่แปลกใจเลยแฮะที่เจอพวกเรา มีอะไรในกอไผ่รึเปล่าเนี่ย?
“ขอผมนั่งด้วยคนนะครับ”
“เชิญเลยค่ะ ตามสบายนะคะพี่ชีวอน” ซันนี่ดูท่าทางจะดี๊ด๊าสุดฤทธิ์ ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะย่ะ มีสามีเป็นตัวเป็นตนแล้วยังจะทำลั้ลลากับชายอื่น คอยดูนะ พี่คยูฮยอนกลับมาเมื่อไหร่แม่จะฟ้องเอาให้หย่ากันไปเลย!
“ได้ยินว่าปกติซันนี่กับเพื่อนๆมาดื่มกันที่ร้านนี้บ่อยๆ ผมเลยอยากมาสมัครเป็นขาประจำด้วยซักคนน่ะครับ” คุณชีวอนพูดออกมาหน้าตาเฉย คือ... ถ้าฉันตีความไม่ผิดทำไมมันฟังดูเหมือนจะหยอดซันนี่จัง?
“พูดเหมือนมีจุดประสงค์แอบแฝงเลยนะคะ เพื่อนฉันน่ะ แต่งงานมีสามีแล้วนะ” ฉันแกล้งหยอด แต่เขากลับยิ้มขึ้นมา
“ไม่ได้บอกนี่ครับว่าไม่มี ผมเข้ามาเป็นผู้ร่วมทุนก่อตั้งซันไรส์ ก็ต้องอยากทำความคุ้นเคยกับผู้บริหารเป็นธรรมดา แต่ผมไม่อยากให้พวกคุณมองเป็นเชิงธุรกิจมากเกินไปนะครับ เอาเป็นว่าไหนๆ เราก็ทำงานด้วยกันแล้ว เราก็ขยับจากเพื่อนร่วมงานมาเป็นเพื่อน มันคงจะดูน่าสนใจกว่ากันเยอะ” คุณพ่อเทพบุตรชีวอนพูดออกมาหน้าตาเฉย แต่ฉันมั่นใจไป 99.99% แล้วล่ะว่าอีตานี่เข้าข่ายอยากทำครอบครัวซันนี่ร้าวฉาน ฉันหันไปมองยัยเพื่อนเตี้ยที่ปกติเซนส์ไวมากกกกกกกกก กับเรื่องพรรค์นี้และคิดว่าซันนี่คงฉลาดพอที่จะปฏิเสธไปได้แบบนิ่มนวล
“เอาสิคะ ถ้างั้นเริ่มจากการพูดแบบหนิทหนมแล้วกันเนอะ พี่ชีวอน”
โอ้ มาย ก๊อดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
เพื่อนฉันแต่งงานแล้วแต่อ่อยผู้ชายอื่นที่ไม่ใช่สามีตัวเอง!
“ขอเวลาส่วนตัวสักครู่นะคะ” ฉันยกมือขอเวลานอกก่อนจะคว้าตัวยัยเตี้ยลุกออกจากโต๊ะแล้วลากถูลู่ถูกังยัยนี่ไปเคลียร์กันที่ห้องน้ำ
“เธอเป็นบ้าอะไร อีซุนคยู อย่าบอกนะว่าเธอจะอินโนเซนท์ขนาดไม่รู้ว่าไอ้หน้าหล่อนั่นมันหยอดเธออยู่!” ฉันแหวใส่ซันนี่ทันทีที่ลากยัยตัวป่วนเข้าห้องน้ำมาได้ แทนที่จะสำนึก ยัยนี่กลับควักเอามาสคาร่ามาปัดเฉยเลย เชื่อเค้าสิ!
“ก็แค่เช็กเรตติ้ง ไม่เห็นต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่นี่นา”
นอกใจแฟนนี่นับเป็นเรื่องเล็กเหรอยะ!!! หล่อนไปเอาโลจิกแบบนี้มาจากไหน!!!
