ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SNSD] Princesses & The Boys : เจ้าหญิงสุดร้ายกับเจ้าชายสุดขั้ว!

    ลำดับตอนที่ #16 : 7th Tale ~ Spelling of Eternity

    • อัปเดตล่าสุด 30 มิ.ย. 56



    7th Tale ~ Spelling of Eternity

      

    “พี่ชายคะ จูเนี่ยลหิวแล้ว” เสียงใสๆของจุนฮีพูดอ้อนผมเหมือนประจำ มือสองข้างของเธอเกาะแขนผมไว้แน่นไม่ยอมปล่อย แม้ว่าครั้งนี้เราจะไม่ได้มากันแค่สองคน...

    “อดทนหน่อยเถอะค่ะ ขอลองชุดเจ้าสาวอีกสักสามสี่ร้านแล้วค่อยไปหาอะไรทานกัน นะคะ พี่จงฮยอน” ซอจูฮยอนหรือซอฮยอน ว่าที่เจ้าสาวของผมส่งยิ้มหวานออกแนวเชือดเฉือนไปทางจูเนี่ยลก่อนจะก้าวเข้ามาควงแขนอีกข้างแถมยังซบไหล่ เล่นเอาผมพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ปล่อยให้สาวๆทั้งสองคนเล่นเกมกันต่อไป

    ผมไม่เข้าใจซอฮยอนเลย เธอทำแบบนี้เพื่ออะไรกัน? ปกติซอฮยอนอาจจะรั้นบ้าง แต่เธอเชื่อฟังผมตลอด เธอเคยเป็นเด็กสาวใสซื่อบริสุทธิ์ที่หัวเราะอย่างไร้เดียงสา แต่มาวันนี้ ทุกอย่างที่เธอทำ ท่าทางเย่อหยิ่งเย็นชา สายตาที่ไร้ความรู้สึกเหมือนเกล็ดน้ำแข็งนั่นกลับทำให้ผมรู้สึกว่าเธอเหมือนใครอีกคนที่ไม่ใช่ซอฮยอนคนเดิม ใช่สินะ... ก็มันผ่านไปตั้งแปดปีแล้วนี่ เธอคงจะเปลี่ยนไปแล้ว...

    จูเนี่ยลทำหน้าบูดแล้วก็ปล่อยมือออกจากแขนผมอย่างไม่พอใจ สายตาที่เธอมองซอฮยอนเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ผมเห็นแบบนั้นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ไม่ว่ายังไงผมก็ขัดใจเด็กคนนี้ไม่ได้จริงๆ

    “ร้านต่อไปเป็นร้านสุดท้ายได้ไหม?” ผมถามขึ้นลอยๆ ใจจริงคือพูดให้ฟังทั้งสองคนนั่นแหละ จุนฮียิ้มขึ้นมาเหมือนตัวเองชนะ ในขณะที่ซอฮยอนไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร เธอแค่ปล่อยมือผมแล้วเดินตรงเข้าไปในเวดดิ้งสตูดิโอที่อยู่ข้างหน้า

    ถึงจะไม่พูดอะไรแต่ผมก็รู้ว่านั่นเป็นการตกลงในแบบของเธอ

    ผมจับมือเด็กผู้หญิงข้างตัว แล้วจูงเธอเดินตามเข้าไปในร้านด้วยกัน

    ซอฮยอนกำลังเดินดูชุดเจ้าสาวที่เหมาะกับเธอ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้จริงจังอะไรเท่าไหร่นัก จนพนักงานต้องคอยแนะนำชุดให้เธออยู่เรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าเธออยากจะลองชุดไหนเลย

    “งั้นให้ว่าที่เจ้าบ่าวช่วยเลือกไหมคะ?” พนักงานเสนอขึ้นมาแล้วผมกับซอฮยอนก็มองหน้ากัน

    “เอาแบบนั้นก็ได้ค่ะ” ว่าที่เจ้าสาวของผมตอบ งานเข้าล่ะสิ

    ผมมองไปรอบๆ หาชุดที่คิดว่าเหมาะกับเธอ แล้วภาพของเธอในตอนเด็กก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำ

     

    “จริงนะคะ? ถ้าหนูเป็นเด็กดี พี่ชายจะอยู่กับหนูตลอดไปใช่มั้ย?”

    “อื้อ... เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป...”

     

    ผมสะบัดหัวไล่ภาพนั้นออก แล้วสายตาก็สะดุดลงที่ชุดๆหนึ่ง

    ชุดแต่งงานสีขาวสะอาดที่ดูเรียบง่าย ด้านบนเป็นชุดแขนกุดสีขาวคว้านคอกว้างเป็นรูปตัววีแต่ไม่ลึกเกินไป กระโปรงยาวฟูฟ่องบานออกเหมือนกระโปรงของเจ้าหญิง ลูกปัดเม็ดเล็กๆที่เป็นประกายระยิบระยิบดูไม่ต่างจากเกล็ดหิมะที่เต้นรำอยู่รอบๆตัวเธอ

    “ลองชุดนั้นดูไหม” ผมหันไปถามซอฮยอน เธอไม่พูดอะไร แต่ก็พยักหน้ารับนิดๆ แล้วเดินเข้าไปในห้องลองเสื้อ

    เมื่อตะกี้ผมจินตนาการภาพของซอฮยอนเมื่อแปดปีก่อน เธอยังเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆที่ชอบสวมชุดประโปรงแขนกุดสีขาวแล้วเล่นแต่งงานกับผม ทุกๆครั้งผมจะเก็บดอกไม้ในสวนมาร้อยเป็นแหวน ส่วนซอฮยอนจะแอบขโมยผ้าคลุมไหล่ของคุณป้ามาใช้แทนผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว แล้วเราก็สาบานรักต่อกันโดยสมมติให้ต้นไม้เป็นบาทหลวง

    “สวยมากเลยค่ะ” เสียงของพนักงานดังขึ้นแล้วผมก็หันกลับไปมอง

    ซอจูฮยอนยืนอยู่ตรงนั้นในชุดเจ้าสาวสีขาวสะอาด สมบูรณ์แบบจนไร้ที่ติ เรือนผมสีน้ำตาลไหม้ยาวตรงจรดแผ่นหลัง เธอดูสวย บริสุทธิ์ ไร้เดียงสา ราวกับเด็กหญิงตัวเล็กๆที่ยืนรอผมอยู่ใต้ต้นไม้เมื่อแปดปีก่อน แล้วโดยที่ไม่รู้ตัว สองเขาไม่รักดีก็พาผมไปยืนอยู่ตรงหน้าเธอ

    ผ้าสีขาวเนื้อบางถูกตัดเย็บติดกับที่ประดับผมออกแบบให้มันกลายเป็นผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวเหมือนกับผ้าพันคอของคุณป้าที่ซอฮยอนเคยเอามาใช้แทน ผมเอื้อมมือไปสัมผัสมัน ก่อนจะจับผ้าตลบให้ไปอยู่ทางด้านหลัง เผยให้เห็นหน้าเจ้าสาวที่สบสายตาผมตรงๆ

    “งั้นก็เอาชุดนี้แหละ” ซอฮยอนพูดขึ้นมาโดยที่ยังไม่ละสายตาไปจากผม จนท้ายที่สุด ผมต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาเธอซะเอง

    “สักวันนึงจูเนี่ยลก็อยากใส่ชุดแบบนี้บ้าง” จุนฮีเดินเข้ามากอดแขนผมรั้งให้ถอยออกมาห่างจากว่าที่เจ้าสาว “แต่เจ้าบ่าวต้องเป็นพี่ชายเท่านั้นนะคะ”

    ผมได้แต่หยุดชะงัก มองสีหน้าเอาแต่ใจแบบเด็กๆของจุนฮีสลับกับซอฮยอนที่นิ่งซะจนผมอ่านไม่ออกว่าเธอคิดอะไรอยู่

    ก่อนที่ว่าที่เจ้าสาวจะยิ้มหวาน สายตาที่เธอมอง เย็นเยียบดุจน้ำแข็ง

    “งั้นคงต้องรอชาติหน้านะคะ เพราะฉันตั้งใจว่าอีจงฮยอนจะเป็นสามีของฉันอย่างน้อยก็...ตลอดไป”

    ซอฮยอนเดินผ่านผมเข้าไปเปลี่ยนชุดกลับ ทิ้งให้จูเนี่ยลยืนอึ้งสั่นเทิ้มด้วยความโกรธจนผมต้องดึงเธอมาปลอบก่อนจะมีอะไรสักอย่างพัง อดแปลกใจไม่ได้ที่ซอฮยอนกล้าพูดจาเชือดเฉือนแบบนั้น

    เธอกลายเป็นราชินีหิมะที่ไม่หลงเหลือความอบอุ่นไว้ในใจอีกต่อไป

     

     

    “ซอฮยอนเพี้ยน เพี้ยนไปแล้วแหงๆ” นั่นคือคำสรุปฟันธงของแทยอนที่มีจางอูยอง...ว่าที่แฟนของฉันพยักหน้ารับเป็นลูกคู่ ยังนะ ยังไม่ใช่แฟน ก็หมอนี่เล่นกัดฉันเช้ายันเย็นไม่เว้นวันหยุดราชการ ใครจะไปยอมรับให้เป็นว่าที่เขยกลุ่มได้ง่ายๆกันเล่า!

