คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : 7th Tale ~ Frostening Snow Queen
7th Tale ~ Frostening Snow Queen
30 พฤษภาคม...
“ขอบใจนะซอฮยอน กลับบ้านดีๆนะ” พี่ยุนอาเจ้าของวันเกิดโบกมือบ๊ายบายฉันก่อนจะเดินโซซัดโซเซลงจากรถไป ฉันโบกมือบ๊ายบายก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลา ตีสองสี่สิบแล้ว... พรุ่งนี้มีสอนแต่เช้าด้วยสิ…
“ลุงคะ ไปได้แล้วค่ะ” ฉันบอกกับคนขับรถทันทีที่อยู่รอจนมั่นใจว่าพี่ยุนอาเดินเข้าบ้านไปแล้วโดยสวัสดิภาพ วันนี้พี่ๆทุกคนดื่มเยอะมาก โดยเฉพาะสามคนที่ไปต่อกับฉันเนี่ย ตอนไปต่อร้านที่สามเรียกได้ว่าเมาสิ้นสภาพ แถมแต่ละคนเรียกให้กลับก็แทบพูดไม่เป็นภาษาก็ เพราะเห็นแบบนี้ไงฉันถึงได้ไม่อยากกินเหล้า
แต่ก็เอาน่า นานๆทีถึงจะได้สนุกกันแบบนี้ เพราะวันนี้เป็นวันเกิดของพี่ยุนอาหรอก...
30 พฤษภาคม... วันนี้ไม่ได้มีความสำคัญกับฉันแค่เพราะมันเป็นวันเกิดของพี่ยุนอา แต่มันเป็นวันที่การรอคอยเริ่มต้นขึ้น
มือของฉันเอื้อมขึ้นแตะจี้ล็อคเกตห้อยคอเหมือนทุกครั้งที่คิดถึงเขา ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ? เขาจะอยู่ที่ไหน? เขาจะยังจำฉันได้อยู่มั้ย? ยังจำคำสัญญาของเราได้อยู่มั้ย?
เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป...
ปลายนิ้วของฉันลูบลงบนรอยนูนที่สลักเป็นเกล็ดหิมะ เกล็ดหิมะที่กำลังจะจางหายไปในหน้าร้อนที่จะมาถึง
แต่จู่ๆตัวเรือนล็อกเกตกับสร้อยก็หลุดลงมา ฉันคว้ามันเอาไว้ แล้วหยิบขึ้นมาดูด้วยความแปลกใจ ทำไมจู่ๆถึงได้มาขาดเอานะ? แต่ก็อย่างว่าแหละ... ของใส่ทุกวันมาตั้งเจ็ดแปดปี มันคงเก่าจนขาด พรุ่งนี้ให้พี่ซันนี่เอาไปซ่อมให้ดีกว่า แต่สร้อยล็อกเกตราคาถูกๆแบบนี้พี่เค้าต้องเอะใจอะไรแน่ ฉันต้องเอารูปข้างในออกไปก่อนไม่งั้นคงได้โดนสอบปากคำยาวว่ารูปเด็กผู้ชายข้างในเป็นใคร
รักแรก รักเดียว และรักที่ฉันกำลังรอคอยให้เขากลับมาอยู่ทุกลมหายใจ...
ใกล้ถึงบ้านแล้ว สองข้างทางยังคงมืดสลัว ยกเว้นก็แต่บ้านของฉันที่คุณแม่คงจะเปิดไฟทิ้งไว้รอ รถเคลื่นเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆแล้วฉันก็รู้สึกถึงความผิดปกติ
ไม่ใช่บ้านฉันนี่ที่เปิดไปอยู่...
ฉันคงไม่ติดใจสงสัยอะไร ถ้าไม่ใช่ว่าบ้านหลังนั้นคือบ้านที่อยู่ติดกัน...
เป็นไปได้ไง!