“ใหญ่ไม่ใหญ่ไม่รู้ แต่ฉันจะฟ้องพี่คยูฮยอน” ฉันงัดไม้ตายออกมาใช้ คิดในใจว่ายัยเตี้ยนี่ต้องหงายเงิบและเปลี่ยนมาทำตัวดีๆทันทีที่ได้ยินชื่อคุณสามี แต่กลายเป็นว่าซันนี่กลับเขวี้ยงมาสคาร่ากลับลงกระเป๋าแล้วหันมามองฉันอย่างเอาเรื่อง
“เชิญขี่ม้าสามศอกไปบอกไอ้หมาหัวเน่านั่นเลยนะว่าฉันกำลังจะมีแฟนใหม่ ไอ้ผู้ชายที่วันๆ ทำแต่งานจนไม่มีเวลาพาภรรยาสุดที่รักไปฮันนีมูนน่ะ ใครอยากได้ก็เอาไปเลย ฉันยกให้!” พูดจบยัยเพื่อนเตี้ยของฉันก็เดินกระแทกสีนปึงปังออกจากห้องน้ำไปแบบไม่แคร์สื่อ ทิ้งให้ฉันยืนอ้าปากค้างอยู่คนเดียว
งานงอก งานงอกสุดๆ ฉุดไม่อยู่ เวรกรรมอะไรของชเวซูยองที่ดันไปสะกิดต่อมเหวี่ยงของอีซุนคยูเข้าล่ะเนี่ย แล้วแบบนี้เกิดสองคนนั้นหย่ากันขึ้นมาฉันไม่บาปหนักเลยเหรอ!
หลังจากยืนกลุ้มอยู่ในห้องน้ำได้ประมาณสามวิ ฉันก็เดินกลับไปที่โต๊ะ แต่ดูเหมือนจะไม่เห็นวี่แววของซันนี่ มีแต่นายม้าทำตาเยิ้มมองไปทางฟลอร์อยู่คนเดียว ฉันมองตามไปแล้วก็เห็นยัยเพื่อนตัวดีดิ้นอย่างเมามันอยู่แถวนั้น
รู้สึกหมั่นไส้โดยไม่ทราบสาเหตุค่ะ
“มองอะไรขนาดนั้นคะ ซันนี่มีเจ้าของแล้วนะ” ฉันทักคุณชีวอนด้วยรอยยิ้มหวาน แต่หมอนันไม่ชายตาแลฉันเลยสักนิด
“มีเจ้าของแล้วยังไงเหรอครับ ไม่ได้มีใครมานั่งเฝ้านี่นา”
“คุณจะชอบอะไรใครฉันก็ไม่อยากยุ่งหรอกนะ แต่ว่ามันไม่มากไปหน่อยเหรอ จะทำเค้าเลิกกันน่ะ”
“ผมไม่ได้พูดซักคำว่าจะทำให้ซันนี่กับคุณคยูฮยอนเลิกกัน แต่เพราะผมไม่เคยเจอผู้หญิงที่ตรงเสป็คขนาดนี้มาก่อน จะให้ปล่อยไปง่ายๆก็เสียเชิงชายสิครับ” หมอนั่นพูดพร้อมกับยกแก้วไวน์ขึ้นจิบอย่างมีมาด เฮอะ! เชิงชายบ้าบออะไรกัน ความคิดด้านมารชัดๆ!
“เสป็คอะไรของคุณ? มันหายากถึงขนาดเพิ่งมาเจอที่เพื่อนฉันคนแรกเลยเหรอ?”
“แน่นอน ผมชอบผู้หญิงตัวเล็ก น่ารัก ฉลาด ทำงานเก่ง ทั้งตลกแล้วก็เป็นผู้ใหญ่ มีความรับผิดชอบ แคร์คนรอบข้าง ที่สำคัญหุ่นสะบึมบิ๊กบึ้มแบบนี้โดนสุดๆ”
ฉันอ้าปากค้าง นึกอยากเอาอะไรมายัดปากผู้ชายคนนี้ จะให้ดีควรเป็นรองเท้าเหม็นๆสักคู่ เสป็คบ้าบออะไรของมัน! เหตุผลจริงๆ มีแค่ข้อสุดท้ายไม่ใช่เหรอ!
ฉันมองรอยยิ้มเทพบุตรของผู้ชายคนนี้อีกที... หมอนี่หล่อรวย แต่ร้ายกาจ เป็นตัวอันตรายระดับบิ๊กเบิ้มเลย คิดจะแย่งภรรยาคนอื่นได้หน้าตาเฉย อันที่จริงฉันไม่คิดว่าเขาต้องการแค่ตัวซันนี่... หมอนี่ต้องหวังฮุบกิจการซันไรส์แน่ๆ
ปล่อยไปไม่ได้ ฉันจะปล่อยให้ชีวิตของเพื่อนต้องพังพินาศเพราะผู้ชายคนนี้ได้ยังไง
เห็นทีฉันต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว…
“เธอว่าอะไรนะ!?”
