คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : 1st Tale ~ Wolfs Trap And Hunter Strikes Back
1st Tale : Wolf’s Trap And Hunter Strikes Back
“เห? นี่นายพูดจริงเหรอ?” ผมถามกลับไปอย่างไม่อยากจะเชื่อหู
“อื้อ ขอโทษจริงๆนะ กวนนายอยู่เรื่อย แต่ฉันคงกลับไปรอบนี้เป็นรอบสุดท้ายแล้วล่ะ โอ๊ะ ต้องไปเช็คอินแล้ว ไว้คุยกันนะ”
“เฮ้ย! ชางมิน! ชิมชางมิน! ไอ้เพื่อนบ้าเอ๊ย!” ผมบ่นแล้วมองไอโฟนอย่างหงุดหงิด ไอ้บ้านี่มันวางหูไปแล้วจริงๆ ผมมองดูนาฬิกาที่หน้าคอนโซลรถ... เวรแล้วไง อีกยี่สิบนาทีก็บ่ายโมงแล้ว...
ผมเหยียบคันเร่งแล้วมุ่งหน้าไปที่ตึกเอสจิวเวลรี่... บริษัทของซันนี่…
โอเค ระหว่างขับรถนี่ขอเล่าที่มาที่ไปนิดนึง เรื่องของเรื่องคือชางมินเพิ่งกลับจากอเมริกามาได้แค่อาทิตย์เดียว อยู่ๆก็โดนตามตัวกลับไปด้วยเรื่องงานกะทันหัน ทีนี้หมอนั่นน่ะคนวางแผนกันไว้ว่าจะพาซันนี่ไปเที่ยวกวางจู จะได้ทำความรู้จักสนิทสนมกันมากขึ้น ไปๆมาๆ ผมดันต้องเป็นคนมาพาซันนี่ไปแบบสองต่อสองนี่สิ
จริงๆก็ไม่อยากจะบ่นหรอกเพราะมันเข้าทางผม ถ้าไม่ติดว่าทุกครั้งที่ผมเสนอหน้าไปหาซันนี่ที่บริษัทโดยไม่มีชางมิน เธอก็จะไล่ผมมาเหมือนหมูเหมือนแมว และสถานการณ์ก็เป็นยังงี้มาตลอดทั้งอาทิตย์ซะด้วย
ผมจอดรถเรียบร้อยแล้วก็เดินขึ้นลิฟท์ มุ่งหน้าไปยังห้องทำงานของซันนี่ เห็นเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆแบบนี้แต่เธอก็เป็นถึงประธานกรรมการบริษัท แล้วก็คุมบอร์ดคนอื่นๆอยู่ซะด้วย นึกแล้วก็ขำ ซันนี่ที่ทุกคนต้องก้มหัวให้กลับกลายเป็นลูกแมวน้อยๆ ทำอะไรไม่ถูกเวลาที่ถูกผมจูบ... เอ๊ะ นี่แค่ความคิดก็ชักจะติดเรทแล้วแฮะเรา
เลขาหน้าห้องไม่อยู่เหมือนทุกที ผมเลยถือโอกาสเดินไปที่หน้าประตูห้องเธอเลย แล้วก็ยกมือขึ้นเคาะ
“เข้ามาเลยค่ะ ประตูไม่ได้ล็อก”
“เชิญคนเข้ามาง่ายๆ แบบนี้อันตรายนะคุณ” ทันทีที่ผมเอ่ยปาก ซันนี่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วหรี่ตามองผมอย่างไม่ไว้ใจทันที ผมกำลังจะเดินเข้าไป แต่เธอก็ร้องเสียงแหลมปรี๊ดขึ้นมาก่อน
“หยุด! โจคยูฮยอนนายหยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ! ห้ามเข้าใกล้ฉันเกินกว่าสามเมตร ฉันจะไม่ให้นายแตะต้องตัวอีกเป็นอันขาด”
นี่ผมกลายเป็นสัตว์ประหลาด แวมไพร์ ซอมบี้ หรือติดเชื้ออีโบล่าจนมนุษย์ธรรมดาไม่กล้าเข้าใกล้แล้วรึไงนะ
“วันแรกที่เจอกันคุณเป็นคนเดินเข้ามาชนผมเองนะ แถมยังบอกด้วยว่าอยากชนผมอีก”
“สถานการณ์ตอนนี้มันไม่เหมือนกันย่ะ ถอยไปนะ ฉันมีสเปรย์พริกไทย ถ้าไม่อยากโดนดีนายออกนอกห้องไปเลย ไป๊” นั่นไง เอะอะก็ไล่ เคืองนะเนี่ย หาเรื่องแกล้งดีกว่า~
ซันนี่ยกสเปรย์พริกไทยพร้อมฉีดเล็งตรงมาทางผม ผมยิ้มขึ้นมานิดหนึ่งแล้วเดินเข้าไปอีกก้าว
“คุณไม่กล้าหรอก”
“นายยังไม่รู้จักฉันดีพอที่จะพูดแบบนั้นนะ”
“ถ้าคุณทำคุณจะเสียใจทีหลัง”
“ไม่มีวัน!” ผมก้าวเข้าไปอีกแล้วก็เป็นอย่างที่คาด ซันนี่ฉีดสเปรย์เหม็นๆ นั่นเข้ามาเต็มหน้า ดีว่าผมหลับตาเตรียมตัวไว้ก่อน ผมก้มลงไปกับพื้นแล้วแหกปากร้องลั่นพลางเอามือกุมหน้าไปด้วย
“โอ๊ย! ตาผม ตาผม!”
“ตาบ้านี่! ก็บอกแล้วว่าฉันทำจริง!” น้ำเสียงซันนี่ดูเหมือนจะร้อนรน แต่ก็ยังไม่ยอมเข้ามาใกล้ผม ผมเลยลงทุนเอาตัวไปกลิ้งกับพื้น
“ตามรถพยาบาลที! ตาผม!”
คราวนี้ซันนี่ดูเหมือนจะเชื่อ เธอก้มลงมาดูอาการผมที่นอนเอามือกุมหน้าอยู่กับพื้น หึหึ... พลาดซะแล้วแม่หนูน้อย
ทันทีที่เธอเข้ามาใกล้ผมก็คว้าตัวเธอมากอดก่อนจะพลิกให้ซันนี่เป็นฝ่ายลงไปนอนแอ้งแม้งบนพรมแล้วก็จูบเธออย่างร้อนแรง ผมขบริมฝีปากเธอเบาๆเป็นการลงโทษที่ยัยตัวเล็กนี่บังอาจใจร้ายกับผม เธอเหมือนจะขัดขืนแต่สุดท้ายเรี่ยวแรงของเธอก็หายไปหมด ผมถอนริมฝีปากออกแล้วไล่จูบแก้มเธอเบาๆ
“หยุดนะ!... นายไม่ควรจะทำแบบนี้...” เธอครางเสียงแผ่ว แต่นั่นเหมือนยิ่งเติมเชื้อเพลิงให้ผม ผู้หญิงคนนี้เซ็กซี่เป็นบ้า!
“ฉันบอกให้หยุดไง นายลืมไปแล้วเหรอว่าฉันกำลังจะแต่งงานกับพี่ชางมิน” ประโยคนั้นหยุดการกระทำของผมได้ชะงัดจริงๆ ผมจับหน้าซันนี่ให้หันมองผมตรงๆ แก้มเธอเป็นสีชมพูดจัดไปถึงใบหู ริมฝีปากหวานนั่นบวมเจ่อขึ้นมาเพราะเขี้ยวของผม เห็นแบบนั้นแล้วผมก็เลยจูบเธอเบาๆ ไปอีกทีนึงก่อนจะจ้องเข้าไปในดวงตากลมโต
“รู้มั้ยว่าดวงตาน่ะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของช่างภาพนะ นั่นน่ะเป็นบทลงโทษที่คุณใจร้ายกับผม” ผมกระซิบลงบนปลายจมูกเธอ ซันนี่ขมวดคิ้วแล้วทำเสียงฟึดฟัดเล็กๆ
“นายไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ สักหน่อย”
“จะยอมให้เป็นอะไรไปได้ยังไงล่ะ ผมยังต้องเก็บตาคู่นี้ไว้มองคุณนะ” ผมพูดออกไปแล้วซันนี่ก็หันกลับมามองผม กะพริบตาปริบๆ เหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง ผมเลยลุกขึ้นแล้วดึงเธอตามขึ้นมาอย่างไม่ยากเย็น
“ที่มานี่น่ะ เพราะชางมินมันทิ้งคุณไว้ให้ผมดูแล หมอนั่นมีงานด่วนต้องบินไปนิวยอร์ค เพราะงั้นวันนี้คุณต้องไปกวางจูกับผม”
“ไปกวางจูกับนายเนี่ยนะ?!”
“ใช่ แบบสองต่อสองซะด้วย”
ฉันไม่ได้เป็นใบ้ ไม่ได้หูหนวก ไม่ได้ตาบอดและไม่ได้พิกลพิการอะไรทั้งนั้น...
แต่ฉันนั่งนิ่งๆ อย่างนี้มาหนึ่งชั่วโมงแล้ว ไม่พูด ไม่ฟัง และไม่แม้แต่จะมองหน้านายโจคยูฮยอนเลยสักนิด ตานั่นก็ขยันมากกกก ขยันที่จะชวนฉันคุย แม้จะรู้ว่าฉันไม่ตอบ คือ...ถ้าถามว่ามาแล้วจะต้องนั่งเล่นบทหยิ่งแบบนี้แล้วฉันจะมาทำไม คือแบบว่า...หมอนี่มันขู่ฉันว่าถ้าไม่มาด้วยเขาจะ... จะ... เอ้อ... ละไว้ในฐานที่เข้าใจละกัน
“นี่คุณ แวะกินอะไรหน่อยไหม อีกไกลนะ” เขาพูดขึ้นมาแล้วก็เลี้ยวรถเข้าไปจอดหน้าร้านอาหารแห่งนึง เลี้ยวมาแล้วจะถามทำไมยะ
ฉันรอให้เขาดับเครื่องแล้วค่อยดึงเข็มขัดนิรภัยออก แต่ทำไมไอ้เข็มขัดบ้านี่ถึงไม่ออกล่ะ ฉันลองดึงดูอีกรอบมันก็ยังไม่ออกอยู่ดี คนสวยจะปรี๊ดแล้วนะ
“คุณต้องกดค้างไว้นิดนึงมันถึงจะหลุดนะ”
ฮึ! ฉันก็ยังทำเหมือนหมอนั่นเป็นอากาศธาตุอยู่ดี ทำไมมันไม่หลุดล่ะ!
“ให้ตายเถอะ จะดื้อไปไหนนะแม่คุณ” เขาเบียดตัวเข้ามาปลดเข็มขัดให้ฉัน กลิ่นหอมเย็นๆของโคโลญจน์ที่เขาใช้ทำเอาฉันเผลอจ้องเสี้ยวหน้าของเขาโดยไม่รู้ตัว คิ้วเข้มๆนั่นขมวดขึ้นมาอย่างแปลกใจที่เขาเองก็ปลดมันไม่ออกเหมือนกัน... ตอนนี้ฉันลืมเรื่องเข็มขัดไปแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เราอยู่ใกล้กันขนาดนี้โดยที่เขาไม่คิดอกุศลกับฉัน
“นี่ไง ได้แล้วเห็นมั้ย คุณน่ะใจร้อนไปเอง” เขายิ้มขึ้นมาเหมือนเด็กๆแล้วหันกลับมามองฉัน วินาทีที่จมูกเราแตะกันเบาๆ ฉันรู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ หมอนั่นก็ดูจะแปลกใจเหมือนกัน
เอาแล้วไง NC +18 บนรถชัวร์ป้าบ มีที่ไหนบ้างมั้ยที่ฉันจะปลอดภัยสำหรับตานี่ เปลืองเนื้อเปลืองตัวจริงๆ เลยซันนี่เอ๊ย!
ฉันหลับตา คิดว่าอีกสักพักหมอนั่นต้องจูบแน่ๆ
แต่...
“ไป ยัยเตี้ย ไปกินข้าว” เขาดีดหน้าผากฉันเบาๆ แล้วเปิดประตูลงจากรถไปทิ้งให้ฉันนั่งเอ๋อไปไม่เป็นอยู่ตรงนั้น
ไม่ติดเรท... ไม่จูบ... ไม่ NC เฮ้ย! โจคยูฮยอนเนี่ยนะ!
“นี่คุณ จะนั่งเน่าตายอยู่ในรถรึไง ลงมาได้แล้ว” เขาเดินอ้อมมาเปิดประตูเรียกฉันที่เดินตามลงมาแบบเอ๋อๆ เขาเห็นหน้าฉันแล้วก็หัวเราะก่อนจะจูงมือเดินเข้าร้านอาหารไปด้วยกัน
แปลกมาก... แปลกมากๆ... แปลกที่สุดในสามโลก...