“ลุงคะ ลุงช่วยจอดรถตรงนี้หน่อยค่ะ!” ฉันรีบบอกลุงคนขับรถที่เลี้ยวรถจอดตามคำสั่งแบบงงๆ แต่ฉันไม่รอให้เขาถามอะไรทั้งสิ้น ฉันเปิดประตูรถแล้วรีบพาตัวเองวิ่งเข้าไปหาแสงไฟเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
แปดปี... แปดปีกับการเฝ้ารอคอย
รอคอยให้เขาคนนั้นกลับมา
ฉันยื่นนิ่งอยู่ตรงหน้าประตู รู้สึกได้ว่าหัวใจกำลังเต้นแรงทั้งๆที่ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าใช่เขาจริงๆรึเปล่าที่นั่งอยู่หลังประตูบานนี้ ฉันหลับตาก่อนจะสูดลมหายใจลึกแล้วยกมือขึ้น ทันใดนั้นเสียงกีตาร์ก็ลอยออกมาพร้อมเสียงหัวเราะของคนสองคน
หนึ่งในนั้นเป็นเสียงผู้ชาย... แต่อีกเสียง เป็นของผู้หญิงแน่นอน
เท้าของฉันก้าวไปหยุดยืนอยู่ตรงข้างหน้าต่าง ก่อนจะลอบมองผ่านรอยแยกของผ้าม่านบางๆเข้าไปข้างใน
ใช่เขาจริงๆ... เขากำลังนั่งอยู่บนโซฟา ในอ้อมกอดมีกีตาร์ตัวโปรด แล้วข้างๆกันนั้นเด็กสาวคนหนึ่งกำลังหัวเราะ ในมือของเธอมีโน๊ตเพลงที่เหมือนกำลังแต่งอยู่ ร่างเล็กๆเอนหลังซบบ่าเขาอย่างสนิทสนม
ตรงนั้นเคยเป็นที่ของฉัน
ฉันคิดว่ามันเป็นที่ของฉันมาตลอดจนกระทั่งตอนนี้
น้ำตาไหลลงมาเมื่อไหร่ไม่รู้ มือของฉันกำล็อกเกตในมือแน่น
ทั้งๆที่หน้าร้อนกำลังใกล้เข้ามา... แต่ทำไม ทำไมกันนะ?
หัวใจของฉันถึงได้หนาวเหน็บราวกับอยู่ท่ามกลางพายุหิมะอย่างนี้...
“ซอฮยอน ทำไมวันนี้มาแต่เช้าเลยล่ะ ไหนแทยอนบอกว่าเธอกลับบ้านเกือบเช้า?” พี่จองโม—คิมจองโมกีตาริสท์มือหนึ่งเอ่ยทักฉันตั้งแต่ก้าวแรกที่ฉันเดินเข้ามาในห้องส่วนตัวของผู้บริหารของโรงเรียนสตาร์ไลท์ มิวสิคอะเคเดมี่ที่ดูแล้วเหมือนสตูดิโอส่วนตัวของพวกเรามากกว่า
ฉัน พี่จองโม แล้วก็พี่แทยอนร่วมกันเปิดโรงเรียนสอนดนตรีค่ะ โรงเรียนนี้ตอนแรกเป็นของทางบ้านฉันเอง แล้วก็มีสอนแค่เปียโนค่ะ แต่หลังจากได้พี่แทยอนที่เป็นถึงลูกสาวเจ้าของสถานีโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่เข้ามาร่วมหุ้น พี่จองโมก็ตามเข้ามา ตอนนี้โรงเรียนเราเลยเปิดครบหลักสูตรทั้งสอนร้องเพลง เล่นดนตรี รวมไปถึงการเต้นและการแสดง เรากำลังแพลนจะเปิดสาขาที่ห้าช่วงปลายปีนี้ค่ะ
“วันนี้พี่แทยอนไม่เข้าเหรอคะ?”
“อื้อ เห็นว่าเมาค้าง พี่ก็นึกว่าเธอจะไม่มาเหมือนกัน” พี่จองโมจูนเสียงกีตาร์คลาสสิกระหว่างคุยกับฉัน กีตาร์สีน้ำตาลอ่อนที่ทำให้ฉันนึกถึงเรื่องเมื่อวานขึ้นมาอีกจนได้
“คิดยังไงหยิบตัวนี้มาเล่นคะ? ปกติเห็นเล่นแต่กีตาร์ไฟฟ้า” ฉันถามก่อนจะหย่อนก้นลงนั่งหน้าเปียโนตัวโปรดแล้วพรมนิ้วไล่ไปบนคีย์สีขาว
“ก็พอดีอาจารย์โจที่สอนคลาสกีตาร์คลาสสิกลาป่วยกะทันหันน่ะสิ พี่เลยต้องไปสอนแทน” ปกติแล้วพี่จองโมเป็นเด็กสายร็อคค่ะ ถือว่าเป็นตัวพ่อในบรรดาครูสอนกีตาร์ทั้งหมด เพราะเล่นได้ทั้งกีตาร์ไฟฟ้าแล้วก็กีตาร์โปร่ง แถมพี่เค้ายังร้องเพลงได้ แรปก็ได้ บางทีก็รับจ๊อบพิเศษไปโปรดิวซ์เพลงให้นักร้องดังๆบ้าง แต่สิ่งที่พี่เค้าชอบที่สุดก็คืองานสอนดนตรีนี่แหละ
“ว่าแต่เราเถอะ หน้าแบบนั้นน่ะ มีปัญหาอะไรมา?” พี่จองโมถามกลับก่อนจะจ้องฉันผ่านกระจกเงาที่อยู่บนผนังห้องซ้อม มือฉันที่พรมอยู่บนคีย์เปียโนชะงักทันที
“มีคนสอนแทนพี่แทยอนรึยังคะ? เดี๋ยวฉันไปสอนแทนดีกว่า” ฉันลุกขึ้นยืนแล้วคว้าแฟ้มเดินออกจากสตูดิโอ แต่หางตายังเห็นพี่จองโมคว้ากีตาร์เดินตามออกมาด้วย
“พี่ก็มีสอนเหมือนกัน” พี่จองโมยอมเปลี่ยนเรื่องพูด ฉันเลยถอนหายใจอย่างโล่งอก พี่ชายคนนี้ไม่ใช่คนเซ้าซี้ค่ะ อีกอย่างคือเขามักจะเข้าใจฉันกับพี่แทยอนเสมอๆเวลาที่เรามีปัญหาอะไรสักอย่าง แต่ไม่สามารถจะพูดออกมาได้
“แวะไปดูหน้านักเรียนใหม่หน่อยมั้ย?” พี่จองโมชวนพร้อมรอยยิ้มก่อนจะยื่นแขนส่งให้ฉัน
“ค่ะ ^^” ฉันสอดมือควงแขนกับพี่เค้าก่อนจะเปิดประตูเข้าไป แต่ภาพของนักเรียนที่ปรากฏเต็มสายตากลับทำให้ฉันช็อคเหมือนโดนสาป
เพราะในห้องไม่ได้มีแค่นักเรียน แต่เขาคนนั้นก็อยู่ด้วย...