ฉันแทบจะตะโกนกลับเข้าไปในโทรศัพท์ แล้วเท้าก็เผลอเหยียบเบรกกะทันหันจนโดนเสียงบีบแตรไล่ตามมายาวเหยียด อูย...
“ย่าห์! เจสสิก้า จอง! เธอขับรถอยู่ใช่มั้ย!? อยากตายรึไงถึงได้ทำแบบนี้น่ะหา! ฉันจะวางเดี๋ยวนี้แหละ!”
“อย่าวางนะซูยอง! ฉันจอดแล้ว ไม่ขับต่อแล้ว” ฉันรีบพูดรัวเร็ว คือแบบว่า... ทุกคนมักจะเป็นห่วงฉันเรื่องขับรถน่ะค่ะ ไม่ใช่เพราะฉันขับไม่เก่งหรืออะไรหรอกนะ แต่แบบว่าบางทีถ้าฉันทำอย่างอื่นอยู่ด้วยมันก็จะเพลินไปหน่อย เช่น... ถ้าเปิดเพลงจังหวะเร็วๆ ฉันก็อาจจะเหยียบเกินร้อยหกสิบได้โดยไม่รู้ตัว ทึ่งใช่มั้ยล่ะคะว่าฉันอยู่รอดมาได้ไงจนถึงป่านนี้
“ไหนว่ามาต่อซิ” ฉันเลี้ยวรถเข้าจอดที่หน้าสวนสาธารณะ แล้วเดินลงมาคุยตรงม้านั่ง
“หมอนั่น ชเวชีวอนน่ะ ตั้งใจจะรวบหัวรวบหางซันนี่จริงๆนะ ฉันกลุ้มจนหัวจะระเบิดแล้วเนี่ย ท่าทางหมอนั่นหวังจะฮุบซันไรส์ด้วยการเข้าทางซันนี่ แล้วยัยเตี้ยนั่นก็ดันมางอนกับพี่คยูฮยอนตอนนี้อีก”
“คู่นั้นไม่โกรธกันนานหรอกมั้ง ปกติก็เห็นหวานๆกันตลอด แต่ถ้ามีมือที่สามก็ไม่แน่ โดยเฉพาะมือที่สามเนี่ย เพอร์เฟคกว่าพี่คยูฮยอนซะอีก” ฉันพูดกลับไป แล้วเราทั้งคู่ก็เงียบไปช่วงหนึ่ง
“เธอไปอ่อยเขาสิ” ยัยโย่งพูดออกมา แล้วฉันก็แทบจะสำลักลิ้นตาย
“จะบ้าเหรอ! เอาอะไรคิดยะ!”
“ก็รองจากซันนี่เธอดูตรงเสป็คเค้าที่สุดแล้วนี่นา พวกเธอเคยเจอกันในงานเปิดตัวซันไรส์แล้วด้วย น่านะ… สิก้า ชเวชีวอนน่ะทั้งหล่อ ทั้งรวยผู้หญิงที่ไหนก็พลีชีพให้ได้เป็นแฟนเขาทั้งนั้นแหละ”
“ก็อยากจะทำให้อยู่หรอกนะ แต่ขอโทษทีว่าฉันต้องบินไปทำงานที่ชิคาโก้ตั้งแต่มะรืนนี้ ทำไมเธอไม่ทำซะเองล่ะ?”
“ตลกเหอะ ฉันตรงข้ามกับสิ่งที่หมอนั่นวาดฝันเอาไว้เลย เพื่อนเธอเป็นนางแบบคัพเอนะยะ” ซูยองโอดครวญจนฉันขำออกมา
“แสดงให้เขาเห็นว่าเธอมีข้อดีอย่างอื่นทดแทนคัพเอให้ได้สิ ทำให้ผู้ชายตกหลุมพรางน่ะ... ไม่ยากอย่างที่คิดหรอกนะ” ฉันพูดแล้วก็รีบกดตัดสายไปดื้อๆ ไม่งั้นยัยเพื่อนจอมจุ้นของฉันต้องบ่นมายาวเป็นหางว่าวแน่ๆ
ฉันควงกุญแจรถพร้อมกับอมยิ้มขึ้นมา
งานนี้ใครจะตกหลุมใครกันแน่ก็ไม่รู้
ฉันมองโทรศัพท์ในมืออย่างเซ็งสุดชีวิตก่อนจะถอนหายใจขึ้นมาอีกที
ไม่ยากอย่างที่คิด แต่ยากกว่าที่คิดมากกกกกกกกกกกเลยล่ะเจสสิก้า!
