ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SNSD] Princesses & The Boys : เจ้าหญิงสุดร้ายกับเจ้าชายสุดขั้ว!

    ลำดับตอนที่ #10 : Sunny's BD Project : Once Upon Our Honeymoon...

    • อัปเดตล่าสุด 15 พ.ค. 55




     
    ~Special Chapter~

    Once Upon Our Honeymoon...



    ใครว่านิทานจบลงตรงที่เจ้าหญิงกับเจ้าชายแต่งงานกัน?

    อ้อ... โอเค สำหรับคู่อื่นอาจจะใช่...

    พอดีลืมไปว่าฉันดันแต่งงานกับ หมาป่า’…





                 “ที่รัก เดินเร็วๆหน่อยสิ!

                    อีตาคุณสามีบ้านั่นปั่นจักรยานนำหน้าฉันไปลิ่วๆแล้วยังจะมีหน้ามาเยาะเย้ยกันอีก -*- ให้ตาย! ฉันไม่น่าเลือกมาอัมสเตอร์ดัมเลย!

                    ใช่ค่ะ... ตอนนี้เราอยู่อัมสเตอร์ดัม สถานที่ฮันนีมูนในฝันที่ฉันเคยบอกหมอนั่นไว้ตอนแต่งงาน หลังจบเรื่องวุ่นๆของยัยพวกเพื่อนตัวดีทั้งหลาย ฉันก็ถือโอกาสแว่บมาฮันนีมูนกับสุดที่รักฉันบ้างอะไรบ้าง แต่ตอนนี้หมดนี่กำลังเกรียนแบบได้ที่เลย

                    “ย่าห์! โจคยูฮยอน! ถ้านายยังไม่ลงจากจักรยานล่ะก็ คืนนี้ฉันไล่นายลงไปนอนกับพื้นแน่!

                    แทนที่ไอ้หมาป่าหน้าหื่นนี่จะกลัว เขากลับเร่งสปีดแล้ววกจักรยานกลับมาหาฉัน แถมเข้ามาจอดแบบประจันหน้ากันเลยด้วย

                    “คุณไม่แน่จริงหรอก คนขี้หนาวอย่างคุณน่ะ ถ้าไม่มีผมนอนกอดมีหวังนอนตัวสั่นเป็นลูกนกทั้งคืน”

                    “แต่ก่อนฉันก็นอนคนเดียวโดยไม่มีนาย ยังไม่เห็นเป็นไรเลย”

                    “แต่ปัจจุบันนี้คุณเป็นภรรยาของผม แต่ให้คุณไม่อยากแต่ผมก็จะนอนกอดคุณทุกคืนอยู่ดี ^^” เขายิ้มให้ฉันก่อนจะบีบจมูกเบาๆแบบที่ชอบทำทุกครั้งเวลาฉันแกล้งทำตัวงี่เง่าใส่ แล้วก็เหมือนทุกที ฉันยิ้มออกมาแล้วเราทั้งคู่ก็หัวเราะให้กัน

                    “ขึ้นมาเร็ว คุณสามีจะพาไปซิ่ง” คยูฮยอนบอกแล้วฉันก็ว่าง่าย ปีนขึ้นไปซ้อนท้ายจักรยานซะดิบดี

                    “หนักมั้ย?”

                    “สงสัยผมยังขุนคุณไม่พอถึงได้เบ๊าเบา~จนไม่รู้สึกขนาดนี้” แหม หยอดกันจริง คนเค้าก็เขินเป็นนะ >\\\< ฉันตีแขนหมอนั่นไปแรงๆทีนึงก่อนที่เขาจะเริ่มปั่นออกไป

                    ลมเย็นๆกับอากาศหนาวๆของอัมสเตอร์ดัมทำให้เรารู้สึกสดชื่นขึ้นเป็นกองหลังจากที่ฉันเมาเรืออยู่สองวันเต็ม สาเหตุก็มาจากคุณสามีตัวดีนี่แหละ ตั้งแต่ตอนเหยียบลงพื้นหมอนั่นก็ยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วสะพายเป้ขึ้นบ่า พาฉันไปพักที่บ้านเรือ ใช่ ไม่ผิดหรอก บ้านเรือ =__= แบบว่าลอยได้ อยู่บนน้ำ ไม่จบ แต่มันโคลงเคลงสุดจะบรรยายเวลามีคนขับเรือหรือเจ็ทสกีผ่าน ก็คนอัมสเตอร์ดัมนี่เค้าใช้เรือกับเจ็ทสกีเป็นอันดับสองรองจากจักรยานนี่นา

                    “แต่ถ้าไม่ได้นอนบ้านเรือก็เท่ากับมาไม่ถึงที่นี่นะ”

                    ตอนนี้ฉันอยากจะเปลี่ยนสถานที่ฮันนีมูนเป็นฮาวาย ไซปรัส หรือไม่ก็ฟลอริด้า แต่คิดอีกทีไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวหมอนี่เกิดคิดบ้าพาฉันตั้งแคมป์กลางหาดทราย แค่นี้คนสวยก็ลำบากจะแย่อยู่แล้ว

                    บ้านเรือของเราอยู่ริมคลองไคเซอร์กรากท์ที่เค้าว่ากันว่าสวยที่สุดแล้วในบรรดาคลองทั้งสี่ที่อยู่รอบเมืองค่ะ ไอ้ที่เรียกว่าคลองเนี่ยจริงๆมันคือคูเมืองที่ทำไว้เป็นชั้นๆค่ะ ถัดออกไปไม่ไกลเป็นตลาดเช้านอร์ดมาร์เก็ต อยู่เลยสะพานจากเรือที่เราพักไปแบบปั่นจักรยานสิบห้านาทีถึง แต่มีเหรอที่ฉันจะเหนื่อยปั่นเอง~ มีสารถีส่วนตัวก็ดีแบบนี้แหละ โฮะๆ~

                    “นี่ เค้าบอกว่าตรงคลองซิงเกิ้ลมีตลาดดอกไม้ที่ชื่อเบลอเมนท์มาร์เก็ตด้วยล่ะ ไปดูกัน” คยูฮยอนบอก แล้วฉันก็กอดเอวหมอนั่นแน่นๆในขณะที่เขาเร่งสปีด สามีฉันถึกจริงวุ้ย แต่พอปั่นไปได้สักพักหมอนั่นก็สปีดตกเฉยเลยแฮะ =_=a

                    “ซันนี่”

                    “หือ?”

                    “อย่ากอดแน่นนักสิ”

                    “ทำไมล่ะ?”

                    “หน้าอกคุณจิ้มหลังผมอยู่อ่ะ เดี๋ยวก็ไปไม่ถึงตลาดหรอก”

                    “ทะลึ่ง! -*-” ฉันซัดหมอนั่นเข้าที่กลางหลังเต็มๆ เอาให้หมดความรู้สึกกันไปเลย หื่นไม่รู้จักกาละเทศะตลอดเวย์

                    “ถึงแล้ว” คยูฮยอนจอดรถจักรยานแล้วปล่อยให้ฉันปีนลงก่อนที่เขาจะล็อกล้อเอาไว้ จากนั้นเราสองคนก็เดินจูงมือกันเข้าตลาดดอกไม้ที่ขึ้นชื่อที่สุด ว้าว~ สวยมากเลย แน่นอนว่าที่นี่เป็นแหล่งดอกทิวลิปอยู่แล้ว แต่ฉันไม่เคยเห็นหลากหลายสีขนาดนี้มาก่อนเลย แถมแต่ละสีเจ็บๆทั้งนั้นด้วย ไม่ใช่แค่ดอกทิวลิป แต่ที่นี่มีดอกไม้แทบทุกชนิดเลย ทั้งดอกทานตะวัน สวีทพี ไฮเดรนเยีย หรือแม้แต่ลาเวนเดอร์ สวรรค์ของคนทำสวนชัดๆ

                    “ยิ้มหน่อยเร็ว” เสียงของคุณสามีดังขึ้น ฉันหันหลังกลับไปพอดีกับที่ชัตเตอร์ทำงาน แหม ก็คนเป็นช่างภาพนี่เนอะ

                    “ทำไมถ่ายแบบไม่ให้เวลาตั้งตัวเลยล่ะ ยังงี้ก็ตลกน่ะสิ” ฉันทำหน้าบูดใส่เขาที่มองรูปในกล้องอย่างมีความสุข

                    “ไม่หรอก ดอกไม้ดอกไหนก็ไม่สวยเท่าภรรยาของผมอยู่แล้ว”

                    “ชิ มาทำปากหวาน”

                    “ก็จริงนี่นา แถมยังไม่มีใครหอมเท่าคุณด้วย” หมอนั่นถือโอกาสโน้มตัวลงมาหอมแก้มฉันทีนึง นี่ถ้ายัยพวกนั้นมาด้วยป่านนี้คงได้ประท้วงกันเป็นแถบ แต่บังเอิญเรามาฮันนีมูน ไม่มีก ข ค ง นะจ๊ะ > <~

                    “โจคยูฮยอน... นั่นโจคยูฮยอนใช่มั้ย?”

                    สงสัยฉันจะคิดผิด...

                    “เฮ้ย ฮันซึงยอน เธอจริงๆน่ะ!” คยูฮยอนหันไปตามเสียงเรียกของผู้หญิงคนนึง ดูท่าทางเป็นคนเกาหลีแน่นอน แถมเธอยังน่ารักมาก แล้วในมือเธอก็มีกล้องแบบเดียวกันกับที่คยูฮยอนถือ ท่าทางเธอจะเป็นช่างภาพเหมือนกัน

                    “โลกกลมจังเลย ไม่นึกว่าเราจะได้เจอกันอีก ^^”

                    “อื้อ ฉันก็ไม่คิดเหมือนกัน เธอสบายดีมั้ย?”