ทำไมกับแค่เขาจับมือ ใจฉันถึงเต้นแรงกว่าตอนที่เราจูบกันซะอีกนะ
--สามชั่วโมงถัดมา--
“คุณ ตื่นได้แล้ว”
เสียงคุ้นๆหูเรียกฉันพร้อมกับมืออุ่นๆที่แตะแขนฉันเบาๆ พอลืมตาขึ้นมาความมืดคืออย่างแรกที่ฉันเห็น แล้วเม็ดฝนก็กระหน่ำลงมาใส่รถแบบเต็มๆ ฉันเหลียวซ้ายแลขวา แจ็กเกตของหมอนั่นอยู่บนตัวฉัน ส่วนเจ้าของน่ะ เอี้ยวตัวไปหยิบอะไรขลุกขลักที่เบาะหลัง ปรากฏว่าเป็นร่ม
“ถึงแล้วแต่ฝนตกหนักสุดๆเลย คุณสวมแจ็กเกตนั่นไปก่อนแล้วยังไม่ต้องลงมา เดี๋ยวผมเอาร่มไปรับ” ฉันได้แต่พยักหน้ารับ เอ่อ... ถึงแล้วนี่คือถึงไหน? ฉันยังมองอะไรไม่เห็นสักอย่าง นี่มันหลอกพาฉันมาทิ้งกลางป่ารึไงเนี่ย
โจคยูฮยอนเปิดประตูรถแล้ววิ่งอ้อมมารับฉัน แต่แค่นี้เขาก็เปียกไปทั้งตัวแล้ว ฉันลงจากรถแล้ววิ่งเข้าไปอยู่ใต้ร่มทันที แล้วเขาก็พาฉันวิ่งตรงไปทางบ้านเก่าๆหลังหนึ่ง หมอนั่นทุบประตูแรงๆ ฝนยังคงกระหน่ำไม่หยุด ซึ่งอยากจะบอกว่าร่มมีประโยชน์มากกกกกก ณ จุดๆนี้... อันที่จริงคือประชด
“คุณคยูฮยอน ตายแล้ว! ตายแล้ว! เข้ามาก่อนค่ะ เข้ามาก่อน” ผู้หญิงวันกลางคนตัวเล็กๆคนหนึ่งเปิดประตูออกแล้วพาพวกเราเข้าไปข้างใน โห นี่มันบ้านแบบชนบทแท้ๆ เลยนะเนี่ย หมอนี่พาฉันมาทำอะไรที่นี่อ่ะ
“ป้าซอนยองช่วยเอาเสื้อผ้ามาให้พวกเราเปลี่ยนหน่อยครับ” คยูฮยอนคว้าผ้าขนหนูแล้วโยนปุลงบนหัวฉัน เหมือนว่าแม่บ้านที่ชื่อซอนยองจะเพิ่งเห็นว่าหมอนี่ไม่ได้มาคนเดียว เธอทำตาโตมองพวกเรา แต่เพื่อกันความเข้าใจผิด ฉันเลยรีบพูดออกไปก่อน
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อซันนี่ เป็น ‘คู่หมั้น’ ของพี่ชางมินค่ะ” จงใจเน้นเลยนะเนี่ย
“หมอนั่นไม่ได้โทรมาบอกก่อนเหรอครับ?”
“ป้าไม่ได้เป็นคนคุยค่ะ คุณชางมินคุยกับคุณซูจีแน่ะ สงสัยเป็นเพราะเรื่องนี้มั้งคะ คุณหนูเลยไม่ยอมออกจากห้องตั้งสองสามวันแล้ว” ซูจี? ฟังจากชื่อแลดูน่าจะเป็นผู้หญิง แล้วไง? คือเกี่ยวอะไรกับฉันเหรอ? ฉันหันไปมองหน้าขอคำอธิบายจากหมอนั่นแต่เขากลับกุมขมับ ก่อนจะมองฉันด้วยสายตาออกแนวหมั่นไส้
“โอเค งั้นเดี๋ยวผมจัดการเอง”
ว่าแล้วหมอนั่นก็เดินตรงเข้าไปในบ้าน คราวนี้ถึงจะไม่ได้หนีบฉันไปด้วยแต่คนสวยก็สมัครใจตามไปเองค่ะ แหม... ก็ถ้ามันเป็นเรื่องของว่าที่เจ้าบ่าว ว่าที่เจ้าสาวจะไม่รู้ได้ไงล่ะ
คยูฮยอนเดินไปจนถึงหน้าประตูห้องหนึ่ง เขาเคาะแรงๆ สามที
“ซูจี ออกมาได้แล้วค่ะ พี่มาหาแล้ว”
บานประตูค่อยๆ เปิดแง้มออกมา แล้วใบหน้าของสาวน้อยคนหนึ่งก็โผล่ออกมา เธอน่ารักนะ น่ารักมากๆเลย โดยเฉพาะเวลาที่ยิ้มกว้างแบบนี้ เธอโผเข้ากอดอีตาหมาป่านี่เต็มแรง แล้วหมอนั่นก็ยิ้มอ่อนโยน... เขาไม่เคยทำสีหน้าแบบนั้นใส่ฉันเลยแฮะ...
“พี่ชาย คิดถึงพี่ชายที่สุดเลยค่ะ!”
“ยัยตัวป่วน เห็นป้าซอนยองบอกว่าเธอไม่กินข้าว ไม่ออกจากห้อง ไม่ไปโรงเรียน ทำไมดื้อแบบนี้คะ” ชิ! ทำมาเป็นพูดคะขา... น่าหมั่นไส้ที่สุด!
“ก็เพราะว่า...” สาวน้อยที่ชื่อซูจีนิ่งไปเมื่อเธอมองเห็นฉัน รอยยิ้มน่ารักนั่นเปลี่ยนเป็นสีหน้าเย็นชาเข้ามาแทนที่ มือของเธอกำเสื้อคยูฮยอนเอาไว้แน่น
“คนนี้เหรอคู่หมั้นของพี่ชางมิน?”
“ก็...ถ้าตอนนี้ล่ะก็ใช่ค่ะ” ไอ้คำตอบแบบนั้นมันหมายความว่ายังไงยะโจคยูฮยอน ฉันค้อนหมอนั่นทีนึงแล้วก็หันมาส่งยิ้มให้ซูจี
“พี่ชื่อซันนี่นะคะ เป็นว่าที่เจ้าสาวของพี่ชางมินค่ะ”
“ไปตายซะ!” ซูจีตวาดออกมาแล้วก็กระแทกประตูใส่หน้าเราสองคน แม้แต่นายหมาป่ายังทำหน้าเหวอเพราะไม่คิดว่าฉันจะโดนเด็กเหวี่ยงใส่ แล้วคือยัยเด็กนี่กล้าดียังไงมาไล่ฉันไปตาย แม่ฉันก็ไม่ใช่ ไม่ทราบเป็นญาติฝ่ายไหนของเจ้าบ่าวเหรอ? ฉันก็ให้ยุนอาสืบประวัติมาดีแล้วนะ หรือว่าพี่ชางมินจะเลี้ยงต้อย?
“เอ่อ... คุณไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ เดี๋ยวผมให้ป้าซอนยองเตรียมกับข้าวให้ด้วย เรื่องซูจีผมจัดการเอง”
“ฉันโดนไล่ไปตายแบบนี้แล้วนายไม่คิดจะเล่าอะไรให้ฉันฟังบ้างเลยเหรอ?” ฉันถามกลับไป หมอนั่นก็แค่ถอนหายใจหนักๆ แล้วทำหน้าเซ็ง มันไม่ไล่ด้วยวาจาแต่แสดงออกทางสีหน้าค่ะ ฉันไปอาบน้ำก็ได้ย่ะ! เชอะ! ฉันหมุนตัวกลับมาแล้วเดินปึงปังกลับมาตามทางเดิน
คำถามหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว
แล้วฉันจะหงุดหงิดมากมายไปทำไมกันนะ?
ความเงียบ... คือสิ่งที่เกิดขึ้นบนโต๊ะอาหาร
ทั้งที่หมอนี่พูดไม่หยุดระหว่างทางที่ขับรถมา ทั้งที่หมอนี่เคยมองแบบจะกลืนฉันได้ทั้งตัว แต่นี่เรานั่งกินข้าวกันเงียบๆ เงียบแบบมันไม่คิดจะพูดอะไร เฮ้ย! อย่างน้อยนายก็เป็นเจ้าบ้านนะยะ! นี่ตระกูลนายสั่งสอนให้รับแขกกันแบบนี้เหรอ แถมมันยังทำหน้าเหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าบุพการีป่วยเป็นโรคมะเร็งอีก
“เดี๋ยวผมมานะ” จู่ๆ หมอนั่นก็วางช้อนวางตะเกียบแล้วลุกออกจากโต๊ะไปดื้อๆ นี่มันจะมากไปแล้วนะ! ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนเมินฉันได้ขนาดนี้ ฉันเลยรีบลุกแล้วเดินตามหมอนั่นไป กะจะถามให้รู้เรื่องว่าเด็กคนนั้นเป็นใคร เกี่ยวข้องกับเขาและพี่ชางมินยังไง และมีเหตุผลอะไรถึงได้พาฉันมาที่นี่
แต่ทุกความคิดกระเจิงไปหมดเมื่อฉันเห็นใบหน้าเคร่งเครียดของเขา... มีโหมดนี้กับเค้าด้วยแฮะ นึกว่าหื่นเป็นอย่างเดียว...
“ซูจีคะ ออกมาคุยกับพี่ ออกมาทานข้าวด้วยกันนะคะ” หมอนั่นทุบประตูแล้วพูดอย่างร้อนรน นี่ถ้าฉันขังตัวเองอยู่ในห้อง หมอนี่จะทำแบบนั้นบ้างมั้ยนะ? แล้วฉันก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงโครมครามดังกลับมาเป็นคำตอบ
“ออกไปนะ! ไปให้พ้น! ฉันไม่อยากยุ่งกับใครทั้งนั้น”
“ซูจี! ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ อย่าทำให้พี่หนักใจได้ไหม?”
“พี่ก็รู้ว่าหนูไม่ยอมให้พวกพี่เป็นของใครทั้งนั้น! ได้ยินไหม พาผู้หญิงคนนั้นกลับไปซะ!” เฮ้ๆ... นี่จะมาไล่ฉันเป็นหมูเป็นหมาแบบนี้ไม่ได้นะ
“พี่ทำแบบนั้นไม่ได้ค่ะ ซูจีต้องฟังเหตุผลของพี่--”
“ไม่ต้องหรอก” ฉันพูดขึ้นมาแล้วเดินไปยืนอยู่หน้าประตู
“คุณถอยไปก่อนผมจัดการได้--”
“นายนั่นแหละถอยไป ให้ตายเถอะ! ดูก็รู้ว่านายเอาเด็กคนนี้ไม่อยู่ ฉันไม่รู้นะว่านายมีความสัมพันธ์กันยังไง แต่ในเมื่อนายเรียกตัวเองว่า ‘พี่ชาย’ นายก็ต้องดูแลน้องให้ดีกว่านี้ ไม่ใช่ปล่อยให้น้องทำตัวเอาแต่ใจไร้เหตุผล”
“เฮ้ย! คุณ--”
“นี่! ซูจีหรืออะไรก็ตามน่ะ รู้ไหมว่าถ้าเธอเป็นน้องฉันแล้วมีพฤติกรรมแบบนี้ ฉันจะทำยังไง? ฉันก็จะตีเธอไงล่ะ ตีให้จำไปจนวันตายเลยว่าอย่ามาทำกิริยาแบบนี้กับผู้ใหญ่” ฉันตวาดใส่หน้าประตูที่คราวนี้ไม่มีเสียงโวยวายตอบกลับมา ป้าซอนยองที่คงได้ยินเสียงโวยวายรีบวิ่งเข้ามา แต่ก่อนที่ป้าแกจะได้ถามอะไรฉันก็หันกลับไปสั่งซะก่อน
“ป้ามาก็ดีแล้วค่ะ ไปเอาไม้อะไรก็ได้มาให้ฉันหน่อย- -ไม่ต้องถามค่ะ ไปเอามา เดี๋ยวนี้” ป้าซอนยองได้แต่พยักหน้าแล้ววิ่งกลับไปอย่างงงๆ
“คิดจะทำอะไรของคุณน่ะ?”
“ก็ในเมื่อเด็กคนนี้ทำตัวไม่ดี คิดว่าใครเป็นคนผิด? ฉันก็จะโทษว่ามันเป็นความผิดนายไง”
“เฮ้ย!”
ป้าซอนยองกลับเข้ามาอีกครั้งที่เขี่ยถ่านในมือ... โอเค เก๋ ฉันจะตีนายให้ช้ำในตายไปเลย!
“โอ๊ย! คุณ! ผมเจ็บนะ! โอ๊ย!” ฉันตีขาหมอนั่นแรงๆ หมาป่าก็หมาป่าเถอะ ไม่ว่าหมาไหนเจอไม้ก็หงอทั้งนั้นแหละย่ะ
บานประตูเปิดแง้มออกก่อนที่ใบหน้าหวานของซูจีจะโผล่ออกมา ขณะที่ฉันกำลังเงื้อไม้จะฟาดหมอนั่นเข้าอีกรอบพอดี
“นี่เธอตีพี่ชายฉันอยู่เหรอ?”
“ฉันคงรำไทเก็กให้พี่เธอดูอยู่มั้ง?”
“อย่าตีเลยนะคะ ฉันผิดเอง พี่ชายไม่ผิดหรอกค่ะ ขอโทษนะคะพี่ซันนี่” ซูจีเดินออกมาปกป้องพี่ชายพลางทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เห็นยังงี้แล้วร้ายใส่เด็กไม่ลงอ่ะ ส่วนหมอนั่นที่ทำหน้าเหวอโดยสมบูรณ์เนี่ยไม่นับได้มั้ย แก้แค้นที่ทำฉันเปลืองเนื้อเปลืองตัว
“ไม่เป็นไรค่ะ หิวใช่มั้ย? ไปกินข้าวกันดีกว่าเนอะ” ฉันจูงมือซูจีที่ดูน่ารักขึ้นมาถนัดตาให้เดินไปทางห้องทานข้าว ทิ้งนายหมาหัวเน่ายืนอ้าปากค้างอยู่ข้างหลัง
“เฮ้ย คุณ! คุณตีผมไปตั้งหลายที จะมาทิ้งผมไปกินข้าวเฉยๆแบบนี้ไม่ได้นะ!”