คนไม่เคยสนใจจะอ่อยผู้ชายอย่างฉัน ถึงจะถวิลหาคู่ควงบ้างเป็นบางที แต่ก็ไม่เค้ย ไม่เคยลดตัวลงไปทอดสะพานให้ใครก่อนนะจะบอกให้ แล้วนี้มันกงการอะไรของฉันฟระที่จะต้องมาทำตัวเป็นไม้กันหมาแบบouh คือแบบว่า... ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา ฉันไปนั่งเฝ้าซันนี่ที่นอกจากจะไม่มีวี่แววคืนดีกับสามีแล้ว ยังออกแนวเล่นด้วยกับชเวชีวอนอย่างออกนอกหน้านอกตา ถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทนี่แม่จะเรียกไปเข้าคอร์สอบรมศีลธรรม แล้วนั่งฟังเทศน์ซักแปดจบ
“ไง ทำไมทำหน้าบูดแบบนั้นล่ะ?”
เสียงหวานๆของจอนฮโยซองดังขึ้นข้างหลัง เธอเป็นเพื่อนในวงการนางแบบของฉันเองค่ะ ตอนนี้เราอยู่หลังแคตวอล์ค เพิ่งเสร็จจากเดินแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นใหม่ของดีไซน์เนอร์ดังจากญี่ปุ่น ฉันกับฮโยซองเราเจอกันหลายงานมากๆ และด้วยความที่อายุเท่ากัน แถมคุยกันถูกคอ เลยทำให้เราเป็นมากกว่าเพื่อนร่วมงานกันนิดหน่อย
“ช่วยคิดหน่อยสิ ทำยังไงผู้ชายถึงจะตกหลุมรัก” ฉันพูดออกไปแบบเบื่อๆ ขณะนั่งเท้าคางอยู่ตรงหน้าโต๊ะแต่งหน้า
“ก็... ลองทำตัวให้ตรงตามเสป็คเค้าสิ” ฮโยซองตอบกลับมาแบบซื่อๆพลางจ้องหน้าฉันผ่านกระจก
“เหอะ ไม่ใกล้เลยยยยยย” ฉันตอบลากเสียงพลางนึกทบทวนลิสท์ของหมอนั่นอีกรอบ
ผมชอบผู้หญิงตัวเล็ก น่ารัก ฉลาด ทำงานเก่ง ทั้งตลกแล้วก็เป็นผู้ใหญ่ มีความรับผิดชอบ แคร์คนรอบข้าง ที่สำคัญหุ่นสะบึมบิ๊กบึ้ม
เงาในกระจกของฮโยซองเอียงคอมองฉัน... น่ารักแฮะ ฉันว่าเพื่อนคนนี้คงจะแอ๊บแบ๊วได้น่ารักใกล้ๆกับซันนี่...
ใกล้ๆกับซันนี่งั้นเหรอ...?
“ฮโยซอง!” ฉันลุกพรวดขึ้นจากโต๊ะ เล่นเอาฮโยซองสะดุ้ง
“วันนี้เธอว่างใช่มั้ย? ไปเดอะไนน์กับฉันนะ ฉันเลี้ยงเอง”
ฮโยซองพยักหน้ารับแบบงงๆ ในขณะที่ฉันลูบคางแล้วแผนการต่างๆก็เริ่มไหลเวียนเข้ามาในหัวอย่างต่อเนื่อง
เรื่องอะไรฉันจะยอมเปลืองตัว ในเมื่อเหยื่อชั้นดีมีอยู่ใกล้ๆ?
นายเสร็จฉันแน่ ชเวชีวอน!
“ฉันดูเป็นไงบ้าง?” ฮโยซองถามขึ้น ขณะหมุนตัวอยู่หน้ากระจก
ตอนนี้ฉันจัดการพา ‘นกต่อ’ มาแปลงโฉมที่ห้องเสื้อของฮโยยอนค่ะ สมกับที่ยัยนี่เป็นดีไซน์เนอร์หน้าใหม่ไฟแรง ฮโยยอนจัดการเพื่อนนางแบบฉันให้แบบว่า ตรงคอนเซปต์ที่ต้องการเป๊ะไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหน้าผม ชุดที่ฮโยยอนเลือกมาเป็นเดรสเกาะอกสีแดงเข้มลายสก็อตคาดทับด้วยผ้าลุกไม้สีดำช่วงเอว กระโปรงยาวเหนือเข่าถูกเย็บให้เป็นจีบใหญ่ให้บานออกแล้วเสริมด้วยผ้าซีทรูสีดำจีบเล็กซ้อนไว้ข้างใน เพิ่มลุคเซ็กซี่ แต่น่ารัก น่าค้นหาเหมือนเด็กสาว นี่ล่ะผู้หญิงที่เดินออกมาจากเช็คลิสท์ของชเวชีวอน!