อีจงฮยอน!
มือฉันบีบแขนพี่จองโมแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว เหมือนพี่เค้าจะรู้สึกได้ มืออุ่นๆของเขาเลยเอื้อมมากุมมือฉันไว้
“เอ่อ... สวัสดีครับ ผมชื่อคิมจองโม จะมาสอนแทนอาจารย์โจนะครับ แล้วคุณ...?”
“ผมอีจงฮยอน ผู้ปกครองของจูเนี่ยล... นักเรียนของคุณครับ” พี่จงฮยอนพูดขึ้นมา แต่สายตาเย็นชาของเขามองตรงมาที่ฉัน มืออุ่นๆนั่นจับมือเด็กผู้หญิงที่ชื่อจูเนี่ยลเอาไว้แน่น
“เดี๋ยวขอเชิญคุณอีจงฮยอนด้านนอกนะคะ จะได้ไม่เป็นการรบกวนการสอนของอาจารย์คิม” ฉันพูดขึ้นมา เขาแค่พยักหน้ารับเงียบๆก่อนจะหันไปส่งยิ้มอบอุ่นให้กับเด็กผู้หญิงคนนั้น ดูท่าทางของเธอแล้วน่าจะเด็กกว่าฉันแค่ไม่กี่ปี อาจจะยังเรียนมหาลัย หรือเพิ่งจบไฮสคูล แต่ทันทีที่พี่จงฮยอนเดินจากมา หน้าหวานๆนั่นก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา ทำเหมือนกับว่าพี่จองโมไม่มีตัวตนอยู่บนโลก
ฉันเดินนำอีจงฮยอนออกมาที่ห้องรับรอง เราห่างกันแค่ไม่กี่ก้าวแต่กลับไม่มีคำพูดอะไรระหว่างกัน ฉันไม่รู้จะเริ่มยังไง เพราะสายตาเย็นชาที่เขามองมาเมื่อกี้หรือเพราะภาพเมื่อวานที่ฉันเห็นกันนะ?
“พี่... กลับมาจากญี่ปุ่นตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?” ฉันตัดสินใจถามออกไปก่อนจะหยุดฝีเท้าแล้วหันไปเผชิญหน้าเขาตรงๆ รู้สึกหัวใจเต้นแรงจนเจ็บไปหมด
“เมื่อวาน...” เขาตอบกลับมาสั้นๆ ไม่แสดงท่าทางว่าอยากจะพูดหรืออธิบายอะไรต่อ แต่จะทำไงได้ล่ะ? ฉันมีเรื่องอยากถามเขาตั้งหลายล้านอย่าง โดยเฉพาะ... เรื่องของเด็กคนนั้น
ฉันยิ้มออกมา โอเค... ก็แค่ทำเหมือนเรื่องทั้งหมดไม่เคยเกิดขึ้น ทำเหมือนว่าตั้งแต่วินาทีนี้เราเพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรกในรอบแปดปี ไม่มีอะไรทั้งนั้น ถ้าหากเขาไม่อยากตอบ ฉันก็จะลบคำถามในใจทั้งหมดไปเอง
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็พังทลายลงตรงหน้าเมื่อคำพูดต่อมาดังขึ้น
“ชเวจุนฮี จูเนี่ยล... เค้าคือคนที่พี่จะดูแลไปตลอดชีวิต”
ฉันได้แต่มองผู้ชายตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ ทำไมล่ะ? หรือว่าตลอดเวลาแปดปีมีแค่ฉันคนเดียวที่เฝ้ารอ? เพราะอะไร? มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง?
“แล้วฉันล่ะ? ซอจูฮยอน... ซอฮยอน คนที่รอพี่มาตลอดล่ะคะ?”