    “แล้วยังไงอ่ะ?”

    “คิมฮโยยอน เธอถามมาได้ว่าเพี้ยนยังไง ไม่เห็นเหรอนั่นน่ะ?” ยูริเองก็เข้ามารร่วมวงเม้าท์ด้วยอีกคน แถมยังพยักเพยิดไปทางซอฮยอนอีกต่างหากแน่ะ วันนี้เป็นวันแต่งงานของซูยองกับพี่ชีวอนค่ะ พวกเราทั้งแปดคนที่เป็นเพื่อนเจ้าสาวเลยจัดเต็ม ธีมงานไฮโซเว่อร์แบบประมาณธีมสีขาวทอง แล้วคุณเจ้าบ่าวก็เหมาปิดมันทั้งโรงแรมเพื่อจัดงานโดยเฉพาะเลย คนมันรวยนี่นะ จะทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด

    “ดูสิ ร้อยวันพันปี ซอฮยอนเคยแต่งตัวชะเวิบชะวาบที่ไหน เห็นปรกติใส่เสื้อแขนยาว8อปิด กระโปรงลากพื้น แต่ดูวันนี้สิ!” ฉันมองไปตามที่ยูริบอกแล้วก็เห็นน้องเล็กของกลุ่มยืนเหม่ออยู่ตรงโต๊ะค็อกเทลไม่ไกล ไม่อยากจะบอกว่าวันนี้ซอฮยอนสวยมาก เธออยู่ในชุดเดรสสั้นสีขาวรัดรูปแบบพอดีๆ ที่มีลวยลายดอกไม้สีทองประดับลูกปัด สายคล้องคอก็เป็นโบว์สีทองเข้ากั๊นเขากัน แต่ที่เด็ดสุดคือชุดคว้านหลังลึกลงมาถึงเอว แล้วมักเน่ก็ดันรวบผมไพล่ไปข้างหน้า ประมาณว่าโชว์สุดๆหยุดไม่อยู่

    “ใครเห็นใครก็อยากแก้โบว์ทั้งนั้นแหละ” อูยองพูดขึ้นมาแถมยังเอามือลูบคางทำสีหน้าจริงจัง... ไอ้โบว์ที่ว่านี่คือโบว์สายคล้องคอชุดของซอฮยอนใช่มั้ยน่ะ

    “โอ๊ยๆ! เจ็บนะยัยบ้า!” หมอนั่นร้องออกมาเพราะโดนฉันดึงหู เอาให้เข็ดว่าเวลาทำตัวรุ่มร่ามกับผู้หญิงคนอื่นแล้วจะเป็นยังไง แถมยิ่งเป็นถึงน้องเล็กของกลุ่มเนี่ย ข้ามศพฉันไปก่อนเถอะย่ะ!

    “ควอนยูล! มามัวแต่ยืนเมาท์อยู่ตรงนี้เอง! พิธีจะเริ่มแล้วนะยะ พวกเราตามหาตัวเธออยู่แน่ะ โดยเฉพาะพี่ฮีชอล” ซันนี่ที่โผล่มาจากตรงไหนไม่รู้เดินเข้ามาเขย่งล็อกคอยูริลากออกไป ถึงแม้ว่างานนี้เราจะมาครบกลุ่ม รวมถึงบรรดาเขยด้วย แต่คนรับหน้าที่วุ่นวายในงานจริงๆ มีแค่ทิฟฟานี่ ที่เป็นออร์แกไนซ์เซอร์จัดงาน แล้วก็ยูริกับซันนี่ที่จับคู่กับพี่ฮีชอลและพี่คยูฮยอนไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวและเจ้าสาว รายหลังนี่ควบตำแหน่งหัวหน้าช่างภาพไปด้วยเลยวิ่งไปวิ่งมาน่าเวียนหัวอยู่เหมือนกัน แต่ก็โชคดีที่พี่แทคยอนว่าที่คู่หมั้นของเจสสิก้าพอจะช่วยเป็นตากล้องมือที่สองให้ได้ คนที่เสนอหน้ามาแล้วดูไร้ประโยชน์สุดๆก็คงมีแต่จางอูยองเนี่ยแหละ

    “ว่าแต่ พวกเธอแน่ใจเหรอว่าจะไม่ขึ้นไปครบทั้งแปดคนน่ะ ทิฟฟานี่จัดคิวเผื่อไว้นะ” พี่ยุนโฮหันมาถามพวกเราที่ได้แต่ยิ้มตอบกลับไป

    “ไม่ดีกว่าค่ะ ส่งสองคนนั้นไปเป็นตัวแทนก็จับคู่ได้สามคู่พอดี เดี๋ยวพวกเราช่วยกันแย่งดอกไม้อยู่ข้างล่างนี่แหละ” เจสสิก้าพูดพลางหัวเราะคิกคัก เอ่อ...สิก้าจะเอาดอกไม้ไปทำไม ก็ในเมื่อมีแฟนหล่อ ล่ำ และรวยมาก เป็นตัวเป็นตนอยู่แล้วทั้งคนอย่างพี่แทคยอน

    “นี่ๆ อย่าพากันนอกเรื่องสิคะ มักเน่น่ะ ไปทำอะไรที่ไหนยังไง พี่แทยอนไปสอนโรงเรียนเดียวกัน รู้เรื่องบ้างรึเปล่า?” ยุนอาระดมยิงคำถามเป็นชุดจนยัยเตี้ยเบอร์สองได้แต่กะพริบตาปริบๆ พอจะตอบเท่านั้นแหละ ทิฟฟานี่ก็โผล่เข้ามากลางวง

    เออ เอาเข้าไป -*- กว่าจะเมาท์กันได้จบซูยองคงแต่งเสร็จไปละ

    “แทยอน นักร้องกับนักดนตรีที่เธอหามาให้ฉันอยู่ไหนกันล่ะ? แขกมากันเยอะแล้วนะ ไม่รู้ล่ะ ถ้านักดนตรียังไม่มากันล่ะก็เธอต้องขึ้นไปร้องเพลงแทน รู้ไหม?”

    แทยอนทำหน้าเบ้ทันที ไม่ได้อยากจะว่าหรืออะไรหรอกนะ แต่ยัยเพื่อนคนนี้ก็ไม่เจียมตัวเอาซะเลย ถึงแทยอนจะเป็นลูกสาวเจ้าของค่ายเพลงชื่อดัง หน้าตาดี เต้นใช้ได้ เสียงเพราะเข้าขั้นเมพ แต่ยัยนี่ดันกลัวเวทีและผู้คนหมู่มากแบบสุดๆทั้งที่รักการร้องเพลงสุดใจขาดดิ้น ลงท้ายเลยทำได้แค่เป็นครูสอนร้องเพลงอยู่หลังม่าน ไม่เคยได้ขึ้นไปเจอไฟสปอตไลท์กับเค้าซักที พรสวรรค์ได้มาเสียเปล่าชะมัด

    “เดี๋ยวฉันโทรตามพี่จองโมให้ละกันนะ” ยัยเตี้ยเบอร์สองพูดแล้วก็หันหลังไปคุยโทรศัพท์ ปล่อยให้ฉัน ยุนอาและเจสสิก้าสบตากันอย่างเซ็งๆ ที่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ความอะไรเรื่องน้องเล็กเลย

    “ไม่ต้องตามหรอก พี่มาแล้ว”

    เสียงทุ้มๆดังขึ้นแล้วพวกเราก็หันหลังไปเห็นผู้ชาย สูง หล่อ พร้อมรอยยิ้มอบอุ่นยืนสะพายกระเป๋ากีตาร์อยู่ข้างหลังคิมจองโม ญาติและหุ้นส่วนโรงเรียนดนตรีของแทยอนกับน้องเล็ก ถ้าไม่ติดว่าเป็นญาติกันฉันเชียร์ให้แทยอนงาบพี่เค้าไปนานแล้ว

    “แล้วนักร้องล่ะคะ?” แทยอนชะเง้อชะแง้มองหาใครสักคนที่ควรจะมากับพี่เค้าด้วยแต่ดูเหมือนจะไม่มี

    “พอดีมินอาป่วย มาไม่ได้น่ะ พี่ว่าเธอต้องขึ้นไปร้องแทนแล้วล่ะ”

    “เฮ้ย!!!” ยัยเพื่อนเตี้ยของพวกเราหน้าซะยิ่งกว่าไก่ต้ม ขนาดว่าขาวแล้วมาเจอสภาพนี้นี่ยังกับผีหลอกแน่ะ แต่แค่อึดใจเดียวพี่จองโมก็หัวเราะแล้วขยี้หัวยัยนั่นอย่างเอ็นดู

    “ล้อเล่นน่า พี่มีตัวสำรองมาแล้ว ตอนนี้เค้ากำลังเตรียมตัวอยู่ข้างหลังแน่ะ”

    “เฮ้อ โล่งอกไปที” เจสสิก้า ยุนอา ทิฟฟานี่และฉันพากันประสานเสียงก่อนจะถอนหายใจ เรียกให้แทยอนหันกลับมามองตาเขียวปั้ด

    “อะไรกันยะพวกเธอ ฉันต้องเป็นคนพูดคำนั้นต่างหาก!