“เพอร์เฟคท์มาก” ฉันตอบแบบว่าสัตย์จริงล้านเปอร์เซ็นต์
“แล้วก็ทำผมเป็นลอนใหญ่ๆ ทำให้ดูยุ่งขึ้นนิดๆ จะได้ลุคเซ็กซี่แบบเด็กซนๆ” ฮโยยอนพูดเสริมระหว่างที่จัดเสื้อผ้าหน้าผมให้กับเพื่อนนางแบบของฉัน
“เพื่อนฉันนี่สุดยอดจริงๆ” ฉันเอ่ยปากชมฮโยยอนที่ตีหน้าเจื่อนกลับมา
“แต่แน่ใจนะว่านี่จะเบี่ยงเบนความสนใจของชเวชีวอนได้?”
“ได้ซะยิ่งกว่าได้” ฉันตบเข่าดังฉาด “สเป็คของผู้ชายจะมีอะไรมากไปกว่าสาวสวยๆหุ่นเนื้อนมไข่แบบนี้”
“นั่นเรียกว่าชมแล้วเหรอยะ?” ฮโยซองเท้าสะเอวมองหน้าฉันแบบหาเรื่อง
“เอาน่าๆ อย่าเพิ่งมาเหวี่ยงใส่กันตอนนี้เลย รีบไปเถอะนี่ก็ดึกแล้ว ถ้าเหยื่อหนีไปก่อนเดี๋ยวจะชวดซะ” ฮโยยอนเร่งแล้วพวกเราสามคนก็รีบบึ่งไปยังที่หมายทันที
ตั้งแต่วินาทีแรกที่จอนฮโยซองก้าวเข้ามาในร้าน ฉันบอกได้เลยว่าสายตาทุกคู่มองมาที่พวกเรา แน่ล่ะ... มีสาวสวยสามคนเดินเข้าร้านมาแบบนี้จะไม่ให้มองยังไงไหว ยกเว้นก็แต่ โต๊ะตัวนั้น... ที่นั่งประจำของเราที่ตอนนี้มีคนนั่งอยู่ก่อนแล้วสี่ห้าคน แต่คนที่สะดุดตาฉันที่สุดคือคนที่ไม่เห็นโผล่หน้ามาเกือบอาทิตย์
“ควอนยูล!” ฉันกระโดดล็อคคอยัยเพื่อนตัวดีที่พอระเห็จลงจากคานได้ก็หลบลี้หนีหน้าไปสวีทกับแฟนที่ปารีล มิลาน บรัสเซล เรียกว่าไปทัวร์ยุโรปท่องเมืองแฟชั่นกันมาสองคนแบบไม่สนใจเพื่อนฝูง
“ปล่อยได้แล้วย่ะ ฉันเจ็บนะ!” ยูริแกะมือฉันออกขำๆ ก่อนจะเขยิบเก้าอี้ให้ฉันเข้ามานั่งร่วมวง ข้างๆ ยูริไม่มีทางเป็นใครไปได้นอกจากพี่ฮีชอลที่ตอนนี้กำลังนั่งเมาท์เล่าเรื่องตลกให้ยุนอากับซันนี่ที่ฟังอยู่ และข้างๆ ยัยเพื่อนเตี้ยนั่นก็...ขาเดิม ชเวชีวอนยังคงมองสาวหนึ่งเดียวบนโต๊ะที่มีสามีเป็นตัวเป็นตนแบบไม่สนใจสาวสวยคนอื่นๆ ที่โหนคานกันเหนียวแน่น ดีค่ะดี...