“พูดมากแบบนี้อยากโดนอีกทีรึไง? ถ้ายังอยากมีปากไว้กินข้าวก็เดินตามมาเงียบๆ เลย” ฉันพูดก่อนจะสะบัดบ็อบใส่อีตานั่น โดยมีซูจีมองตามอย่างทึ่งๆ
“หนูว่าหนูชักจะชอบพี่ซะแล้วล่ะค่ะ”
ผมกำลังนั่งขุดหัวผักกาดอยู่ครับ
ครับ... คุณอ่านไม่ผิด คนหล่อๆ อย่างผมนี่แหละนั่งขุดหัวผักกาด
“นี่ นาย... อย่าอู้ได้มั้ย? ขุดแบบนั้นไม่ได้จะเอาไปต้มกินชาติหน้านะยะ เร็วเข้า!” คุณว่าที่เจ้าสาวของเพื่อนผมจัดการสั่ง ไม่อยากจะเชื่อเลย! ไหนไอ้ชางมินมันบอกว่าซันนี่เป็นลูกผู้ดีมีเงิน เกิดมาไม่เคยลำบาก แต่เธอกลับทำงานตั้งแต่เช้าโดยไม่บ่นสักแอะ งานสวนงานไร่เนี่ยไม่ใช่น้อยๆนะครับ! ทั้งตักน้ำ ตัดฟืน รดน้ำต้นไม้ทั้งไร่ ไหนจะนั่งเก็บผักเก็บหญ้าอีก นี่ถ้าผมเห็นเธอขี่วัวต่อจากนี้คงไม่แปลกใจแล้วล่ะ
“คุณมันไฮโซจอมปลอม คุณหนูที่ไหนจะมาขุดหัวผักกาดด้วยหน้าตาลัลล้าขนาดนี้”
“ขอโทษทีย่ะ พอดีว่าฉันไม่ใช่ไฮโซงอมืองอเท้าทำอะไรไม่เป็น” นั่น เชิดใส่อีกแล้วแล้ว ระวังเถอะพ่อจะแช่งให้คอหัก!
“พี่คยูฮยอนเคยพาคนอื่นมานะคะ แต่ไม่มีใครเก่งเท่าพี่ซันนี่เลย พวกนั้นน่ะ พอเห็นจอบเห็นเสียมก็ร้องกรี๊ดๆ ขับรถกลับโซลไปเลยค่ะ” นั่นไง บทจะเหวี่ยงก็เหวี่ยง แต่พอเข้าขากันแล้วยัยน้องคนนี้ก็เผาผมซะยับเลยนะ
“ว่าแต่... พี่ชางมินไม่เคยบอกพี่เลยว่ามีน้องสาว?” นั่นไง ยัยตัวยุ่งสะกิดให้เป็นเรื่องอีกแล้ว ซูจีหน้าซีดลงไปทันที ผมอ้าปากกำลังจะชวนเปลี่ยนเรื่อง แต่ซูจีก็ชิงพูดขึ้นมาซะก่อน
“หนูเป็น... น้องสาวคนละแม่กับพี่เค้าน่ะค่ะ” ซันนี่นิ่งไปทันที... ก็เพราะยังงี้ไงล่ะถึงได้ไม่อยากให้ถาม “คุณพ่อปฏิเสธที่จะยอมรับหนู ส่วนแม่ก็เสียไปนานแล้วล่ะค่ะ เพราะงั้นหนูเลยไม่อยากให้พี่ชางมินแต่งงานเพราะกลัวว่าหนูจะโดนทิ้งอีก”
ซันนี่ยกมือขึ้นลูบหัวซูจีเบาๆ รอยยิ้มอ่อนโยนของเธอเหมือนแสงอาทิตย์อบอุ่นที่ปลอบโยนความเหงาและเปิดหัวใจที่เย็นชาของแบซูจีออก เธอทำได้ยังไงกันนะ?
“พี่จะไม่มีวันทิ้งเธอไปหรอก”
รอยยิ้มสดใสของผู้หญิงสองคนตรงหน้าพาลทำให้ผมยิ้มกว้างไปด้วย ไม่รู้ซันนี่มีเวทมนตร์อะไร แต่ที่รู้ๆคือหัวใจผมมันเริ่มเต้นแปลกๆ ไม่ได้เต้นรัวเร็วเหมือนเวลาที่ผมจูบหรือสัมผัสตัวเธอ แต่มันเต้นไม่เป็นจังหวะเอาซะเลย เดี๋ยวก็เร็วเดี๋ยวก็ช้า เดี๋ยวก็หนักเดี๋ยวก็เบา...
นี่เป็นอาการเริ่มต้นของคนตกหลุมรักรึเปล่านะ?
“ได้หัวผักกาดเยอะพอแล้วค่ะ เอาไปให้ป้าซอนยองดีกว่า” ซูจีพูดขึ้นมาแล้วซันนี่ก็เป็นคนแรกที่กระโดดยืนขึ้น อาสาเอาไปให้เอง ทิ้งให้ผมกับซูจีล้างจอบเสียมแล้วเอาไปเก็บเข้าที่ ผมมองร่างเล็กๆวิ่งเข้าไปในครัว
“มองตามจนคอจะหลุดอยู่แล้วค่ะพี่ชาย” ผมสะดุ้งแล้วก็หันไปมองยัยน้องสาวตัวดีของชางมินที่ยิ้มล้อผมอยู่นั่นแหละ “ชอบใช่มั้ยคะ? ว่าที่เจ้าสาวของพี่ชางมินน่ะ”
ผมจนด้วยคำพูดจริงๆครับ ชางมินสอนน้องยังไงให้แก่แดดเนี่ย -*-
“ถ้าพี่แย่งพี่สะใภ้ไป ซูจีจะโกรธพี่รึเปล่าล่ะคะ?”
“จะแต่งกับคนไหนก็เหมือนกันล่ะค่ะ หนูมีพี่ชายสองคนนี่” ซูจีพูดขึ้นมาโดยไม่มองหน้า มือบางๆ ของเธอง่วนอยู่กับการเก็บเครื่องไม้เครื่องมือทำไร่เข้าที่
“งั้นพี่ลุยเต็มสตีมล่ะนะ”
“จะไหวเหรอคะ? พี่ซันนี่แรงออกขนาดนี้”
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่มีแผนของพี่อยู่แล้ว”
ฉันอยู่บ้านนี้มาได้สี่วันแล้ว... สี่วัน... สี่วัน... สี่วัน...
สี่วันกับการที่อีตาหมาบ้านั่นไม่แม้แต่จะแตะฉัน แม้แต่ปลายของปลายขี้เล็บ
วันๆก็เอาแต่เล่นกับซูจี ถึงจะมีแซวฉันบ้างแต่ก็ไม่เห็นจะตามตื๊อเหมือนอย่างแต่ก่อน จนหลังๆฉันเริ่มรู้สึกแล้วว่าตัวเองเป็นส่วนเกินมากถึงมากที่สุด
โอ๊ย! คิดแล้วก็หงุดหงิด! แล้วจะหงุดหงิดไปเพื่อ? หงุดหงิดแล้วก็ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่
“เมนส์มาเหรอคุณ ทำหน้างอซะจนเหมือนเป็ดแล้วเนี่ย”
“ทะลึ่ง” ฉันสวนกลับไป หมอนั่นเค่หัวเราะเล็กๆแล้วลงไปนั่งที่ชานบ้านกับซูจี
ฮึ่มมมม... อย่าให้พี่ชางมินมานะ ฉันจะทำตัวอ่อยพี่ชางมินบ้าง
“พี่ซันนี่จะไปนอนแล้วเหรอคะ?” ซูจีหันมาถามฉันตาใสแจ๋ว
“ค่ะ พี่ง่วงแล้ว”
“ฝันดีนะคุณ” นายคยูฮยอนโบกมือไล่ ไม่สนใจจะมองหน้าฉันเลยด้วยซ้ำ ฉันเลยเดินปึงปังออกแล้วกลับไปนอนห้องตัวเอง
ทำไม ทำไม๊ ทำไมฉันถึงได้ฟาดหัวฟาดหางไปทั่วแบบนี้ อันที่จริงน้องสาวของว่าที่เจ้าบ่าวยอมรับแล้วฉันน่าจะดีใจสิ ไม่ใช่มานั่งห่อเหี่ยว แต่ทุกครั้ง ทุกครั้งเลยที่เห็นสายตาของหมอนั่นเวลามองซูจี ฉันเป็นต้องรู้สึกหัวใจกระตุกแปลกๆ ก็ทำไมเขาไม่เคยมองฉันเหมือนอยากทะนุถนอมแบบนั้น ทำไมเขาไม่เคยอ่อนโยนแบบนั้น ทำไมเขาไม่หัวเราะกับฉันเหมือนที่หัวเราะกับซูจี หรือไอ้ที่พูดๆมาว่าต้องการฉันน่ะมันเป็นแค่เรื่องโกหก อันที่จริงคือตาหมาป่าบ้านั่นชอบซูจีใช่ไหม? หรือว่าแค่ใช้ฉันเป็นที่ระบายอารมณ์?
คิดแล้วก็โกรธ
“นี่คุณ” เสียงเคาะเรียกดังขึ้นหน้าประตู เสียงที่ฉันกำลังนึกเกลียดอยู่พอดี
“มีอะไร ฉันหลับแล้ว”
“โกหกหน้าด้านๆเลยนะ ขอนอนด้วยคนสิ ห้องผมหลังคารั่ว เปียกไปหมดเลย นอนไม่ได้น่ะ”
...มาขอนอนด้วย ดูไม่เมคเซนส์เลยค่ะคุณหมาป่า ไม่ต้องอ้าปากก็เห็นไปถึงไส้ติ่ง
“ไม่ต้องมาเงียบเลยนะคุณ ผมไม่ทำอะไรหรอกน่ะ ซูจีหลับไปแล้ว ผมเคาะเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น เหลือแต่คุณเนี่ยแหละ”
ฉันลังเลอยู่พักหนึ่งแล้วก็เดินไปเปิดประตู สถานการณ์ล่อแหลมมาก นี่ถ้าหมอนี่คิดจะทำอะไรฉันขึ้นมา ฉันก็กลายเป็นลูกไก่ในคมเขี้ยวหมาป่าดีๆ นี่เอง ก็แล้วจะให้มันเข้ามาทำไมฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเหมือนกัน
หมอนั่นเดินเข้ามาอย่างสงบเสี่ยม ไม่ล็อกประตูด้วย ที่สำคัญคือใส่ชุดนอนลายหมีน้อยน่ารัก หอบหมอนกับผ้าห่มมาโยนลงข้างเตียงแบบไม่พูดไม่จา
นี่เหรอช่างภาพสุดเท่ห์ที่ซูยองหลงใหลใฝ่ฝัน ถ้ามาเห็นในสภาพนี้อิมเมจคงป่นปี้ไม่มีเหลือ
“ปิดไฟล่ะนะ” ฉันพูดแล้วกดสวิทช์ หมอนั่นไม่ตอบอะไร... ทำไมนะ ทำไม แค่นอนห้องเดียวกัน ไม่ได้นอนเตียงเดียวกันด้วยซ้ำ แต่ฉันกลับเกร็งซะจนไม่กล้าขยับตัวเลย
“นี่...” หมอนั่นพูดขึ้นมาเบาๆ เล่นเอาฉันสะดุ้ง
“ถ้าเป็นชางมิน คุณจะเปิดประตูให้เข้ามานอนด้วยง่ายๆแบบนี้รึเปล่า?”
“ยังไงจะช้าจะเร็วฉันก็ต้องแต่งงานกับเค้าอยู่แล้วนี่”
“ผู้หญิงอะไร ไม่ระวังตัวเอาซะบ้างเลย ตอนเจอกันก็ยอมมากับผมง่ายๆ” หมอนั่นหัวเราะขึ้นมา ความทรงจำในคืนนั้นกลับคืนมาในหัวสมอง โอ้ววววว หยุด หยุดเลยซันนี่ เดี๋ยวก็ฝันติดเรทหรอก
“นั่นเพราะเมาหรอก” ฉันตอบออกไป แล้วก็นึกถึงคำพูดของซูยอง... อันที่จริงก็ใช่ ฉันไม่ใช่คนปล่อยเนื้อปล่อยตัว แต่ทำไมถึงได้ไปกับหมอนี่ง่ายๆ แถมยังปล่อยให้เค้าทำอะไรต่อมิอะไร... ฉันไม่ใช่คนแบบนั้นนี่นา...
หรือว่ามันจะเป็นรักแรกพบจริงๆกันนะ?
ซันนี่จ้องหน้าผมแทนคำพูดว่า ‘อีกแล้วเหรอ’ พอจะนึกภาพออกใช่มั้ยครับ?
ก็... นั่นแหละ ผมอ้างว่าห้องตัวเองยังคงนอนไม่ได้ แล้วผมก็หอบข้าวของมากลางดึก ย้ายมาอยู่ห้องซันนี่เป็นคืนที่สองแล้ว ย้ายมานอนแบบนอนจริงๆ ไม่ได้มีอะไรในกอไผ่ทั้งสิ้น
อย่าคิดว่าผมเป็นพระอิฐพระปูนนะ ที่ทนมาได้จนป่านนี้ก็ทึ่งตัวเองจะแย่...