    “แหม ก็จริงนี่... อย่างเธอน่ะนะ ถ้าขึ้นไปร้องเพลง มีหวังได้ยืนตัวแข็งทื่ออยู่บนเวทีนั่นแหละ งานแต่งของซูยองที่ฉันสู้อุตส่าห์จัดมีหวังได้ล่มแหงๆ” ทิฟฟานี่พูดพร้อมตายิ้มหน้าหมั่นไส้ แถมยังมีพี่ยุนโฮหัวเราะให้ท้ายกันอีก

    “ฟานี่ เธอนี่ใจร้ายชะมัด T^T

    “ไม่เอาละ เสียเวลา ฉันขอจิ๊กตัวนักดนตรีไปล่ะนะ เชิญทางนี้ค่ะพี่จองโม” แม่คนจัดงานส่งยิ้มน่ารักละลายใจพี่ยุนโฮให้พวกเราก่อนจะเดินนำพี่จองโมไปอีกทาง พี่เค้าไม่ลืมที่จะทำท่าตะเบ๊ะแบบหล่อๆให้เราซะด้วยแน่ะ แต่คล้อยหลังได้ไม่ทันไร เจสสิก้าก็ถอนหายใจยาวจนพวกเราได้แต่เลิกคิ้วด้วยความสงสัย ยัยนั่นเห็นสายตาที่เรามองเป็นเชิงถามก็เลยพูดออกมา

    “ฉันแค่รู้สึกว่า... คงจะดีนะถ้าเราได้ nice guy อย่างพี่จองโมมาดูแลมักเน่...”

    พวกเราทุกคนสบตากันก่อนจะเหม่อมองไปทางเจ้าตัวที่ยังคงเหม่อมองแก้วเชมเปญจน์ด้วยสายตาว่างเปล่าแล้วกระดกทีเดียวหมด พวกเราได้แต่ยืนมองเธอ ไม่รู้จะทำยังไงกับน้องเล้กจอมดื้อคนนี้ดี แล้วแทยอนก็พูดออกมาพร้อมกับที่เสียงไฟหรี่ลง ก่อนดนตรีจะดังขึ้น

    “แต่ฉันว่าบางทีคนที่มักเน่อยากให้มาดูแลอาจจะไม่ใช่พี่จองโมก็ได้”

     

     

    “พร้อมนะจูเนี่ยล” คุณครูจองโมยิ้มให้ฉันที่จับมือพี่ชายแน่นก่อนจะเอ่ยตอบกลับไป

    “ตื่นเต้นจังเลยค่ะ”

    “มีพี่ขึ้นเวทีไปด้วย ไม่ต้องกลัวนะคะ” พี่ชายลูบหัวฉันเบาๆพร้อมส่งรอยยิ้มอ่อนโยนที่ฉันชอบที่สุดมาให้

    “ขอโทษนะครับ ผมเลยต้องรบกวนคุณไปด้วยเลย” ครูหันไปพูดกับพี่ชายที่ผละจากฉันไปคว้ากีตาร์โปร่งมาตั้งเสียง

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ อีกอย่างจุนฮีก็เป็นคนขอให้ผมมาช่วยเล่นกีตาร์เองด้วย แล้วผมก็คิดว่าถ้าหากเกิดอะไรขึ้น มันคงจะดีกว่าถ้ามีผมอยู่ใกล้ๆ จะได้ไม่ต้องรบกวนคุณมาก”

    “รบกวนอะไรกันล่ะครับ” คุณครูจองโมหัวเราะก่อนจะขยี้ผมฉันอย่างเอ็นดู ถึงฉันจะไม่ได้ยิ้มหรือหัวเราะตอบกลับไปแบบเวลาที่พี่ชายทำ แต่ครูก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนบนโลกที่ฉันรู้สึกสบายใจเวลาอยู่ด้วย แน่นอนว่าคนที่สบายใจมากที่สุด อยากอยู่ด้วยมากที่สุดก็ต้องเป็นพี่จงฮยอนอยู่แล้ว ถึงอย่างนั้นพี่ชายกลับจะโดนยัยแม่มดนั่นแย่งตัวไป ยังไงฉันก็ยอมไม่ได้!

    “นี่ก็ได้เวลาแล้วครับ ขึ้นไปบนเวทีกันเถอะ” ครูพูดขึ้นมา แล้วพวกเราสามคนก็ก้าวขึ้นไปบนเวที

    แสงไฟจัดจ้าทำให้ฉันตาพร่า มือเริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่... ไม่ได้นะจูเนี่ยล... เธอคือจูเนี่ยล อย่าปล่อยให้ชเวจุนฮีทำทุกอย่างพังนะ...

    ครูจองโมเกากีตาร์เบาๆให้สัญญาณ พี่ชายสบตาฉัน

    ฉันทำได้ จูเนี่ยลต้องทำได้

    ฉันเริ่มร้องเพลงออกไป เหมือนโลกทั้งโลกหยุดหมุน เสียงของฉันก้องกังวาน แม้จะหลับตาแต่ก็รู้ได้ว่าทุกคนกำลังตั้งใจฟัง  ฉันรักเสียงดนตรีรองจากพี่ชาย เพราะเสียงดนตรีคือสิ่งเดียวที่ทำให้ชเวจุนฮีและจูเนี่ยลหลอมรวมเป็นหนึ่ง

    เสียงปรบมือดังก้องหลังจากเพลงแรกจบลง แล้วครูก็ยิ้มให้ฉันก่อนจะยกนิ้วโป้งให้ หัวใจของฉันเหมือนพองโตขึ้นอีกสามสี่เท่า ฉันหันไปหาพี่ชาย แต่ดูเหมือนว่าสายตาของพี่จะมองไปที่อะไรบางอย่างข้างล่างเวทีนั่น ฉันไล่สายตาตามไปแล้วก็เห็นผู้หญิงคนนั้น...

    ซอจูฮยอน เธอกำลังมองพี่ชายอย่างคาดไม่ถึง รวมทั้งฉันด้วย

    ทำไมต้องเป็นยัยแม่มดนั้น!

    “จูเนี่ยลเธอร้องเพลงนี้ได้ไหม?” ครูจองโมยื่นโน๊ตเพลงมาให้ แต่ฉันไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น มือเริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ สายตายังตรึงอยู่กับพี่ชายและซอจูฮยอน ที่ข้างล่างเวที ผู้คนกำลังซุบซิบนินทาเริ่มดังขึ้นมา แถมพวกเขายังมองฉันอย่างกับตัวประหลาด เพราะจู่ๆเพลงก็เงียบหายไป คราวนี้พี่ชายเหมือนจะรู้สึกตัว เขาหันกลับมามองฉันด้วยแววตาตื่นตระหนก

                    “จูเนี่ยล!? เป็นอะไรรึเปล่า” ครูกระซิบเรียกแต่ฉันเริ่มจะขยับตัวไม่ได้ กลุ่มแขกที่ยืนอยู่หน้าเวทีมองฉันอย่างไม่พอใจระคนสงสัย

    --ไม่ไม่นะ! อย่าทำแบบนี้กับฉัน! พี่ชายไม่มีสิทธิ์มองใครคนอื่นนอกจากฉัน! ไม่มีใคร... ไม่มีใครจะยอมรับฉันได้อย่างพี่จงฮยอนอีกแล้ว ฉันเสียพี่ชายไปไม่ได้ ไม่มีวัน!

    ฉันลุกขึ้นยืนยกมือสั่นเทาขึ้นจิกทึ้งผมตัวเองอย่างควบคุมไม่อยู่ ไม่นะชเวจุนฮี! ฉันจะไม่กลับไปเป็นเด็กคนนั้น ฉันเกลียด...เกลียดทุกอย่าง และที่เกลียดมากที่สุดคือยัยแม่มดที่ชื่อซอจูฮยอน!

    แล้วก่อนที่ฉันจะทำลายทุกสิ่งไปมากกว่านี้ พี่ชายก็ก้าวเข้ามาล็อกตัวฉันไว้ สติที่เลือนรางของฉันรับรู้ได้ว่ามีใครบางคนขึ้นมาร้องเพลงแทนขณะที่พี่ชายกึ่งลากกึ่งจูงฉันกลับเข้าไปข้างใน

    ชเวจุนฮีในร่างของฉันหันกลับไปมองอย่างกราดเกรี้ยว

    ซอจูฮยอนคือคนที่เข้ามานั่งแทนที่ฉันบนเวที

     

     

    ฉันทอดสายตามองวิวทิวทัศน์ที่ขาวโพลนของคารุอิซาว่าอย่างเหม่อลอย ก่อนจะถอนหายใจแล้วกระชับไม้สกีในมือแน่น แล้วไถลตัวลงไป

    สัมผัสเย็นๆ ของหิมะช่วยทำให้หัวใจที่เจ็บปวดกลับมาด้านชาเหมือนเดิม แต่พอหันหลังกลับไปแล้วเห็นพี่จงฮยอนกำลังสอนเด็กคนนั้นหัดเล่นสกี หัวใจของฉันมันก็เจ็บขึ้นมาอีก...

    ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ชเวจุนฮีมีความสำคัญกับเขามากขนาดนั้น...

