คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : 6th Tale ~ Toad On The Rocks
6th Tale ~ Toad On The Rocks
ผมนั่งมองนาฬิกา... วันนี้ยัยนั่นช้าอีกตามเคย หวังว่าคงจะไม่เมาเละมาแบบเมื่อวันก่อนหรอกนะ
ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อ เสียงรถยนต์ก็ดังขึ้นหน้าร้าน ผมมองออกไป รถจากัวร์สีขาวของเธอจอดนิ่งสนิทอยู่ตรงนั้น ฮโยยอนเดินลงมาจากรถด้วยท่าทางที่ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ในมือเธอมีถุงกระดาษมาด้วย แล้วยัยนั่นก็เปิดประตูร้านผมเข้ามาโดยไม่ใส่ใจป้าย close ที่แขวนไว้เลยสักนิด
“จางอูยอง!” ยัยบ้ากระแทกของในถุงลงบนเคาน์เตอร์คิดเงิน ผมหันหลังกลับมาจากตู้เย็นที่แช่ดอกไม้ ไอ้ของในถุงนั่นคือขวดเหล้าน่ะเอง...
“ขอโทษนะครับวันนี้ร้านปิดแล้ว จะสั่งดอกไม้กรุณามาใหม่วันหลัง”
“ฉันไม่ต้องการดอกไม้ ฉันต้องการนาย!”
ผมสะอึก ยัยบ้านี่มีสติอยู่รึเปล่า! รู้ตัวมั้ยว่าพูดอะไรออกมา!? ผมมองหน้าเธอ แล้วก็เห็นอะไรบางอย่างบนสีหน้านั้น
มีปัญหามาอีกล่ะสิ...
ผมได้แต่ถอนหายใจก่อนจะเปิดเคาน์เตอร์ ยัยเตี้ยจอมยุ่งเดินโซซัดโซเซเข้ามาแล้วไถลตัวลงนั่งกับพื้น หลังพิงเคาน์เตอร์แล้วถอดรองเท้าส้นสูงเหวี่ยงไปอีกทาง ผมทรุดตัวลงนั่งข้างเธอเงียบๆ คว้าเอาขวดโซจูในถุงกระดาษมาดื่มด้วย
“ยัยพวกนั้นเกลียดฉันแล้ว” ฮโยยอนยกขาขึ้นกอดเข่า ดวงตาเธอว่างเปล่าแต่ไม่ได้ร้องไห้
“ไปทำอะไรมาล่ะ?” ผมถาม อดแปลกใจไม่ได้ เพราะตั้งแต่สาวๆพวกนี้เข้ามาในชีวิตฮโยยอน ผมไม่เคยเห็นว่าพวกเธอจะทะเลาะกันรุนแรง ตรงกันข้าม พวกเธอทั้งเก้าคนกลับผูกพันกันมากยังกับเป็นครอบครัวเดียวกัน ความห่วงใยในตัวฮโยยอนที่สาวๆพวกนี้มีบางครั้งก็เผื่อแผ่มาถึงผมด้วยซ้ำ
“ฉันจูบผู้ชายคนนึงกลางผับ”
ผมชะงักกับคำตอบ แต่ก็ทำได้แค่ถอนหายใจแล้วยกขวดโซจูขึ้นดื่มอีกรอบ ปล่อยให้ของเหลวร้อนๆไหลลงลำคอ
“แล้วเธอชอบเขารึเปล่า?”
“มั้ง...”
ให้ตาย... ผมเริ่มเข้าใจแล้วทำไมยัยพวกนั้นถึงได้ฟิวส์ขาด...
“ก็เขาหล่อ รวย เป็นเจ้าของผับ หน้าตาก็ดี ฉันอ่อยเขาแล้วมันผิดตรงไหนเหรอ? ยัยพวกนั้นน่ะเริ่มมีแฟนไปทีละคนๆ อีกไม่กี่วันซูยองก็จะแต่งงานแล้ว เดี๋ยวฉันก็จะไม่เหลือใคร อยู่ตัวคนเดียวเหมือนทัมเบลิน่าหลงทางกลางฤดูหนาว...”
“งั้นเธอก็เลยทำเหมือนทัมเบลิน่าคือออกตามหาเจ้าชายสินะ?” ผมตอบเธอไป ไม่แน่ใจว่าที่ฮโยยอนยกเอานิทานเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นเพราะเธอกำลังเมาหรือเพราะมันเป็นนิทานเรื่องโปรดที่เราชอบอ่านด้วยกันในสมัยเด็ก เพราะเรื่องนี้แหละเธอเลยชอบเรียกผมล้อๆว่าเป็นคางคก
“แล้วสิ่งที่ฉันทำมันผิดตรงไหน?”
ผมได้แต่นิ่ง... ไม่ใช่เพราะตอบคำถามเธอไม่ได้ แต่กำลังชั่งใจอยู่ต่างหากว่าถ้าตอบออกไป คิมฮโยยอนจะมีสติฟังผมรู้เรื่องสักกี่เปอร์เซ็นต์ สุดท้ายผมก็เลือกที่จะไม่ตอบ ได้แต่นั่งเงียบๆข้างเธอ
ครืด~ ครืด~
โทรศัพท์ที่ผมปิดเสียงเอาไว้สั่นอยู่บนเคาน์เตอร์ ผมเอื้อมมือไปหยิบแล้วก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นเบอร์โทรเข้า
คิมแทยอน...
ผมมองยัยคิมสิบขวบที่ท่าทางจะเมาหมดสภาพแล้วก็ลุกขึ้นยืนปีนข้ามเคาน์เตอร์ออกไปรับโทรศัพท์นอกร้าน
“ว่าไง?” ผมพูดทันทีที่รับสาย
“อูยอง ฮโยยอนถึงบ้านรึยัง?” นั่นไง กะแล้วไม่มีผิดว่าคำถามแรกต้องยิงมาแบบนี้ ผมเผลอยิ้มออกมาก่อนจะตอบ
“ถ้าพวกเธอเป็นห่วงยัยนี่ขนาดนี้ก็ไม่เห็นจะต้องทำท่ามากอะไรเลยนี่?”
แทยอนถอนหายใจกลับมาเป็นคำตอบ
“นายก็รู้จักฮโยยอนดีพอๆกับพวกเรา ตอนนี้พูดไปยังไงก็ไม่ฟัง ดื้อแต่จะหาว่าพวกเราเป็นมารผจญขัดขวางความรักท่าเดียว แต่นายก็รู้ใช่มั้ยว่าพวกเราโกรธฮโยยอนเพราะอะไร?”