“ขอโทษนะครับคุณซอ นั่นมันเป็นเรื่องสมัยเด็ก คุณคงไม่คิดว่าผมจะจริงจังกับคำพูดพวกนั้นหรอกใช่ไหม? ถ้าคุณไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวนะครับ” อีจงฮยอนก้มหัวให้ฉันก่อนจะเดินจากไป
นี่มันอะไรกัน! ใครก็ได้บอกฉันทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น?
ฉันได้แต่พาร่างตัวเองกลับเข้าไปในสตูดิโอ สิ่งแรกที่ฉันทำคือขังตัวเองไว้ในห้อง จากนั้นก็เปิดเพลง เร่งเสียงมันให้ดังที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่สนใจว่าเพลงที่เปิดมามันจะเป็นเพลงร็อคบาดหูสักแค่ไหน ขอแค่มันกลบเสียงร้องไห้ฉันได้ก็พอ
“ซอฮยอน อย่าดื้อนะ ถ้าซอฮยอนเป็นเด็กดีพี่จะกลับรับซอฮยอนไปเป็นเจ้าสาว”
“จริงนะคะ? ถ้าหนูเป็นเด็กดี พี่ชายจะอยู่กับหนูตลอดไปใช่มั้ย?”
“อื้อ... เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป...”
ภาพในอดีตย้อนกลับมาเป็นฉากๆ พร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมาไม่หยุด ฉันหมดเรี่ยวแรงที่จะยืน ได้แต่เอนหลังพิงกำแพงแล้วทรุดลงไปนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่อย่างนั้นก่อนที่ความคิดบางอย่างจะแล่นเข้ามา
ในเมื่อถ้าเป็นเด็กดีแล้วฉันไม่ได้เขา แล้วฉันจะทำตัวดีต่อไปอีกเพื่ออะไร?
ได้... ในเมื่อดีแล้วไม่รัก...
ซอจูฮยอนคนนี้จะร้ายให้ดู!
“นี่ แน่ใจนะว่าซอฮยอนไม่เป็นอะไรน่ะ?” ฉันหันไปกระซิบถามซูยองที่พักนี้ดูชักจะตัวติดกับว่าที่เจ้าบ่าวซะเหลือเกิน ส่วนฉันน่ะเหรอ... รอพี่ฮีชอลท้องก่อนค่อยแต่ง พูดง่ายๆคือชาติหน้า
“พี่คะ ทำไมเอาแต่นั่งมองล่ะคะ ดื่มด้วยกันสิ” ซอฮยอนผลักแก้วเบียร์ของฉันกับยัยโย่งเข้ามาข้างหน้า วันนี้แม่เจ้าประคุณเธอใส่เสื้อคว้านคอมาซะต่ำ กระโปรงก็รัดเปรี๊ยะ แถมยังทาปากแดง เข้ามาไม่พูดไม่จาอะไร สั่งเหล้าก่อนเป็นอย่างแรก ทั้งๆที่ปกติอนามัยจัด กินแต่น้ำส้ม แถมยังแต่งตัวเรียบรอยจนแทบจะเอาผ้าห่มห่อตัวเข้ามา
ไหวมั้ยเนี่ยน้องฉัน =__=
“พี่ว่าพอดีกว่านะซอฮยอน” พี่ชีวอนว่าที่น้องเขยของแก๊งค์เราดึงแก้วคอกเทลออกจากมือมักเน่ แล้วหันมามองฉันกับซูยองเป็นเชิงปรามๆ ทำไมผู้ชายของเพื่อนๆ ถึงได้มาดแมนรักแฟนยิ่งชีพขนาดนี้ ทีพี่ฮีชอลล่ะก็ รายนั้นถ้าฉันไม่เมาได้มีกรอกเหล้าเข้าปาก
แต่เราก็รักกันในแบบของเราแหละนะ > < อร๊าย~
“ไม่ค่ะ ฉันจะดื่ม” ซอฮยอนจ้องหน้าพี่ชีวอนแล้วดึงแก้วคอกเทลกลับไปทั้งที่หน้าแดงจัด เล่นเอาพวกเราอึ้ง คือก็รู้ล่ะนะว่ามักเน่เป็นพวกดื้อ แต่ปกติซอฮยอนดื้อในสิ่งดีๆ ไม่เคยดื้อเกเรแบบนี้ แสดงว่าต้องไปเจออะไรมาแหงๆ
“มีตัวช่วยมั้ย? พี่ฮีชอลล่ะ คยูฮยอนล่ะ?” พี่ชีวอนหันมาถามเราสองคนอย่างอับจนปัญญา แต่ฉันกับซูยองได้แต่ส่ายหน้า
“พี่ฮีชอลขังตัวเองทำโมเดลรองเท้าตัวใหม่มาตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วค่ะ ส่วนพี่คยูฮยอนไปทำงานต่างจังหวัด กลับมาคืนนี้แต่ก็คงไปจอยกับพวกซันนี่ที่ร้านอื่น” ฉันรายงานสเตตัสหนุ่มๆในแก๊งให้คุณว่าที่สามีเพื่อนรักรับทราบ พี่ชีวอนทำหน้าเหมือนพ่อที่เพิ่งรู้ว่าลูกสาวตัวเองหนีไปเที่ยวผับเป็นครั้งแรก
“เดี๋ยวฉันจัดการเอง” ซูยองรับอาสาแล้วก็หันไปดึงแก้วคอกเทลออกจากมือซอฮยอนอีกครั้ง ท่าทางซอฮยอนดูจะเมาได้ที่แล้วเพราะท่านั่งโงนเงนจะร่วงไม่ร่วงแหล่ ฉันเลยต้องเอื้อมมือไปประคองน้องสาวสุดที่รักเอาไว้ ไม่งั้นเกิดนั่งตกเก้าอี้หน้าทิ่มพื้นเดี๋ยวก็เสียโฉมกันพอดี
“ซอฮยอนอา... มีเรื่องอะไรบอกพี่ได้นะ เธอมีอะไรไม่สบายใจอยู่ใช่มั้ย?”