    หัวสองนึกย้อนกลับไปถึงภาพเมื่อสองวันที่แล้ว หลังจากจบงานแต่งงานของพี่ซูยองกับพี่ชีวอน จู่ๆอีจงฮยอนก็บุกมาหาฉันถึงที่บ้าน แม้ว่าเราจะอยู่ห่างแค่เพียงรั้วกั้น แต่ตั้งแต่เกิดเรื่องวันนั้น เขาไม่เคยย่างกรายเข้ามาในบ้านของฉันอีกเลย

     

    “มะรืนนี้ถ้าคุณว่างผมอยากชวนคุณไปญี่ปุ่นด้วยกัน” เขาพูดพลางวางตั๋วเครื่องบินลงบนโต๊ะทำงาน ฉันเหลือบตามองแล้วเงยหน้า จ้องลึกลงไปในดวงตาเย็นชาของเขา

    “ทำไมถึงมาชวนฉัน?”

    “เพราะคุณเป็นคู่หมั้นผม และเพราะคุณช่วยจุนฮีเอาไว้ในงานวันนั้น อันที่จริงผมอยากชวนครูจองโมไปด้วย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ราวกับว่าการที่เราเป็นคู่หมั้นกันไม่ได้สลักสำคัญอะไร ราวกับว่าฉันเป็นคนอื่นที่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ ราวกับว่าเขาไม่อยากจะติดค้างหนี้บุญคุณอะไรกับฉันทั้งสิ้น

    “ฉันกับพี่จองโมเราลางานพร้อมกันไม่ได้ คุณชวนเขาไปแทนเถอะค่ะ ฉันต้องอยู่ดูโรงเรียน” ฉันก้มหน้าลงดูเอกสารต่อ ทั้งๆที่สายตาพร่ามัวไปหมดด้วยความเจ็บปวด

    “งั้นผมเลือกคุณ อย่างที่บอกเหตุผลข้อแรกไป... เพราะเราเป็นคู่หมั้นกัน”

     

    คู่หมั้นที่ไหนเขาทำกันแบบนี้บ้างล่ะ? พาผู้หญิงคนอื่นมาด้วย แล้วก็ตัวติดกันตลอดจนฉันกลายเป็นส่วนเกิน ไม่ว่าจะทำยังไง รอยยิ้มของเขาก็ไม่เคยมีให้ฉัน ฉันจะดีจะร้ายยังไงอีจงฮยอนก็สนใจแต่จูเนี่ยล

    ฉัน...ควรจะยอมแพ้แล้วจากไปไหมนะ?

    “อ๊า! ช่วยด้วยค่ะพี่ชาย!” เสียงร้องของจูเนี่ยลดังขึ้น แล้วก่อนที่ฉันจะทันรู้ตัวด้วยซ้ำ เด็กคนนั้นก็ถไลตัวลงจากลานสกี พุ่งตรงลงมาที่ฉัน!

    “โอ๊ย!!!

    เราสองคนกระเด็นไปคนละทิศละทาง แรงกระแทกทำเอาจุกจนพูดไม่ออกไปพักใหญ่ ถ้าไม่มีหิมะกองเบ้อเริ่มรองรับตัวไว้ฉันว่าฉันคงไม่เจ็บแค่นี้แน่ๆ ฉันรู้สึกได้ว่าผู้คนรอบตัวพุ่งความสนใจมาที่เรา แต่เอาเข้าจริงๆเลยคือฉันลุกไม่ขึ้น

    Anatawa… daijyobudesuka? (เป็นอะไรรึเปล่าครับ?)” ผู้ชายคนหนึ่งที่ท่าทางเหมือนเป็นเจ้าหน้าที่ประจำลานสกีเข้ามาพยุงให้ฉันลุกขึ้น

    Hai, daijyobudesu. Shimpaini kakete sumimasen. (ฉันไม่เป็นไรค่ะ ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะคะ)” ฉันตอบกลับไปก่อนทิ้งน้ำหนักตัวลงบนแขน แต่แล้วความเจ็บก็แล่นปรี๊ดขึ้นมา

    “อ๊ะ!

    Yakedowoshimattandesu ukawanaino houga iidesuyo. (คุณมีแผลนี่ครับ ยังไงก็อย่าเพิ่งขยับจะดีกว่านะครับ)” ฉันหันมองแขนของตัวเองที่มีรอยถาก... น่าจะโดนไม้สกีของเด็กคนนั้นข่วนเอาล่ะมั้ง

    Hontoni daijyoubudesu. Yakedoga chiisakute amari itakunattekara. Ano hitowo miteitadakemusu. Onegaishimasu. (ไม่เป็นไรจริงๆค่ะ แผลเล็กแค่นี้เอง แล้วก็ไม่ได้เจ็บเท่าไหร่ด้วย ช่วยไปดูคนที่อยู่ตรงนั้นดีกว่านะคะ รบกวนด้วยค่ะ)” ฉันตอบกลับไปเป็นภาษาญี่ปุ่นก่อนจะโค้งคำนับให้เจ้าหน้าที่ เขาเอ่ยรับสั้นๆก่อนจะวิ่งไปทางจูเนี่ยล โดยที่ฉันได้แต่มองตามไป เธอดูเหมือนจะไม่ได้บาดเจ็บมากมาย แต่ถึงอย่างนั้นสายตาเป็นห่วงเป็นใยที่เขามีให้ ท่าทีร้อนรนที่เขาแสดงออกกลับทำให้ฉันเจ็บยิ่งกว่าบาดแผลทั้งหมด ยิ่งได้เห็นสีหน้าโล่งอกของเขาตอนที่พยุงจูเนี่ยลขึ้นยืนได้หัวในของฉันก็ยิ่งเจ็บ ภาพทั้งหมดนั่นยิ่งตอกย้ำความจริงชัด... ไม่มีที่เหลือสำหรับฉันแล้วจริงๆ

    ฉันหันกลังกลับเอื้อมมือขึ้นมากดแผลแล้วเดินกระโผลกกระเผลกไปทางบ้านพักเพียงลำพัง ยิ่งเดินห่างออกมาเท่าไหร่ ขอบตาก็ยิ่งร้อนขึ้น ตรงกันข้ามกับหัวใจที่เหมือนจะมีแต่เย็นลงๆ

    “เดี๋ยวก่อน!

    แรงกระชากที่ข้อมือกะทันหันทำให้ฉันเสียการทรงตัว และคงล้มลงไปกองกับพื้นอีกครั้งถ้าไม่ใช่ว่ามีอ้อมแขนอุ่นๆของเขามารับเอาไว้

    อีจงฮยอน...

    “ฉันไม่เป็นไร คุณไปดูเด็กคนนั้นเถอะ”

    “อย่าทำอวดเก่งไปหน่อยเลย เดินดีๆคุณยังทำไม่ไหว ทำไมถึงได้ปฏิเสธความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ล่ะ?”

    “ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน!” ฉันสะบัดมือเขาทิ้งอย่างไม่ใยดีและผลคือตัวเองล้มลงไปกองกับพื้น คงเป็นความเจ็บ คงเป็นบาดแผลที่ทำให้ฉันตาพร่า ไม่ใช่น้ำตา ไม่ใช่จริงๆ...

    ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาใกล้เข้ามา ร่างสูงๆนั่งลงกับพื้นก่อนจะยื่นมือมาสัมผัสไหล่ของฉันอย่างเบามือ... สัมผัสนั่นนุ่มนวลอ่อนโยนเหมือนในอดีต แล้วตัวฉันก็สั่นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่

    “ผมให้จูเนี่ยลไปทำแผลที่ศูนย์แล้วบอกเธอว่าจะไปรับทีหลัง ถ้าคุณไม่อยากเจอเธอที่นั่น ก็กลับไปทำแผลที่บ้านเถอะนะ ผมจะพาไปเอง” ฉันยังคงก้มหน้า เค้นพลังทั้งหมดที่มีออกมาเพื่อจะพูดตอบอย่างเย็นชาที่สุด

    “ปล่อย...”

    “ซอฮยอนอา”

     

    ซอฮยอนอา...

    “ทำไมถึงเรียกฉันว่าซอฮยอนล่ะคะ? ชื่อจริงๆของฉันคือซอจูฮยอนต่างหาก”

    “ก็เพราะ ซอฮยอนแปลว่าหญิงสาวผู้งามสง่า เหมาะกับว่าที่เจ้าสาวของพี่มากกว่าใครๆ ถ้าทุกคนเรียกเธอว่าจูฮยอน พี่ก็อยากเรียกเธอด้วยชื่อนี้... ชื่อที่พี่เป็นคนตั้งให้ ชื่อที่จะมีแค่พี่คนเดียวที่เรียกเธอ ซอฮยอนอา...”