“อืม ฉันเข้าใจ” ผมตอบเธอ
ใช่... ผมรู้ดีว่าสาวๆกลุ่มนี้แบนการ ‘เล่น’ กับผู้ชาย ถึงแม้พวกเธอจะเข้าผับกันแทบทุกวัน แต่มันก็เป็นเหมือนการสังสรรค์ นั่งดริงค์ชิลล์ๆในหมู่เพื่อนเท่านั้น พวกเธอไม่เคยสนุกกับการปล่อยเนื้อปล่อยตัวหรือทอดสะพานให้ผู้ชายแปลกหน้า ไม่ใช่ว่าหยิ่งนะ แต่พวกเธอมีระดับแล้วก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องลดตัวลงไปหาผู้ชายคนไหน
ดูเป็นความคิดเฟมินิสท์แบบเจ้าหญิงสุดๆ แต่ผมก็ชอบนะ
“นายช่วยจับตาดูฮโยยอนไว้หน่อยได้มั้ย? ฉันว่ายัยนี่ต้องหาทางไปหว่านสเน่ห์ผู้ชายอันตรายคนนั้นอีกแน่” แทยอนพูดกลับมา
“จะบ้าเหรอ? ฉันไม่เคยเข้าผับนะ เสื้อผ้าอะไรก็ไม่มี”
แทยอนเงียบไปนิดหนึ่งก่อนจะเอ่ยประโยคต่อมาด้วยน้ำเสียงมั่นใจชนิดที่ไม่เปิดโอกาสให้ผมปฏิเสธได้เลย
“ถ้านายตกลงว่าจะช่วยล่ะก็... ฉันจะแปลงร่างนายจากคางคก ให้เป็นเจ้าชายสุดเท่ห์ที่ไม่ว่าใครก็ต้องเหลียวหลังเชียวล่ะ”
ฉันเดินเข้าผับร้านเดิมมาแบบเซ็งๆ ก็จะไม่ให้เซ็งได้ไง ในเมื่อฉันโดนเพื่อนแบนยกกลุ่มแบบนี้... ฉันหย่อนตัวลงนั่งตรงบาร์แล้วพนักงานก็ยื่นบลัดดี้แมรี่ส่งให้ฉันอย่างรู้หน้าที่
ระหว่างที่ค็อกเทลเย็นชืดปนกลิ่นเชอร์รี่นั่นไหลลงคอ บทสนทนาระหว่างพวกเราในกลุ่มก็ฉายซ้ำขึ้นมา...
“รู้มั้ยว่าเธอกำลังทำบ้าอะไรอยู่?” น้ำเสียงเย็นเยียบของพี่ฮีชอลดังขึ้น ตามปกติ ยูริจะห้ามทุกทีเวลาพี่เค้าใช้คำรุนแรง แต่ครั้งนี้ยูริแค่ยืนกอดอกมองฉัน สายตาของเธอเย็นชากว่าคำพูดของพี่ฮีชอลไม่รู้กี่เท่า
“ท่าทีแบบนั้นของเธอกำลังแสดงให้ผู้ชายคนนั้นเห็นว่าเธอ ‘ง่าย’ ขนาดไหน” แทยอนพูดเสริมขึ้นมาเรียบๆ
“แต่ฉันก็แค่เล่นสนุกเองนะ มันก็ไม่ได้เสียหายอะไรสักหน่อย?”
“แล้วพี่ต้องทำมากขนาดไหนถึงจะเข้าขั้นเสียหาย? จะต้องตื่นมาแล้วเจอเขานอนอยู่ข้างๆใช่มั้ย?” ยุนอาแทบจะตวาดใส่หน้าฉันอยู่แล้ว ท่าทางกระฟัดกระเฟียดของเธอบอกชัดถึงความไม่สบอารมณ์ ซันนี่เดินเข้ามาโอบเธอหลวมๆ พยายามจะปลอบให้น้องรองใจเย็นลง แต่ซูยองกลับก้าวเข้ามาแทนที่
“พวกเราไม่สนุกไปกับเกมเด็กๆของเธอแล้วนะฮโยยอน ถ้าเธอยังอยากจะไปที่นั่นก็เชิญตามสบาย แต่พวกเราจะไม่ไปกับเธอ... หรือทางที่ดี ฉันแนะนำว่าเธอควรจะหยุดเที่ยวสักพักแล้วคิดทบทวนอะไรๆด้วยตัวเอง เธอไม่ใช่เด็กสิบขวบอีกต่อไปแล้ว--”
ยังไม่ทันที่ซูยองจะพูดจบประโยค ฉันก็ลุกขึ้นถลาเข้าไปกระชากคอเสื้อเธอด้วยความโกรธ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! ทำไมทุกคนต้องทำเหมือนว่าฉันผิดซะเต็มประดา ก็ในเมื่อสาวๆกว่าครึ่งที่อยู่ตรงนี้ก็ไม่ได้ทำอะไรแตกต่างกับฉันสักหน่อย! แล้วถ้าฉันจะหว่านสเน่ห์บ้างเพราะต้องการใครสักคนมันเป็นเรื่องผิดรึไง!
มือหลายคู่กระชากตัวฉันกับซูยองออกจากกัน แล้วก่อนที่จะได้รู้สึกตัวใบหน้าของฉันก็ชาวาบด้วยแรงตบของใครคนหนึ่ง
“อย่ามาแสดงพฤติกรรมต่ำๆ ถ้ารับคำพูดเราไม่ได้ก็ออกไปซะ จากนี้พวกเราไม่ต้องการเธออีกต่อไปแล้ว” น้ำเสียงของทิฟฟานี่เชือดเฉือน บาดลึกกว่าที่เธอตบฉันซะอีก ฉันรู้ว่าทิฟฟานี่ยั้งมือเอาไว้บ้าง เพราะเธอคงรู้ว่าสิ่งที่ทำร้ายฉันได้มากที่สุดคือคำพูดและสายตาเย็นชาจากเพื่อนๆทั้งหกคน ไม่ใช่การกระทำทางร่างกาย
ฉันมองหน้าทุกคนแล้วก็วิ่งหนีออกมา...
ก็แค่เสียเพื่อน... ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสักหน่อย...
เฮ้อ...
“วันนี้มาคนเดียวเหรอครับ?” เสียงทุ้มๆคุ้นหูดังขึ้น ฉันหันไปพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
“แล้วคุณล่ะ? วันนี้ไม่มีสาวมาเกาะแกะเหรอ?” ดีเจท็อปเดินเข้ามาประชิดตัวฉันอย่างรวดเร็ว มือของเขาเลื้อยมาโอบรอบเอวฉันไว้
“ถ้าจะมีผมก็อยากให้เป็นคุณนะ...” เขากระซิบแล้วก็โน้มใบหน้าลงมา แต่ฉันยกมือขึ้นหยุดเขาเอาไว้แล้วเบี่ยงตัวออกจากอ้อมกอด
เพิ่งจะโดนเพื่อนแบนทั้งกลุ่มเพราะจูบกับหมอนี่ จะให้ซ้ำรอยเดิมตอนนี้มันยังเร็วไปหน่อยนะ...