ฮโยซองกระตุกเสื้อฉันเบาๆ เป็นเชิงส่งซิก ฉันเลยได้ทีกระแอมออกมาทีสองที แล้วแนะนำเพื่นร่วมงานให้ทุกคนรู้จัก
“ทุกคน นี่เพื่อนนางแบบของฉันเอง จอนฮโยซอง”
“สวัสดีค่ะ ขอร่วมโต๊ะด้วยสักคืนนะคะ” ฮโยซองปรายตามองทุกคนแบบไม่ลืมที่จะส่งยิ้มอ้อยอิ่งไปให้ชีวอนเป็นพิเศษ ฉันเอาไหล่สะกิดให้ยัยนั่นเข้าไปนั่งข้างชีวอนแล้วดึงฮโยยอนเข้ามานั่งข้างยูริแทน
ระหว่างฮโยซองกำลังถามชื่อคนอื่นๆ อยู่ยูริก็หันมามองฉันกับฮโยยอนที่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดอย่างมีเลศนัย... สงสัยต้องมีคนเอาเรื่องไปฟ้องยัยนี่แล้วแหงๆ แล้วถ้าจะให้เดา ฉันว่าเจสสิก้าชัวร์ป้าบ
“พวกเธอมีแผนอะไรกันน่ะ?” ยูริกระซิบถาม
“ภารกิจพิชิตใจชเวชีวอน” ฮโยยอนตอบเบาๆ เล่นเอายูริกับพี่ฮีชอลที่ยื่นหน้ามาฟังด้วยแอบหัวเราะคิกคัก
“ไม่ง่ายนะนั่น” พี่ฮีชอลว่า แต่ฉันกลับยิ้มเจ้าเล่ห์ให้เค้าแทนคำพูดว่า ‘เดี๋ยวก็รู้’
“เอ่อ... ว่าแต่พี่คยูฮยอนไม่กลับมาด้วยเหรอคะ ไหนว่าไปเจอกันที่มิลาน” ฉันพูดขึ้นมาแล้วซันนี่ก็ค้อนขวับทันที รู้เลยว่ายังไม่ได้เคลียร์กันแหงๆ
“เจอกันแค่สองวันแล้วเราก็บินไปดูโชว์เคสของอาร์มานี่ในบรัสเซลน่ะ หมอนั่นเห็นว่าแวะรับงานต่อที่เซาธ์แทมป์ตันน่ะ ถามซันนี่ดูน่าจะรู้ละเอียดกว่านะ” พี่ฮีชอลโยนไปให้ยัยเพื่อนที่นั่งหน้าบูดอยู่บนโต๊ะตั้งแต่ฉันเอ่ยชื่อคุณสามีสุดที่รักออกมา
“อย่าถามเลยค่ะ เรากลายเป็นคนแปลกหน้ากันไปแล้ว”
เหมือนซันนี่ทิ้งบอมบ์ลูกเบ้อเริ่มลงกลางโต๊ะ แม้แต่พี่ฮีชอลยังกะพริบตาปริบๆ แล้วหันมามองยูริเป็นเชิงถามที่มาที่ไป แต่ถึงแม้ว่าทุกคนจะทำหน้าเจื่อนๆ อีตาชเวชีวอนก็ยังคงยิ้มแฉ่งเหมือนปกติ
“เอ้อ... คุณชีวอน ฉันว่าฉันเคยเจอคุณมาก่อนนะคะ ฉันเคยไปเดินแบบให้งานคุณน่ะค่ะ” ฮโยซองพูดขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศมาคุ ทำเอา ฉัน ฮโยยอนและยูริพากันถอนหายใจ รอดไปอีกงานละ พักนี้ยัยเตี้ยทำตัวเหมือนกับระเบิด สะกิดโดนเมื่อไหร่อาจจะพินาศวอดวายตายยกหมู่
ฉันนั่งจิบคอกเทลชิวๆ ดูความคืบหน้าของแผน ท่าทางจะไปได้สวยมากกว่าที่คิดแฮะ ตอนนี้ถึงขนาดยอมให้ฮโยซองลากลงไปเต้นรำด้วยกันแล้ว ซันนี่เองก็ดูเหมือนจะไม่ได้ติดใจอะไร ตอนนี้กลับไปนั่งเมาท์กับคู่หูยุนยูลตามเดิม ฉันเหม่อมองใบหน้าหล่อขั้นเทพของผู้ชายที่อยู่บนฟลอร์
คนบ้าอะไร เพอร์เฟกต์ยังกับเจ้าชาย ถ้างานนี้ไปได้สวย ฮโยซองคงเป็นผู้หญิงที่น่าอิจฉาที่สุดในโลก...
ฉันสะบัดหัวไล่ความคิดนั้นทิ้ง
ไม่ใช่น่า ก็แค่คิดไปงั้นๆแหละ...
ฉันไม่มีทางไปอิจฉาผู้หญิงของชเวชีวอนได้หรอก!
t
h
e
m
y
b
u
t
t
e
r
ความคิดเห็น