     

    ความทรงจำไหลบ่าเข้ามาโดยที่ฉันไม่ทันตั้งตัว ชื่อของฉัน ชื่อที่ฉันใช้นับตั้งแต่วันนั้นเพื่อไม่ให้ลืมเขา เพื่อให้ทุกครั้งที่ฉันได้ยินฉันจะจำได้ว่าหัวใจฉันเป็นของใคร แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่าพอมาถึงวินาทีนี้ ที่ฉันได้ยินคนๆนี้เรียกฉันอีกครั้งมันจะทำให้เจ็บปวดราวกับหัวใจแหลกสลาย แล้วฉันก็ได้แต่ร้องไห้ ร้องไห้อยู่อย่างนั้น หมดสิ้นเรี่ยวแรง ความเข้มแข็งและความเย็นชา ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันฉาบเอาไว้เป็นกำแพงเพื่อป้องกันความเจ็บปวดได้พังลงตรงนั้นและละลายไปกับกองหิมะ

    ฉันขาดผู้ชายคนนี้ไม่ได้... ถ้าฉันจะต้องเสียเขาไป ฉันคงมีชีวิตต่อไปไม่ได้ นี่ฉันควรจะทำยังไงดี...

     

    ผมอุ้มซอฮยอนที่ร้องไห้เหมือนเด็กๆตลอดทางกลับมายังบ้านพัก พอเปิดประตูซอฮยอนคนเก่าก็กลับมา เธอบอกให้ผมวางเธอลงแล้วก็เดินกระโผลกกระเผลกเข้าไปข้างในเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าและทำแผล ปฏิเสธที่จะให้ผมช่วย

    ผมนึกถึงภาพเธอในวันงานแต่งงาน... เธอสวย สวยจนผมไม่สามารถมองไปที่ไหนได้นอกจากเธอ เธอกลายเป็นผู้หญิงที่งามสง่าราวกับเจ้าหญิง เหมือนกับชื่อที่ผมตั้งให้ ไม่ผิดไปแม้แต่นิดเดียว ผมสั่นหัวไล่ความคิดทั้งหมดนั้นทิ้งไป แต่กลับเห็นอีกภาพเข้ามาแทนที่ ตอนที่เธอถูกจุนฮีชนจนกระเด็นออกไป ผมกลับนึกถึงเธอก่อน และคงวิ่งไปถึงตัวเธอแล้วถ้าไม่ใช่ว่าจุนฮีเรียกผมเอาไว้...

    ไม่ได้สิ... นายต้องดูแลชเวจุนฮี... นายลืมสัญญาไปแล้วเหรอ?

    เพล้ง!!!

    เสียงอะไรบางอย่างข้างในทำให้ผมสะดุ้งสุดตัว ผมหันหลังกลับโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดก่อนจะกระชากประตูเปิดออก กลางห้องรับแขกของบ้านพัก ซอฮยอนนั่งอยู่บนโซฟามองมาที่ผมอย่างตกใจ ตรงหน้าเธอมีกล่องปฐมพยาบาลที่ถูกรื้อเละเทะวางอยู่ บนพื้นคือแก้วน้ำที่ดูเหมือนว่าเธอจะเผลอปัดมันตกตอนหายาใส่แผล

    “มือฉันเผลอไปโดนน่ะ...” เธอตอบผมด้วยแววตาใสซื่อเหมือนเด็กๆเวลาทำอะไรสักอย่างผิด ผมก้มลงมองแผลที่แขนของเธอก่อนจะก้าวข้ามเศษแก้วน้ำเข้าไปนั่งข้างๆ ซอฮยอนทำท่าจะถอยหนีไป แต่ผมจับแขนของเธอไว้

    “อ๊ะ!” เธอร้องออกมา คงจะเป็นเพราะผมบีบแขนเธอตรงใกล้ๆกับแผลเลยทำให้เธอเจ็บ ผมชำเลืองมองบาดแผลของเธอที่เหมือนโดนของมีคมสักอย่างบาดจนเป็นรอย ดูเหมือนว่าเลือดจะยังไม่หยุดไหลเลยด้วยซ้ำ

    “ลึกเหมือนกันนี่ แล้วก็ทำเป็นดื้อไม่ยอมไปหาหมอ” ผมพูดกับเธอพลางหยิบอุปกรณ์ที่จำเป็นขึ้นมาแล้วเริ่มต้นด้วยการล้างแผล ซอฮยอนอยู่นิ่งๆยอมให้ผมช่วย แม้ว่าเธอจะไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยระหว่างนั้นก็ตาม

    “เจ็บมากมั้ย?” ผมถามเธอ

    “ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ” เธอตอบก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนทำท่าจะเหยียบลงไปบนเศษแก้วที่พื้น ผมเลยยื่นมือออกไปโอบเอวเธอแล้วรั้งร่างบอบบางเข้ามาในอ้อมแขนโดยไม่ทันคิด ผลก็คือซอฮยอนอยู่บนตักผมและจมูกเราก็ชนกัน

    เสียงฟืนปะทุดังประเปรียะอยู่ในเตาผิงระหว่างความเงียบงัน เราได้แต่มองตากัน แทบจะลืมหายใจไปแล้วด้วยซ้ำ ริมฝีปากของเธออยู่ตรงหน้าผม แล้วจู่ๆก็ดันนึกขึ้นมาได้ว่าเรียวปากคู่นี้หวานฉ่ำมากแค่ไหนในคืนนั้น คืนที่เราจูบกันเป็นครั้งแรก

    ฉับพลัน คำเตือนบางอย่างก็แว่บเข้ามาในหัวสมอง... หากได้รับจุมพิตที่สองจากราชินีหิมะ ความทรงจำทุกอย่างจะถูกลืมเลือน ถ้าผมจูบเธออีกครั้ง ผมคงลืมทุกสิ่งจนหมดสิ้น ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับจุนฮี ลืมหน้าที่ที่ตัวเองต้องรับผิดชอบ...

    แต่ผมก็ตกอยู่ใต้มนตร์สะกดของความเย็นชานี่ซะแล้ว

    ริมฝีปากของเราสัมผัสกันเบาๆ ก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายรั้งเธอเข้ามาใกล้แล้วจูบเธอดูดดื่มเนิ่นนาน ถ้าหากหัวใจผมโดนแช่แข็งไปแล้วจริงๆ ทำไมตอนนี้มันถึงได้รู้สึกเจ็บปวด ทำไมมันถึงได้ทรมานมากขนาดนี้... ทำไมกันนะ?

    ในที่สุดซอฮยอนก็เป็นฝ่ายดันผมออก น้ำตารื้นขึ้นในดวงตาคู่สวยตรงหน้า และนั่นยิ่งทำให้หัวใจของผมเจ็บมากขึ้นไปอีก

    “ซอฮยอนอา...”

    ผมเอื้อมมือสัมผัสใบหน้าของเธอแผ่วเบา ซอฮยอนหลับตาลงแล้วน้ำตาก็ค่อยๆร่วงลงมาเป็นสายอย่างเงียบงัน ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเธอถึงร้องไห้ด้วยซ้ำ แต่ก่อนที่ผมจะได้ทำอะไรไปมากกว่านั้น สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าประตู

    “พี่ชาย...” เสียงของจุนฮีกระซิบเรียก แค่คำสั้นๆสองพยางค์นั้นกลับทำให้เลือดผมแข็งไปหมดทั้งตัว แล้วผมก็รู้สึกได้ว่าตัวเองทำผิดพลาดลงไปมหันต์ ใบหน้าซีดขาวและมือสั่นเทิ้มของจุนฮีเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีว่าเธอเห็นภาพเมื่อครู่ชัดเจน ภาพที่เราสองคนจูบกัน

    แล้วโดยที่ไม่คาดคิด ซอฮยอนลุกขึ้นยืนก่อนจะมองผมด้วยสายตาเย็นชา รอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้าสวยหวานนั่นดูร้ายกาจราวกับเป็นคนละคนกับซอฮยอนที่ผมรู้จัก

    “เห็นแล้วก็ดี...  เธอจะได้ทำได้ยอมรับได้สักทีว่าต่อไปนี้อีจงฮยอนเป็นผู้ชายของฉัน... เขาจะเป็นของฉันไปชั่วนิรันดร์”

     

     

    ถ้าหากว่าฉันได้ตัวเขาไว้ จะมีสักวันไหมที่หัวใจเย็นชาของเขาจะละลายและเปิดรับฉันกลับเข้าไปอีกครั้ง...

    เป็นไปได้ไหม ที่ฉันจะเติมเต็มช่วงเวลาแปดปีที่หายไป และทำให้เขาลืมเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมา...

    ฉันยืนกอดอกตัวสั่นเทาอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้านพัก ว่ากันว่าคารุอิซาว่าถือเป็นที่หนึ่งในสถานที่ดูดาวที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น เรื่องนั้นคงจะจริงล่ะมั้ง เพราะตอนนี้บนฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวนับร้อยดวงที่ส่องประกายระยิบระยับ แต่ถึงแม้มันจะสวยแค่ไหน ความรู้สึกหนักอึ้งในใจฉันก็ยังไม่จางหายไป

    เป็นไปได้ไหมที่เขาจะกลับมารักฉันอย่างเดิม...