                    “สบายดีจ้ะ ฉันมาทำงานชู้ตติ้งที่นี่น่ะ นางแบบฉันสวยมั้ย?” เธอดึงเพื่อนสาวที่ยืนอยู่ข้างหลังขึ้นมา

                    “ย่าห์! โกอูริ! ให้ตายเถอะ พวกเธอสองคนนี่ตัวติดกันไม่เปลี่ยนเลย!” คยูฮยอนยิ้มกว้าง ท่าทางดูจะดีใจมากที่ได้เจอเพื่อนเก่าทั้งสองคน ทำไมฉันรู้สึกตัวเองเป็นหัวหลักหัวตอจังเลยล่ะ แต่ด้วยมารยาทที่ดีเลยไม่อยากขัดคุณสามี ฉันเลยยืนแกร่วรอดูดอกไม้ไปพลางๆ

                    “เอ่อ แล้วนั่นนางแบบของนายเหรอ?” คุยกันไปสักพักผู้หญิงที่ชื่อโกอูริถึงเพิ่งสังเกตเห็นฉัน อีตาคยูฮยอนเลยถือโอกาสโอบเอวแล้วลากตัวฉันเข้าแนะนำให้คุณเพื่อนรู้จัก

                    “นี่ซันนี่ ภรรยาฉันเอง ^^” คุณสามีของฉันแนะนำอย่างภาคภูมิใจ ไม่ได้เห็นสีหน้าของเพื่อนสองคนเลยสักนิด

                    สีหน้าที่ฉันอ่านออกว่าไม่ได้ดีใจอะไรด้วยเลย แถมยังดูจะช็อกซะมากกว่า

                    “เหรอ... ยินดีด้วยนะ ฉันไม่รู้เลยว่านายแต่งงานไปแล้ว” คุณซึงยอนตอบก่อนจะยิ้มอ่อนโยนส่งให้ฉัน ผิดกันกับเพื่อนของเธอที่อ้าปากทำท่าเหมือนอยากจะวีน แต่จู่ๆก็ถอยกลับไป

                    “ก็ไม่ค่อยได้เชิญเพื่อนที่เรียนมหาลัยด้วยกันน่ะ อีกอย่างฉันไม่อยากจัดงานใหญ่เพราะเราสองคนไม่ค่อยมีเวลา นี่กว่าจะหาเวลามาฮันนีมูนกันได้ก็สองเดือนกว่าแล้ว”

                    เอิ่ม... จริงๆที่ยุ่งเนี่ย ส่วนมากเพราะเพื่อนฉันทั้งนั้น =__=

                    “งั้นเย็นนี้เราไปกินข้าวด้วยกันนะ ถือว่าฉลองแต่งงานให้นายย้อนหลัง ดีมั้ยซึงยอน?” ผู้หญิงที่ชื่ออูริรีบเสนอขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แล้วประเด็นคือ ถามเพื่อนตัวเองทำไม ทำไมไม่ถามฉัน? ฉันเป็นภรรยาหมอนี่นะ

                    “ถ้างั้นฉันก็ไม่เกรงใจล่ะนะ จะซัดเบียร์ให้พุงกางเลย” เจริญ ไอ้คุณสามีนี่เห็นเหล้าดีกว่าฉันอ่ะ T^T

                    “ตกลงแล้วนะ งั้นเจอกันเย็นนี้ทุ่มนึง ที่ไนน์สตรีท!” โกอูริโบกมือให้พวกเราก่อนจะลากซึงยอนเดินไปอีกทาง ทำไมฉันถึงได้รู้สึกตงิดใจประหลาดๆ

                    แต่ที่แน่ๆ ฉันรู้ว่าเพื่อนคุณสามีสองคนนั่นไม่ได้ยินดีกับการแต่งงานของพวกเราเลย...


     

                ฉันกับคุณสามีเดินทอดน่องมาถึงถนนไนน์สตรีทที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งรวมของกินเหล้ายาปลาปิ้งชั้นเลิศของอัมสเตอร์ดัม ที่มีตั้งติดกันเป็นพรืดคือบราวน์คาเฟ่ หรือหรือบราวบาร์ จริงๆมันก็คิอพวกบาร์นั่งดริงค์กึ่งๆคอฟฟี่ชอปบ้านเรานั่นแหละ จะบอกว่าอยู่ที่นี่อย่าได้ถามหาร้านกาแฟเชียวนะคะ เพราะไอ้ที่ขึ้นป้ายว่า Coffeeshop เนี่ย ส่วนมากไม่มีอะไรขายนอกจากกัญชา =__= ดูความติสท์ของเมืองเค้าสิ!

                    “แล้วนี่เราจะเจอเพื่อนนายได้ไง?” ฉันหันไปถามพ่อตัวดีที่ทำหน้ายี้เพราะโดนควันจากคอฟฟี่ชอปที่เดินผ่านมาตีเข้าไปเต็มหน้า

                    “ส่วนมากร้านแถวนี้ตั้งโต๊ะกันข้างนอก สองคนนั้นคงนั่งชิวๆดื่มเบียร์รอพวกเราอยู่ล่ะมั้ง?” พูดยังไม่ทันขาดคำฉันก็เห็นโกอูริโบกมือไหวๆอยู่ข้างหน้า เราสองคนเดินไปทางบราวน์บาร์ที่เพื่อนๆของคยูฮยอนนั่งอยู่ ยอมรับเลยว่าร้านที่สองคนนี้เลือกมานี่แจ่มจริงอะไรจริง ร้านนี้ตกแต่งแบบสไตล์ยุโรป ตัวตึกอาคารเป็นคาแนลเฮ้าส์ก่อด้วยอิฐสีน้ำตาลเก่าๆ ให้ความรู้สึกคลาสสิก ผ้าใบกันสาดสีแดงกำมะหยี่มีชื่อร้านสีขาวสกรีนติดอยู่ เขียนว่า van ouds ‘T LOOSJE เก้าอี้หวายที่ตั้งหน้าร้านให้ความรู้สึกอบอุ่นน่านั่ง แถมฝั่งตรงข้ามยังเป็นตลาดดอกไม้อีกแห่งที่ชื่อนิวมาร์เก็ต เยื้องๆกันเป็นสะพานข้ามคลองที่เชื่อมกับแม่น้ำอัมสเทล จักรยานทรงสูงจอดเรียงรายเต็มขอบสะพาน น้ำเริ่มสะท้อนแสงไฟกลายเป็นสีน้ำตาลอมทองเหมือนเบียร์เข้มๆ สวยจัง...

                    “วันนี้อาจจะลมแรงหน่อย ระวังเป็นหวัดนะคะ” ฮันซึงยอนส่งยิ้มให้ฉันอย่างเป็นมิตร เห็นแล้วค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย ไม่ทันขาดคำคุณสามีตัวดีก็ถอดผ้าพันคอออกมาห่มให้ฉันจนตัวกลมเป็นตุ๊กตา

                    “สวีทกันจริงนะ กลัวเขาไม่รู้รึไงว่ามาฮันนีมูนกันน่ะ” โกอูริหันมาแขวะเราสอง ฮึ -*- ทำไมยะ พวกฉันสวีทกันนี่มันผิดกฎหมายรึยังไง

                    “ดื่มอะไรอุ่นๆหน่อยละกันนะ เดี๋ยวผมไปสั่งให้” ฉันพยักหน้าให้คยูฮยอนที่ลุกเข้าไปสั่งเครื่องดื่มข้างใน

                    “นี่ ซึงยอน ไปช่วยหมอนั่นสั่งสิ คยูฮยอนพูดภาษาดัตช์เป็นที่ไหน”

                    ฮันซึงยอนเหลือบมองเพื่อนทีมองฉันที พอเห็นฉันยิ้มให้นิดๆ เธอก็ลุกขึ้นไป ทิ้งฉันไว้เฝ้าโต๊ะกับโกอูริที่ตั้งแต่มา ยังไม่พูดกับฉันซักคำ

                    โอเค งั้นฉันเริ่มก็ได้ =__=

                    “พวกคุณ...เป็นเพื่อนสมัยเรียนของคยูฮยอนเหรอคะ?”

                    โกอูริหันมามองหน้าฉันเหมือนไม่อยากตอบก่อนจะนั่งเท้าคางเขี่ยซอสมะเขือเทศในจานเล่น

                    “ใช่... ซึงยอนกับหมอนั่นเรียนสาขาโฟโต้ ส่วนฉันเรียนสาขาการละคร แต่พอดีฉันเป็นรูมเมทกับซึงยอน พวกเราเลยสนิทกัน แล้วเธอล่ะ เจอเขาเมื่อไหร่?”

                    “ก็... ประมาณปลายปีที่แล้วน่ะค่ะ” ฉันตอบออกไปแล้วผู้หญิงคนนั้นก็หันมามองอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา

                    “นี่พวกเธอรู้จักกันไม่ถึงครึ่งปีก็แต่งงานกันแล้วเนี่ยนะ!

                    ไม่อยากจะบอกว่าเจอกันวันแรกเราก็ขลุกอยู่บนเตียงด้วยกันแล้ว =__=;

                    “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนอย่างโจคยูฮยอนจะทำอะไรแบบนี้” โกอูริพูดออกมา... ขัดหูฉันชะมัดยาด -*- ทำไม รักกันแล้วแต่งงานกันมันผิดตรงไหน? ฉันอ้าปากกำลังจะเถียงแล้วเธอก็พูดขึ้นมาก่อน

                    “รู้มั้ย? ว่าซึงยอนกับคยูฮยอนน่ะ คบกันสมัยเรียนมหาลัย ตอนใกล้จะเรียนจบซึงยอนถามว่าหมอนั่นคิดถึงเรื่องแต่งงานบ้างรึเปล่า เขาบอกว่ายังไม่ได้คิดเลย เพราะเขาต้องการเวลารู้จักใครสักคนมากกว่านี้ แล้วหลังจากนั้นทั้งคู่ก็เลิกกัน”  

                    “แล้วคุณมาพูดเรื่องนี้กับฉันทำไมล่ะคะ?” ฉันตอบกลับไป

                    “ก็เพราะฉันคิดว่าเวลาน้อยแค่นั้นเธอไม่มีทางรู้จักหมอนั่นดีเท่าพวกเรา แล้วเธอคงฉลาดพอที่จะรู้ใช่ไหมว่าบางทีชีวิตคู่มันก็ไม่ได้จบสวยหรูตรงการแต่งงาน”

                    ฉันได้แต่นิ่งไป... ใช่ ฉันรู้ แต่ว่าเรารักกันนี่ คยูฮยอนไม่เคยทำตัวเหลวไหลกับฉัน ไม่เคยนะ... เท่าที่รู้... แต่ว่าอดีตของเขาฉันเองก็ไม่เคยรู้เหมือนกัน... โกอูริคงเห็นสีหน้าของฉัน เธอถึงได้พูดต่อขึ้นมาอีก

                    “เธอควรจะทำใจเอาไว้หน่อยนะ เพราะรักแรกที่เป็นรักแท้จริงๆน่ะ มันมีแค่หนึ่งในล้าน... ใครจะไปรู้ เธออาจไม่ใช่หนึ่งในนั้นก็ได้”

                    ใช่ฉันรู้... รู้ตั้งแต่ต้นเลย...