ดูท่าทางดีเจท็อปจะไม่ได้อารมณ์เสียอะไรที่ฉันอยู่ในโหมด ‘ไม่เล่นด้วย’ ตรงกันข้ามเขากลับก้าวเข้ามานั่งข้างๆฉันบนบาร์ สองแขนท้าวลงบนเคาน์เตอร์ ไม่ได้ทำตัวเป็นปลาหมึกเหมือนเมื่อกี้ แบบนี้สิ ค่อยคุยกันรู้เรื่องหน่อย... ฉันนั่งเท้าคางมองเชอร์รี่ในแก้วเล่นอย่างใจลอย
“คุณกำลังมีเรื่องไม่สบายใจ” คุณท็อปพูดยังกับอ่านใจฉันออกแน่ะ “อยากเล่าให้ผมฟังไหมครับ?”
“ก็เรื่องเมื่อวานแหละค่ะ เพื่อนๆบอกว่าฉันทำเกินไป”
“แต่สำหรับผม ผมว่ามันยังไม่ถึงใจเลยนะ” พ่อดีเจวายร้ายขยิบตาให้ฉัน แต่แล้วเขาก็หัวเราะออกมา “ผมรู้ว่าคุณเสียใจรู้ รู้ว่ามันอาจจะดูเร็วเกินที่จะพูดเรื่องของเรา แต่อย่างน้อยคืนนี้ให้ผมเป็นเจ้าภาพนะ ผมจะทำให้คุณลืมทุกอย่างให้หมด” ดวงตาคมกริบแบบร้ายๆของเขาจ้องตรงเข้ามาในดวงตาของฉัน สุดท้ายแล้วฉันก็ยิ้มออกมา
ไหนๆฉันก็ถอยหลังกลับไม่ได้แล้วนี่...
ผมก้าวเข้ามาในผับ รู้สึกประหม่ายังไงบอกไม่ถูก ทำไงได้... ก็ผมไม่เคยเที่ยวกลางคืนนี่นา แถมลุคใหม่ที่แทยอนจัดให้ก็เล่นเอาซะผมจำตัวเองแทบไม่ได้
ผมย้อมสีทองจัดทั้งหัวตัดกับเสื้อสูทสีดำติดหมุดเงินออกพังค์หน่อยๆ แต่ก็มีคลาสนิดๆ เพราะผมสวมมันทับเสื้อยืดคอวีสีดำ ตบท้ายด้วยรองเท้าหนังสีเงินเมทัลลิคจากชูส์โฮลิคของพี่ฮีชอล คอสตูมทั้งหมดผ่านการการันตีจาก บก.แฟชั่นอย่างยูริมาแล้วว่า ‘ฮอต’
“มั่นใจหน่อย ไอ้น้องชาย” อคแทคยอน คู่หมั้นหมาดๆของเจสสิก้าพูดขึ้น สิก้ารู้เรื่องทีหลังแล้วก็อุตส่าห์เอาตัวช่วยสำคัญคนนี้มาส่งให้ถึงที่ระหว่างสาวๆกำลังสนุกกับการแปลงโฉมคางคกอย่างผม แถมไม่ได้มีแค่อคแทคยอนคนเดียว แต่ชองยุนโฮ แฟนใหม่ของทิฟฟานี่กับพี่คยูฮยอนก็พ่วงมากับผมด้วย นี่ถ้าเกิดตอนเวอร์ชั่นปกติตอนก่อนเปลี่ยนลุค ผมคงไม่ได้ผุดได้เกิด แต่วันนี้หนุ่มหล่อสามคนเหมือนจงใจอยากให้ผมเด่น ท่าทางแต่ละคนเลยมาแบบสบายๆประมาณเสื้อยืดกางเกงยีนส์ แต่เชื่อเค้าเลยว่าแค่นั้นยังทำให้ผู้หญิงหลายคนมองมาทางกลุ่มเราสี่คนด้วยสายตาหยาดเยิ้มยิ่งกว่าวอดก้าผสมน้ำเชื่อม
“นั่นไงเป้าหมาย” พี่ยุนโฮชี้ไปบนฟลอร์ แสงไฟวูบวาบหลากสีทำให้ผมตาพร่าอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วผมก็เห็นเธอ ผมสีทองสว่างแบบนั้นยิ่งดูเด่นในที่มืด เธอดูเหมือนดอกไม้แสนเย้ายวนท่ามกลางเหล่าแมงมุมที่คอยจ้องหาโอกาส
“แย่หน่อยนะที่คนของเราเหมือนจะเล่นด้วยกับทางนั้น” พี่คยูฮยอนพยักเพยิดไปทางหนุ่มตัวสูงคนนึงที่ยืนอยู่ข้างๆฮโยยอนตั้งแต่เมื่อกี้ สายตาหมอนั่นดูน่ากลัว... เหมือนเสือที่กำลังจะขย้ำเหยื่อ
“แล้วผมควรจะทำไงดีอ่ะ?” ผมหันกลับไปถามกองหนุนทั้งสามคนที่ได้แต่นิ่งเป็นทองไม่รู้ร้อน
“ไปแย่งเธอมาซะสิ...” พี่แทคยอนกระซิบแล้วโดยที่ผมยังไม่ทันจะได้เตรียมตัวเตรียมใจ ทั้งสามคนก็แทบจะโยนผมลงไปบนฟลอร์ แน่นอนว่าทุกคนหยุดชะงัก มองผมเป็นตาเดียว ซวยล่ะสิ...
เพลงบีตหนักๆเร่งจังหวะขึ้นมา ผมสูดหายใจลึกแล้วก้าวเข้าไปหาฮโยยอน เหมือนเธอจะจำผมไม่ได้ด้วยซ้ำ ผมล้วงมือเข้าไปในเสื้อสูทหยิบเอาดอกวิสคาเรียสีชมพูเข้มออกมาแล้วจับมันทัดหูให้เธอ ฮโยยอนเหมือนจำได้ขึ้นมาทันที
“นาย!”