    “ซอจูฮยอน...” เสียงใครคนหนึ่งเรียกฉันดังขึ้นจากข้างหลัง ฉันหันหลังกลับไปมองด้วยความประหลาดใจ

    ชเวจุนฮี

    “ฉันมีเรื่องอยากจะพูดกับเธอ” เด็กคนนั้นก้าวข้ามาใกล้ก่อนจะเดินผ่านเลยไปยังบันไดที่ทอดตัวลงไปสู่พื้นสีขาวโพลนข้างหน้า ไม่แม้แต่จะหันกลับมามองว่าฉันเดินตามไปรึเปล่า เอาเข้าจริงๆ ฉันก็ลังเลใจอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่อยากทิ้งให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆต้องเดินออกไปข้างนอกตัวคนเดียว แถมยิ่งตอนนี้เธอเดินไปไกลแล้วด้วย

    ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจวิ่งตามจูเนี่ยลไป ไม่มีเวลาแม้แต่จะกลับเข้าไปหยิบเสื้อแจ็กเกตด้วยซ้ำ ฉันตรงเข้าไปคว้าข้อมือเธอให้หยุด แต่เด็กคนนั้นก็สะบัดออกด้วยเรี่ยวแรงเหลือเชื่อ

    “ถ้ามีอะไรจะพูดก็กลับไปคุยกันข้างในสิ จูเนี่ยล จูเนี่ยล!” ฉันพูดกับเธอแต่จูเนี่ยลไม่แม้แต่จะหันกลับมามองด้วยซ้ำ เธอยังคงก้าวเท้าต่อไปข้างหน้าเรื่อยๆ ถ้าหากว่าพลัดหลงออกไปจากเขตบ้านพักแล้วล่ะก็จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างก็ไม่รู้ แถมตอนนี้หิมะเริ่มตกแล้วด้วย

    ฉันตัดสินใจก้าวตามเด็กคนนั้นไป แม้จะรู้ว่ามีบางสิ่งไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับตัวเธอ แต่ฉันก็ไม่คิดจะถาม ไม่ว่าอะไรที่ทำให้เธอกลายเป็นแบบนี้ นั่นหมายความว่ามันคงเลวร้ายพอดู...

    หรือฉันควรจะยอมแพ้แล้วจากไปดีนะ?

    “เธอน่ะ” จูเนี่ยลหยุดฝีเท้าลงกะทันหัน ลมเริ่มพัดกรรโชกแรงขึ้นราวกับตั้งใจแสดงถึงอารมณ์ในดวงตาของชเวจุนฮี ทว่าใบหน้าขาวผ่องของเธอยังดูสงบเยือกเย็นอย่างประหลาด

    “เธอชอบพี่ชายมากแค่ไหนกัน ชอบมากถึงขนาดต้องแย่งเขาไปจากฉันเลยงั้นเหรอ?”

    “ฉันแย่งเขาไปไม่ได้หรอก อีจงฮยอนต้องตัดสินใจเองว่าเขาจะเลือกใคร”

    “โกหก!!!” จูเนี่ยลกรีดเสียงขึ้นมาจนฉันสะดุ้ง ร่างเล็กๆหายใจแรงจนไหล่บอบบางขยับตามจังหวะ หิมะเริ่มตกหนักขึ้นส่อเค้าให้เห็นว่ามันกำลังจะกลายเป็นพายุในไม่ช้า

    “ถ้าเธอมาเพราะจะพูดเรื่องแค่นี้ ฉันก็ไม่มีอะไรต้องฟัง เราควรจะกลับบ้านพักกันได้แล้ว” ฉันพูดเสียงดังแข่งกับลมที่พัดอื้ออึงพลางห่อตัวลงด้วยความหนาว จูเนี่ยลไม่ได้พูดอะไรตอบจนกระทั่งฉันหันหลังแล้วเริ่มออกเดิน

    “...มันไม่ได้เป็นอุบัติเหตุ”

    ฉันหันหลังกลับมองเธออย่างไม่เข้าใจ

    “ฉันอยากให้เธอตายๆไปซะ ฉันจงใจหันปลายไม้สกีไปแทงเธอ ทั้งๆที่มันไม่น่าจะพลาดเลย... ฉันอยากเห็น อยากเห็นมันปักหัวใจเธอด้วยซ้ำ” ฉันมองแววตาบ้าคลั่งของเด็กสาวตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ หมายความว่ายังไงกัน? ชเวจุนฮี... คิดจะฆ่าฉันจริงๆงั้นเหรอ?

    “แต่ถึงมันจะไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไรหรอก... เพราะตอนนี้ฉันจะแก้ตัวใหม่ ฉันจะฆ่าเธออีกครั้ง และคราวนี้มันต้องสำเร็จด้วย” สิ้นคำพูดนั้น จูเนี่ยลก็กระชากตัวฉันจนเราสองคนล้มลงไปกองกับพื้นหิมะ ไม่อยากจะเชื่อเลย เด็กคนนี้แรงเยอะจนฉันสู้ไม่ไหว หรืออาจจะเป็นเพราะจูเนี่ยลสวมแจ็กเกตกันความหนาวมาอย่างดี แต่ฉันกลับมีแค่สเวตเตอร์ตัวเดียว เพราะงั้น ในเวลาไม่นานเด็กคนนั้นก็นั่งคร่อมอยู่บนตัวฉัน มือเล็กๆเย็นเยียบนั่นกำรอบคอรีดเค้นเอาอากาศออกไปจากปอด

    ฉันกำลังจะตาย...ไม่นะ!

    ฉันพยายามดิ้นรนในขณะที่ภาพทุกอย่างตรงหน้าพร่าเลือนลงไปเรื่อยๆ ความหนาวเย็นเริ่มทำให้ฉันชา นี่ฉันกำลังจะตายจริงๆใช่ไหม?

    จู่ๆพื้นหิมะก็เริ่มสั่นสะเทือน จูเนี่ยลคลายมือออกด้วยสีหน้าตกใจ แล้วลุกขึ้นจากตัวฉัน ฉันได้ยินเสียงตัวเองไอโขลกอยู่สองสามที แล้วก็รู้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติ ฉันหันหลังกลับไปพอดีกับที่คลื่นหิมะจำนวนมหาศาลไหลบ่าเข้ามาด้วยความเร็วสูง

    หิมะถล่ม!

    ฉันรีบคว้าข้อมือจูเนี่ยลออกวิ่งทันที แต่แค่ไม่กี่ก้าว กองหิมะมหาศาลก็โถมเข้าใส่เราทั้งคู่ พัดเราตกจากภูเขาลงไปข้างล่าง ฉันกับจูเนี่ยลทำได้แค่กอดกันแน่นภาวนสุดหัวใจอย่าให้เราสองคนถูกหิมะฝังทั้งเป็น

    ในขณะที่ความหนาวเย็นกำลังจะพรากสติสุดท้ายออกไป ฉันก็คิดถึงรอยยิ้มเมื่อแปดปีที่แล้วจากผู้ชายคนนั้น...

    พี่จงฮยอนคะ... ช่วยฉันที
     

    สามชั่วโมงถัดมาหลังจากผมโทรศัพท์ข้ามประเทศไปยังเกาหลี คิมจองโมก็ปรากฏตัวขึ้นหน้าประตูบ้านพัก สีหน้าของเขาดูเป็นกังวลแล้วก็เดินฝ่ากลุ่มเจ้าหน้าที่กู้ภัยที่เดินอย่างรีบเร่งทั่วห้องรับแขกตรงมาหาผมที่นั่งหน้าจอแสดงผลเรดาร์อย่างสิ้นหวัง

    “ทำไมจู่ๆสองคนนั้นถึงได้หายไปท่ามกลางพายุหิมะได้ล่ะครับ?” นั่นคือคำถามแรกของเขา ผมละสายตาจากจุดกะพริบหน้าจอแล้วจ้องหน้าครูตรงๆ เขาเป็นคนแรกที่ผมนึกออกตอนที่รู้ตัวว่าทั้งซอฮยอนและจูเนี่ยลหายไป เพราะผมไม่รู้จักเพื่อนๆคนอื่นของซอฮยอน และก็ยังไม่กล้าติดต่อคุณป้า อย่างน้อยก็จนกว่าจะรู้ว่าเธอหายไปไหน

    “ผมไม่ทราบเหมือนกันครับ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนหิมะตกหนักมาก แล้วสองคนนั้นก็ไม่ได้อยู่ในบ้านพัก ผมวิ่งออกไปหารอบๆแต่ก็มองอะไรไม่เห็นเลย แถมที่ตีนเขาไม่ไกลก็มีหิมะถล่มอีก ผมเลยรีบแจ้งกู้ภัยให้ออกตามหา แต่กว่าจะเริ่มทำงานกันจริงๆก็ตอนหิมะหยุดช่วงเกือบฟ้าสางน่ะครับ”

    “แล้วจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวอะไรเลยเหรอครับ?” ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ เราสองคนจ้องมองเจ้าหน้าที่ทำงานกันอย่างเงียบๆ ไม่รู้จะพูดอะไร อันที่จริงเราสองคนไม่อยากแม้แต่จะคิด ถ้าหากว่าจูเนี่ยลและซอฮยอนหายไปทั้งๆอย่างนี้...

     

    พี่จงฮยอน พี่จงฮยอนคะ...

     

    ผมสะบัดหัวไล่ความคิดเลวร้ายทั้งหมดทิ้งก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วหันไปถามคุณจองโม

    “กาแฟหน่อยไหมครับ?” ครูพยักหน้า แล้วก็เดินตามผมเข้าไปในครัว

    ผมปล่อยให้เครื่องชงกาแฟทำหน้าที่ทำลายความเงียบ หัวใจยังคงหนักอึ้งไปหมดด้วยความเจ็บปวด ทำไมนะ? แน่นอนว่าครึ่งหนึ่งเป็นความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากความกังวล แต่อีกส่วนหนึ่งคือความคิดที่ว่าผมอาจไม่ได้เจอซอฮยอนอีกเลย...