“ม่ายค่ะ ม่ายมี~” เธอเริ่มป่ายมือไปทั่วเพื่อควานหาแก้วเหล้า แต่ดันไปเจอแก้วเบียร์แทนแล้วก่อนที่เราจะทันห้าม ซอฮยอนก็คว้ามาดื่มวันชอตรวดเดียวเกือบหมดไพน์ เสร็จแล้วก็ฟุบลงไปกองกับโต๊ะ
ตายสนิทเลยงานนี้ =__=
ไม่อยากบอกว่าปริมาณที่ซอฮยอนกินเข้าไป ถ้าคนอื่นในกลุ่มเนี่ย เรียกว่าแหย่ขี้ฟัน แต่เพราะมักเน่ไม่เคยดื่มเหล้าแบบนี้มาก่อน ตอนนี้สภาพก็เลยเป็นอย่างที่เห็น คือสลบเหมือด... แล้วใครจะพาเด็กนี่ไปส่งที่บ้านล่ะเนี่ย
“พี่ชีวอนพาซอฮยอนกลับกันเถอะ ฉันไม่อยากให้ยัยนี่ตื่นมาแล้วร้องหาเหล้าต่อ” ซูยองหันไปพูดกับที่รักก่อนจะหันมาหาฉัน “ฉันว่างานนี้เราต้องหาทางสืบซะแล้วว่าซอฮยอนไปเจอเรื่องอะไรมา เป้าหมายแรกควรจะเป็นใคร เธอรู้ใช่ไหม?” ซูยองยิ้มให้ฉันอย่างมีเลศนัย แหม เรื่องแค่นี้เด็กอนุบาลยังตอบได้เลย ก็คนในกลุ่มเราที่เจอซอฮยอนบ่อยที่สุดมันจะเป็นใครไปได้ ถ้าไม่ใช่แทยอนที่ร่วมหุ้นเปิดโรงเรียนด้วยกัน
“วางใจได้เลย ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าอะไรทำให้ซอฮยอนที่แสนดีกลายเป็นแบบนี้ไปได้ในชั่วข้ามคืน”
ผมเหลือบมองนาฬิกา... ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว ผมแหวกม่านหน้าต่างห้องออกไปเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ แต่กลับไม่เห็นวี่แววของคนที่ควรจะกลับมาสักที
ไปไหนกันนะ?
ถึงจะรู้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรสงสัย แต่ใจก็อดคิดไม่ได้ เมื่อเช้านี้ที่เจอกันผมคงพูดกับเธอแรงเกินไป หรือผมควรจะไปเผชิญหน้ากับเธอตรงๆดี? แต่คนอย่างซอจูฮยอน เรื่องดื้อมาเป็นที่หนึ่งอยู่แล้ว สิ่งที่ผมไม่อยากเห็นมากที่สุดคือน้ำตาของจูเนี่ยล เพราะไม่ว่ายังไง ผมก็ต้องดูแลเด็กคนนี้ไปตลอดชีวิต
ผมเงี่ยหูฟังเสียงกีตาร์ในห้องข้างๆที่เพิ่งหยุดลง ก่อนจะถอนหายใจ
ทำไมอะไรๆมันถึงได้ยากยังงี้นะ?
แต่จู่ๆเสียงรถยนต์ที่ดังขึ้นหน้าบ้านก็ไล่ความคิดทั้งหมดออกไปจากหัว ผมหมุนตัวกลับแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง รถยนสุดหรูที่ดูไม่คุ้นตาของใครบางคนจอดนิ่งตรงนั้น เจ้าของรถก้าวออกมา เป็นผู้ชายร่างสูงหน้าตาดีคนหนึ่ง เขาวิเขาเดินอ้อมไปเปิดประตูรถแล้วร่างสูงๆนั่นก็ผลุบหายไปก่อนจะปรากฏขึ้นมาใหม่
พร้อมกับร่างของซอจูฮยอนในอ้อมแขน
ผมพยายามเพ่งมองมากขึ้น แต่ซอฮยอนก็ยังคงไม่ขยับตัว ผู้ชายคนนั้นใช้หลังดันประตูรถปิด ก่อนจะก้าวเท้ายาวๆเข้าไปในบ้านของเธอ คนรับใช้ในบ้านซอฮยอนไปไหน? คนขับรถล่ะ? ทำไมถึงปล่อยให้คนแปลกหน้ามาส่งซอฮยอน? ที่สำคัญ เธอไม่ได้สติแบบนี้ หรือว่า...