ผมขยับเสื้อสูทก่อนจะถอยออกมาแล้วเริ่มโยกตัวไปตามเสียงเพลง ประเมินเอาจากเสียงกรี๊ดแล้วผมว่าตัวเองคงเท่ไม่เบาล่ะน่า! พี่แทคยอนกับพี่ยุนโฮออกมาเต้นเป็นแบ๊คอัพให้ ส่วนพี่คยูฮยอนยืนเชียร์อยู่ข้างๆ
คิมฮโยยอนถอยออกจากดีเจตาคมที่ชื่อท็อปแล้วก้าวมาหาผมแทน ดวงตาเธอมีประกายระยับแบบเด็กซนๆ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นที่เรียวปาก แล้วเธอก็เริ่มเต้น นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเธอเต้นแบบนี้ ถึงจะรู้ว่าฮโยยอนเป็นขาแดนซ์แต่บอกตามตรงว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเธอเต้นจริงๆจังๆ ทำเอาแทบลืมหายใจไปเลย
“ทำไมวันนี้กลายร่างล่ะ?” ฮโยยอนกระซิบถามผมขณะที่เธอเบียดตัวเข้ามาใกล้จนจมูกผมสัมผัสได้ถึงน้ำหอมกลิ่นกุหลาบที่เธอใส่จางๆ
“ก็แค่คิดว่าเธอน่าจะอยากได้เพื่อนเที่ยวคนใหม่” ผมจับมือเธอยกขึ้นให้ฮโยยอนหมุนตัวเข้ามาในอ้อมแขน ก่อนจะผลักยัยนั่นออกไปแล้วจับมือเธอรั้งเข้ามาตามเสตป ใบหน้าเราสองคนห่างกันแค่คืบ ฮโยยอนไม่ได้พูดอะไรนอกจากยิ้ม
หัวใจผมเริ่มเต้นผิดจังหวะเอาซะดื้อๆ
ทัมเบลิน่าที่สวยงามและบอบบางเหมือนตุ๊กตาเต้นรำ เธอจะรู้ไหมนะว่าคางคกอย่างผมเฝ้ามองเธอมานานแค่ไหนแล้ว...
ฉันนั่งหมุนดอกวิสคาเรียในมือเล่นระหว่างจมปลักอยู่กับกองผ้าที่ควรจะเย็บและออกแบบชุดเพื่อนเจ้าสาวในงานซูยองให้เสร็จ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะได้มีโอกาสใส่ไปรึเปล่า
ตั้งแต่เพื่อนๆโกรธฉัน ชีวิตก็ว่างขึ้นเป็นกองแน่ะ มันว่างๆโหวงๆจนไม่รู้จะทำอะไรดี แถมยังมีเวลามานั่งคิดฟุ้งซ่านด้วย
ฟุ้งซ่านเรื่องอีตาจางอูยองที่ไร้สาระสุดๆ
แน่ล่ะ ฉันไม่เคยเห็นอูยองโหมดเท่ๆแบบนั้นไม่ออก รอยยิ้มแบบนั้น มูฟเมนท์เวลาเต้นก็ดูเซ็กซี่ดี แทบไม่น่าเชื่อว่าหมอนั่นจะเป็นคนๆเดียวกับเจ้าเด็กสิวเขรอะที่ฉันเรียกว่าคางคกอยู่ทุกวัน
ว้อย!!! เธอฟุ้งซ่านเรื่องอะไรอยู่เนี่ยคิมฮโยยอน!!!
ตริ๊งๆ
เสียงข้อความในมือถือทำเอาฉันสะดุ้ง ใครกันนะ?
วันนี้ Dancing Queen ของผมจะมารึเปล่าครับ? ผมมีเซอร์ไพรส์ไว้รอคุณนะ – T.O.P
ฉันเห็นข้อความนั้นแล้วก็ได้แต่ยิ้มออกมา คนนี้สิเจ้าชายของฉัน หล่อ รวย เท่ห์ เพอร์เฟคต์สุดๆ แถมเขายังแสดงออกชัดเจนเลยว่าต้องการฉัน ไม่ว่ายังไง ก็ต้องเป็นดีเจท็อปเท่านั้น!
คิดได้แบบนั้นแล้วฉันก็ลุกพรวดขึ้น เดินไปคว้าเอาชุดที่ดูเซ็กซี่มีระดับที่สุด สวยที่สุดออกมาก่อนจะวิ่งแจ้นเข้าไปอาบน้ำแต่งหน้าแต่งตัว ในเมื่อมีเซอร์ไพรส์รออยู่ ฉันก็ต้องสวยเริ่ดสุดๆไปเลย อยากรู้นักเชียวว่าพ่อดีเจสุดหล่อจะเตรียมอะไรไว้ให้ แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้วอ่ะ!
ระหว่างที่ฉันกำลังปัดมาสคาร่าอยู่เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น แล้วใครบางคนก็ถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นใคร =__= ไร้มารยาทแบบนี้มีอยู่คนเดียว จางอูยอง
“หัดถามกันสักนิดก่อนเข้ามาได้ไหม?” ฉันแขวะหมอนั่น พยายามตั้งสมาธิอยู่กับการแต่งหน้า แต่ทำไมมือไม้มันแข็งๆชอบกล
“นี่เธอจะออกไปอีกแล้วเหรอ?” อูยองมองฉันหัวจรดเท้าด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย อะไรของเขานะ -*-
“แล้วไง นายจะไปป่วนอีกล่ะสิท่า”
“ป่วนอะไรครับคุณนาย? เมื่อวานน่ะผมออกจะฮอต” แล้วอูยองก็ทำท่าเต๊ะเป็นหนุ่มหล่อแถมเสยผมโชว์ เสียอย่างว่าคอสตูมมันไม่เข้าน่ะนะ เมื่อวานนี่ยังพอใช้ได้ แต่ตอนนี้อีตาคางคกดันสวมเสื้อเชิ้ตเก่าๆที่เปื่อยจนแทบขาด คาดทับด้วยผ้ากันเปื้อนแล้วสวมถุงมือพลาสติก ฮาสุดยอด
“ไม่ต้องมามัวแต่ขำเลย ลุกมาแดนซ์ด้วยกันสิคนสวย” อูยองเดินเข้ามาดึงมือฉันให้ลุกขึ้นแล้วจับให้ฉันหมุนไปรอบๆ ปากก็ร้องเพลงลูกทุ่งสามช่าไปด้วย เล่นเอาฉันหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็งไปหมด ไม่ได้ๆ ถ้าหัวเราะมากไปเดี๋ยวมาสคาร่าจะหลุดหมดนะ!
แต่พอฉันสบตาหมอนั่น ทำไมจู่ๆหัวใจก็เต้นผิดสเต็ปชึ้นมาซะดื้อๆ
คงเพราะผมสีทองล่ะมั้งที่ทำให้อูยองดูเปลี่ยนไป หรืออาจจะเป็นเพราะคอนแทคเลนส์ หรืออะไรก็ตามแต่ ช่างมันเถอะน่า! นี่ไม่ใช่เวลาที่ฉันจะมาสนใจอีตาคางคกนี่นะ!