“วันนี้ฝนไม่ตกนี่” ซันนี่เปรยขึ้นมา ผมทำไม่รู้ไม่ชี้
“ก็ในห้องมันชื้น อยู่แบบนั้นเป็นหวัดตายพอดี”
เธอไม่เซ้าซี้ถามอะไรอีกวันนี้ท่าทางเธอจะเหนื่อยๆ แล้วก็ดูอารมณ์ไม่ค่อยดียังไงชอบกล อย่าว่าแต่ซันนี่เลยครับ ซูจีไล่ให้ผมไปตัดฟืนแล้วแบกลงมาจากป่า หลังผมระบมไปหมดแล้วเนี่ย
“ปวดหลังรึไง?” ซันนี่ถาม เธอสวมเสื้อคลุมผ้าขนหนูธรรมดา แต่ผมไม่อยากจะคิดเลยว่ามีอะไรอยู่ใต้นั้นบ้าง...
“อื้อ ก็วันนี้ทำงานหนักนี่” ผมหันหน้าหนี พยายามนึกถึงบทสวด... บทสวด... บทสวดอะไรดีล่ะ หูผมเริ่มหลอนๆได้ยินเสียงกระซิบเซ็กซี่ของเธอวันนั้น ปากผมยังจำรสชาติผิวเนื้อเธอได้อยู่เลย
เย็นไว้ไอ้หมาป่า เย็นไว้... เดี๋ยวจะเสียแผน...
ซันนี่เดินเข้ามาใกล้ ผมทิ้งตัวลงนอน พยายามจะหลับ
“อย่าเพิ่งนอนสิ จะคลายกล้ามเนื้อให้ ปล่อยไว้เดี๋ยวก็ปวดยิ่งกว่าเดิมหรอก”
ผมยังไม่ทันพูดอะไรก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสจากมือเล็กๆบีบไล่ไปตามแนวแผ่นหลัง กลิ่นหอมสบู่กับแชมพูอาบน้ำลอยเข้ามาแตะจมูกผม
ตั้งสติ... ตั้งสติไว้ โจคยูฮยอน ผมหลับตาปี๋ แต่นั่นมันเลวร้ายสุดๆ เพราะนั่นมันยิ่งทำให้ผมรู้สึกถึงสัมผัสของเธอชัดเจนขึ้น ได้ยินเสียงหายใจเธอชัดขึ้น โอเค! ลืมตาก็ได้!
...สิ่งที่ผมเห็นคือกองผ้ายุ่งๆที่จำได้ว่ามันคือเสื้อคลุมของเธอ
โอ๊ยยยยยยย!!! นี่แม่หนูน้อยหมวกแดงจงใจอ่อยผมรึเปล่าเนี่ยยยยยยยยยยยย!!!!!!!
“ลุกขึ้นมานั่งสิ นายนอนอยู่แบบนี้ฉันนวดให้ไม่ถนัด” เธอไม่พูดเปล่า แต่กลับดึงตัวผมให้ลุกขึ้นนั่ง ผมหันไปมองเธอแล้วก็รู้ว่าพลาดสุดๆ ชุดนอนของซันนี่เป็นแค่กระโปรงสายเดี่ยวเนื้อเบา ซึ่งมันเซ็กซี่มาก มากจนผมต้องกัดฟันเอาไว้แล้วขุดหาบทสวดอะไรก็ได้มาสงบจิตสงบใจ... แต่... ตอนนี้ผมนึกไม่ออก!
“ทำไมวันนี้นายเงียบจัง” ซันนี่กระซิบใกล้ๆ มือเล็กทาบลงมาบนไหล่ ตัวของเธอแทบจะแนบกับแผ่นหลังของผม เท่านั้นแหละความอดทนก็ขาดสะบั้นลง ผมลุกขึ้นแล้วคว้าร่างบอบบางของเธอโยนกลับขึ้นไปบนเตียงก่อนจะตามลงไปจูบเธออย่างร้อนแรง ให้ตายเถอะ! แกล้งกันแบบนี้มันน่าโดนจับกินจริงๆนะ!
ผมถอนจูบออกก่อนจะประกบลงไปใหม่ กดคมเขี้ยวลงกับริมฝีปากของเธอเบาๆก่อนจะไล่จูบลงมาที่ลำคอ ฝากรอยคิสมาร์คเอาไว้ให้เป็นหลักฐานการเอาคืน เสียงครางปนหอบหายใจของเธอยิ่งทำให้ผมเตลิดเปิดเปิงกันไปใหญ่ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนทำให้ผมมือไม้สั่นได้ขนาดนี้มาก่อน
“อย่านะ...” ซันนี่ร้องห้ามเบาๆเมื่อผมเลิกชุดนอนเธอให้ร่นขึ้นมาถึงเอวแล้วล้วงมือเข้าไปปลดตะขอบรา ผมจูบเนินอกขาวผ่องนั่นช้าๆ ลากลิ้นไปตามแนวกระดูกไหปลาร้าสุดเซ็กซี่นั่น ฝากรอยจูบเอาไว้เป็นทางในทุกๆที่ที่ผมสัมผัส แต่ก่อนที่จะปล่อยให้ตัวเองทำอะไรไปไกลกว่านั้นผมก็ยันตัวขึ้น สูดหายใจยาวๆลึกๆ จ้องมองร่างบอบบางที่หอบหายใจถี่ไม่พ้กัน เซ็กซี่เป็นบ้า!
“กะแล้วว่าอย่างนายคงทนไปได้ไม่กี่น้ำหรอก” แม่หนูน้อยหมวกแดงพูดขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ทำเอาผมอยากจะจูบเธออีกสักร้อยที
“สรุปว่าคุณแกล้งยั่วผมใช่มั้ย? อยากโดนกินนักรึไงถึงได้เล่นแบบนี้?”
“ฉันก็แค่อยากรู้ว่านายมีแผนอะไรอยู่” ซันนี่สบตาผมตรงๆ ผู้หญิงคนนี้ท่าทางจะแรงกว่าที่ผมประเมินไว้แฮะ แต่ก็ชอบนะ ชอบมากเลยด้วย
“ยอมรับก็ได้ว่ามีแผน... ผมคิดจะใช้ซูจีเป็นเครื่องมือทำให้คุณหึงผม ที่ผมไม่แตะต้องตัวคุณ ก็เป็นวิธีเรียกร้องความสนใจอย่างหนึ่ง แต่ดูจากที่คุณเป็นฝ่ายยั่วผมวันนี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จนะ” ผมหัวเราะเบาๆให้กับแก้มที่กลายเป็นสีชมพูจัดของซันนี่
“ฉ... ฉันไม่ได้หึงนะ ก็แค่เช็คเรตติ้ง”
“อ๋อ โอเค เรทไหนดีล่ะ เอา 18+ หรือเอา 25+? จะจัดให้เดี๋ยวนี้เลย”
“พ...พอแล้ว ฉันเป็นว่าที่เจ้าสาวของเพื่อนนายนะยะ!” ซันนี่วีนขึ้นมา เธอพยายามจะหันหน้าหนีแต่ผมก้มลงไปกระซิบกับแก้มเนียนใสนั่นเบาๆ
“ไม่เห็นยากเลย คุณก็เปลี่ยนมาเป็นเจ้าสาวผมแทนซะสิ...” ผมขยับมือเข้าไปในชุดชั้นในของเธอ สัมผัสเธอหนักๆจนมือเล็กๆคว้ากอดไหล่ผมไว้แน่น เธอกัดริมฝีปากจนช้ำไปหมดแล้ว ผมจูบซับเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาบนใบหน้าน่ารัก ต่อให้ต้องพูดอีกเป็นล้านครั้งผมก็ขอย้ำว่าอีซุนคยูเซ็กซี่มาก เซ็กซี่จนผมไม่อยากจะปล่อยให้เธอไปทำสีหน้าแบบนี้ หรือครางแบบนี้ต่อหน้าผู้ชายคนไหนบนโลกนอกจากผม
ผมยกร่างเล็กๆขึ้นนั่งบนตัก เปลี่ยนให้เธอเป็นฝ่ายคร่อมผมบ้าง ซันนี่ยิ่งหน้าแดงเข้าไปใหญ่เมื่อเธอรู้สึกว่าเราแนบชิดกันมากขนาดไหน แต่ผมยึดสะโพกของเธอเอาไว้แน่น แน่นอนว่าเธอไม่กล้าดิ้น ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจด้วยซ้ำ ผมขยับตัวเธอเข้ามาใกล้อีก รู้สึกได้ว่าทุกส่วนของผมมีผลต่อเธอโดยตรงแม้จะมีเนื้อผ้าขวางกั้นอยู่ ซันนี่เหมือนจะหมดแรง เธอก้มลงซบไหล่ผม ไม่รู้ว่าเสียงเธอเบาลงหรือเพราะผมอยากเป็นเจ้าของเธอมากจนหูอื้อตาลายก็ไม่รู้
ผมฝังเขี้ยวลงบนไหล่เนียนที่ตอนนี้เต็มไปด้วยรอยแดง น่าแปลก... คราวนี้เธอเงียบ...
เงียบเกินไปนะ...
“ซันนี่... ซันนี่?”
ร่างอ่อนปวกเปียกในอ้อมแขนไร้ซึ่งการตอบรับโดยสมบูรณ์แบบ ผมดึงใบหน้าที่ซบไหล่หันมาดูให้ชัดๆ... ปรากฏว่ายัยนี่หลับ
เฮ้ย! หลับกลางอากาศแบบนี้น่ะนะ
หนูน้อยหมวกแดงคนนี้ใจร้ายมาก! อยากกรีดร้องให้โลกทั้งใบรู้
ผมวางร่างของซันนี่กลับลงไปบนที่นอน ดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้แล้วจ้องมองเธอหลับไปถึงและแม้ว่าผมจะอารมณ์ค้างแบบสุดๆก็ตาม แต่ใบหน้าตอนที่เธอหลับเนี่ยน่ารักชะมัดเลย แค่ได้มองหัวใจผมก็พองโตออกเป็นสิบเท่าจนต้องดึงเธอเข้ามากอดแน่นๆ
...ผมจะทำให้นิทานเรื่องนี้จบโดยมีแค่หมาป่ากับหนูน้อยหมวกแดง... คอยดูแล้วกัน...
ฉันฝันถึงฉากเรท... นั่นไง อุตส่าห์บอกตัวเองแล้วว่าอย่าคิดฟุ้งซ่านก่อนนอน
แต่เอ๊ะ... ไอ้ที่วางพาดอยู่ตรงเอวฉันนี่มันอะไร แล้วก็... ใครกันนะที่บังอาจมานอนหายใจรดคนสวยแบบนี้...
ฉันลืมตาขึ้นทันที
“อรุณสวัสดิ์ หนูน้อยหมวกแดง”
เฮ้ย! ผีหมาป่า! ไม่ใช่สิ ฉันไม่ได้ฝันนี่!
“นายทำอะไรฉันเนี่ย?
“ผมทำที่ไหน คุณต่างหากที่ทำ จู่ๆมาอ่อยผมแล้วตัวเองก็หลับไปซะงั้น รู้มั้ยว่าผมนอนไม่หลับทั้งคืนเลย” เอ่อ... อันนี้ความผิดฉันเองเต็มประตูเลย ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่ามันจะเลยเถิดไปไกล อีกอย่างเมื่อวานฉันทำงานหนักจริงๆ นะ มันก็ต้องมีแบตหมดกันบ้างเป็นธรรมดา
ฉันขยับตัวยุกยิกแล้วนายหมาป่านี่ก็เหมือนจะรู้ตัว เขาขยับถอยห่างออกมาอีกหน่อยให้ฉันนอนเล่นได้สบายๆ เขาเปลี่ยนท่าเป็นนอนตะแคงแล้วชันศอกขึ้นมา มืออีกข้างเขี่ยผมฉันเล่นเบาๆ สายตาที่ดูมีความสุขมากมาย กับรอยยิ้มนิดๆ นั่นทำเอาหัวใจฉันเต้นไม่เป็นจังหวะเอาซะเลย
“นี่คุณ”
“หืม?”
“ผมมาคิดๆ ดูแล้วนะ... ผมว่าผมจะสู้กับชางมินแบบแฟร์ๆ ถ้าผมจะทำให้คุณกลายเป็นของผมเลยตอนนี้มันก็เหมือนผมหักหลังเพื่อนเพราะงั้น ผมจะควบคุมตัวเองให้ดี แล้วก็จะทำให้คุณยกเลิกการแต่งงานกับชางมินแล้วเป็นฝ่ายเข้ามาหาผม”
ฉันหันไปมองหน้าเขา เฮ้ย! นี่หมอนี่เอาจริงเหรอเรื่องที่ให้ฉันไปเป็นเจ้าสาวน่ะ
“พูดยังกับเป็นเรื่องง่ายๆ เลยนะ”
“วัดกันจากเมื่อคืนก็ไม่ได้ยากนะ” นั่นไงเข้าตัวจนได้ ไม่น่าพลาดไปกระตุกหนวดหมาป่าเลยแฮะ
โจคยูฮยอนบีบจมูกฉันเบาๆ ก่อนจะก้มลงมาจูบหน้าผากฉัน “แบบเมื่อคืนอันที่จริงผมก็ชอบนะ แต่ว่าอย่าเล่นบ่อยดีกว่า คุณก็รู้ว่าผมความอดทนต่ำ... โดยเฉพาะกับคุณ...” ฉันรู้สึกหน้าร้อนวาบขึ้นมาทันที ให้ตาย! นี่แค่คำพูดเขายังทำให้ฉันเป็นไปได้ตั้งขนาดนี้ ท่าจะไม่ดีซะแล้ว ซันนี่เอ๊ย
“ออกไปกินข้าวกันดีกว่า ไม่งั้นผมคงได้กินคุณอยู่บนเตียง”
ฉันรีบลุกทันทีโดยไม่มีอิดออด
ใครจะยอมเป็นอาหารเช้าให้อีตาหมาป่าจอมหื่นนี่กันล่ะ!