สองขาของผมออกวิ่งก่อนที่สมองจะสั่งการเสร็จด้วยซ้ำ ผมไม่อยากเสียเวลาวิ่งอ้อมออกไปเข้าทางหน้าบ้านของเธอ เลยใช้วิธีปีนรั้วข้ามไปตอนที่เคยทำสมัยเด็กๆ ทุกก้าวที่เหยียบเข้ามาในบ้านหลังนี้ดึงเอาความทรงจำที่ผมจงใจฝังมันไว้ตลอดแปดปีกลับขึ้นมา เรายิ้มด้วยกัน หัวเราะด้วยกัน เคยร้องเพลงด้วยกัน เคยสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไป
ผมจะไม่ปล่อยให้ใครมาทำอะไรซอฮยอนเด็ดขาด!
ผมผลักประตูห้องนอนของซอฮยอนเปิดออก เห็นผู้ชายคนนั้นกำลังวางร่างบอบบางของเธอลงบนเตียง ก่อนจะถอดเสื้อสูทของตัวเองออก--
“แก!!” ผมตรงเข้าไปผลักผู้ชายคนนั้นล้มก่อนจะชกหน้าเขาไปเต็มๆ ไม่สนใจว่าเขาจะตัวสูงกว่าหรือแข็งแรงกว่า ผมไม่คิดถึงอะไรทั้งนั้นนอกจากซอจูฮยอน!
“พี่ชีวอน ฉันคุยกับคุณแม่แล้วนะ อีกสักพักท่านถึงจะกลับ—ว้าย!” เสียงของผู้หญิงคนนึ่งที่ดังขึ้นด้านหลัง ทำให้ผมเผลอไป แล้วจังหวะนั้นเองหมัดหนักๆก็กระแทกเข้ามาเต็มหน้า
“หยุดนะ! หยุด!!! นี่มันอะไรกันเนี่ย!” ผู้หญิงคนนั้นวิ่งเข้ามาดึงตัวผู้ชายที่ชื่อชีวอนออกไป ส่วนผมทำได้แค่สะบัดหัวไล่ความมึน หมัดหนักเป็นบ้าเลยแฮะ
“ซูยอง คุณรู้จักผู้ชายคนนี้รึเปล่า? เขาเป็นอะไรกับซอฮยอน ทำไมจู่ๆก็เข้ามาทำร้ายผม?”
“ยังจะต้องถามอีกเหรอ? คุณคิดจะทำอะไรซอฮยอนกันแน่! ถ้าผมไม่เข้ามาจะเกิดอะไรขึ้น!” ผมตวาดใส่หน้าเขา แต่กลายเป็นว่าคนทั้งคู่ยืนกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะหัวเราะออกมาดังลั่น ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่เนี่ย?
“ขอโทษนะคะที่ทำให้คุณเข้าใจผิด ฉันชื่อซูยอง เป็นเพื่อนสนิทของซอฮยอน ส่วนนี่ชเวชีวอน—คู่หมั้นของฉันเองค่ะ เราสองคนตั้งใจจะมาส่งยัยเด็กเกเรนี่ เพราะเจ้าตัวเมาไม่รู้เรื่อง แต่พอดีฉันติดสายคุยกับคุณแม่ของซอฮยอนอยู่บนรถ ก็เลยให้พี่ชีวอนช่วยพาซอฮยอนขึ้นมานอนก่อนน่ะค่ะ” คุณซูยองอธิบายกับผมอย่างใจเย็น แต่ตอนนี้ผมรู้สึกหน้าตัวเองร้อนผ่าวไปถึงหู
อีจงฮยอน! ทำไมนายถึงได้ทำอะไรไม่ดูตาม้าตาเรือขนาดนี้นะ!