“ต้องไปแล้วล่ะ ท็อปรอฉันอยู่”
“อืม” หมอนั่นปล่อยมือฉันแต่โดยดี แต่ยังไม่วายทอดสายตามอง คล้ายกับจะบอกเป็นนัยๆว่าไม่อยากให้ไป แต่แล้วคำพูดต่อมาก็เล่นเอาฉันสะดุดแทบตกส้นสูง
“อย่าเมาเป็นหมากลับมาอ้วกที่ร้านฉันอีกล่ะ ขี้เกียจเช็ดนะ มันเหนื่อย”
ฉันจะเมาหัวราน้ำแล้วทำให้ร้านนายเต็มไปด้วยกองอ้วกเลย! อีตาบ้าอูยอง!
ผมเฝ้ามองประตูผับผ่านแก้วดรายมาร์ตินี่ที่ดื่มยังไงก็ไม่หมดซักที เมื่อไหร่เธอคนนั้นจะมานะ?
แดนซ์ซิ่ง ควีน... คิมฮโยยอน
ยอมรับนะว่าเธอสวย เซ็กซี่ เวลาอยู่บนฟลอร์นี่เล่นเอาซะผู้ชายหลายคนแทบคลั่ง และคืนนี้ผมก็ตั้งใจไว้แล้วว่าเธอจะต้องเป็นของผม
ฮึ... วิธีที่จะได้ผู้หญิงมาเชยชมถึงจะไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยาก ยิ่งถ้าหน้าตาดีและมีเงิน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหญิงสูงศักดิ์มาจากไหนก็ต้องสยบแทบเท้าผมทั้งนั้นแหละ โบราก็ยังเคยยอมผมมาแล้ว แม่นั่นพอมีอะไรด้วยก็ทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของจนน่ารำคาญ หวังว่ารายนี้จะไม่ทำให้ผมเซ็งแบบนั้นหรอกนะ เพราะผมไม่ได้คิดจริงจังอะไรมากไปกว่าสนุกกับเธอแค่ชั่วข้ามคืน...
“รอนานมั้ยคะ?” เสียงห้าวๆแอบเซ็กซี่นิดๆของเธอถามขึ้นมาพร้อมชายตามองผ่านแก้วคอกเทลของผม ผมวางแก้วคืนกลับลงบนบาร์ก่อนจะโน้มตัวลงเข้าไปกระซิบข้างใบหูเธอ กลิ่นน้ำหอมมีคลาสโชยขึ้นแตะจมูก
“ผมรอคุณได้ทั้งคืนครับที่รัก”
คิมฮโยยอนผลักผมออกก่อนจะหันไปสั่งเรด มาการิต้า ผมสบตากับบาร์เทนเดอร์เพื่อส่งสัญญาณ
เมื่อวานเธอดื้อกับผมแล้วออกไปต่อกับผู้ชายคนอื่น เพราะงั้นคืนนี้ผมจะทำให้แน่ใจว่าคิมฮโยยอนต้องเป็นของผมคนเดียวเท่านั้น...
ผมมองฮโยยอนค่อยๆจิบเรดมาการิต้าของเธอ... นอกจากรสหอมหวานของสตรอเบอร์รี่ เตกีล่า และน้ำแข็ง ส่วนผสมอีกอย่างที่เป็นไพ่ตายของผมก็ถูกผสมลงในค็อกเทลแก้วนั้นโดยที่เธอไม่รู้ด้วยเช่นกัน
มันคือยากล่อมประสาท
แรงพอที่จะทำให้เธอเกิดภาพหลอนและตกเป็นของเล่นให้ผมได้สักพัก ผมเลือกไม่ใช้แบบที่ทำให้เธอหลับไม่รู้เรื่อง เพราะอยากจะให้เจ้าตัวได้รับรู้ทุกรสชาติ ทุกๆสิ่งที่ผมจะทำกับเธอ
แค่คิดผมก็แทบรอไม่ไหวแล้ว
“ไหนล่ะคะ เซอร์ไพรส์?” ฮโยยอนหันมาถามผมพร้อมรอยยิ้มมุมปากนิดๆเหมือนทุกที
“ของดีก็ต้องเก็บไว้ตอนจบสิครับ คนสวย” ผมเอื้อมมือไปเชยคางเธอขึ้นมา ตั้งใจจะก้มลงไปจูบแต่เธอก็เบี่ยงตัวออกไป นั่นทำให้ผมหงุดหงิดชะมัด ไม่รู้จะเล่นตัวอะไรกันนักกันหนา!
“ท๊อป! คุณทำอะไรน่ะ!” เสียงแหลมๆของโบราดังขึ้นจากอีกทาง ผมหันหลังกลับไปเผชิญหน้ากันเธออย่างเบื่อหน่าย ดูจากท่าทางแล้วเธอตั้งใจจะวีนผมเต็มที่ ระหว่างที่ผมอ้าปากจะไล่เธอออกไป ความคิดดีๆก็แว่บเข้ามาในหัว
ใช่สิ... เพราะวันนั้นโบราหึงผม ฮโยยอนก็เลยอยากจะเอาชนะยัยนี่ด้วยการเรียกร้องความสนใจจากผม...
“ที่รักคะ ไหนคุณบอกว่าเราจะไปสนุกกันต่อไง?” ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร ฮโยยอนก็ชิงตัดหน้าขึ้นมาซะก่อนแถมยังเอาตัวเบียดเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดผมซะเองด้วย
“เธออีกแล้วเหรอ! เธอนี่มัน!” โบราดูท่าทางจะยิ่งปรี๊ดกว่าเดิม แหงล่ะ อริเก่ากันนี่
“คุณบอกไปสิคะว่าคืนนี้คุณเป็นของใคร? เป็นของฉันหรือของผู้หญิงคนนี้” สายตาที่ฮโยยอนมองโบราดูราวกับตัวเธอเป็นเจ้าหญิงมองไส้เดือนสักตัวบนพื้น งานนี้ไม่ต้องเห็นกันจะๆก็บอกได้ว่าโบราจะของขึ้นขนาดไหน
“แกมันไร้ยางอาย! หน้าด้าน!!”
“ขอโทษนะโบรา ผมว่าคุณกลับไปก่อนดีกว่า” ผมพูดขึ้นมาเนิบๆ เลือกใช้ถ้อยคำที่ดูไม่รุนแรงเกินไป ไม่ใช่ว่าจะรักษาน้ำใจอะไรหรอกนะ แต่เพราะต้องคีปลุคต่อหน้าเจ้าหญิงนี่ต่างหาก ผมเริ่มจับทางได้แล้วว่าเธอคงชอบผู้ชายประเภทเป็นสุภาพบุรุษดูดีมีคลาส
โบรามองผมราวกับเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เธอหรี่ตาลงแล้วก็หันกลับไปมองฮโยยอนก่อนจะยิ้มแค่น
“อ๋อ... เป็นยังงี้เองสินะ... ที่แท้นายมันก็ผู้ชายสารเลว ฉันไม่น่าหลวมตัวเลย...”