ประมาณอีกชั่วโมงนึงถัดมา พวกเราสามคนก็นั่งพร้อมหน้ากันบนโต๊ะ วันนี้ฉันจัดพร็อบทุกอย่างที่มีใส่มาเต็มตัวไปหมด ทั้งเสื้อแขนยาว ทับด้วยผ้าพันคอ สวมกระโปรงสั้นนี่ก็ต้องใส่เลกกิ้งซ้อนไว้ข้างใน คือไม่ใช่อะไรหรอกนะ... หลักฐานการกระทำเมื่อคืนมันมีอยู่เต็มตัวเลยเนี่ยสิ หมอนี่มันทำคิสมาร์คทุกๆ ระยะสองเซนติเมตรเลยรึไงกันนะ!
ซูจีส่งยิ้มให้ฉันเหมือนจะรู้ทัน อืม... แล้วไอ้หมาป่าบ้านั่นก็นั่งตรงข้ามฉันซะด้วย ปั้นหน้าลำบากเลยทีนี้
“เมื่อคืนหลับสบายดีมั้ยคะ?”
“เอ้อ...”
“หลับสบายดีไม่มีอะไรกวนใจเลยล่ะค่ะ” คยูฮยอนชิงตอบก่อนฉันจะทันได้อ้าปาก
“หนูถามพี่ซันนี่ ไม่ได้พูดกับพี่ชายซะหน่อย”
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่รู้ว่าเมื่อคืนซันนี่หลับฝันดี” หน้าฉันร้อนผ่าวขึ้นมาอีกแล้ว ไม่ต้องเลย! หยุดเลยนะซันนี่! ก้มหน้าก้มตากินข้าวไปเลย
“พี่ชาย... ว่าจะไม่ทักแล้วนะคะ” ซูจีพูดขึ้นมาเรียบๆ “แต่สายตาพี่วันนี้มันติดเรทไปน่ะค่ะ ตอนมองพี่ซันนี่...”
หมอนั่นสำลักน้ำซุป ส่วนฉันสำลักข้าว
โอเค เด็ก ม.ปลาย... น้องสาวของว่าที่เจ้าบ่าวฉัน... เจริญค่ะ เจริญจริงๆ
“จะหื่นก็ทำให้เนียนๆหน่อยนะคะ ถ้าพี่ชางมินมาแล้วจับได้เดี๋ยวจะหาว่าหนูไม่เตือน” คยูฮยอนกะพริบตาปริบๆ อยากจะดุน้องแต่ก็ดุไม่ออก ซูจีหัวเราะเสียงใสเหมือนชอบอกชอบใจที่แกล้งเราสองคนได้ แล้วเธอก็รวบถ้วยชามทั้งหมดไปถือไว้คนเดียว
“ไปล้างจานดีกว่า ไม่อยู่เป็นก้างแล้วค่ะ”
ซูจีเดินออกไปแล้วเลื่อนประตูปิดให้อีกต่างหาก เหลือแค่ฉันที่นั่งตัวหดเล็กลีบเหลือสองนิ้วกับอีตาหมาป่าบ้านั่นอยู่ในห้อง แล้วทำไมหมอนั่นต้องหน้าแดงด้วยเล่า แดงแปร๊ดไปถึงหูแบบนั้นอย่าว่าแต่ซูจีเลย เด็กสามขวบก็ดูออก หมอนั่นยกมือขึ้นเกาหัวแล้วเดินมาจูงมือฉันให้ลุกไปนั่งด้วยกันตรงชานบ้านข้างนอก วันนี้อากาศกำลังดีเลยแฮะ~ แบบนี้ค่อยสดชื่นหน่อย
“เป็นหมอนให้หน่อยสิ” คยูฮยอนพูดออกมาง่ายๆ ก่อนจะเอนตัวลงเอาหัวหนุนตักฉัน... แหม ได้ทีนี่เนียนเลยนะยะ ฉันกำลังจะอ้าปากหาคำแขวะ แต่พอเห็นสายตาที่เขามองฉัน ทุกคำพูดก็หายไปในพริบตา...
มันไม่ได้เร่าร้อน ไม่ได้เซ็กซี่ แต่มันเป็นสายตาที่มองฉันเหมือนเขากำลังมองสิ่งที่สวยงามที่สุดในโลก รอยยิ้มกว้างไร้เดียงสาแบบนั้น เสียงนุ่มๆที่กำลังฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ทุกสิ่งทุกอย่างทำให้หัวใจฉันเต้นแรง เขาเอื้อมมือมากุมมือฉันไว้เบาๆ แล้วจังหวะถี่รัวก็แผ่วลงจนสงบ พร้อมๆกับลมหายใจที่ทอดเป็นจังหวะ ดวงตาหลับพริ้มและมืออุ่นๆนั่นก็ยังไม่ยอมปล่อย
หมาป่าตัวนี้มีเวทมนตร์... ฉันกำลังตกหลุมพรางของเขาเข้าแล้ว
ฉันเอื้อมมือไปลูบปอยผมสีน้ำตาลนั่นเบาๆ นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ปล่อยให้เขาหลับไปแบบนี้ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดลงเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ซันนี่...”
“พี่ชางมิน!”
การมาถึงก่อนกำหนดของชางมินทำเอาผมกับซันนี่อยู่ในสภาพกระอักกระอ่วน ทั้งๆที่ทุกอย่างไปได้สวยสำหรับเราสองคนแท้ๆ ซูจีเองก็เหมือนจะอ่านสถานการณ์ออกแล้วช่วยกลบเกลื่อนด้วยการชวนชางมินคุยไม่หยุด
แต่หมอนั่นนิ่ง... นิ่งเกินไปจนผมชักกลัว
ผมรู้แค่ว่าชางมินเห็นผมนอนตักซันนี่ แต่ลงถ้าผมเป็นเขา ผมก็คงจะโกรธเหมือนกันแหละ
“...แล้วก็นะคะ พี่ซันนี่น่ะ เก่งมากเลย เมื่อวานขุดหัวผักกาดได้ตั้งเยอะ ไม่บ่นเลยสักคำ” ซูจียังคงพูดเจื้อยแจ้วในขณะที่พวกเราสามคนนั่งเงียบ ผมเห็นชางมินยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู
“นี่ก็ดึกมากแล้ว พี่ว่าซูจีไปนอนดีกว่า พี่ขับรถมาทั้งวันพี่เหนื่อยค่ะ”
“ถ้างั้นก็... ฝันดีนะคะพี่ชางมิน” ซูจีหน้าหมองลงทันทีก่อนจะลุกออกจากห้องไป ทิ้งบรรยากาศเงียบชวนอึดอัดไว้ในห้อง ผมแอบสบตากับซันนี่ เธอถอนหายใจเล็กๆ
“งั้นฉันก็ขอตัวไปนอนเหมือนกันนะคะ”
“ก็ไปด้วยกันนี่แหละค่ะ พี่จะไปนอนห้องเดียวกับซันนี่ ไหนๆเราก็จะแต่งงานกันอยู่แล้ว ซันนี่คงไม่ถือใช่ไหม?” ชางมินพูดพลางยึดข้อมือเล็กๆนั่นไว้ ซันนี่เองก็ทำตาโตอย่างคาดไม่ถึง ให้ตาย... ต่อให้ซันนี่ไม่ถือแต่ผมถือนะ!
“ราตรีสวัสดิ์” ชางมินพูดขึ้นมาลอยๆ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินโอบเอวซันนี่ออกไป เธอหันมามองผมอย่างเป็นกังวล แต่ผมทำได้แค่ก้มหน้านิ่งอยู่กับโต๊ะ ไม่กล้าจะมองภาพบาดตา จนกระทั่งสองคนนั้นเดินลับหายไปแล้วผมถึงได้เดินกลับไปที่ห้องนอนของตัวเอง โอเค... ใจเย็นน่า ชางมินเป็นสุภาพบุรุษมากกว่าผมเยอะ... หมอนั่นไม่มีทางแตะต้องซันนี่แน่ๆ
แต่ผมจะเชื่อได้จริงๆ เหรอ?
ผมรู้... รู้ว่าชางมินไม่ใช่คนประเภทจะถูกบังคับอะไรได้ ที่ยอมรับข้อเสนอการแต่งงานง่ายๆ แบบนี้ เหตุผลไม่มีอะไรซับซ้อนไปกว่าหมอนั่นถูกใจซันนี่ ผมเห็นสายตาที่ชองมินมองเธอ ราวกับจะประกาศว่าซันนี่เป็นของเขาคนเดียว
ผมได้แต่ทึ้งหัวตัวเองอย่างหงุดหงิด ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นระหว่างสองคนนั้นบ้างและไม่อยากจะคิดด้วย ผมยอมไม่ได้แน่ๆ ถ้าจะมีผู้ชายคนอื่นจูบเธอ หรือแตะต้องเธออย่างที่ผมทำ แค่คิดว่าคืนนี้มีผู้ชายคนอื่นนอนบนเตียงที่ผมเคยนอนกอดเธอเมื่อเช้า มันก็จุกจนหายใจไม่ออก เจ็บเหมือนหัวใจถูกบีบ นี่ผมมาถึงจุดที่ต้องยอมรับแล้วสินะว่าผมไม่ได้แค่หลงใหลแม่หนูน้อยหมวกแดงคนนั้น... แต่ผมรักเธอ...
ผมจะมีโอกาสได้บอกซันนี่ไหม? เธอจะรู้อะไรบ้างไหมนะ...
...ว่าตอนนี้หัวใจของผมมันท่องอยู่แค่คำนี้ซ้ำๆไม่หยุด... ว่าผมรักเธอ ผมรักเธอ ผมรักเธอ...
ตีห้า...
ฉันมองนาฬิกาแล้วถอนหายใจ เพลียจนไม่อยากจะหลับแล้ว เพราะทุกๆ ครั้งที่พี่ชางมินพลิกตัว ฉันก็สะดุ้งตื่นทุกที...
ถ้าเป็นปกติฉันคงปฏิเสธที่จะนอนห้องเดียวกับเขา แต่เพราะคำว่า ‘ว่าที่เจ้าบ่าว’ ที่เขาทวงถาม แล้วไหนจะไอ้ความรู้สึกผิดที่จ่อคาคอฉันอยู่นี่ เมื่อคืนฉันเลยพูดอะไรไม่ออก แถมยังระแวงจนนอนไม่หลับ แต่พี่ชางมินไม่ได้ทำอะไรเลย เรานอนหันหลังให้กันเงียบๆ ไม่มีแม้แต่คำพูดว่าราตรีสวัสดิ์
พอเถอะซันนี่ อย่าพยายามดันทุรังต่อไปเลย ไม่ว่าจะเรื่องหลับหรือเรื่องแต่งงาน...
ฉันลุกขึ้นจากเตียงอย่างเงียบเชียบ แล้วแง้มประตูออกจากห้อง สายตะฉันมองไปยังประตูบานที่อยู่สุดทางเดินโดยอัติโนมัติ เมื่อวานตอนพี่ชางมินบอกว่าจะนอนห้องเดียวกับฉัน คยูฮยอนหน้าอึนสุดขีดไปเลย อืม... เอ๊ะ! นี่ฉันจะไปแคร์ความรู้สึกหมอนั่นมากมายทำไมกันล่ะเนี่ย
ฉันขยี้หัวตัวเองแรงๆแล้วเดินออกมาตรงชานบ้าน กะจะเปิดประตูออกไปรับลมเย็นๆ ตอนเช้ามืด แต่จู่ๆ มือแข็งแรงคู่หนึ่งก็คว้าตัวฉันไว้ ผลักฉันเข้าไปชิดกำแพงอย่างเงียบเชียบ แล้วริมฝีปากร้อนก็ตามลงมาประกบจูบ เล่นเอาฉันเบลอจนจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก
“ผมทนไม่ได้...” เขากระซิบเบาๆลงบนเรียวปากของฉัน ดวงตาคู่นั้นมีอารมณ์หลายอย่างปะปนกันอยู่ ทั้งร้อนรน โกรธ กลัว หวงแล้วก็รู้สึกผิด แต่แล้วเขาก็จูบฉันอีกครั้ง คราวนี้นุ่มนวลกว่าเดิม เขาไล่จูบแก้มฉันเบาๆแล้วสุดท้ายก็กอดฉันแน่นจนแทบหายใจไม่ออก เขาก้มหน้าลงซบกับไหล่ มือเย็นเฉียบ สั่นเทาเหมือนกลัวว่าฉันจะหายไปจากโลก ทำไมเห็นเขาเป็นแบบนี้แล้วฉันรู้สึกเจ็บหัวใจจังนะ?
“ชางมินไม่ได้ทำอะไรใช่ไหม? ผม...ผมหลับไม่ลงเลย ผมต้องตายแน่ๆถ้าปล่อยคุณไปเป็นของคนอื่น” แต่ละคำของคยูฮยอนเหมือนยิ่งบีบหัวใจฉันมากขึ้นไปทุกทีๆ
“ฉัน--”
“โจคยูฮยอน!” เสียงห้วนๆของพี่ชางมินดังขึ้นแล้วก่อนที่ฉันจะรู้ตัวเขาก็กระชากตัวคยูฮยอนออกไปแล้วชกหน้าหมอนั่นจนล้มลงไปกองกับพื้น ฉันรีบเข้าไปคว้าตัวพี่ชางมินเอาไว้ทันที
“แกก็รู้ว่าซันนี่จะแต่งงานกับฉัน! แล้วทำไม?”