                    ฉันมองเข้าไปในร้าน คยูฮยอนกำลังหัวเราะอยู่กับคุณซึงยอน ท่าทางดูจะเข้ากันได้ดี

                    ถ้าเป็นอย่างที่โกอูริพูดจริงๆ... เขายังรักฮันซึงยอนอยู่บ้างรึเปล่านะ?

     

     

                หายใจไม่ออก...

                    ทั้งหนาว ทั้งมืด ฉันพยายามไขว่คว้าหาอะไรก็ตามที่จะดึงฉันออกไปจากที่นี่ แต่พอกะพริบตาอีกทีสิ่งอยู่ตรงหน้าฉันกลับคุ้นตามากซะจนฉันตกใจ

                    ไม่นะ! ไม่!

                    ฉันตะเกียกตะกายพยายามเอื้อมคว้าร่างที่จมลึกลงไป...ลงไป อากาศเหลือน้อยลงทุกที แล้วทุกอย่างก็มืดลงกว่าเดิม

                    ไม่!!

                    “...นี่...ซันนี่... อีซุนคยู!

                    ฉันลืมตาตื่นพร้อมกับความรู้สึกโคลงเคลงที่ชินซะจนลืมไปแล้ว แถมตอนนี้ฉันอยู่ในอ้อมกอดอุ่นๆของโจคยูฮยอนที่เรียกฉันซะดังลั่น

                    “เป็นอะไรรึเปล่า?” เสียงนุ่มๆนั่นกระซิบถาม แววตาที่มองฉันด้วยความเป็นห่วงแบบนั้นทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองปลอดภัย แต่มันเหมือนจริงซะจนฉันกลัว

                    “ฟานี่... ฉันฝันเห็นทิฟฟานี่จมน้ำ...”

                    “แค่ฝันร้ายน่า ป่านนี้รายนั้นคงกำลังเตรียมงานแต่งอยู่ล่ะมั้ง? เดี๋ยวพอกลับไปคุณก็จะได้เป็นเพื่อนเจ้าสาวแล้วนะ” เขายิ้มก่อนจะลูบผมฉันเบาๆ

                    “อืม” ฉันตอบเขา ซุกตัวเข้าหาแผงอกอุ่นๆ มีความสุขจัง~

                    “อยากโทรหาฟานี่มั้ย?” เขาถาม

                    “ไม่อ่ะ ไปกินข้าวเช้ากันดีกว่า” ฉันตอบก่อนจะส่งยิ้มให้เขา แต่พอจะลุกขึ้นจากเตียงหมอนั่นก็กลับดึงตัวฉันเอาไว้แล้วจูบอย่างดูดดื่ม

                    “มอร์นิ่งคิสครับที่รัก ^^”

                    “บ้า >///<” ฉันตีแขนหมอนั่นแรงๆทีนึง แหม หาเศษหาเลยตลอดอ่ะ

                    “เอ้อ ผมลืมบอกไป พอดีเมื่อวานผมชวนซึงยอนไปถ่ายรูปแถวเดมสแควร์น่ะ ไปด้วยกันนะ”

                    “ยังจะถามอีกทำไม ก็นัดเค้าไปแล้วนี่” ฉันลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปเปิดหน้าต่าง แต่คงแรงไปหน่อยเลยมันเลยกระแทกซะเสียงดัง นี่ไม่ได้เคืองนะ มันเป็นอุบัติเหตุ ไม่ได้เคืองเล้ย -*-

                    “ซันนี่” เสียงนุ่มๆดังขึ้นข้างหูแล้วกว่าจะรู้ตัว อีตาหมาป่าเจ้าเล่ห์ก็เข้ามากอดฉันจากข้างหลัง ฮึ

                    “หึงหรือไง?”

                    “ล้อเล่นรึเปล่า?!” ฉันหันหลังกลับไปถลึงตาใส่ไอ้คุณสามีงี่เง่า “เราอยู่ในระหว่างฮันนีมูนที่รอมาตั้งสองเดือน แล้วจู่ๆนายก็เจอเพื่อนสมัยเรียนที่เป็นสาวสวย แล้วนายยังนัดดินเนอร์ นัดถ่ายรูปกันอีก! นายซื้อตั๋วเครื่องบินกลับโซลให้ฉันเลยดีกว่ามั้ง!

                    “ฮ่าๆๆ >_< คุณนี่น่ารักจัง” แทนที่จะเอาใจฉัน หมอนี่กลับหัวเราะใส่ซะงั้น ฮึ้ย! สวยหงุดหงิด

                    “อย่างอนเค้าน้า~

                    “ฮึ!

                    “งั้น... ซันนี่คนสวยของผม อนุญาตให้ลงโทษสามีสุดหล่อคนนี้เต็มที่เลย ดีมั้ย?” หมอนั่นดึงฉันกลับเข้ามาในอ้อมกอดแล้วกระซิบใส่ข้างหู เล่นเอาขนลุกไปทั้งตัว

                    “ลงโทษอะไร นายกำไรชัดๆ”

                    “เค้าเรียกว่าวินวินทั้งคู่ตะหาก” มือหมอนั่นเริ่มยุ่มย่ามแถวๆบั้นท้ายฉันแล้วแฮะ เฮ้ๆ แบบนี้ไม่ดีนะ...

                    แต่ให้ตายเถอะ สุดท้ายเราก็ลงเอยกันที่เตียงอยู่ดี =///=

     

     

                    กว่าฉันจะแงะตัวเองออกมาจากมือไอ้หมาป่าจอมหื่นนั่นได้ก็ปาเข้าไปบ่ายกว่าๆแล้ว สาบานได้ว่าเมื่อเช้าตอนฉันตื่นเนี่ยมันเพิ่งจะเจ็ดโมงนิดๆ เอง ไม่รู้คุณสามีฉันถึกหรือยังไง ทั้งๆที่ฟัดฉันซะจนแทบลุกไม่ขึ้น แต่หมอนี่กลับมีแรงลัลล้าไปถ่ายรูปต่อตามนัดได้อีก เชื่อเค้าเลย แถมเพราะกิจกรรมฮันนีมูน เราสองคนเลยยังไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่ดินเนอร์เมื่อวาน

                “ขอไปถ่ายรูปก่อนนะ ผมกลัวแสงจะหมด แล้วเดี๋ยวผมจะพาคุณไปกินจนพุงกางเลย”

                    ฮึ! กลัวแสงหมดมากกว่ากลัวฉันอดตายเหรอ =*=

                    แต่จนแล้วจนรอด ฉันก็โดนอีตบ้านี่หิ้วมาถ่ายรูปตรงจตุรัสเดมจนได้ ที่มาด้วยกันนี่ใช่ว่าฉันจะไปเป็นนางแบบให้เขานะ แค่มาด้วยแบบมาด้วยเฉยๆเลย หมอนั่นก็ถ่ายนก ถ่ายไม้ ถ่ายวิวไป นานๆทีเจอโลเคชั่นดีๆถึงจะบอกให้ฉันวิ่งเข้าเฟรม

                    ถามว่าเบื่อมั้ย ขอบอกเลยว่าตรงกันข้าม ฉันมีความสุขมาก ^^

                    เพราะอะไรน่ะเหรอ? เพราะฉันชอบสายตาเขาเวลาเจอโลเคชั่นถูกใจ ชอบเวลาที่นิ้วเรียวๆยกขึ้นมากะเฟรมก่อนจะหันมาถามความเห็นฉันอย่างตื่นเต้น แล้วฉันก็หลงใหลสายตาของช่างภาพคู่นั้น เวลาที่เขามองผ่านกล้อง ก่อนจะยิ้มอย่างมีความสุข แล้วก็วิ่งกลับมาหาฉันเหมือนเด็กๆเพื่ออวดรูปที่เพิ่งถ่ายไป

                    ฉันจะมีวันเบื่อภาพแบบนี้มั้ยนะ? แต่วัดจากอัตราการเต้นของหัวใจตอนนี้ ขอบอกเลยว่ายาก

                    “นี่ ว่าแต่นายนัดเพื่อนไว้ไม่ใช่เหรอ?”

                    “อื้อ สงสัยสองคนนั้นคงมาถ่ายไปแต่เช้าแล้วล่ะ นัดไว้ตอนสิบเอ็ดโมงแน่ะ”

                    นัดเพื่อนสิบเอ็ดโมงแล้วดูมันทำเข้า =_=;

                    “ไปวิหารโอดเคิร์กกัน ^^” หมอนั่นยังคงทำหน้าระรื่นแล้วก็กวักมือเรียกฉันขึ้นไปซ้อนท้าย ไม่ได้จะสำนึกเลยสักนิด แต่นั่นกลับทำให้ฉันรู้สึกสบายใจ ที่เขาไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนที่ผิดนัดสองสาวนั่น หมายความว่าเขาสนใจฉันมากกว่า? แน่อยู่แล้ว ภรรยาทั้งคน ต้องสนใจมากกว่าแฟนเก่าอยู่แล้วสิ อีซุนคยู เธอนี่บ้าบอไม่เข้าเรื่อง คิดอะไรมากมายไปได้ ถ้าเขาไม่รักจริงเขาคงไม่ขอเธอแต่งงานหรอก

                    คยูฮยอนจอดรถจักรยานลงตรงหน้ามหาวิหารที่สูงเด่นเป็นสง่า สวยมากๆเลยแฮะ แดดสีส้มช่วงเย็นๆ ส่องกระทบกระจกสีแล้วสะท้อนกลับมาเป็นประกายรุ้ง

                    “จริงๆผมอยากจัดงานแต่งที่นี่นะ ถ้าไม่ติดว่าค่าเช่ากับค่าตั๋วเครื่องบินที่ต้องจ่ายให้ญาติกับเพื่อนๆของคุณมันจะทำให้ผมหมดตัว” เขากระซิบบอกฉันพร้อมรอยยิ้ม

                    “เราแต่งกันเองอีกรอบก็ได้นี่ ไปสวมแหวนหน้าแท่นพิธีกันเถอะ”

                    “เป็นความคิดที่ดีนะ ผมอนุมัติ” เราหัวเราะให้กันก่อนจะจูงมือเดินเข้าไปข้างใน แต่พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าวเราก็ชะงักด้วยเสียงเรียกซะก่อน

                    “ย่าห์! โจคยูฮยอน! นายนัดเพื่อนฉันไว้กี่โมงกันหา?” โกอูริยืนเท้าสะเอวอย่างหาเรื่องอยู่ตรงหน้าประตูพอดิบพอดี