“กลับไปได้แล้ว” ผมเอ่ยปากไล่เพราะไม่อยากเสียเวลาต่อปากต่อคำอะไรต่อ เพราะตอนนี้ท่าทางยาจะเริ่มออกฤทธิ์แล้ว
“หึ... ฉันเอาคืนนายแน่!” โบราทิ้งท้ายก่อนจะเดินกระทืบส้นสูงจากไป ทิ้งให้ผมยืนอยู่กับฮโยยอนที่ตอนนี้เริ่มมีอาการทรงตัวไม่อยู่
“ทำไม...? ทำไมฉันถึง...”
“คุณเมาแล้วไงครับที่รัก ให้ผมพาคุณไปพักดีกว่านะ”
“ไม่!... ไม่จริง ปกติแค่เหล้าแก้วเดียว... ฉัน...” ผมกึ่งลากกึ่งประคองฮโยยอนที่ได้แต่บ่นพึมพำให้ตามขึ้นมาที่ห้องส่วนตัวบนชั้นสองด้านหลังร้าน
ผมโยนร่างอ่อนปวกเปียกของเธอลงไปบนโซฟา ตอนนี้ถ้าให้ผมเดา เธอคงเห็นโลกทั้งใบหมุนคว้างไปหมด ดวงตาคู่สวยปรือลง ริมฝีปากเย้ายวนขยับกระซิบอะไรสักอย่าง แต่กลับไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมา ผมได้แต่ยิ้มแล้วโน้มตัวลงไปพูดใกล้ๆหูเธอ
“นี่ไงเซอร์ไพรส์ที่ผมจัดไว้ให้คุณ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า”
สติสตังของฉันกลับเข้าร่างมาก็ในวินาทีนั้นเอง
วินาทีที่ไอ้ผู้ชายชั่วๆตรงหน้านี่เผยธาตุแท้ออกมา ผู้ชายที่ร้ายเหมือนปีศาจ ผู้ชายที่หวังเพียงแค่ร่างกายของฉัน!
ฉันไม่มีวันยอมหมอนี่ง่ายๆหรอกนะ!
มือของเขาค่อยๆเอื้อมไปด้านหลังแล้วจับซิปรูดลงมาช้าๆ ฉันพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่ให้เขาจูบ แต่หมอนี่ก็บีบคางบังคับฉันเอาไว้ไม่ให้ขัดขืน ไม่มีทางซะหรอก! คนอย่างคิมฮโยยอนน่ะนะ!
ฉันรวบรวมแรงฮึด กัดลิ้นของหมอนั่นเข้าไปแรงๆจนรู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวเลือดในปาก แต่นั่นกลับยิ่งทำให้ภาพรอบตัวดูชัดเจนมากขึ้น
“โอ๊ย! นังบ้านี่!” เขาสบถใส่ฉันก่อนจะจิกผมฉันขึ้นมา แล้วผลักจนฉันกระเด็นไปกองกับพื้นพรม ความเจ็บทำให้โลกหมุนไปหมุนมาอีกแล้ว ต้องทำยังไงฉันถึงจะหายมึนนะ ฉันต้องทำยังไง ฉันจะรอดไปได้ยังไง
วัดกันจากสติที่เลือนรางเต็มทน หมอนั่นตามมาคร่อมตัวฉันไว้ มือของเขาเริ่มลูบคลำพยายามจะถอดเสื้อผ้าออก แต่ในเวลานี้ฉันกลับบังคับตัวเองไม่ได้เลย ฉันรู้สึกเหมือนโลกไร้แรงโน้มถ่วง ถึงจะยังมีสติพอรู้อยู่บ้างว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น แต่ฉันก็ขัดขืนไม่ได้ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
นี่สินะ... จุดจบของทัมเบลิน่าที่ออกร่อนเร่ตามหาเจ้าชาย สุดท้ายฉันก็ถูกบังคับให้เป็นเจ้าสาวของตัวตุ่นและต้องอยู่ใต้พื้นดิน ไม่อาจเห็นแสงตะวันไปได้ตลอดชีวิต
ฉันมันโง่เอง
นี่คือสิ่งที่เพื่อนๆพยายามจะบอกฉัน พยายามจะปกป้องฉัน แต่ฉันก็ทำตัวไร้ค่า...
ช่วยด้วย... ใครก็ได้ ช่วยฉันที...
กริ๊งงงงงงง!!! เพล้ง!!!
เสียงสัญญาณอะไรสักอย่างดังขึ้นพร้อมกับเสียงความวุ่นวายต่างๆนานา ไฟในห้องดับลงเหลือแค่ไปฉุกเฉินสลัวๆ กลิ่นเหม็นประหลาดๆของอะไรสักอย่างโชยมาเข้าจมูก แล้วทันใดนั้นเสียงตะโกนก็ดังขึ้น
“ไฟไหม้! รีบหนีเร็ว ไฟกำลังไหม้!”
“เฮ้ย! อะไรกันเนี่ย!” ท็อปลุกออกไปจากตัวฉัน ท่าทางดูตื่นตระหนก ฉันได้ยินเสียงประตูเปิดออก แล้วก็รับรู้ได้จากเสียงฝีเท้าว่าหมอนั่นหนีไปแล้ว
เขาหนีเอาตัวรอด ทิ้งให้ฉันถูกย่างสดอยู่ที่นี่ทั้งที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้!
ฉันพยายามพลิกตัวกลับมานอนคว่ำ เอาหัวโขกกับพื้นแรงๆหวังว่าความเจ็บจะช่วยให้คืนสติ แต่ดูเหมือนมันจะไม่มีประโยชน์ ควันประหลาดๆนั่นไหลทะลักเข้ามาจากทางไหนไม่รู้ แล้วฉันก็เริ่มตาพร่า
ไม่! ฉันยังไม่อยากตายนะ อย่างน้อยฉันก็ควรจะขอโทษยัยพวกนั้นก่อน
ใครก็ได้... เจ้าชาย... เจ้าชายของฉัน มาช่วยฉันทีเถอะ!
จางอูยอง! เวลาแบบนี้นายไปอยู่ที่ไหนกัน?!