“ชางมิน จำเรื่องหนูน้อยหมวกแดงที่ฉันเล่าให้ฟังได้ไหม?... ผู้หญิงคนนั้นคือซันนี่...”
“แก!” พี่ชางมินทำท่าเหมือนจะเข้าไปชกคยูฮยอนอีกรอบ แต่หมอนั่นดูจะไม่กลัวอะไรเอาซะเลย เขาแตะมุมปากที่มีเลือดซึมออกมา ก่อนจะหันมาสบตาฉันตรงๆ
“ฉันเจอซันนี่ก่อน... ด้วยความบังเอิญ ก่อนที่จะรู้ว่าซันนี่กำลังจะแต่งงานกับนาย ก่อนที่ซันนี่จะทันได้เจอนายด้วยซ้ำ”
“มันไม่เกี่ยวหรอกว่าใครเจอก่อน แต่ฉันคือคนที่ถูกกำหนดให้ดูแลซันนี่--”
“แต่ฉันรักเธอ!”
รู้สึกเหมือนโดนค้อนทุบเข้ากลางหัวอย่างจัง ฉันหันไปสบตาโจคยูฮยอน... เขาไม่ได้ล้อเล่น นี่เขาไม่ได้ล้อเล่นใช่มั้ย?
“ถึงยังไงฉันก็ต้องแต่งงานกับซันนี่ ส่วนนาย... ลืมเจ้าสาวของฉันซะ คนที่นายควรจะดูแลคือซูจี” คยูฮยอนหันไปมองพี่ชางมินอย่างไม่เข้าใจ
“นี่นายคิดจะเอาสิ่งที่ ควรทำ มากำหนดชีวิตทุกคนรอบๆตัวแบบนี้เหรอชิมชางมิน? นายเคยถามซูจีบ้างไหมว่าเธอต้องการอะไร ซูจีเป็นน้องสาวนายนะ!”
“ก็เพราะเป็นน้องสาวไง ฉันถึงได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ ซูจีชอบนาย แล้วฉันก็คิดว่านายคือคนที่ดูแลซูจีได้ดีที่สุด”
“เลิกเอาแต่พูดว่า นายคิด สักทีได้ไหม!” คยูฮยอนกระชากคอเสื้อพี่ชางมินเข้าไปกระแทกกับผนัง “นายเอาแต่คิด แต่นายไม่เคยรู้เลยจริงๆว่าซูจีชอบอะไร อยากทำอะไร นายไม่เคยรู้สึกอะไร นายไม่ได้รักซันนี่เลยด้วยซ้ำ!”
“นายจะมารู้อะไร! ฉันมีสิทธิ์ในตัวซันนี่ เธอเป็นของฉัน!” พี่ชางมินกระชากคอเสื้อคยูฮยอนขึ้นมา ส่วนฉันตอนนี้ได้แต่ลงไปนั่งกองอยู่กับพื้น พูดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าจะห้ามสองคนนี้ยังไง ที่สำคัญคือ... ผู้ชายสองคนนี้กำลังทะเลาะกันเพื่อแย่งฉัน ฉันควรจะดีใจนะ แต่ไม่... นั่นไม่ได้ใกล้เคียงกับความรู้สึกของฉันเลย
“ถ้านายยังเลือกที่จะรักซันนี่ต่อไป ฉันจะทิ้งซูจี... ฉันจะไม่กลับมาเหยียบบ้านนี้อีก... ถึงตอนนั้นนายคงรู้ดีว่าซูจีจะมีสภาพแบบไหน”
“ชิมชางมิน... แกนี่มัน!”
“ก็เหมือนในนิทานไง... นายควรจะทำใจไว้นะคยูฮยอน ยังไงหมาป่าก็ไม่มีวันได้อยู่กับหนูน้อยหมวกแดง สุดท้ายแล้วสิ่งที่ไม่คู่ควรกันก็ไม่มีทางลงเอยกันได้”
“เพราะงั้นนายเลยทำตัวเป็นพราน แล้วใช้ซูจีเป็นปืนเพื่อกำจัดฉันใช่ไหม?... ตกลงซูจีมีค่าแค่เป็นอาวุธของนายหรือไงกัน?” คยูฮยอนมองหน้าพี่ชางมินอย่างผิดหวัง อย่าว่าแต่เขาเลย ฉันเองก็รู้สึกเกลียดผู้ชายคนนี้ขึ้นมาซะแล้ว โดยเฉพาะเมื่อรอยยิ้มสว่างไสวของซูจีปรากฏขึ้นมา เด็กสาวที่เปราะบางขนาดนั้นกลับต้องกลายเป็นเครื่องมือของพี่ชายโดยที่ไม่รู้อะไรเลย หัวใจหมอนี่ทำด้วยอะไรกัน!
“ไป ซันนี่ กลับโซลกับพี่เดี๋ยวนี้” พี่ชางมินคว้าข้อมือฉันแล้วดึงให้ลุกขึ้น ฉันขืนตัวไว้ไม่ยอมไปกับเขา คยูฮยอนลุกขึ้นมาทันทีแต่พี่ชางมินกลับแบกตัวฉันขึ้นบ่า
“ฉันทำจริงนะคยูฮยอน ถ้านายตามมาซูจีจะไม่ได้เห็นหน้าฉันอีก” พี่เค้าพูดทิ้งท้ายแล้วก้าวยาวๆเดินออกมา เขาเปิดประตูแล้วจับฉันโยนเข้าไปตรงที่นั่งข้างคนขับก่อนจะดึงเข็มขัดออกมาคาดกันไม่ให้ฉันดิ้นแล้วเดินอ้อมกลับไปขึ้นรถอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ฉันหมดทางหนีโดยสิ้นเชิงเพราะเขาจัดการล็อคประตูรถ ก่อนจะเหยียบคันเร่งพุ่งออกไปทันที
“พี่จะไปส่งซันนี่ที่คอนโดค่ะ แล้วเราจะเลื่อนงานแต่งงานให้เร็วขึ้นเป็นอาทิตย์หน้า”
“ไม่มีทาง ฉันไม่แต่งงานกับคนอย่างคุณแน่!”
“ถ้าผู้ชายคนนั้นไม่ใช่คยูฮยอน พี่จะปล่อยซันนี่ไป...” พี่ชางมินพูดขึ้นมา น้ำเสียงของเขาดูเจ็บปวดจนฉันประหลาดใจ มือของเขากำพวงมาลัยแน่น “แต่เพราะเป็นคยูฮยอน มันถึงเป็นไปไม่ได้... ซันนี่จะว่าพี่เห็นแก่ตัวหรืออะไรก็ได้ แต่ซูจีรักคยูฮยอนจริงๆ ถึงมันจะทำให้พี่ดูเห็นแก่ตัว แต่ซูจีไม่เคยมีความสุขเลยมาตลอดชีวิต ในฐานะพี่ชายมีแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวที่พี่จะทำให้ซูจีได้นั่นคือทำให้น้องได้แต่งงานกับคนที่รัก”
“มันไม่เกี่ยวกันนี่คะ พี่อยากให้คยูฮยอนดูแลซูจี แต่เราไม่จำเป็นต้องแต่งงานกันก็ได้นี่!”
“เกี่ยวสิ... ถ้าเราไม่แต่งงานกัน คยูฮยอนจะตามตื๊อซันนี่ไม่เลิก ถ้าทุกอย่างมันเป็นแบบนั้นซูจีจะรู้สึกยังไง? ถ้าซันนี่เกลียดพี่ เราหย่ากันทีหลังก็ได้ แต่พี่ขอร้องนะคะ ให้พี่ได้ทำเพื่อน้องสาวคนนี้สักครั้ง--”
เสียงของพี่ชางมินขาดห้วงลงไป ส่วนฉันก็พูดอะไรไม่ออก มารู้ตัวอีกทีน้ำตาก็ไหลลงมาช้าๆ
นี่ฉันร้องไห้เหรอ?
ฉันกำลังเสียใจ กำลังเจ็บปวดด้วยเรื่องอะไรกัน...
ไม่ใช่เพราะฉันรักโจคยูฮยอนหรอกใช่ไหม?
ผมไม่กล้าบอกอะไรกับซูจีเมื่อเธอตื่นมาในเช้าวันหลังจากนั้นแล้วพบว่าชางมินกับซันนี่กลับไปแล้ว ยิ่งเธอเห็นหน้าผมที่โดนชางมินชกเข้าให้ ก็ดูเหมือนว่าเธอพอจะเดาได้ว่าอะไรเป็นอะไร ซูจีไม่ถามอะไรอีก แต่กลับไปเป็นเหมือนเดิมคือขังตัวเองอยู่ในห้อง
แต่คราวนี้พอไม่มีซันนี่ ผมกลับไม่รู้จะทำยังไงให้เธอออกมา สุดท้ายเลยได้แต่ทำตามคำแนะนำของป้าซอนยองคือ... ให้กลับโซลไปก่อน แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง...
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะความคิดฟุ้งซ่านของผม ระหว่างที่กำลังขับรถออกมาจากสตูดิโอถ่ายภาพของตัวเอง
“คุณโจคยูฮยอนใช่ไหม?” เสียงผู้หญิงที่ฟังดูห้วนๆนั่นคุ้นหูผมจัง แต่ก่อนจะได้ถามอะไร เธอก็ชิงพูดขึ้นมาซะก่อน “ฉันควอนยูริ เป็นเพื่อนสนิทของซันนี่ ช่วยมาที่ผับเดอะไนน์เดี๋ยวนี้เลยได้ไหม?” ประโยคนั่นจะเป็นคำถามแต่จากน้ำเสียงเธอ ผมรู้เลยว่าตัวเองไม่มีทางเลือก
“โอเคครับ แล้วเจอกัน” ผมตอบรับก่อนจะกดวางสายไป เพิ่งนึกออกว่าควอนยูริคนนี้เองที่ผมเคยไปถ่ายรูปในนิตยสารให้เธอ
เพื่อนๆของซันนี่แต่ละคนท่าทางจะสวยโหดกันทั้งนั้น =__=
ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมาผมก็จอดรถเข้าตรงด้านหน้าผับ ใช่...มันคือที่ๆผมเจอซันนี่เป็นครั้งแรก แล้วตรงหน้าประตูทางเข้านั่น สาวสวยแปดคนกำลังยืนรอผมอยู่ เดาไม่ผิดเลย แต่ละคนสวยโหดทั้งนั้น พวกเธอมองผมเหมือนกับว่าเพิ่งไปฆ่าใครตายมาหมาดๆ
“คุณทำอะไรเพื่อนฉัน?” คนที่สูงที่สุดในกลุ่ม ผมจำได้ว่าเป็นนางแบบชื่อชเวซูยองหรือไงนี่แหละ เริ่มหาเรื่องขึ้นมาทันที
“ใจเย็นๆก่อนสิคะพี่ซูยอง” ผู้หญิงอีกคนที่ท่าทางเรียบร้อยจัดขัดกับสมาชิกคนอื่นๆรีบห้ามทัพ แล้วหันมาถามผม “คุณคยูฮยอนคะ ที่พวกเราตามคุณมาเป็นเพราะพี่ซันนี่ดูแย่มากหลังกลับมาจากกวางจู พวกเราถามอะไรเธอก็ไม่ยอมเล่าให้ฟังเลยสักคำ เอาแต่ดื่มเหล้าอย่างเดียว เราอยากรู้ค่ะว่าเกิดอะไรขึ้น?”
“ผมกับซันนี่ไม่ได้มีอะไรกันทั้งนั้นครับ เธอจะแต่งงานกับชางมิน”
“อย่ามาโกหกหน่อยเลยคุณ” ผู้หญิงอีกคนนึงที่สวยมากๆพูดขึ้นมาอย่างหงุดหงิด “มองหน้าคุณฉันก็รู้แล้วว่าคุณน่ะรักพี่ซันนี่ แล้วพี่ซันนี่น่ะก็เอาแต่พร่ำเพ้อถึง ‘หมาป่า’ ถ้าไม่ใช่คุณแล้วจะเป็นใคร?”
ผมจนด้วยคำพูด แม้จะดีใจที่ได้ยินว่าเธอเพ้อถึงผม แต่มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ ในเมื่อเธอก็ต้องแต่งงานกับชางมินอยู่ดี
“นี่คุณ ฉันไม่รู้อะไรด้วยหรอกนะ แต่ว่า... ถ้าคุณสองคนรักกัน มันก็ไม่ถูกที่จะปล่อยมือกันไปง่ายๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เข้าไปหาซันนี่เถอะค่ะ เธอรออยู่นะ” เพื่อนตัวเล็กของซันนี่ที่ชื่อแทยอนส่งยิ้มให้แล้วผลักผมเข้าไปในร้าน พวกเธอไม่ได้ตามผมเข้ามาด้วย แล้วนี่ผมจะรู้มั้ยว่าซันนี่นั่งโต๊ะไหน อ๊ะ... นั่นไง เธอใส่ฮู้ดสีแดงมาอีกแล้ว ซันนี่นั่งโงนเงนอยู่บนโต๊ะ ดูจากปริมาณแก้วและขวดเหล้าแล้วเธอคงเมาหนักทีเดียว ให้ตายเถอะ ผู้หญิงคนนี้คอแข็งชะมัด กินไปเยอะขนาดนั้นถ้าเป็นคนอื่นคงสลบเหมือดไปแล้ว
“ขอโทษนะคะ” พนักงานเสิร์ฟคนหนึ่งเดินชนผม จนต้องละสายตาจากซันนี่ พอเงยหน้ามองอีกทีเธอก็หายไปแล้ว
ยัยหนูน้อยหมวกแดงตัวยุ่งหายไปไหนกันนะ!