                    “ไม่เอาน่า อูริ จริงๆก็ไม่ได้นัดอะไรหรอก เรามีแพลนจะมาถ่ายรูปที่เดมกับโอดเคิร์กวันนี้เหมือนกันแค่นั้น ฉันแค่บอกไปว่าตอนเที่ยงๆฉันอาจจะอยู่ที่เดม” คุณซึงยอนดึงแขนอูริเอาไว้แล้วหันมายิ้มให้เราสองคน

                    “ขอโทษทีนะซึงยอน พอดีติดกิจกรรมฮันนีมูนน่ะ” หมอนั่นตอบหน้าทะเล้นแล้วฉันก็หยิกแขนเขาแรงๆทีนึง

                    “ไม่เกรงใจฉันก็เกรงใจเพื่อนนายบ้างเถอะย่ะ -*-

                    “ทำกันขนาดนี้ไม่ต้องเกรงใจแล้วมั้ง?” โกอูริบ่นอุบ

                    “ยังๆ ยังไม่หมดนะ ซึงยอนฝากกล้องหน่อยสิ จะให้ดีถ่ายรูปให้ด้วยนะ เราสองคนจะเข้าไปแต่งงานกันอีกรอบ” อูริกับซึงยอนกะพริบตาปริบๆในขณะที่อีตาหมาบ้านี่ลากฉันเข้าไปข้างใน

                    “นี่นายเอาจริงเหรอ?” ฉันถามขณะที่คุณสามีผลักฉันขึ้นไปบนเวทีว่างเปล่า ทั้งนักท่องเที่ยว หรือคนอัมสเตอร์ดัมที่เข้ามาถ่ายรูปและสวดมนต์พากันมองเราเป็นตาเดียว

                    “We are going to marry!” (เรากำลังจะแต่งงานกันครับ) หมอนี่หันไปป่าวประกาศแล้วทุกคนก็หัวเราะ ตาบ้านี่ พาฉันมาขายหน้าที่ต่างประเทศอีก ยังไม่ทันจะได้อ้าปากด่าอะไร เขาก็คุกเข่าข้างนึงลงกับพื้น

                    “แต่เราไม่มีบาทหลวงนะ” ฉันถามขำ นึกสนุกไปกับคุณสามีที่รักที่ยิ้มกว้างเหมือนเด็กๆ

                    “ผมเป็นเองก็ได้” เขาบอกก่อนจะกระแอมสองสามทีให้คอโล่ง แล้วพูดขึ้นมาใหม่ “ซันนี่ คุณยินดีจะรับโจคยูฮยอนเป็นสามี ดูแลกันและกันไปจนชั่วชีวิตหรือไม่?”

                    “รับค่ะ” ฉันตอบออกไปเป็นครั้งที่สองของชีวิตจับมือเขาแน่น แหวนเงินชื่อของเราสองคนที่เขาเคยสวมให้ยังคงส่องประกายอยู่บนนิ้วนางของฉัน

                    “ดีมาก ผมก็รับเหมือนกัน” หมอนั่นบอกก่อนจะหันซ้ายหันขวาแล้วมองแหวนแต่งงาน

                    “ผมไม่อยากถอดแหวนของเราออกอ่ะที่รัก แต่ตอนนี้มันถึงคิวสวมแหวน ผมทำแบบนี้แทนแล้วกัน” เขาล้วงกระเป๋ากางเกง หยิบเอาปากกาเมจิกออกมาแท่งหนึ่ง แล้ววาดมันลงบนนิ้วนาง ข้างๆแหวนแต่งงานของจริง

                    “เสร็จแล้ว!” เขาฉีกยิ้มเหมือนเด็กๆ เก็บปากกาแล้วมองผลงานตัวเอง เหมือนกับมันเป็นแหวนเพชรจริงๆ ให้ตายเถอะ ทั้งที่แหวนนี่มันเป็นแค่รูปวาด ทั้งที่เราไม่มีบาทหลวง ไม่มีเพื่อนเจ้าสาวและเจ้าบ่าว แต่ความรู้สึกนี้ไม่ต่างกับวันที่ฉันแต่งงานจริงๆเลย

                    คยูฮยอนเงยหน้าขึ้นสบตาฉัน ฉันรู้ว่ามันแปลว่าอะไร

                    ผมรักคุณ

                คำๆนั้นฉันมองเห็นได้ในแววตาของเขา

                    ฉันรักผู้ชายคนนี้ รักมาก มากที่สุดในโลก

                    “Kiss the bride!(จูบเจ้าสาวเลย!) หนึ่งในเหล่าผู้ชมของเราตะโกนขึ้นมา คุณสามีของฉันหันไปยิ้มรับแล้วก็ลุกขึ้นยืน

                    แต่ขอโทษงานนี้เจ้าสาวขอเกิดบ้างเถอะค่ะ ฉันยกแขนขึ้นโอบรอบคอคุณเจ้าบ่าวรอบสองแล้วเขย่งตัวขึ้นจูบเขา จูบดูดดื่มแบบดาราหนังฮอลลีวู้ดยังอาย เด็ดไม่เด็ดฟังจากเสียงผิวปากเชียร์เอาก็รู้

                    “สกิลพัฒนาขึ้นนะเนี่ย” คยูฮยอนยิ้มแล้วก็อุ้มฉันขึ้นท่ามกลางเสียงโห่ร้องของคนที่เป็นพยาน แม้ว่าเราจะพูดกันด้วยภาษาที่พวกเขาไม่รู้เรื่องเลยสักนิด แต่ฉันบอกได้จากแววตาว่าทุกๆคนแสดงความยินดีกับเรา ฉันได้แต่พูดขอบคุณเป็นภาษาอังกฤษตอบกลับไประหว่างทางที่คุณสามีอุ้มฉันเดินไปจนสุดห้องพิธีก่อนจะวางฉันตัวฉันลง ถึงตรงนี้ก็ไม่มีใครสนใจเราแล้ว

                    “หวานกันพอรึยัง?” โกอูริยืนรอเราอยู่หน้าประตู แถมยังสะพายกล้องไว้ตั้งสองตัว แล้วก็ไม่มีวี่แววของซึงยอนให้เห็น

                    “คุณซึงยอนล่ะคะ?” ฉันถาม

                    “ยัยนั่นไปเข้าห้องน้ำน่ะ”

                    “ว้า เสียดายจัง งั้นเมื่อกี้ก็ไม่มีใครถ่ายรูปให้น่ะสิ” คุณสามีฉันบ่นออกมา

                    “มาสายแล้วยังจะใช้งานอีก ดีเท่าไหร่แล้วที่ฉันไม่ทิ้งกล้องสุดรักของนายลงถังขยะ เอาคืนไปเลย!” อูริยัดกล้องใส่มือคยูฮยอนแล้วเดินนำออกไป

                    “งั้นเดี๋ยวฉันเลี้ยงกาแฟพวกเธอนะ ซันนี่ฝากกล้องหน่อย เดี๋ยวผมกลับมานะ” คยูฮยอนส่งกระเป๋ากล้องมาให้ฉันก่อนจะวิ่งไปทางบราวน์บาร์ที่อยู่อีกฝั่ง ฉันอยู่กับโกอูริสองต่อสองอีกแล้ว

                    อึดอัด =__=;

                    “อ้าว ซึงยอน” ไม่ทันไร ฮันซึงยอนก็เดินกลับเข้ามา ดูหน้าตาเธอไม่ค่อยดีเท่าไหร่

                    “เป็นอะไรรึเปล่าคะ?” ฉันถาม เธอยิ้มตอบกลับมา

                    “ไม่เป็นไรมากหรอกค่ะ ฉันคงไม่สบายเพราะลมแรง ยังไงขอตัวก่อนนะคะ” เธอโค้งให้ฉันก่อนจะดึงอูริไปอีกทาง

                    “เอ่อ ไม่รอคยูฮยอนก่อนเหรอคะ เดี๋ยวให้เค้าไปส่งก็ได้”

                    “ไม่ดีกว่าค่ะ พวกคุณมาฮันนีมูนกัน ฉันไม่อยากรบกวนเวลา ไปก่อนนะคะ” คุณซึงยอนควงแขนเพื่อนสาวเดินออกไป อืม... แฟนเก่าหมอนี่เป็นคนดีแฮะ อย่างน้อยก็ดีกว่าเพื่อนอีกคนเยอะ ทั้งๆที่ฉันรู้สึกได้ว่าเธอคงยังไม่ลืมคยูฮยอน แต่เธอก็ไม่คิดจะแย่งเขากลับคืนไป ผิดกับโกอูริที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียแต่เชียร์เหลือเกิน =__=

                    ระหว่างที่ยืนรอตาหมาป่านั่น ฉันก็ควักกล้องออกมากดดูรูปเล่นแต่แค่เปิดมาเจอรูปแรกฉันก็แทบจะทำกล้องหลุดมือ

                    เพราะคนในรูปคือฮันซึงยอน

                    ฉันทำใจแข็งเปิดย้อนกลับไปอีกสองสามรูป ในนั้นก็ยังมีแต่รูปที่โฟกัสซึงยอนเป็นหลัก แล้วก็เป็นรูปแอบถ่ายแบบที่เขาชอบถ่ายฉัน คราวนี้ฉันกดปุ่มย้อนกลับไปดูภาพที่เก่าที่สุดในกล้อง

                    รูปคู่...

                    สมัยที่พวกเขาเรียนด้วยกัน

                    ฉันกดปิดทันที ให้ตายเถอะซันนี่! พวกเธอเพิ่งแต่งงานรอบสองกันไปเมื่อไม่กี่นาทีนี้เองนะ เธอจะทำตัวแบบนี้ จะไม่เชื่อใจเขาได้ยังไง ไม่ได้ๆ เธอต้องไว้ใจเขาสิ!

                    ...แต่มันคาใจอ่ะ T^T

                    “โอ๊ย ฉันจะทำยังไงดีเนี่ย!” ฉันได้แต่ยืนคอตกไม่สังเกตเลยว่าคุณสามีเดินกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่

                    “ซันนี่? ทำไมอยู่คนเดียวล่ะ?”