กลุ่มควันนั่นไหลเข้ามาในปอดพร้อมสติที่เลือนรางลงเรื่อยๆ
สิ่งสุดท้ายที่ฉันได้รับรู้คือ ฉันกลายเป็นทัมเบลิน่าตัวเล็กๆที่หลงทาง และคงไม่มีวันจะได้พบเจ้าชายอีกเลย...
เสียงกระซิบกระซาบรอบๆเตียงทำให้ฉันต้องฝืนลืมตาขึ้นมา อย่างแรกที่เห็นร่างสูงๆของใครบางคนที่กำลังจัดดอกไม้อยู่ข้างเตียงฉัน
“ซูยอง?” ฉันเรียกเขาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า เชื่อมั้ยว่าแค่ออกเสียงสองพยางค์เท่านี้สมองฉันก็ปวดจี๊ดจนแทบระเบิด
“เธอเป็นไงบ้าง ยังเจ็บตรงไหนอยู่อีกรึเปล่า?” ยัยนั่นเดินเข้ามาใกล้
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่? แล้วนี่ฉันอยู่ที่ไหน?”
ฉันยิงคำถามออกไปพร้อมๆกับที่เพิ่งสังเกตเห็นคนอื่นๆในห้อง และเป็นที่มาของเสียงกระซิบที่ปลุกฉัน
“เอาล่ะ ใครจะเริ่มเล่าดี?” พี่ฮีชอลพูดพร้อมกับเดินเข้ามา แล้ววางดอกไฮยาซินธ์สีม่วงให้ฉัน... ความหมายของมันในภาษาดอกไม้คือ ‘ขอโทษ’
“ฉันเห็นอูยองแนะนำดอกนี่ให้ เห็นว่ามันสวยดีหรอกพวกเราเลยคิดว่าจะซื้อมาเยี่ยมเธอ” พี่เค้าทำเป็นพูดแอ๊คท่า แต่นั่นกลับทำให้ฉันอดยิ้มกว้างไม่ได้ ใครจะไม่รู้ว่าที่ทำยังงั้นไปก็แค่วางฟอร์มแก้เสียหน้า
ฉันหันกลับไปมองเพื่อนๆทุกคนอย่างที่ไม่เคยมองมาก่อน สาวๆดูอิดโรย ดวงตาแดงช้ำเห็นได้ชัดว่าคงเป็นห่วงฉันมากจนไม่ได้นอนแทบทั้งคืน หนึ่งในนั้น ทิฟฟานี่ดูจะเพลียมากที่สุด แล้วเธอก็เป็นแค่คนเดียวที่ยังไม่ยอมสบตาฉันตรงๆ มือขาวๆของเธอกำกระโปรงแน่น สั่นเทิ้มอย่างที่ฉันไม่เคยเห็น
“ฟานี่...” ฉันเรียกเธอ แต่ทิฟฟานี่กลับยิ่งหันหน้าหนีจนฉันต้องลุกขึ้นมาแม้ว่านั่นจะทำให้ปวดหัวจนแทบระเบิดก็ตาม
“อย่าเรียกกันแบบนี้สิ เธอก็รู้นี่ว่าฉันเกลียดการร้องไห้มากขนาดไหน” ทิฟฟานี่พูดออกมาในที่สุด ยังคงไม่กล้าสบตาฉัน แต่ฉันรู้สึกได้ว่าเธอกำลังโทษตัวเอง เธอกำลังเสียใจที่เป็นคนทำร้ายฉัน แต่ฉันกลับเพิ่งจะมารู้ซึ้งเอาตอนนี้เองว่าทิฟฟานี่ต้องช้ำใจมากขนาดไหนตั้งแต่วันนั้น เพราะความโง่เง่าของฉันคนเดียวแท้ๆ
“มานี่เร็วเด็กๆ” ยูริพูดขึ้นก่อนจะดึงมือฟานี่เข้ามาข้างเตียงแล้วลากสาวๆที่เหลือทั้งหกคนเข้ามาด้วย พอเราทุกคนสบตากัน เท่านั้นทำนบทั้งหมดที่ก่อเอาไว้ก็พังลงมา ทั้งฉัน ทิฟฟานี่และคนอื่นๆกอดคอกันร้องไห้เหมือนเด็กประถม ปากพร่ำพูดขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งๆที่ไม่มีใครผิดเลยแท้ๆ ถ้าจะมีใครผิดล่ะก็ คนๆนั้นคงเป็นฉัน ที่ทำตัวงี่เง่าเอาแต่ใจเหมือนเด็กจนไม่ยอมฟังสิ่งที่ยัยพวกนี้พยายามจะบอก
ฉันมันก็ยังเป็นเด็กประถม เป็นคิมโชดิงอยู่วันยังค่ำ ชีวิตฉันจะเป็นยังไงนะถ้าไม่มีเพื่อนอย่างพวกเธอ...
รวมทั้งคนที่คอยดูแลฉันมาตลอดอย่างจางอูยองด้วยอีกคน...
ผมยืนหมุนดอกไม้ในมือไปมา...
มันคือดอกพริมโรสที่เคยบานอยู่ริมรั้วบ้านที่ต่างจังหวัดของผม แล้วพวกเราก็มักจะเก็บมาเล่นกันบ่อยๆ นานเหลือเกินกว่าที่ผมจะรู้ความหมายของมัน
รักตลอดไป...
ผมได้แต่ถอนหายใจ เพราะดอกไม้แต่ละดอกที่ยัยนั่นชอบนักชอบหนา เธอจะรู้ความหมายของมันบ้างไหม? เหมือนอย่างความพยายามของผมที่เฝ้าดูแลเธอมาตลอดยี่สิบปี มันจะไร้ค่าเหมือนกับคำที่ดอกไม้ต้องการจะสื่อรึเปล่า?
ขาไม่รักดีสองข้างพาผมมาหยุดอยู่หน้าห้องคนป่วยจนได้ อันที่จริงต้องบอกว่าฮโยยอนโชคดีที่ผมกับยุนอาแอบสะกดรอยตามไป เมื่อคืนและด้วยความหัวไวของหมวดอิม เราเลยแกล้งกดสัญญาณเตือนภัยแล้วเอาระเบิดควันของยุนอายัดใส่ทางเดินอากาศ อาศัยความวุ่นวายพาฮโยยอนหนีออกมาได้ อย่าคิดว่าผมจะทำเท่เหมือนพระเอกคนอื่นๆด้วยการบุกเดี่ยวไปต่อยหน้าดีเจท็อป ใครจะไปทำแบบนั้นได้ล่ะครับ หมอนั่นมีนักเลงเฝ้าผับอยู่เป็นฝูง ถึงแม้ว่ายุนอาจะไม่หวั่น แต่ผมกลัวว่านอกจากจะช่วยคิมโชดิงไม่ได้แล้วจะไปตายคาท่อระบายน้ำน่ะสิ
ยังไงก็เถอะผมว่าฮโยยอนคงไม่กลับไปหาหมอนั่นอีกเป็นรอบที่สอง...ล่ะมั้ง?