ผมเดินฝ่าฝูงคนตรงไปทางโต๊ะที่เธอเคยนั่ง ให้ตายสิ! เธอหายไปจริงๆ หายไปไหนกัน ผมหันซ้ายหันขวา แล้วก็เห็นเธอดึงฮู้ดสีแดงนั่นขึ้นมาปิดหน้า เดินโซซัดโซเซออกไปทางท้ายผับ เมาขนาดนั้นจะไปไหนได้นะ ผมคิดแล้วก็รีบก้าวตามเธอไปทันที
ผมเปิดประตูออกไป เสียงรองเท้าส้นสูงของเธอกระทบพื้นได้ยินอยู่ตรงหน้า อากาศเริ่มเย็นแล้ว ยัยเด็กคนนี้ก็ดันใส่กางเกงขาสั้น กับเสื้อแขนกุดอีกต่างหาก แล้วคิดยังไงเดินออกมาที่มืดๆแบบนี้คนเดียว ผมไม่เข้าใจเธอเลยจริงๆ
เธอเซไปชนกำแพงทำท่าเหมือนกำลังจะล้ม เท่านั้นผมก็ทนดูต่อไปไม่ไหว ต้องคว้าตัวเธอมาพยุงเอาไว้ ซันนี่เงยหน้าขึ้นมอง น่าแปลกที่ผมเห็นน้ำตาไหลลงมาเป็นทาง แล้วเธอก็ยิ้ม
“กะแล้วว่าต้องมา... เหมือนที่เจอกันครั้งแรก”
ผมได้แต่ยืนนิ่งพูดอะไรไม่ออก ที่เธอทำแบบนี้ทั้งหมดเพียงเพื่อคิดว่าผมจะออกมาหา คิดว่าจะได้เจอผมเหมือนวันที่เราเจอกันเป็นครั้งแรกงั้นเหรอ? ผมอยากจะพูดว่าเธอคิดอะไรเหมือนเด็กๆ ทำอะไรไม่รู้จักคิด แต่พอเห็นน้ำตาใสๆนั่นคำพูดทุกคำก็จุกอยู่ตรงลำคอ ทำได้แค่เช็ดน้ำตาให้เธอเบาๆ
“กลับบ้านเถอะ เดี๋ยวผมไปส่งที่รถ”
“ไหนนายเคยบอกว่าจะทำให้ฉันเป็นเจ้าสาวไง? นายมีโอกาสแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมไม่จูบฉันล่ะ? ทำไมไม่กอดฉัน?”
“คุณก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ คุณต้องแต่งงานกับชางมิน--”
“ทำไมมันต้องจบแบบในนิทานด้วยล่ะ... นี่มันชีวิตจริงนะ ทำไมฉันถึงไม่มีสิทธิ์เลือก...” ซันนี่ยังพูดไม่ทันจบก็ดูเหมือนจะโดนฤทธิ์เหล้าน็อคไปซะก่อน ร่างเล็กๆของเธอเอนลงมาซบตัวผม ผมช้อนตัวเธอขึ้นแล้วเดินอ้อมกลับไปที่หน้าผับ เพื่อนๆเธอยังคงยืนรวมกลุ่มอยู่ตรงนั้น สีหน้าทุกคนฉายแววเป็นห่วงทันทีที่เห็นซันนี่เมาหลับอยู่ในอ้อมแขนผม
“ผมฝากไปส่งซันนี่ด้วยนะครับ” ผมวางร่างเธอลงในรถที่คุณยูริรีบเปิดประตูให้ เพื่อนอีกคนที่ชื่อแทยอนมองผมเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ผมไม่เปิดโอกาสให้เธอ “ถ้าเธอตื่นขึ้นมาแล้ว...ฝากบอกเธอด้วยว่าขอให้เป็นเจ้าสาวที่มีความสุข แล้วก็อย่าทำแบบนี้ เพราะผมจะไม่มาให้เธอเห็นอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”
ผมหันหลังเดินจากมา ได้ยินเสียงเพื่อเธอบางคนตะโกนตามอย่างโกรธเกรี้ยว แต่ตอนนี้โลกของผมมันไม่หมุนอีกต่อไปแล้ว ความรู้สึกของผมมันตายด้าน เป็นอัมพาตไปตั้งแต่ที่รู้ว่าเรื่องระหว่างเรามันเป็นไปไม่ได้
...ถึงอย่างนั้น น้ำตาก็ยังคงไหลลงมาอยู่ดี
ซันนี่ดูสวยน่ารักในชุดเจ้าสาว แต่มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเธอทำหน้าตาให้มีความสุข
“ว่าไง สาวๆ” เธอหันหลังจากกระจกแล้วเอ่ยทักพวกเราพร้อมรอยยิ้มฝืนๆ ฉันมองหน้าเจสสิก้าแล้วพวกเราก็เดินไปกอดซันนี่แน่น ในเวลานี้แม้แต่จะพูดคำว่า ‘ยินดีด้วยนะ’ พวกเรายังพูดไม่ออกเลย
“แน่ใจนะว่าจะทำแบบนี้?” ฉันถามออกไป
“พูดอะไรน่ะแทยอน พ่อกับพี่สาวฉันนั่งอยู่ข้างนอก งานก็จัดขึ้นมาแล้ว จะมาให้ล้มเลิกได้ยังไง?” ซันนี่พูดเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ แต่ฉันรู้ดีว่ามันทรมานใจแค่ไหน ตั้งแต่วันนั้นที่โจคยูฮยอนพาเธอกลับมาส่งที่รถ เขาก็ไม่มาปรากฏตัวให้เห็นอีกตามที่พูด ส่วนคนที่เจ็บปางตายคือซันนี่ ที่ตื่นมาแล้วร้องไห้ไม่หยุดอยู่สองวัน แต่เพราะซันนี่เป็นคนเข้มแข็ง หลังจากสองวันนั้นเธอก็กลับมาเป็นอีซุนคยูคนเดิม เที่ยวจัด ชวนพวกเราไปดื่ม ไปกิน ไปช้อป ทำตัวเฮฮาร่าเริงได้เหมือนเก่า
แต่พวกเรารู้ว่าทั้งหมดนั่นเป็นแค่การแสดง...
“ขอโทษนะคะ หนูเข้าไปได้ใช่มั้ย?” เสียงหวานๆดังขึ้นก่อนที่เด้กสาวหน้าตาน่ารักจะเปิดประตูเข้ามา ซันนี่ยิ้มอย่างดีใจแล้วเดินไปจูงมือเด็กคนนั้นเข้ามาหาพวกเรา
“ซูจี! มาด้วยเหรอ นี่! ทุกคนนี่ซูจี น้องสาวของพี่ชางมิน พี่ขี้เกียจไล่ชื่อทุกคนน่ะ ไปคุยๆแล้วถามกันเอาเองละกันนะ”
“สวัสดีค่ะ หนูชื่อซูจี พี่ชายให้หนูมาช่วยเป็นเพื่อนเจ้าสาวอีกคนค่ะ แต่พี่ซันนี่เพื่อนเยอะขนาดนี้คงไม่ต้องแล้วมั้งคะ?” ซูจียิ้มน่ารักส่งให้พวกเราทุกคนอย่างเป็นมิตร
“ไม่เห็นเป็นไรเลยค่ะ จริงๆวันนี้ไม่ได้เชิญแขกคนนอกเลย มีแต่ครอบครัวกับคนที่สนิทเท่านั้น เพราะงั้นเพื่อนเจ้าสาวก็มีเก้าคนได้ ไม่แปลกหรอก” ฮโยยอนตอบแล้วซูจีก็หันไปยิ้มกว้าง ท่าทางตื่นเต้นสุดๆ
“แล้วนี่ซูจีมาได้ยังไงล่ะ?” ซันนี่ถาม
“ก็... พี่ชายส่งเพื่อนเจ้าบ่าวไปรับน่ะค่ะ...”
พวกเรานิ่งไปทันที ซันนี่เองดูเหมือนจะช็อคที่สุด... เพื่อนเจ้าบ่าวคนนั้นไม่มีทางเป็นใครไปได้นอกจากโจคยูฮยอน... ทำไมผู้ชายที่ชื่อชิมชางมินถึงได้ใจร้ายแบบนี้นะ!
“ใกล้ได้เวลาแล้ว ฉันคงต้องออกไปแล้วล่ะ” ซันนี่ยิ้มกลบเกลื่อน แล้วพวกเราก็เตรียมตัวให้วุ่นวายไปหมด เพราะพิธีนี้จัดกันแบบเล็กๆ เชิญแขกแค่ไม่กี่คน เพราะงั้นเพื่อนเจ้าสาวเลยต้องทำหน้าที่หลายอย่าง ซูยอง สิก้า และฟานี่ขอตัวออกไปต้อนรับแขกข้างนอก ซูจีกับซอฮยอน สองมักเน่ทำหน้าที่โปรยดอกไม้ตอนส่งตัวเจ้าสาว ส่วนพวกเราที่เหลือก็เตรียมตัวซันนี่ให้พร้อม
แค่ไม่นาน เสียงระฆังก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณ ฉันกับยูริเปิดประตูให้ซันนี่เดินออกไป คุณพ่อของซันนี่ที่ยิ้มแป้นเดินเข้ามารับตัวเจ้าสาว ก้าวไปบนพรมแดงสู่แท่นพิธีเบื้องหน้า ฉันกับเพื่อนๆเดินกลับเข้ามานั่งเป็นพยานในพิธี มีแค่ซูจีและซอฮยอนที่ขึ้นไปยืนตำแหน่งเพื่อนเจ้าสาว ที่ฝั่งตรงกันข้าม... โจคยูฮยอนยืนอยู่หลังเจ้าบ่าวในชุดสูทสีดำเรียบๆ สายตาที่เขามองซันนี่แสดงออกชัดถึงความเจ็บปวด อย่าว่าแต่เพื่อนเจ้าบ่าวเลย ตัวเจ้าสาวเองก็มองทางนั้นไม่วางตาเหมือนกัน
“ฉันอยากล่มงานแต่งนี้จังค่ะพี่” ยุนอาทำน้ำเสียงฟึดฟัดขัดใจ แล้วเสียงบาทหลวงก็เริ่มประกาศ
“ชิมชางมิน ท่านยินดีจะรับอีซุนคยูเป็นภรรยา ดูแลกันและกันแม้ในยามทุกข์สุข ใช้ชีวิตร่วมกันไปตราบจนนาทีสุดท้ายของชีวิตหรือไม่?”
“รับครับ” พี่ชางมินพูดขึ้นมาเรียบๆ
“อีซุนคยู ท่านยินดีจะรับชิมชางมินเป็นสามี ดูแลกันและกันแม้ในยามทุกข์สุข ใช้ชีวิตร่วมกันไปตราบจนนาทีสุดท้ายของชีวิตหรือไม่?”
ความเงียบทิ้งตัวลง ซันนี่เม้มปาก ดูเหมือนจะไม่สามารถพูดคำว่า ‘รับค่ะ’ ออกมาได้ ฉันเหลือบไปมองเพื่อนเจ้าบ่าวที่หันหน้าหนีไปอีกทาง มือที่กมอยู่หน้าเสื้อสูทกำแน่น
แล้ววินาทีนั้นซันนี่ก็แหงนหน้ามองเพดาน กะพริบตาเร็วๆเพื่อกลั้นน้ำตา สูดลมหายใจลึก--
“หนูขอคัดค้านการแต่งงานครั้งนี้ค่ะ”
เสียงที่ดังขึ้นไม่ได้ออกมาจากปากซันนี่ แต่เป็นของหนึ่งในเพื่อนเจ้าสาว แบซูจี!
ตอนนี้ทุกสายตาหันมามองที่เธอกันหมด ไม่เว้นแม้แต่คู่เจ้าบ่าวเจ้าสาว พอเจอยังงั้นเข้าไปซูจีดูจะหมดความมั่นใจไปนิดหน่อย แต่เธอเหลือบมองหน้าพี่ชายที่มีเครื่องหมายคำถามอยู่ตัวเบ้อเร่อแล้วก็พูดออกไป
“หนู...หนู... ไม่อยากให้พี่ซันนี่แต่งงานกับพี่ชางมิน...เพราะ...เพราะ...”
“เพราะอะไร? เธอคิดจะทำอะไรของเธอ?” พ่อของเจ้าบ่าวลุกขึ้นทำท่าเหมือนอยากจะจับซูจีบีบคอตรงนั้น ได้ข่าวว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกสาวเค้าอีกคนไม่ใช่เหรอ ใจร้ายยังงี้นี่เองชิมชางมินเลยได้เชื้อมา =__=^
“พี่ชายแย่งคนรักของพี่คยูฮยอนมาค่ะ! พี่ซันนี่รักกับพี่คยูฮยอนมานานแล้ว แล้วก็...แล้วก็...พี่ซันนี่กำลังท้องค่ะ!”
เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!! คดีพลิก!!!