                    “อ๋อ เพื่อนนาย...คุณซึงยอนเค้าไม่ค่อยสบายน่ะ เลยขอตัวกลับไปก่อนแล้ว”

                    “งั้นเหรอ จริงสินะ ยัยนั่นไม่ค่อยถูกโรคกับอากาศเย็นๆเท่าไหร่ ถ้าไม่ป่วยหนักก็คงจะดีหรอก...” ฉันเหลือบมองหน้าเขา พยายามมองหาแววตาแสดงความเป็นห่วงเหมือนอย่างที่เขามองฉันเมื่อเช้านี้ แต่จู่ๆหมอนั่นกลับหันมามองหน้าฉันซะงั้น

                    “มีปัญหาอะไรเหรอครับที่รัก ^^”

                    หน้าฉันมีอะไรเขียนอยู่หรือไง? T^T

                    อันที่จริงฉันก็อยากจะตอบปฏิเสธเพราะกลัวว่าถ้าเคลียร์แล้วเดี๋ยวมันจะยาว แต่ถ้าฉันต้องนอนข้างๆเขาโดยคิดถึงเรื่องนี้ไปทั้งคืนมันคงจะแย่แบบสุดๆ

                    เอาก็เอาวะ!

                    “คือแบบว่า... เอาจริงๆเลยนะ นาย...ซึงยอนเป็นแฟนเก่านายใช่มั้ย?

                    “ใช่ เราเคยคบกันตอนเรียน พอเรียนจบก็เลิกกัน” เขาตอบออกมาตรงๆ นั่นทำให้ฉันทั้งโล่งอก แต่ก็ใจหายในเวลาเดียวกัน

                    “แล้ว...นายยังชอบเขาอยู่บ้างไหม?”

                    “ถ้าผมคิดแบบนั้นคงไม่แต่งงานกับคุณหรอก ทำไมล่ะ ไปเห็นอะไรมา?” คุณสามีหรี่ตาลงอย่างรู้ทันก่อนจะคว้ากล้องในมือฉันไปกดดู

                    “ยัยบื้อนี่! นี่มันกล้องผมซะที่ไหนกันเล่า” คยูฮยอนมะเหงกลงมาเต็มหัวฉันเลย อ้าว! ถ้าไม่ใช่แล้วนี่กล้องใครล่ะ!

                    “อ๊ะ! หรือว่าคุณอูริหยิบกล้องใส่กระเป๋ามาผิด” ฉันพูดออกมา แล้วก็ชะโงกหน้าไปดูรูปที่คุณสามีกดให้ดู พอย้อนกลับไปหลายๆรูปเข้าก็ชัดเลยว่านี่ไม่ใช่กล้องของคยูฮยอน เพราะมีตั้งหลายที่ที่เราไม่ได้ไปกัน มีรูปโรงแรมที่สองคนนั้นพัก แถมยังมีรูปถ่ายของอูริกับซึงยอนสลับกันอยู่เรื่อยๆ

                    “นี่คุณสงสัยผมเหรอ” คุณหมาป่าทำแก้มป่องใส่ ฉันรู้ว่าเขาไม่คิดอะไรแต่ฉันคิดอ่ะ รู้สึกผิดเต็มๆเลย T_T

                    “ไว้กลับมาเคลียร์กันทีหลัง ผมต้องไปเอากล้องคืนมาก่อน คุณไปรออยู่ที่ร้านกาแฟตรงโน้น เฝ้าจักรยานเอาไว้ด้วย แล้วห้ามไปไหน เข้าใจไหม?” เขายัดถุงกาแฟใส่มือฉันแล้วดึงกระเป๋ากล้องไป ฉันพยักหน้าอย่างว่าง่ายแล้วมองคุณสามีวิ่งไปทางที่เพื่อนเค้าสองคนเดินจากไปเมื่อครู่

                    ทำไงดี ฉันควรจะทำอะไรไถ่โทษคยูฮยอน T_T อะไรซักอย่าง

                    ฉันเดินมุ่งหน้าไปทางร้านกาแฟตามที่เขาสั่ง ตั้งใจว่าการไถ่โทษอย่างแรกคือต้องทำตัวเป็นเด็กดีในโอวาท ก็ไม่รู้นะว่าจะทำได้นานเท่าไหร่ แต่เดินไปยังไม่ทันจะถึงสิบก้าวฝรั่งหัวทองตัวสูงสองคนก็เดินสวนฉันไป

                    “How ‘bout that one, seems nice huh?” (คันนั้นล่ะว่าไง ดูดีอยู่นะ)

                    “Eh, you’re right bro. Let get it quick I’ll do the watch” (เฮ้ แกพูดถูกว่ะไอ้น้อง สอยเลยเร็วๆ เดี๋ยวฉันดูต้นทางเอง)

                    วัดกันจากการที่ฉันฟังออก แสดงว่าสองคนนี้ไม่ใช่ชาวดัตช์แน่ ฮึ! คนดัตช์ใจดีจะตาย สงสัยจะเป็นพวกฝรั่งตกยาก งัดจักรยานไปขายต่อ

                    เอ๊ะ เดี๋ยวสิ...

                    จักรยานฉันนี่!

                    ฉันยืนตัวแข็งทื่อ นึกไม่ออกว่าจะทำอะไรต่อดี อีตาบ้านั่นไม่อยู่ แล้วฉันจะเรียกให้คนอื่นช่วยดีมั้ย? แต่แถวนี้ไม่มีใครเลยนี่นา ถ้าฉันวิ่งไปถึงบราวน์บาร์ กว่าจะกลับมาจักรยานหายไปแล้วแหงแซะ

                    “Hey I got it. c’mon let’s leave!” (เฮ้ย งัดได้แล้ว ไปเร็วเผ่นเหอะพวก) หนึ่งในกลุ่มโจรบอก ฉันหันกลังกลับไปทันทีแล้วก็เห็นโจรอีกคนกำลังปีนขึ้นซ้อนท้ายจักรยาน ด้วยความกล้าบ้าบิ่นของฉัน อีซุนคยูเลยวิ่งเข้าไปกระโดดถีบจักรยานจนล้ม

                    “What the hell! You bitch!” (นังนี่อะไรวะ!)

                    “My bike! Get off!!” (นี่รถฉัน ลงไปนะ!!)

                    ไอ้ฝรั่งสองคนนั้นด่าคำหยาบคายใส่ฉันอีกสองสามคำ แต่เด็กแรงดีอย่างซุนคยูไม่มีแพ้อยู่แล้ว ฉันเขวี้ยงกาแฟร้อนๆใส่หนึ่งในโจรสองคนก่อนจะกระโดดเข้าใส่อีกคน พร้อมกรี๊ดดังลั่น กะให้คนรู้กันทั้งอัมสเตอร์ดัมกันไปเลย!

                    หมอนั่นปัดมือฉันที่ทั้งจิกทั้งข่วนก่อนจะออกแรงผลัก ไอ้ฝรั่งตัวสูงเกือบสองเมตรกับฉันที่สูงแค่ร้อยห้าสิบนิดๆ แน่นอนว่าฉันแพ้แรงไอ้บ้านั่นอยู่แล้ว รู้ตัวอีกที หลังของฉันก็กระแทกกับอะไรแข็งๆเย็นๆที่เป็นราวสะพาน แล้วฉันก็เสียหลัก เอนตัวข้ามราวแล้วหล่นลงไป

                    วินาทีที่ตัวกระแทกกับผืนน้ำเย็นเยียบ ความกลัวก็พุ่งขึ้นสมอง ฉันไม่ทันตั้งตัวมาก่อนว่าจะได้ลงมาเล่นน้ำในแม่น้ำอัมสเทล เพราะงั้นก็เลยสำลักเอาน้ำเข้าไปเต็มปอด เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายของโจรสองคนนั้นดังขึ้นแต่แล้วก็เงียบไปเมื่อฉันจมลงไปใต้ผืนน้ำ

                    เหมือนในฝันเลย... แต่ตอนนี้เป็นฉันที่กำลังจะตาย... ไม่ใช่ทิฟฟานี่...

                    นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ฉันนึกถึงก่อนสติจะดับวูบไป...



     

                “...ซันนี่...ซันนี่ ฟื้นสิ! ฟื้นสิได้โปรด”

                    น้ำเสียงนุ่มๆที่คุ้นเคยนั่นดึงฉันให้กลับสู่โลกความเป็นจริง อย่างแรกที่ฉันรู้สึกคือร่างกายฉันขยับไม่ได้เลย มันหนักอึ้ง แล้วก็ชาไปหมด ฉันสำลักเอาน้ำเย็นๆออกมา นึกอยากจะหลับต่ออีกสักพัก แต่อะไรบางอย่าง อะไรบางอย่างที่อยู่ในน้ำเสียงนั่นทำให้ฉันฝืนลืมตาขึ้น

                    ภาพแรกที่เห็นคือท้องฟ้าดำสนิท แล้วอย่างที่สองคือโจคยูฮยอน

                    ในสภาพเปียกโชกไม่ต่างจากฉัน

                    เขาโดดลงมาเหรอ!? บ้าน่า! โจคยูฮยอนเนี่ยนะ โดดลงมาในแม่น้ำอัมสเทลเพื่อช่วยฉัน! นี่หมายความว่าเราสองคนตายแล้วใช่ไหม? ให้ตายเถอะ! ใครๆก็รู้ทั้งนั้นว่าโจคยูฮยอนว่ายน้ำไม่เป็น!!!

                    “...นาย...นาย...” ฉันพยายามจะพูดออกไปแต่ว่าริมฝีปากกลับชาไปหมด เขาหันกลับมาหาฉันทันที

                    “ซันนี่!” ดวงตาที่คุ้นเคยนั่นมองที่ฉัน มือเย็นเฉียบเอื้มมาจับแก้ม ลูบปอยผมที่เปียกชื้นให้พ้นจากใบหน้าก่อนจะแนบหน้าผากลงกับใบหน้าของฉัน สัมผัสอุ่นๆนั่นเหมือนกระตุ้นให้ประสาทสัมผัสของฉันกลับคืนมา แล้วฉันก็ตัวสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่

                    “น...นาย...ม...ไม่เป็นไร...”