ผมถอนหายใจออกมาอีกรอบ ก่อนจะวางดอกพริมโรสไว้ที่หน้าประตูห้อง ถึงจะไม่แน่ใจว่าเธอรู้ความหมายของมันรึเปล่า แต่ก็ยังไม่กล้าจะให้เธอตรงๆ อยู่ดี ไว้รอพรุ่งนี้... รอให้ผมทำใจได้ก่อน แล้วค่อยกลับมาหายัยนั่น มาในฐานะเพื่อน…
ทัมเบลิน่าไม่คู่ควรกับคางคกอย่างผมหรอก
ผมหันหลังกลับแล้วก็แทบผงะเพราะเจอใครบางคนยืนอยู่ตรงหน้า
ใครคนนั้นคือทัมเบลิน่าที่ได้หัวใจผมไปตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ตอนที่เธอยังเป็นเด็กตัวเล็ก และยังคงเป็นเจ้าของหัวใจของผมอยู่แม้ว่าเธอจะชอบเรียกผมว่าคางคกก็ตาม
“มาทำลับๆล่อๆอะไรตรงนี้?” ยัยนั่นถามผม มือสองข้างของเธอไพล่หลังแล้วก็ยื่นหน้ามาซะใกล้ หรี่ตาอย่างกับจะจับพิรุธแน่ะ
“มาเช็คดูว่าเธอตายรึยังน่ะสิ แล้วนี่ใครสั่งให้ออกมาเดินเพ่นพ่าน?” ผมนึกอยากตบปากตัวเองที่ไม่เคยพูดอะไรดีๆกับฮโยยอนได้สักครั้ง แต่มันก็อดไม่ได้นี่นา อันที่จริงผมทำปากเสียไปแบบนั้นเพราะต้องการจะย้ำสถานะความเป็นเพื่อนระหว่างเรามากกว่า
“ฉันเบื่อ นายมาก็ดีละ จะได้มีคนอยู่เป็นเพื่อน”
“แต่ฉันไม่อยากอยู่เป็นเพื่อนเธอนี่”
“งั้นนายจะอยู่ในฐานะอะไรล่ะ? อยู่เป็นแฟนมั้ยถ้างั้น?” ผมแทบสำลักอากาศขาดใจตาย ก่อนจะมองหน้ายัยเด็กสิบขวบตรงหน้า เฮ้ยๆ... นี่มันไม่ตลกนะ ผมคิดว่าคิมฮโยยอนคงซื่อบื้อจนไม่รู้ความรู้สึกของผมมาตลอด แต่โดนยิงมุกแบบนี้ ให้ตายเถอะ ผมเจ็บจริงๆนะ!
“ไม่ตลกนะ ฉันจะกลับล่ะ” ผมเดินเลี่ยงเธอออกไป นึกในใจว่าไม่น่ามาเลย อย่างน้อยก็น่าจะลากแทยอนหรือคนอื่นมาด้วย
“ใครว่าฉันพูดเรื่องตลก ฉันพูดจริงนะ!” ฮโยยอนตะโกนตามหลังมา เล่นเอาขาของผมหยุดชะงักแบบไม่รักดีเอาซะเลย
“ถ้านายไม่คิดจะเป็นมากกว่าเพื่อน ทำไมถึงได้อยู่กับฉันมาตลอดเกือบยี่สิบกว่าปี ทำไมถึงได้มาเปิดร้านดอกไม้ใกล้ๆ ทำไมต้องคอยดูแลฉัน ตามไปเฝ้าฉันที่ผับ ทำไมต้องคอยกันผู้ชายคนอื่นออกห่างจากฉัน ทำไมถึงต้องเสี่ยงตายไปช่วยฉันเมื่อวาน แล้วทำไมถึงต้องเป็นดอกพริมโรสนี่ล่ะ?”
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ หันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับเธอ
“เธอรู้รึไงว่าความหมายของมันคืออะไร?”
“นายเป็นคนบอกฉันเอง ทำไมจะจำไม่ได้”
“งั้นก็พูดออกมาสิ” ผมก้าวเข้าไปใกล้เธออีกก้าวนึง แต่ฮโยยอนกลับแลบลิ้นส่งให้ผมซะงั้น
“ไว้รอนายไปเกิดใหม่ซะก่อนเถอะนายกบหัวทอง!” ผมหัวเราะกับคำด่าของเธอ แต่ก็สะดุดใจกับอะไรเล็กๆ กบเหรอ? ปกติยัยนี่เรียกผมว่าคางคกนี่?
“เดี๋ยวสิฮโยยอน นี่เธอเปลี่ยนฉันเป็นกบตั้งแต่เมื่อไหร่?” ผมคว้าแขนฮโยยอนที่ทำท่าจะเดินหนี แล้วก็แปลกใจที่เห็นเธอหน้าแดงขึ้นมานิดหน่อยก่อนจะแกล้งทำจมูกย่นเหมือนโกรธผมซะงั้น
“ไม่ดีรึไง? อย่างน้อยกบก็หล่อกว่าคางคก แล้วอีกอย่าง...”
“อีกอย่าง?” ผมถามต่อ
“ก็กบมันกลายเป็นเจ้าชายได้หลังโดนจุมพิตไงเล่า ตาซื่อบื้อ!”
ผมยืนอ้าปากค้าง บอกไม่ถูกว่าจะรู้สึกอะไรดี แต่มันเหมือนผมกำลังตีลังกาอยู่บนรถไฟเหาะ หัวใจเต้นแรงยังกับกลองชุด บอกตรงเลยก็ได้... เขินชิบเป๋งเลยอ้ะ!
“กลับไปได้แล้วไป๊ ฉันจะนอนพักแล้ว” ฮโยยอนที่ตอนนี้หน้าแดงจัดหนีผมเข้าไปในห้องพักของเธอ แต่คราวนี้ผมไม่ปล่อยเธอไปง่ายๆหรอก เพราะทัมเบลิน่าของผมมีเรื่องติดค้างกันไว้เยอะเชียวแหละ แต่ก่อนอื่น...ที่ต้องเคลียร์เป็นอย่างแรก...
“จะไปไหนคิมฮโยยอน! มาเปลี่ยนกบให้เป็นเจ้าชายก่อนเดี๋ยวนี้เลย!”
ท่าทางว่าผมคงจะเล่านิทานผิดเรื่องมาตั้งแต่ต้นซะแล้วล่ะครับ ^^
ความคิดเห็น