“ไม่แปลกหรอกครับที่คุณจะเข้าใจผิด พอดีเมื่อกี้ผมแค่จะถอดเสื้อห่มให้ซอฮยอนเพราะเธอแต่งตัวไม่ค่อยเรียบร้อย ขอโทษด้วยนะครับที่เผลอชกคุณกลับ”
“ม... ไม่เป็นไรครับ ผมต่างหากที่เอาแต่ใช้กำลัง ไม่ได้ถามคุณให้ดีก่อน” ผมรีบก้มหัวขอโทษคุณชีวอนับคู่หมั้นที่เป็นเพื่อนของซอฮยอน ผมไม่เคยเจอเพื่อนคนไหนของซอฮยอนมาก่อน แล้วก็ไม่คิดว่าเธอจะเล่าเรื่องของผมให้ใครรู้ แต่สายตาของคุณซูยองที่มองคล้ายๆกับเข้าใจอะไรบางอย่างทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ
“งั้น...ในเมื่อซอฮยอนมีคนดูแลแล้ว พวกเราขอตัวก่อนนะคะ” ร่างเพรียวบางของเธอก้มหัวลงให้ผมตามมารยาทก่อนจะดึงคู่หมั้นตามออกไป ผมได้แต่ยืนเอ๋ออยู่ตรงนั้น ทำอะไรไม่ถูก อันที่จริงคือกำลังยืนก่นด่าความงี่เง่าของตัวเองอยู่ในใจ
“อือ...ไม่ ฉันไม่เมา...” เสียงของคนเมาไม่รู้เรื่องดังขึ้นข้างหลัง ผมหันไปมองเธอแล้วก็รู้สึกหน้าร้อนวูบขึ้นมาอีกครั้ง ซอฮยอนไม่ใช่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่เคยวิ่งตามผมอีกต่อไปแล้ว เธอสวย แน่นอน... สวยมาก เรือนร่างแบบผู้หญิงอยู่ในชุดกระโปรงสีดำที่สั้นซะจนน่าใจหาย คอเสื้อเปิดกว้างจนเห็นเนินอกขาวๆขยับขึ้นลงตามจังหวะหายใจ ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นแต่งตัวแบบนี้ ผมคงไม่อยากจะมอง แต่ทำไมพอเป็นเธอ ผมกลับละสายตาไม่ได้
ซอฮยอนพลิกตัวนอนตะแคงทำท่าจะหล่นลงมาจากเตียง ผมเลยรีบเข้าไปคว้าตัวเธอไว้ตามสัญชาตญาณ กลิ่นเหล้าฉุนกึกที่ติดบนตัวเธอทำเอาผมมึนไปด้วย
เธอเคยบอกผมว่าจะไม่ดื่มเหล้าแล้วทำไมถึงได้เมามากมายขนาดนี้?
แต่พอนึกขึ้นได้ว่าเมื่อเช้าผมทำอะไรเธอไว้ ความรู้สึกผิดก็ถมเข้ามาเต็มหัวใจจนหนักอึ้ง
“พี่...จงฮยอน” เธอกระซิบเรียกชื่อผม ก่อนที่ดวงตาคู่สวยจะค่อยๆปรือเปิดขึ้น เพราะผมกลัวเธอจะตกเตียงเลยไม่ทันคิดว่าตัวเองทำอะไรลงไป สภาพตอนนี้เลยเหมือนผมกำลังคร่อมเธออยู่บนเตียง...
ไม่ใช่เหมือน แต่มันใช่เลยตะหาก!
จังหวะที่ผมรู้ตัวและกำลังจะลุกออกไปแขนเรียวๆก็โอบรอบคอ แล้วตามหลักแรงโน้มถ่วงของโลก หรือทฤษฎีบ้าบออะไรก็ตามรู้ตัวอีกที ผมก็จูบเธอแล้ว
รสเฝื่อนๆของคอกเทลที่ปลายลิ้นทำให้ทุกความคิดผมกระเจิดกระเจิง ผมรู้ว่าเธอเมา แต่ตอนนี้ผมกำลังจะเมาไปกับเธอ เพราะตั้งแต่วินาทีที่ริมฝีปากของเราสัมผัสกัน ผมก็หยุดตัวเองไว้ไม่ได้ ปราการทุกอย่างที่เคยมีแตกกระจายกลายเป็นเกล็ดหิมะ ริมฝีปากเย็นเยียบแต่หวานฉ่ำของเธอทำให้ตาผมพร่ามัวราวกับโดนกระจกทิ่มแทง หัวใจของผมเจ็บปวดเหมือนโดนแท่งน้ำแข็งนับร้อยๆพุ่งเข้าใส่
ว่ากันว่า... จูบแรกของราชินีหิมะ จะทำให้ความรู้สึกด้านชา หลงมัวเมาไปกับสัมผัสเย็นเยียบของน้ำแข็ง...
ใช่... ถ้าเธอคือราชินีหิมะ อำนาจของเธอก็คงใช้ได้ผลกับผมแล้ว
เพราะเธอทำให้หัวใจผมชาจนไม่รู้สึกถึงความผิดชอบชั่วดีที่รออยู่ และแม้กระทั่งผมจะดึงตัวเองออกจากอ้อมกอดของเธอได้ไม่ยาก แต่เมื่อผมทำความหนาวเย็นกลับห่อหุ้มตัวผมอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
ผมตกอยู่ใต้มนตร์สะกดของราชินีหิมะเข้าซะแล้ว...
“ผมจะรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดเองครับ”
ฉันเจ็บที่ได้ยินคำพูดนี้ เหมือนโดนแท่งน้ำแข็งเสียบทะลุหัวใจ มันทั้งชา ทั้งปวดร้าว ทั้งหนาวเย็นลึกเข้าไปจนถึงกระดูก
คุณแม่ที่นั่งตรงข้ามเราสองคนมองฉันเป็นเชิงขอความเห็น ก่อนจะนั่งเงียบแล้วยกมือขึ้นนวดขมับช้าๆ
เรื่องมันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงน่ะเหรอ... เท่าที่ฉันบอกได้ก็คือพอตื่นมา นอกจากจะโดนอาการปวดหัวเล่นงานแล้ว ฉันก็พบคนสองคนที่ไม่ได้ทำให้อาการเมาค้างดีขึ้นเลยสักนิด แน่นอนว่าเป็นสองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ฉันนี่แหละ หลังจากนั้นแม่บ้านก็เข้ามาดูแลฉันพร้อมกับเล่าให้ฟังว่าเมื่อคืน คุณแม่กลับเข้ามาระหว่างที่ฉันกำลังจูบดูดดื่มกับอีจงฮยอนอยู่บนเตียง ไม่ต้องบอกหรอกว่าสติของฉันมันเหลืออยู่เท่าไหร่ แต่ที่น่าแปลกใจมากกว่านั้นคือ ทำไมเขาไม่ปฏิเสธฉัน ในเมื่อเขาบอกเองว่าเขาต้องดูแลเด็กที่ชื่อชเวจุนฮี
“แม่อยากให้จูฮยอนเป็นคนตัดสินใจ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของลูก” ถึงคุณแม่จะพูดแบบนั้น แต่สีหน้าท่าทางดูเหมือนจะไม่เปิดโอกาสให้ฉันได้ปฏิเสธเลย ถึงฉันจะมั่นใจได้เปลาะหนึ่งว่าคุณพ่อที่กำลังทำงานอยู่ต่างประเทศคงยังไม่ทราบ แต่ก็คงยื้อไว้ได้อีกไม่นาน แล้วตอนนั้นแหละ ปัญหาจริงๆถึงจะตามมา
ฉันมองหน้าอีจงฮยอนที่ยังคงนิ่งจนคาดเดาไม่ออกว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยคำพูดอะไรประตูห้องทำงานของคุณแม่ก็เปิดออก
“จุนฮี...” พี่จงฮยอนหันกลับไปเรียกเด็กคนนั้นที่เพิ่งเข้ามา เธอวิ่งตรงเข้ามายกแขนทั้งสองข้างกอดเขาไว้แน่น
“พี่ชายหายไปไหนมา พี่ก็รู้ว่าจูเนี่ยลอยู่ไม่ได้ถ้าขาดพี่ ห้ามหายไป ห้ามหายไปนะ พี่เป็นของจูเนี่ยลคนเดียว คนเดียวเท่านั้น” เสียงใสๆของเธอเอ่ยคำพูดที่แทงเข้ามาในใจฉันเต็ม ไหนจะท่าทางอ่อนโยนที่อีจงฮยอนแสดงออก เขากำลังลูบผมเด็กที่ชื่อจูเนี่ยลเบาๆอย่างเอ็นดู แต่กับฉัน แม้เอ่ยปากจะรับผิดชอบ แต่เขากลับไม่แม้แต่จะมองหน้า
ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงได้ไม่ปฏิเสธไปเลย ทำไมถึงได้ยอมให้ฉันจูบทั้งๆที่ไม่ได้รู้สึกอะไร ไม่ได้รัก...
ฉันมองจูเนี่ยลยิ้มให้จงฮยอนอย่างไร้เดียงสา ความเกลียดชังพุ่งขึ้นมาในใจอย่างไม่รู้สาเหตุ
ฉันมีคำตอบให้เขาแล้ว...
“ในเมื่อเรื่องมันเป็นแบบนี้ หนูอยากให้อีจงฮยอนรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดด้วยการแต่งงานค่ะ” แววช็อคในดวงตาของคนทั้งคู่ไม่ทำให้ฉันรู้สึกอะไรเลยสักนิด มันชาจนเกินกว่าจะรู้สึกอะไรได้แล้วต่างหาก
ในเมื่อเขาปล่อยให้ฉันมีความหวังลมๆแล้งๆมาตั้งแปดปี จะให้ปล่อยมือไปง่ายๆก็คงไม่ใช่ซอจูฮยอนน่ะสิ...
ฉันเหยียดยิ้มขึ้นมาเมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของชเวจุนฮี
ได้... ถ้าจูเนี่ยลเป็นเกอร์ด้า ตอนนี้ฉันก็คงไม่ต่างอะไรจากราชินีหิมะที่ร้ายสุดๆ ยิ่งกว่าในนิทานที่เคยได้ฟัง
ฉันจะแช่แข็งทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ แล้วทำให้เขาเป็นของฉันคนเดียว... ชั่วนิรันดร์
ความคิดเห็น