ฉันหันไปดูหน้าพ่อของซันนี่ที่เหวอสนิท พี่อึนคยู พี่สาวคนโตทำท่าเหมือนลมจะใส่ ส่วนเจ้าสาวกับเพื่อนเจ้าบ่าวที่ยืนนิ่งทำหน้าตาตื่นเหมือนเจอผี อย่าว่าแต่สองคนนั้นช็อคเลย ฉันก็ช็อค ยุนอานั่งอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออกไปเลยทีเดียว
“โอเค ยุนอา... งานแต่งนี่ล่มสมใจเธอแล้วล่ะ”
หมด... หมดกันภาพพจน์ของฉัน ทั้งงานแต่ง ทั้งทุกสิ่งทุกอย่างล่มไม่เป็นท่า แถมตอนนี้คน
ทั้งงานแต่ง ซึ่งได้แก่ครอบครัวฉัน ครอบครัวเจ้าบ่าว ครอบครัวเพื่อนเจ้าบ่าว และเพื่อนเจ้าสาวอีกเก้าคนกำลังนั่งทำหน้าเครียดจ้องมองฉันกับโจคยูฮยอนเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ
“มีอะไรจะอธิบายไหม? ตกลงว่าที่ซูจีพูดมาเป็นเรื่องจริงรึเปล่า?” คุณพ่อของพี่ชางมินถามเสียงเข้ม ในขณะที่พ่ออีตาโจคยูฮยอนซึ่งเป็นถึงรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ กลับดูจะขำหน้าตาลูกชายซะมากกว่า
“คือ... หนู...” ซูจีพูดเสียงอ่อย หน้าตาเหมือนรู้สึกผิดเต็มที่ “พี่ซันนี่ไม่ได้ท้องหรอกค่ะ... หนูก็แค่พูดไปเพราะไม่อยากให้มีการแต่งงานเกิดขึ้น”
“เธอมีเหตุผลอะไรมาล่มการแต่งงานของชางมินกับซุนคยู?”
“เหตุผลคือผมเองครับ” พี่ชางมินพูดขึ้นมาในที่สุด “ถึงเรื่องที่ซันนี่ท้องจะเป็นเรื่องโกหก แต่ส่วนที่เหลือเป็นความจริง... ซันนี่กับคยูฮยอนรู้จักและคบกันก่อนหน้าผมจะกลับมา เพราะแต่เพราะคุณพ่อยืนกรานจะให้ผมแต่งงานกับซันนี่ให้ได้ ผมเลยบังคับให้สองคนนี้เลิกกัน ทั้งๆที่จริงๆแล้วผมก็ไม่ได้รักซันนี่เลย”
“ชางมิน นาย...” คยูฮยอนหันไปมองพี่ชางมินอย่างคาดไม่ถึง ฉันเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าพี่เค้าจะยอมง่ายๆแบบนี้ แต่กลายเป็นว่าคุณพ่อของพี่เค้าลุกขึ้นอย่างหัวเสียแล้วเดินปึงปังกลับออกไป สรุปว่างานแต่งล่มอย่างเป็นทางการสินะ...
“ต้องขอโทษคุณลุงด้วยนะครับที่ผมทำให้วุ่นวาย” พี่ชางมินหันไปก้มหัวโค้งให้กับพ่อของฉัน และพี่สาวอีกสองคน รวมทั้งพ่อแม่ของโจคยูฮยอนที่ยิ้มรับอย่างใจดี
“แต่ถ้างานล่มไปแบบนี้ นายกับพ่อนายแล้วก็ซูจี...” คยูฮยอนมองทั้งสองคนอย่างเป็นห่วง
“ถ้าพี่โดนพ่อไล่ออกจากบริษัทเพราะไม่ได้แต่งงานกับพี่ซันนี่ พี่จะให้ซูจีปลูกผักเลี้ยงพี่ไปจนตายเลย ดีมั้ยคะ?” พี่ชางมินลูบหัวซูจีที่ทำหน้าบูด
“หนูอยากปล่อยให้พี่ชายอดตายมากกว่าค่ะ จริงๆแล้วตัวเองอยากแต่งงานกับพี่ซันนี่ เลยใช้หนูเป็นข้ออ้าง ใจดำที่สุด!” เจอน้องสาวดุเข้าไป พี่ชางมินเลยทำหน้าเหวอไปเลยค่ะ ส่วนคุณเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดก็นั่งหัวเราะอยู่ข้างๆ จนซูจีหันขวับมามองด้วยสายตาพิฆาตอีกคน
“พี่ก็เหมือนกัน ไม่ต้องมาขำเลย พี่เป็นผู้ชายที่แย่จริงๆ! ปล่อยให้คนที่ตัวเองรักโดนบังคับแต่งงานกับคนอื่นได้หน้าตาเฉย ทั้งๆที่ฉันอุตส่าห์ยอมเปิดทางให้พี่กับพี่ซันนี่แต่แรกแล้วแท้ๆ...”
“ซูจี...” ฉันดึงตัวซูจีเข้ามากอด รู้ว่าเธอคงเจ็บปวดมากกว่าฉันเป็นพันเท่า ทำไมเด็กที่น่ารักขนาดนี้ถึงได้โดนพ่อแท้ๆปฏิเสธได้ลงคอนะ... แต่ ณ จุดๆนี้ฉันเริ่มพอจะเข้าใจพี่ชางมินบ้างแล้วล่ะว่าทำไมถึงได้อยากจะทำเพื่อซูจีมากขนาดนั้น
“หนูยอมให้พี่แต่งงานกับพี่คยูฮยอน เพราะหนูเห็นหน้าของพี่วันนี้แล้ว หนูรู้ว่าหนูคงทนไม่ได้ ถ้าจะเห็นพี่คยูฮยอนทำหน้าแบบนั้นเหมือนกันในวันที่ต้องแต่งงานกับหนู” เธอสะอื้นออกมาเบาๆ สาวๆคนอื่นเดินเข้ามาปลอบ ซูจีดันฉันออกจากอ้อมแขนแล้วใช้หลังมือปาดน้ำตา ก่อนจะยิ้ม แล้วพี่ชางมินก็ดึงตัวน้องสาวเข้าไปกอด ปากพึมพำว่าขอโทษ
“สรุปว่าก็จบแบบนี้สินะ” ฉันเปรยขึ้นมาแล้วหันไปมองคุณหมาป่าที่นั่งข้างๆ อันที่จริงไอ้หมอนี่น่ะตัวต้นเหตุเลยนี่นา
“ยังไม่จบซักหน่อย” เขาเอื้อมมาจับมือฉันไว้ก่อนจะหันไปทางพ่อกับพี่อึนคยู และพี่จินคยู ดวงตาคู่นั้นฉายแววจริงจังอย่างที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน
“มันอาจจะเร็วไปสำหรับตอนนี้... แต่ว่า... คุณลุงครับ ได้โปรดให้โอกาสผมได้ดูแลซันนี่นะครับ ผมจะปกป้องเธอ จะทำให้เธอมีความสุขไปตลอดชีวิต ได้โปรดอนุญาตให้ซันนี่แต่งงานกับผมนะครับ”
เสียงผิวปากวี้ดวิ้วของสาวๆทำเอาฉันหน้าร้อนผ่าว ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาใครเลยสักคน อีตาบ้า! ประโยคขอแต่งงานเชยเฉิ่มแบบนั้นพูดออกมาได้ยังไงนะ! ที่สำคัญ... นายขอจากพ่อ แล้วถามฉันสักคำรึยังเนี่ยยยยย!!! อีตาหมาป่าปัญญาทึบ!!
“จริงๆแล้ว พ่อควรจะขอโทษซุนคยู ที่จู่ๆก็บังคับให้แต่งงานโดยไม่ถามลูกก่อน” พ่อพูดขึ้นมาก่อนจะลูบหัวฉันเบาๆ “อะไรที่ลูกทำแล้วมีความสุขก็ทำเถอะนะ”
“ขอบคุณนะคะพ่อ” ฉันโผเข้ากอดพ่อที่อ้าแขนรอรับ
ต่อให้ฉันจะต้องมีเจ้าบ่าวอีกกี่คน แต่เชื่อได้เลย... ผู้ชายคนที่รักฉันที่สุดในโลกคือคนที่กอดฉันอยู่นี่แหละ
ซันนี่ในชุดเจ้าสาวนั่งอยู่ข้างๆผมบนพื้นหญ้าที่สวนสาธารณะริมแม่น้ำฮัน อยากจะบ่นเหมือนกันนะว่าชุดราคาตั้งแพง เอามาทำเปื้อนซะหมดแบบนี้ แต่พอคิดขึ้นได้ว่าต่อจากนี้เธอจะกลายเป็น ‘เจ้าสาวของผม’ ไอ้คำพูดทั้งหมดมันก็กระจายไปในอากาศหมดเลย
“อร่อยมากมั้ยคุณ?” ผมถามแขวะยัยตัวดีพยักหน้าตอบแล้วนั่งเลียไอติมมองพระอาทิตย์ตกดินอยู่อย่างมีความสุข แต่ผมมีความสุขกว่าเธอเป็นล้านนนนนเท่า
“อยากไปฮันนีมูนที่ไหนดี?”
“พูดเรื่องอะไรของนาย ฮันนีมูนบ้าบออะไรกัน?” ซันนี่คาบไม้ไอติมไว้ในปากแล้วแกล้งฮัมเพลงหงุงหงิง เฮ้ๆ ทำเนียนเลยนะเนี่ย
“ก็เดี๋ยวเราจะแต่งงานกันอยู่แล้วนี่” ผมเอามือโอบเอวเธอ แต่ซันนี่รีบเอามือเล็กๆของเธอหยิกแก้มผมทันที เฮ้ย! เจ็บจริงนะเนี่ย
“ใครจะแต่งงานกับนายไม่ทราบ? ฉันไม่เคยตกลงอะไรกับนายทั้งนั้นนะยะ อย่ามามั่วนิ่ม”
นี่ท่าทางผมจะมีภรรยาโหดในอนาคตอันใกล้ใช่ไหมเนี่ย? แต่พอคิดดูอีกที... นี่มันมุกเล่นตัวให้ผมขอแต่งงานนี่นา น่ารักเกินไปละ
ผมหันไปหอมแก้มซันนี่แรงๆทีนึง แก้มเธอเป็นสีชมพูขึ้นมาทันที แล้วมือเล็กๆก็หันมาตีผมใหญ่ แล้วคนหล่อจะอยู่เฉยๆให้คนสวยทำร้ายงั้นเหรอครับ ผบพยายามจะจับแขนเธอไว้แต่สุดท้ายผมก็หงายหลังไปนอนแผ่บนพื้นหญ้าโดยมีตัวว่าที่เจ้าสาวทับอยู่ข้างบน ปลายจมูกเราห่างกันแค่ไม่ถึงเซนต์แล้วเธอก็ดูน่ารักซะจนหัวใจผมเต้นรัวยิ่งกว่ากลองเฮฟวี่เมทัล
“แต่งงานกันมั้ยหนูน้อยหมวกแดงของผม...”
“นี่! ตระกูลนายเคยสอนวิธีขอแต่งงานที่ถูกต้องมาให้บ้างรึเปล่ายะ?!” แหม ตอนแกล้งเหวี่ยงก็น่ารักแฮะ
“งั้นแบบนี้จะถูกรึยังน้า~” ผมพลิกตัวเธอลงไปนอนแอ้งแม้งบนพื้นหญ้าแล้วจูบเธอ จูบที่อ่อนโยนที่สุด หวานที่สุดเท่าที่เราเคยจูบกันมา ผมถอนริมฝีปากออกช้าๆแล้วกระซิบตรงปลายจมูกเธอ “แต่งงานกับผมนะ ผมอยากตื่นขึ้นมาแล้วเห็นคุณนอนอยู่ข้างๆทุกวัน อยากได้ยินเสียงหัวเราะของคุณกล่อมผมตอนหลับทุกๆคืน อยากใช้เวลาทุกนาที ทุกวินาที ทุกลมหายใจร่วมกับคุณ... ผมรักคุณ”
ซันนี่ไม่ตอบผม แต่รอยยิ้มที่เธอยิ้มตอนนี้มันยิ่งกว่าคำตอบตกลงเป็นพันๆรอบ สายตาที่เธอมองผมพูดแทนคำว่ารักได้นับล้านๆ คำ สมองผมเหมือนโดนสะกดจิตด้วยคำว่าผมรักเธอ... ผมรักเธอ... และผมรักเธอ...
“งั้น... ไปฮันนีมูนกันที่อัมสเตอร์ดัมแล้วกันนะ”
อยากบอกให้โลกทั้งใบรู้ว่าเจ้าสาวผมเวลาเขินเนี่ยน่ารักเท่าจักรวาล!
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาแต่ก่อนอื่น...”
“ก่อนอื่น?”
“เรามาซ้อมฮันนีมูนก่อนแล้วกัน ไปนอนห้องผมนะคืนนี้”
“ไอ้หมาป่าจอมหื่น!” ซันนี่ว่าพลางกระแทกหมัดเข้าเต็มๆ หน้าเลย ก็อยากมาน่ารักยั่วกันทำไมล่ะ!
โอเค... ผมคงต้องทำใจนะว่าหนูน้อยหมวกแดงเวอร์ชั่นนี้คงจบแบบไม่เหมือนใคร
...เพราะฉบับที่ผมเขียนเนี่ย นอกจากหนูน้อยหมวกแดงจะโหด จะแรง จะเซ็กซี่แล้ว มันคงต้องจบด้วยประโยคที่ว่า ‘แล้วหนูน้อยหมวกแดงก็ครองรักกับหมาป่าตราบชั่วกัลปวสาน’
แฮปปี้เอนดิ้งพอมั้ยล่ะครับ?
t
h
e
m
y
b
u
t
t
e
r
ความคิดเห็น