                    “ผมต้องถามคุณต่างหากที่รัก คุณขึ้นมาในสภาพไม่หายใจ รู้มั้ยว่านั่นเกือบจะฆ่าผมไปแล้ว”

                    ฉันพยายามขยับ อยากดูให้แน่ใจว่าเราไม่ได้ตายทั้งคู่ แต่แล้วเสียงคนพูดคุยกันเป็นภาษาดัตช์ก็ดังขึ้นมา ข้างๆคุณสามีของฉัน ฮันซึงยอนนั่งอยู่ในสภาพตัวเปียกโชกไม่ต่างกัน โกอูริหันไปพูดภาษาอังกฤษตะกุกตะกักกับคนที่ดูเหมือนจะเป็นตำรวจ

                    “ฉ...ฉัน...หลับได้มั้ย?” ฉันได้ยินตัวเองถามกลับไปเป็นเสียงกระซิบ

                    “ได้ ถ้าคุณสัญญาว่าจะตื่นขึ้นมาจูบผมในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า” เขาตอบก่อนจะยกร่างฉันขึ้นมากอดเอาไว้ มือสั่นเทาของเขาคว้าเสื้อโคทมาห่มรอบตัวฉัน แต่ไม่มีอะไรทำให้ฉันอุ่นไปมากกว่าแขนคู่นี้ ไม่มีเลย

                    “สัญญา...” ฉันกระซิบตอบแล้วค่อยๆหลับตาลงท่ามกลางเสียงความวุ่นวายที่ค่อยๆจางลงไป

                    ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ฉันกลับมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่พื้นมันโคลงเคลงชอบกล ฉันนอนอยู่บนเตียงอุ่นๆ ที่ขาดไม่ได้คืออ้อมกอดของคนที่หลับสนิทอยู่ข้างหลังฉัน

                    ฉันบิดขี้เกียจ พลิกตัวกลับไป ไม่น่าเชื่อว่าน้ำเย็นจะทำให้ร้าวไปถึงกระดูกได้ขนาดนี้ ฉันขยับยุกยิกจนหันกลับมานอนตะแคงจ้องหน้าคุณสามี แต่หมอนั่นก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น =__= ขี้เซาอะไรจะปานนั้น คุณชายโจ

                    “บ่นผมอยู่ในใจสินะ” เสียงนุ่มๆนั่นดังขึ้นทั้งๆที่เจ้าตัวยังหลับตา ยังกับรู้คิว ดีนะที่ฉันไม่ได้เป็นพวกขวัญอ่อน

                    “รู้ดีจัง” ฉันยิ้มก่อนจะกระเถิบเข้าไปใกล้อีกนิดจนตอนนี้หน้าผากเราชนกัน แล้วหมอนั่นก็ลืมตา

                    “ทวงสัญญา”

                    “หืม? สัญญาอะไร?”

                    “ก็ที่ว่าตื่นมาแล้วจะจูบผมไง”

                    “อืม... มันมีข้อตกลงเพิ่มเติมนะ”

                    “ว่ามาเลยที่รัก”

                    “แค่จูบอย่างเดียว อย่างอื่นห้าม ฉันเพิ่งรอดตายมาขอเวลพักฟื้นก่อน” ตาโตๆนั่นมองค้อนก่อนจะเริ่มขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ

                    “งั้นให้ติดไว้ก่อนก็ได้” หมอนั่นบ่นอุบอิบ

                    “มัดจำไปก่อนแล้วกัน” ฉันจูบเขาเบาๆที่ริมฝีปาก แล้วสีหน้าคุณสามีก็เปลี่ยนเป็นยิ้มแฉ่งยังกับสั่งได้ แล้วเขาก็ยันตัวลุกขึ้นจากที่นอน

                    “คุณยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เมื่อวาน รอก่อนนะเดี๋ยวผมทำอะไรให้กิน สปาเก็ตตี้มั้ย?”

                    “อะไรก็ได้ทั้งนั้นเลยค่ะที่รัก หิวจนหมดแรงแล้ว จะนอนเป็นแมวขี้เซาอยู่บนเตียงนี่ล่ะ >_<” ฉันกลิ้งไปกลิ้งมาคลุกๆกับผ้าห่มจนกลายเป็นข้าวห่อสาหร่าย คยูฮยอนหัวเราะขึ้นมาก่อนจะตลบผ้านวมขึ้นมาปิดหน้าฉันไว้ แล้วหมอนั่นก็เดินลอยชายเข้าครัวไป

                    ฉันนอนลั้ลลาต่ออยู่บนเตียงซักพักก่อนที่กลิ่นชีสหอมๆจะลอยมากระตุ้นตับไตไส้พุงให้เริ่มทำงาน หิว T_T ทั้งๆที่เมื่อวานฉันกินน้ำในแม่น้ำไปจนพุงกาง แต่ก็ไม่ได้ช่วยบรรเทาอาการแสบท้องเลยสักนิด หิวมากกกกก

                    ฉันรีบลุกขึ้นนั่ง แต่แล้วเอฟเฟกต์จากการจมน้ำเมื่อวานก็เริ่มออกฤทธิ์ เพราะโลกงี้หมุนติ้วๆเลย เอ๊ะ หรือเป็นเพราะฉันกลิ้งไปกลิ้งมาหลายตลบกันแน่ ไม่รู้ล่ะ ถือว่ามีคนคอยดูแลแล้ว งานนี้รอด > < แล้วก็เป็นอย่างที่ฉันคิดคือคุณสามีที่น่ารักหอบเอาซุปชามใหญ่มาป้อนให้ถึงบนเตียง ตบท้ายด้วยนมอุ่นๆ แล้วก็วิตามิน หมอนั่นบอกว่าเมื่อวานเขาพาฉันไปโรงพยาบาลมา หลังจากให้น้ำเกลือหมดไปขวด กับอ็อกซิเจนเพื่อไล่น้ำในปอดไปอีกถัง คยูฮยอนก็ขอหมอพาฉันกลับบ้าน อันที่จริงคือฉันแข็งแรงมากอ่ะ =__= คุณสามีออกจะเป็นห่วงกลัวว่าฉันจะเป็นปอดบวม แต่พอวัดอุณหภูมิร่างกายกับระดับความชื้นในปอดแล้วอาการฉันก็แทบจะเป็นปกติ มีแค่อาการอ่อนเพลียเพราะความช็อกและการขาดออกซิเจน แต่ถึงยังงั้น แผนของเราที่จะอออกไปดูดอกทิวลิปนอกเมืองก็มีอันต้องพับเก็บไปโดยปริยาย

                    “เดี๋ยวผมต้องออกไปข้างนอกนะ พอดีเมื่อวานตำรวจนัดไปสอบปากคำ แล้วเดี๋ยวจะแวะซื้อขนมมาฝากคุณด้วย อยู่บ้านดีๆ เป็นเด็กดี อย่าออกไปซนล่ะเข้าใจมั้ย ^^” หมอนั่นขยี้หัวฉันเหมือนเป็นเด็กๆ แล้วก็คว้าเสื้อโคทกับกระเป๋าขึ้นมาก่อนจะเดินออกไปจากบ้านเรืออันแสนสุขของเราสองคน เออแฮะ นี่ฉันเกือบเอาชีวิตมาทิ้งกลางการฮันนีมูนตัวเองซะแล้ว... อืม โทรอัพเดทยัยพวกนั้นหน่อยดีกว่า

                    ฉันหยิบไอโฟนตัวเองขึ้นมาแล้วก็กดเบอร์แทยอน

                    “ฮัลโหล”

                    “ว่าไงยัยเตี้ย ที่เกาหลีอากาศดีมั้ย?”

                    “ดีมากเลยย่ะ ตอนนี้ฉันอยู่ซอกโช =__=

                    “ไปทำอะไรที่นั่นน่ะ? นี่พวกเธอไปเที่ยวกันโดยไม่บอกฉันใช่ไหม? ย่าห์ คิมแทยอน!” ฉันตะโกนเสียงดังใส่แทยอนที่อยู่ไกลออกไปอีกครึ่งโลก

                    “ก่อนจะวีนฉัน กรุณาดูนาฬิกาก่อนเถอะย่ะ =*= นี่มันเพิ่งตีสี่ที่เกาหลีนะ เธอโทรหาฉันทำป๊ะอะไรไม่ทราบ?”

                    “เอ้อ... คือ...”

                    อยากจะเล่าให้ฟังว่าเพื่อนเธอเมาบ้านเรือ ได้เจอแฟนเก่าสามีโดยบังเอิญ จากนั้นก็โดนงัดจักรยาน แล้วก็เพิ่งรอดตายจากการจมน้ำมาหมาดๆ คืออยากจะเล่าหมดนี่อ่ะนะ แต่ฉันว่าแทยอนต้องประสาทเสียไปเลยแน่ๆ

                    “คือ?”

                    “ฉันฝันถึงฟานี่... ฝันว่ายัยนั่นจมน้ำน่ะ เลยจะถามว่าสบายดีกันรึเปล่า”

                    “...........”

                    “แทงกู?”

                    “อีซุนคยู เธอไปเรียนวิชาไสยศาสตร์มนตร์ดำมาจากไหนรึเปล่าเนี่ย” เสียงแทยอนตอบกลับมาแบบทึ่งๆ หมายความว่าไง? ฟานี่จมน้ำจริงๆเหรอ?

                    ยังไม่ทันได้อ้าปากถามยัยเพื่อนสุดเลิฟต่อเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ไม่รู้ใครมา แต่เอาเป็นว่าเดี๋ยวค่อยคาดคั้นยัยนี่ต่อตอนกลับไปถึงโซลแล้วกัน

                    “แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวค่อยคุยกัน” ฉันพูดแล้วก็กดวางสายก่อนจะรีบลุกจากเตียงแล้วถลาไปหน้าประตู เพื่อที่จะพบกับ... ฮันซึงยอน

                    “ฉันมาเยี่ยมน่ะค่ะ ^^ ขอเข้าไปนะคะ” ฉันเปิดประตูกว้างเชิญเธอเข้ามาข้างใน พยายามมองซ้ายมองขวาหาตัวดีอีกคนที่ควรจะมาด้วยกัน

                    “วันนี้อูริไม่มาหรอกค่ะ ฝากของเยี่ยมมาแทน ฉันกลัวคุณลำบากใจเลยไม่ได้ให้มา”

                    “โอ๊ะ ไม่ลำบากใจอะไรหรอกค่ะ =__= ถึงจะไปด้วยกันได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่แต่เธอก็ตรงไปตรงมาดี”

                    “เหมือนคุณเลยนะคะ ^^” ซึงยอนวางช่อดอกไม้ที่เป็นของเยี่ยมไว้บนโต๊ะแล้วเดินตามฉันเข้ามาในครัว

                    “ดื่มอะไรมั้ยคะ?”