    ทั้งๆอย่างนั้นทำไมผมถึงไม่พูดออกไปกันนะ?

    “คุณจงฮยอนครับ?”

    ผมสะดุ้งเพราะเสียงเรียก แล้วก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองเทกาแฟออกมาล้นถ้วย ผมคว้าผ้าขี้ริ้วมาเช็ดกาแฟที่หกเลอะเทอะอย่างเก้ๆกังๆ

    “อันที่จริง... ที่ผมมานี่เพราะอยากจะพูดอีกเรื่องที่เกี่ยวกับจูเนี่ยลน่ะครับ...” คุณจองโมคว้าเหยือกกาแฟไปรินใส่แก้วสองใบด้วยตัวเองก่อนจะเลื่อนแก้วใบหนึ่งมาให้ผม

    “เรื่องอะไรเหรอครับ?”

    “...คุณ... ไม่คิดจะให้จูเนี่ยลรับการรักษาอย่างถูกต้องบ้างเหรอครับ?”

    เพล้ง!!

    แก้วกาแฟลื่นหลุดจากมือผมลงไปแตกกระจายอยู่บนพื้นไม้แทบเท้า ผมมองหน้าคิมจองโมที่ยังคงดูนิ่งเฉย เขาเพียงแต่จิบกาแฟแล้วพูดต่ออย่างไม่สะทกสะท้าน

    “ผมรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของจูเนี่ยลเลยถือวิสาสะขอให้เพื่อนสนิทของซอฮยอนคนหนึ่งค้นประวัติเธอให้ รวมทั้งประวัติคุณด้วย... ชเวจุนฮี เด็กคนนั้นเป็นลูกสาวของชเวซึงวอน นักธุรกิจที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในช่วงวิกฤตที่บริษัทคุณพ่อของคุณล้มละลายเมื่อห้าปีที่แล้ว ผมพูดถูกใช่ไหมครับ?”

    ผมได้แต่นิ่งอึ้ง

    เขารู้มากแค่ไหน?... รู้เรื่องทั้งหมด รวมไปทั้งอดีตของจุนฮีด้วยรึเปล่า?

    “...สามปีหลังจากที่ชเวซึงวอนซื้อหุ้นบริษัทคุณพ่อของคุณ เขาก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ภรรยาใหม่ที่เพิ่งแต่งงานกันได้ไม่นานก็ขึ้นเป็นผู้ถือสิทธิ์แทน... มันอาจจะฟังดูเหมือนนิทานที่แม่เลี้ยงใจร้ายไม่ชอบหน้าลูกเลี้ยง แต่สิ่งเลวร้ายกว่านั้นคือลูกชายแท้ๆของเธอที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลชเวทำร้ายจุนฮีอย่างที่ไม่น่าให้อภัย--

    “พอทีเถอะครับ!” ผมโพล่งออกมา รู้สึกเลือดในตัวเย็นเฉียบไปหมด ผมมองหน้าคิมจองโมที่เล่าเรื่องราวเหล่านั้นออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย อาจจะเป็นเพราะเขาไม่ได้เห็นสภาพของจุนฮีในวันนั้น จุนฮีต้องทนอยู่ในนรกนานนับเดือนกว่าที่ผมกับพ่อจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วเข้าไปช่วยเหลือ แต่เมื่อถึงเวลานั้น... จุนฮีก็ไม่ได้เป็นเด็กสาวร่าเริงคนเดิมอีกต่อไปแล้ว เธอพยายามสร้างตัวตนในจินตนาการขึ้นมาหลีกหนีจากความเจ็บปวด สิ่งที่ผมทำได้คือพาเธอมาเริ่มต้นใหม่ที่นี่ ที่ที่อดีตอันเลวร้ายจะมาคุกคามเธอไม่ได้อีกต่อไป

    “คุณต้องการอะไรกันแน่? ทำไมคุณถึงได้ขุดเรื่องเก่าๆขึ้นมา เท่านี้จุนฮีก็ทุกข์ทรมานมามากพอแล้วนะครับ!

    “สิ่งที่คุณทำคือการพาเธอหนีจากความจริง ไม่ใช่ให้เธอเผชิญหน้ากับมัน... ถ้าเธอยังกลัวอดีตที่ตามหลอกหลอนอยู่ แล้วอนาคตจะมีความสุขได้ยังไง แล้วคุณมีความสุขเหรอกับการที่ปล่อยให้เธอหลอกตัวเองอยู่แบบนี้? คุณมีความสุขใช่มั้ยกับการที่เธอไม่สามารถเข้ากับสังคมได้ ควบคุมตัวเองไม่ได้ แล้วก็ยึดติดอยู่กับแค่คุณคนเดียว? ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น...แล้วซอฮยอนล่ะ ซอฮยอนเป็นอะไรสำหรับคุณ?”

    ถ้อยคำของเขาเหมือนค้อนที่ทุบทำลายกำแพงเหตุผลที่ผมเฝ้าสร้างให้กับตัวเองมาตลอด เหตุผลที่ผมบังคับให้ตัวเองฝังอดีตแปดปีเอาไว้ในส่วนลึกที่สุดของหัวใจแล้วแบกรับหน้าที่นี้ไว้กับตัวเอง

    “ถ้าคุณไม่รักซอฮยอน... ก็ขอให้ถือซะว่าสิ่งที่ผมพูดไปเป็นคำแนะนำ เป็นความปรารถนาดีที่ผมมีแก่จูเนี่ยลในฐานะที่เธอเป็นลูกศิษย์... แต่ผมอยากให้คุณรู้เอาไว้ว่าซอฮยอนเหมือนเป็นน้องสาวคนนึงของผม ถ้าหากการเสียสละไม่เข้าเรื่องของคุณทำให้เด็กทั้งสองคนต้องเจ็บปวดไปตลอดชีวิต ผมกับเพื่อนๆของซอฮยอนคงไม่อภัยคุณแน่”

    คิมจองโมกระแทกแก้วกาแฟลงกับโต๊ะก่อนจะสบตากับผมตรงๆ

    โดยที่ไม่รู้ตัวน้ำตาก็ไหลลงมาช้าๆ...

    ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยคิดถึงชีวิตที่ไม่ต้องแบกรับหน้าที่นี้ ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยลอง แต่ทุกครั้งที่ผมหันหลังเดินจากจุนฮีมา เสียงกรีดร้องของเธอก็ดังก้องอยู่ในหูจนผมทิ้งเธอไปไม่ได้ แล้วถ้าหากมันไม่สำเร็จ จุนฮีก็จะมีชีวิตไม่ต่างจากตกนรกทั้งเป็น

    ยังไม่ทันที่จะได้คิดอะไรมากกว่านั้นเสียงเอะอะโวยวายจากข้างนอกก็ดึงความสนใจจากพวกเรา ผมกับครูจองโมวิ่งออกไปข้างนอก แล้วเราก็พบทีมกู้ภัยกึ่งหามกึ่งพยุงใครบางคนเข้ามา

    “จุนฮี!!

    ผมวิ่งถลาลงไปหาเธอที่ดูขาวซีด ร่างบอบบางสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวทีมกู้ภัยใช้ผ้าห่มผืนหนาพันรอบร่างเธอเอาไว้พยายามถามเธอว่าเจ็บตรงไหน แต่จุนฮีไม่ตอบอะไรจนกระทั่งเธอเห็นผม

    “พี่ชาย... พี่ชาย” เธอโผเข้ามาในอ้อมกอดผมพร้อมเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด ความกลัวในใจผมหายไปครึ่งหนึ่ง ระหว่างที่ผมลูบหลังจุนฮีเบาๆ มองหาคนอีกคนที่ควรจะกลับมาด้วยกัน...

    แต่ก็ยังคงไร้วี่แวว...

    “จุนฮี” ผมดันเธอจากอ้อมกอด จับไหล่เล็กๆนั่นรู้สึกลางสังหรณ์บางอย่างเริ่มก่อเค้าให้เห็น “บอกพี่ได้ไมว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อคืนเธอออกไปกับซอฮยอนใช่ไหม? แล้วตอนนี้ซอฮยอนอยู่ที่ไหน?”

    “...พี่ชาย...พี่ชายต้องมีจุนฮีแค่คนเดียวใช่ไหมคะ? เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป พี่ชายจะไม่ให้ใครมาทำร้ายจุนฮีได้อีก ใช่ไหมคะ?” จุนฮีมองผมพร้อมรอยยิ้มใสซื่อแบบเด็กๆ แต่นั่นมันกลับทำให้ผมรู้สึกเย็นไปจนถึงกระดูก

    “...จุนฮี... เธอทำอะไรซอฮยอน? เธอทำอะไรลงไป?”

    “ก็แค่... ผู้หญิงคนนั้นจะได้ไม่มาแย่งพี่ชายไปอีก... ผู้หญิงคนนั้นเป็นแม่มด...”