                    “ฉันจัดการเองดีกว่า คุณไปนั่งพักเถอะค่ะ” เธอดันหลังฉันให้กลับไปนั่งที่โซฟาก่อนจะรินน้ำส้มมาสองแก้ว เอ่อ จริงๆฉันต้องบริการแขกสิ =__=

                    “เมื่อวานขอบคุณนะคะที่ช่วยฉันกับหมอนั่นไว้” ฉันพูดทันทีที่เธอหย่อนตัวลงนั่ง คือไม่ได้มีใครบอกอะไรฉันหรอกนะ แต่เห็นสภาพเปียกปอนของเธอเมื่อคืนบวกกับความรู้เก่าที่ว่าสามีฉันว่ายน้ำได้โคตรจะห่วย เด็กอนุบาลสามก็เดาได้ว่าฮีโร่ตัวจริงคือผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆฉันตอนนี้

                    “ทั้งๆที่เขาว่ายน้ำไม่เป็น แต่กลับกระโดดลงไปคนแรกเลยล่ะค่ะ” คุณซึงยอนบอกฉันพร้อมรอยยิ้ม

                    “ไม่เจียมน่ะสิ ดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่พากันจม =__=

                    “ถ้าคุณเห็นสีหน้าเขาตอนนั้นคุณจะว่าเขาไม่ลงเลยล่ะค่ะ คยูฮยอนเขายอมตายได้เพื่อคุณจริงๆ ไม่เหมือนกับฉัน...”

     

                    คุณซึงยอนทิ้งช่วงไป เอาซะฉันไปต่อไปเป็นเลย =__= ไงดีล่ะทีนี้

                    “สมัยก่อนฉันอยู่ชมรมว่ายน้ำของมหาลัยค่ะ มีครั้งนึงที่เค้าไปดูฉันซ้อม แต่เพราะความเหนื่อยตอนนั้นฉันเป็นตะคริว คยูฮยอนเดินงุ่นง่านอยู่ตรงริมสระกว่าจะรู้ว่าฉันไม่ได้ล้อเล่นแล้วไปตามคนอื่นมาช่วยก็เล่นเอาฉันเกือบตายไปเหมือนกัน”

                    “ท่าทางตอนเรียนคงจะเนิร์ดน่าดูเลยสินะคะ”

                    “ใช่ค่ะ เป็นผู้ชายปากจัดด้วย เถียงกับอูริได้ทุกวันจนฉันหูชาไปหมดเลย” เธอเสริมขึ้นมา ฉันนึกภาพคุณสามีในชุดนักศึกษาสะพายกระเป๋ากล้อง ผมเรียบติดหนังหัวแล้วก็อดขำไม่ได้ ฮาสุดยอดดด

                    “ต้องขอโทษด้วยนะคะที่เกือบทำให้เข้าใจผิดกัน” คุณซึงยอนพูดออกมาในที่สุด แววตาของเธอดูรู้สึกผิดจริงๆแบบไม่ได้เสแสร้ง จริงๆคนขอโทษควรจะเป็นโกอูริมากกว่านะ

                    “ไม่หรอกค่ะ ฉันกับหมอนั่นเรารู้จักกันไม่นานก่อนแต่งงาน เพราะงั้นเวลามีอะไรเราก็ชอบเคลียร์กันตรงๆ แต่ฉันก็รู้ตัวว่าบางทีทำงี่เง่ามากไปหน่อย บางทีก็เหวี่ยงก็วีน เอาแต่ใจ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาทนฉันได้ไง”

                    “เพราะเขารักคุณไงคะ”

                    คำตอบสั้นๆของฮันซึงยอนทำเอาฉันพูดอะไรไม่ออก ใช่... เขารักฉัน รักมากมายขนาดที่ยอมทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ฉันมีความสุข แล้วฉันเคยทำอะไรให้เขาบ้างนะ...

                    เห็นที... คงต้องมีอะไรเซอร์ไพรส์คุณสามีดีเด่นซักหน่อยแล้ว...

     

     

                    ผมรีบปั่นจักรยานกลับบ้านสุดชีวิต เพราะนี่มันมืดแล้ว ทั้งๆที่ตั้งใจว่าจะออกมาแปบเดียว แต่เพราะตำรวจงี่เง่าที่พูดภาษาอังกฤษไม่เป็น ผมเลยต้องอยู่รอจนกว่าล่ามจะมา ซึ่งมันเสียเวลามาก

                    ซันนี่จะเป็นยังไงบ้างนะ? เธอคงไม่ดื้อหรอกใช่ไหม? คงไม่ได้เป็นอะไรหรอก เธอรับปากผมแล้วนี่นาว่าจะอยู่แต่ในบ้าน แต่ถ้าเกิดเธอไม่สบายขึ้นมาล่ะ? ผมยังไม่วางใจร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกนะว่าเธอจะไม่เป็นหวัด เป็นปอดบวมหรือโรคอะไรก็แล้วแต่ คิดได้ยังงั้น ผมก็เร่งสปีดตัวเองขึ้นมาอีก

                    “ซันนี่! ผมกลับมาแล้ว” ผมเปิดประตูเข้าไปแล้วพบกับความว่างเปล่า พยายามทำใจดีๆเอาไว้แล้วเดินเข้าไปดูในห้องนอน ไม่มี ไม่มีวี่แววคุณภรรยาเลย

                    “ซันนี่ อีซุนคยู” ผมเรียกชื่อเธอ ไม่มีคำตอบ หัวใจผมร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่มหายไปไหน ซันนี่ของผมหายไปไหน

                    ผมกำลังคิดว่าจะปั่นจักรยานกลับไปที่ศูนย์นักท่องเที่ยว ก็พอดีสายตาเหลือบไปเห็นกระดาษที่มีลายมือยัยนั่นเขียนอยู่

     

                    ออกไปสูดอากาศแถวๆคลองปริ้นเซนท์กรากท์นะคะ ^^ รีบตามมานะ ซุนคยู~

     

                    พระเจ้าช่วย เด็กคนนี้เกือบทำผมหัวใจวายเป็นรอบที่สองของทริปฮันนีมูน T^T

                    ผมวางกระดาษลงที่เดิม เดินกลับเข้าไปคว้าเสื้อโคทของยัยตัวดีขึ้นมาพาดบ่าก่อนจะเดินออกจากบ้านแล้วคว้าจักรยานปั่นออกไปอย่างรวดเร็ว การรู้ว่าเธออยู่ที่ไหน ไม่ได้ทำให้ผมอุ่นใจมากขึ้นเท่าไหร่หรอกนะ ใครจะไปรู้ เธออาจจะลงไปว่ายน้ำเล่นในคลองเป็นรอบที่สองก็ได้ หรือไม่อาจจะโดนพวกฝรั่งบ้ากามลากเข้าไปนั่งในคอฟฟีชอป ยังไงผมก็ยังเป็นห่วงเธออยู่ดี

                    ไม่น่าเชื่อเลย ว่าเธอจะทำให้ผมเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้...

                    ผมปั่นจักรยานเลี้ยวขึ้นไปเลียบคลองปริ้นเซนท์กรากท์ซึ่งเป็นย่านของผู้มีอันจะกินทั้งหลายพลางมองหาร่างเล็กๆไปด้วย นั่นไง ผมเห็นแล้ว เหมือนเธอจะยืนอยู่บนสะพานข้ามคลองคนเดียว แต่มันมืดมากจนผมไม่แน่ใจเหมือนกัน ลงท้ายผมเลยจอดรถไว้ข้างทางแล้วเดินไปที่ปลายสะพานก่อนจะเรียกชื่อเธอ

                    “ซันนี่?”

                    ทันทีที่เสียงของผมเปล่งออกไป ไฟก็สว่างพรึ่บจนตาพร่า

                    ซันนี่เจ้าของหัวใจของผมยืนอยู่ตรงกลางสะพานในชุดเดรสสายเดี่ยวสีขาวที่ทำให้เธอดูสวยบริสุทธิ์เหมือนเจ้าหญิง ราวสะพานประดับไปด้วยดอกกุหลาบสีขาว สะท้อนกับไฟสีเหลืองจนดูออกเป็นสีครีมคาราเมล ผืนน้ำสะท้อนแสงสีทองระยิบระยับ แต่ที่สวยที่สุด... แน่นอนว่าต้องเป็นหนูน้อยหมวกแดงของผม

                    เธอยิ้ม ก่อนจะวิ่งเข้ามาแล้วโถมตัวเข้าใส่ผม

                    “เซอร์ไพรส์มั้ย?”

                    “มาก” ผมตอบได้แค่นั้น เพราะมันจุกไปหมดด้วยความสุขจนพูดอะไรไม่ออกเลย

                    “Ik hou van je” เธอพูดกับผม

                    “แปลให้ด้วยสิ”

                    “ฉันรักนาย รักมากที่สุดในโลก!” ซันนี่กอดผมแน่นขึ้นแล้วผมก็ห่อตัวเธอไว้ด้วยเสื้อโคทของผมเองแล้ววางคางเอาไว้บนผมนุ่มๆนั่น

                    “ผมก็รักคุณ”

                    “เดี๋ยวก่อนสิ” คุณภรรยาตัวเล็กท้วงขึ้นมา “เซอร์ไพรส์ของฉันยังไม่หมดแค่นี้หรอกนะ”

                    “หืม? แล้วมีอะไรอีกล่ะ?”

                    “อืม... คงต้องไปดูเองที่บ้าน”

                    “ใบ้หน่อยไม่ได้เหรอ?” ผมต่อรอง

                    “ก็... แบบซีทรู นายน่าจะชอบ” ซันนี่เขย่งตัวขึ้นกระซิบเบาๆที่ข้างหูผม

                    โอ้ มาย ก๊อด!!!! ไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์เท่านี้แล้วล่ะ

                    “งั้นรีบเลยครับที่รัก ผมอยากดูเซอร์ไพรส์สุดตระการตาของคุณจะแย่อยู่แล้ว” ผมช้อนตัวคุณภรรยาขึ้นก่อนจะออกวิ่งไปทางจักรยาน เธอหัวเราะเสียงดังก่อนจะยกมือโอบรอบคอผม

                    โอเค เรื่องวุ่นๆในทริปของเรามันคงจะจบลงตรงนี้แหละ...

                    ตรงที่สุดท้ายหมาป่าก็ลากหนูน้อยหมวกแดงขึ้นเตียง คึ คึ คึ...

                    ...เดี๋ยวก่อนๆ ถ้าผมเป็นหมาป่าล่ะก็ แบบนี้มันยังธรรมดาไปหน่อย

                    รอดูแล้วกันว่าผมจะจัดการกับแม่หนูน้อยหมวกแดงจอมเจ้าเล่ห์นี่ยังไง ^^~


                    ฉันตื่นขึ้นพร้อมความรู้สึกปวดเมื่อยแบบร้าวไปถึงกระดูก ก็เมื่อคืนคุณสามีเล่นจัดหนักมากจนฉันตั้งใจเอาไว้เลยว่ากลับบ้านเมื่อไหร่ แม่จะเผาไอ้ชุดชั้นในซีทรูทิ้งให้หมด! T^T

    ว่าแต่ทำไมฉันรู้สึกว่าเตียงมันขยับ? ไม่ได้ขยับแบบโคงเคลงไปมาเหมือนอยู่ในบ้านเรือด้วยนะ นี่มัน... เหมือนฉันกำลังอยู่บนรถ

    แถมยังโดนมัดมือ มัดเท้า ผูกตาไว้อีกต่างหาก!