    “ชเวจุนฮี!!!” ผมตะโกนก่อนจะบีบแขนเธอแน่นจนทุกคนรอบข้างตกใจไม่เว้นแม้แต่ตัวจุนฮีเอง ตอนนี้ผมรู้แล้ว... ผมรู้แล้วว่าครูจองโมพูดถูก ผมปกป้องจุนฮีในทางที่ผิด ผมเองที่เป็นคนทำให้จุนฮีแย่ลงไปกว่าเดิม และถ้าซอฮยอนไม่กลับมาผมจะเสียใจไปตลอดชีวิต

    “พ...พี่ชาย...” น้ำตาเริ่มไหลอาบแก้มขาวซีดนั่นอีกครั้ง ดวงตากลมโตตื่นตระหนกเหมือนเธอเพิ่งได้สติ “ช่วยด้วยค่ะ...ไปช่วยเธอที ผู้หญิงคนนั้นช่วยจุนฮีเอาไว้ เค้าช่วยจุนฮีเอาไว้ แต่...แต่...”

    “ครูครับ ผมฝากจุนฮีด้วย” ผมหันไปพูดกับครูจองโมที่พยักหน้าให้แล้วดึงจุนฮีที่ร้องไห้อย่างเสียขวัญเข้ามาในอ้อมกอด แล้วออกวิ่งไปตามทางที่เจ้าหน้าที่เพิ่งนำตัวจุนฮีเข้ามา

    อย่าเป็นอะไรไปนะซอฮยอน... พี่กำลังไปหาเธอแล้ว พี่จะไม่มีวันปล่อยเธอไปอีก

    ตลอดไป...
     

     

    เขาคงไม่มาแล้ว...

    อีจงฮยอน เขาคงไม่มาแล้ว... แต่ก็ดีแล้วล่ะ แบบนี้ เขาก็คงจะมีความสุขกับจูเนี่ยล แค่ฉันช่วยให้เด็กคนนั้นปลอดภัยได้เท่านั้นก็พอแล้ว เขาจะได้ไม่ต้องลำบากใจอีก ส่วนฉันก็ไม่ต้องทรมานอีกต่อไป

    ร่างของฉันครึ่งหนึ่งถูกฝังอยู่ใต้หิมะ หลังจากที่ภูเขาถล่มโชคดีที่เราสองคนไม่โดนหิมะฝังทั้งเป็น ฉันพาจูเนี่ยลเข้าไปหลบพายุที่ซอกเขาแห่งหนึ่ง เรานั่งกอดกันจนเช้ารอให้พายุซาลงแล้วค่อยเดินกลับไปบ้านพัก แต่ทันทีที่จูเนี่ยลกลับมาได้สติ เธอก็ผลักฉันออกแล้ววิ่งหนีไป ฉันลื่นไถลลงมาข้างล่างแล้วก็โดนหิมะอีกกองย่อมๆละลายลงมาทับจนไม่สามารถขยับตัวได้

    เหลืออีกกี่ชั่วโมงกันนะกว่าที่ความหนาวเย็นนี่จะพรากลมหายใจสุดท้ายของฉันไป แม้แต่ในเวลานี้หัวใจก็ยังเจ็บปวดเหลือเกิน ถ้าหากฉันขออะไรได้สักอย่างก่อนตาย ขอฉันเห็นหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้ายได้ไหม?

    ซอฮยอน...ซอฮยอน

    เสียงนุ่มๆของเขาดังขึ้นไม่ไกล... พระเจ้าได้ยินคำขอของฉันใช่ไหมคะ? หมายความว่าลมหายใจของฉันกำลังจะหมดไปแล้วใช่ไหมคะ?

    สิ่งสุดท้ายที่ฉันเห็นคือใบหน้าของอีจงฮยอน คนที่ฉันสัญญาว่าจะรักเขาจนชั่วนิรันดร์...

    แสงสีขาวบดบังภาพทุกภาพจากสายตาฉัน พอรู้สึกตัวอีกทีฉันก็ลืมตาขึ้นแล้วพบว่าตัวเองกำลังอยู่ที่ไหนสักแห่งคล้ายๆโรงพยาบาล

    “ไง ฟื้นแล้วเหรอเจ้าหญิง”

    ฉันหันกลับไปมองตามเสียงทักแล้วก็เห็นพี่จองโมยืนอยู่ตรงปลายเตียง แต่สิ่งที่น่าตกใจกว่าคือใครคนหนึ่งที่นั่งหลับฟุบอยู่ข้างๆ มืออุ่นๆของเขากุมมือฉันไว้แน่น

    “จูเนี่ยลปลอดภัยดี แล้วเราก็คุยกันแล้วว่าจะลองให้เด็กคนนั้นเข้าคอร์สบำบัดอาการจิตบำบัดด้วยดนตรี พี่มั่นใจว่าจูเนี่ยลต้องเอาชนะอดีตตัวเองได้แน่ๆ” พี่จองโมชี้แจงโดยที่ฉันไม่ต้องถาม ฉันไม่ได้แปลกใจกับเรื่องที่พี่เค้าพูดสักเท่าไหร่เพราะพอจะรู้เรื่องจากพี่ยุนอาตั้งแต่ก่อนมาแล้ว ที่น่าประหลาดใจมากกว่าคือการตัดสินใจของอีจงฮยอนต่างหาก

    “เธอไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ป่านนี้พวแทยอนคงใกล้ถึงสนามบินโอกินาว่าแล้วล่ะ พี่ต้องไปรับหน้าพี่ๆของเธอก่อน ไม่งั้นโวยวายกันโรงบาลแตกแหงๆ” พี่จองโมพูดขำๆก่อนจะหันหลังกลับแล้วเดินไปทางประตู

    “ขอบคุณนะคะ พี่จองโม” พี่เค้าหันหลังกลับมาพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะเดินออกจากห้องไป

    อย่างกับรู้คิว พี่จงฮยอนเริ่มขยับตัวทันทีที่ประตูห้องปิดลง เขาสะลึมสะลือยกมือข้างที่หนุนนอนตะกี้ขึ้นขยี้ตาแบบเด็กๆ ก่อนจะหันมามองฉัน แล้วก็เบิกตากว้าง

    “ซอฮยอน! ซอฮยอนอา เธอเป็นอะไรรึเปล่า เจ็บตรงไหนมั้ย?”

    ฉันส่ายหน้าตอบกลับไป รู้สึกหัวใจเต็มตื้นขึ้นด้วยความสุข พี่จงฮยอนเอื้อมมือมาแตะหน้าผาก มองฉันด้วยความเป็นห่วงอย่างไม่ปิดบังแล้วก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เห็นว่าฉันปกติดีทุกอย่าง แต่แล้วจู่ๆความรู้สึกผิดก็ฉายแววชัดบนใบหน้า

    “เอ่อ... พี่ตัดสินใจแล้ว เรื่องจุนฮี”

    “พี่จองโมบอกแล้วค่ะ” ฉันตอบ รู้สึกหัวใจเต้นแรงขึ้นมาหน่อยนึง

    “งั้นเหรอ...” เขาตอบเบาๆก่อนจะก้มหน้าลงมองผ้าปูเตียง มือของเขายังกุมมือฉันแน่นอย่างไม่คิดจะปล่อย

    “พี่ไม่มีอะไรจะพูดกับฉันเหรอคะ?” ฉันถามขึ้นในที่สุดหลังจากปล่อยให้ความเงียบทำงานมานาน

    “มีสิ... มีเยอะแยะเลย มีจนไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหนก่อนดีเลย”

    “ถ้างั้นเราย้อนกลับไปเริ่มตรงคำสัญญาเมื่อแปดปีที่แล้วได้ไหมคะ? คำสัญญาที่ว่าเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป” ฉันพูดพลางจ้องลึกลงไปในดวงตาของเขา รอยยิ้มอบอุ่นนั่นราวกับแสงแดดที่ขับไล่ความเหน็บหนาวจากเกล็ดหิมะ เขาเอื้อมมืออีกข้างมากุมมือฉันไว้

    “คำว่า ตลอดไปนั่นน่ะ พี่สะกดไม่เป็นหรอกนะ ถ้าไม่มีเธอ...”

    ฉันยิ้ม แล้วเขาก็ยิ้มก่อนที่แก้มขาวๆของเขาจะแดงเรื่อขึ้นมาพร้อมกับคำพูดที่ฉันรอคอยมาแปดปีเต็ม “พี่รักเธอ ไม่ว่าเธอจะเป็นราชินีหิมะ หรือเป็นเด็กหญิงตัวน้อย เป็นเจ้าสาวของพี่นะ ซอจูฮยอน”

    แทนคำตอบ ฉันโผเข้าสู่อ้อมกอดของเขา อ้อมกอดอบอุ่นที่ฉันรอคอยมานานแสนนาน แล้วเราสองคนก็เริ่มหัวเราะให้กันเหมือนครั้งที่เรายังเป็นเด็กเล็กๆ

    ฤดูหนาวกำลังจะผ่านพ้นไป... และนิทานแสนเศร้าก็จบไปอีกเรื่อง...

    แต่นิทานเรื่องใหม่ที่ฉันกำลังจะเริ่มเขียนเนี่ย ท่าทางจะอบอุ่นกว่าเดิมเยอะเลยล่ะค่ะ ^^

     

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×