    "โจคยูฮยอน ทำบ้าอะไรน่ะ! นี่ไม่ตลกนะยะ!" ฉันวีนขึ้นมาทันที เดาว่านี่มันต้องเป็นแผนที่คิดขึ้นมาโดยคุณสามีแน่ๆ แต่แล้ว เสียงพูดของฝรั่งที่ไม่คุ้นหูก็ทำเอาฉันช็อกจนแทบจะหยุดหายใจ

    "Stop screaming baby, we got your husband in hand" (เลิกโวยวายได้แล้วที่รัก สามีคุณอยู่ในมือเรานะ)

    "W...who are you?!" (น...นายเป็นใคร)

    "Kinda illegal persons, you guys seems rich huh? You both could rent a boat house and I saw what you did on the briodge last night." (เราก็เป็นคนนอกกฎหมายน่ะนะ แต่พวกคุณดูดีมีตังค์นี่ ถึงขนาดเช่าบ้านเรือได้แถมเมื่อวานผมเห็นไอ้เซอร์ไพรส์ที่คุณจัดบนสะพานด้วยนะ)

    "Don't you dare touch us!" (อย่าแม้แต่จะคิดทำอะไรเรานะ!)

    "Nah! Not both of you, only him. After get rid of him we can have some fun baby." (ไม่น่า ไม่ใช่พวกคุณ แต่เป็นหมอนั่นจะหาก หลังกำจัดก้างแล้วเราค่อยมาสนุกกันนะครับคนสวย”

    ฉันแทบนึกภาพออกเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกนี้ตั้งใจจะปล้นเรา อาจจะฆ่าคยูฮยอนหมกป่า แล้วจับฉันไปทำมิดีมิร้าย นี่เป็นครั้งแรกในรอบปีที่ฉันนึกอยากให้ยุนอามาอยู่ที่นี่ด้วย จะได้จัดการพวกนี้ซะให้ราบคาบ

    ฉันเริ่มดิ้น ส่งเสียงร้องเอะอะ หวังลมๆล้งๆว่าอาจจะมีใครได้ยินเสียง แต่ดูเหมือนจะไม่ เอาไงดี ขืนปล่อยไว้แบบนี้ได้ตายคู่แน่ แถมหมอนั่นนิ่งเงียบเป็นเป่าสากขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าเขาบาดเจ็บหรืออะไรอยู่หรอกนะ

                    "Let’s make a deal, you can have me but let him go. I can get you money” (มาเจรจากันดีกว่า เอาตัวฉันไว้แล้วปล่อยเขาไป ฉันหาเงินให้นายได้นะ)

                    คุณโจรหห้าร้อยไม่ตอบข้อเสนอแต่เบรกจนตัวโก่ง ฉันหล่นลงจากเบาะที่นั่งด้านหลังลงมาขลุกอยู่กับพื้นก่อนที่จะรู้สึกได้ว่าประตูรถเปิดออก แล้วใครบางคนก็แบกฉันออกมาจากรถ ฉันไม่รู้ว่านี่มันที่ไหน แต่ฟังจากเสียงเดิน แล้วก็กลิ่นไอดินที่ลอยมาเตะจมูก เราอาจจะอยู่บนทุ่งหญ้าหรืออะไรสักอย่าง ชายปริศนาจับฉันนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วเสียงหัวเราะคุ้นเคยก็ดังขึ้น

                    “โจคยูฮยอน! ทำบ้าอะไรของนายเนี่ย! ไม่ต้องมาขำเลย แก้มัดเดี๋ยวนี้นะ ฉันจะจัดการนาย!

                    “อย่ารีบร้อนสิครับที่รัก ขอเวลาผมเตรียมการหน่อย ก็เมื่อเช้าผมปลุกแล้วคุณไม่ตื่นนี่ ผมหมั่นไส้เลยแกล้งอำซะเลย ฝรั่งเมื่อกี้เป็นคนรู้จักของผมเองล่ะ ไม่ต้องตกใจนะ ^^

                    เฮอะ ที่ฉันไม่ตื่นก็เพราะใครล่ะ -*- แถมอีตาบ้ายังมีหน้ามาทำแบบนี้กับฉันอีก

                    “แต่ผมดีใจนะที่คุณยอมเอาตัวแลกกับผมอ่ะ ^^

                    “ฉันเปลี่ยนใจละ ถ้าเมื่อกี้เป็นโจรจริงๆฉันจะบอกให้เค้าฆ่านายทิ้งแล้วสับเป็นท่อนๆโยนให้เป็ดกิน -*-

                    Hey Jo! Everything’s ready. Tell your little wife that I’m just kidding. Have a safe trip and happy honeymoon” (เฮ้ โจ! ทุกอย่างพร้อมแล้วนะ บอกภรรยาตัวน้อยของนายด้วยว่าเมื่อกี้ฉันล้อเล่น เดินทางปลอดภัยแล้วก็สุขสันต์ฮันนีมูน)

                    Alright, thanks Andy see you in next 2 hours” (โอเค ขอบคุณมากแอนดี้ เจอกันอีกสองชม.ข้างหน้า) คุณสามีของฉันตะโกนตอบกลับไปเป็นภาษาอังกฤษ ก่อนที่ฉันจะรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง... ไอ้อะไรบางอย่างก็คือลมอุ่นๆ กับการเคลื่อนไหวของพื้นใต้ฝ่าเท้า ใช่สิฉันเท้าเปล่านี่ พื้นที่ฉันเหยียบอยู่ให้ความรู้สึกเหมือนเสื่อ

                    “ผมจะแก้มัดคุณ แต่ว่าห้ามโวยวายจนกว่าผมจะเปิดตา โอเคมั้ย?”

                    ฉันพยักหน้าตอบ คุณสามีแกะผ้าที่มัดเท้าฉันก่อนเป็นอันดับแรก แล้วค่อยแก้ปมผ้าที่มัดข้อมือ

                    “เปิดตาได้รึยัง?” ฉันถาม เริ่มรู้สึกตื่นเต้นไปกับเซอร์ไพรส์ของคุณสามี

                    “ผมจัดการเอง” คยูฮยอนเอื้อมมือมาดึงผ้าปิดตาออกแล้วสิ่งที่เรามองเห็นก็คือทุ่งดอกทิวลิปหลากสีไกลสุดลูกหูลูกตา ฉันกำลังอยู่บนบอลลูน! เรากำลังอยู่บนบอลลูน!

                    “สุขสันต์วันเกิดครับ” เสียงนุ่มๆดังขึ้นที่ข้างหู ฉันหันกลับไปยิ้มกว้างให้กับเขา ให้ตายเถอะนี่มันสวยมาก สวยสุดๆไปเลย นี่เป็นของขวัญวันเกิดที่วิเศษสุดเท่าที่ฉันเคยได้รับมา... ไม่ได้หมายถึงวิวตรงหน้า ฉันหมายถึงผู้ชายคนนี้ ผู้ชายคนที่กำลังกอดฉันอยู่นี่ ไม่มีของขวัญชิ้นไหนวิเศษเท่าเขาอีกแล้ว

                    “ขอบคุณนะ” ฉันยืนขึ้นก่อนจะจูบเขา จูบดูดดื่มแบบที่ทำให้เขาตบะแตกได้ทุกครั้ง แม้แต่ครั้งนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น เพราะมือเขาเริ่มวนๆอยู่ตรงชายเสื้อเชิ้ตตัวหลวมโคร่งที่ฉันกำลังสวม

                    “เดี๋ยวก่อนสิ คุณคิดว่าผมควรจะใจเย็นหน่อยมั้ย?” คยูฮยอนกระซิบบนปลายจมูกฉัน แต่สายตานี่ไม่ได้เย็นเลยสักนิด

                    “อืม... เหตุผล?”

                    “เพราะผมอยากให้ลูกคนแรกเกิดวันที่ 15 พ.ค. ปีหน้า” วันเกิดฉัน? ฉันยิ้มขึ้นมาเล็กๆ “เพราะงั้นตอนนี้มันดูจะเร็วไปหน่อย”

                    “เหรอ แต่ฉันว่าเกิดวันที่ 3 ก.พ. ก็ไม่เลวนะ นายว่าไง?” ฉันเลื่อนมือต่ำลงไปวุ่นวายกับกระดุมและซิปกางเกงของคุณสามี

                    “ถ้าคุณอยากได้แบบนั้นตอนนี้เราก็ต้องรีบแล้วล่ะ” เขหัวเราะขึ้นมาในลำคอก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่มีอยู่ตัวเดียวบนตะกร้าแคบๆนี่แล้วก็ดึงตัวฉันลงมานั่งคร่อมบนตัก มืออุ่นๆนั่นเริ่มยุ่มย่ามกับชั้นในของฉันแล้ว และแค่ไม่กี่นาทีมันก็ระเห็จไปกองอยู่บนพื้นตะกร้า

                    “คุณดูหายใจลำบากนะ” คยูฮยอนไล้มือไปตามขาอ่อนของฉัน ก็ทำแบบนี้ฉันจะหายใจทั่วท้องได้ยังไงกันล่ะ

                    “อือ...สงสัยเพราะความกดอากาศต่ำ”

                    “งั้นเดี๋ยวผมช่วย” เขารั้งใบหน้าฉันลงมาจูบดูดดื่มแล้วแทรกตัวเข้ามาในครั้งเดียว เล่นเอาทั้งจุก ทั้งตาพร่าไปเลย มือร้อนๆของเขายึดสะโพกฉันไว้แน่น ฉันคิดอะไรไม่ออก รู้แต่ว่ามันร้อนขึ้นเรื่อยๆทุกครั้งที่เขาขยับตัว ฉันยิ่งจูบเขามากขึ้นเหมือนริมฝีปากเขาเป็นแหล่งอ็อกซิเจน แต่มันทั้งหวาน ทั้งอุ่นจนฉันเมาไปหมดแล้ว

                    อาจจะเป็นเพราะวิว เพราะความสูง เพราะเซอร์ไพรส์วันเกิด

                    แต่ฉันรู้สึกว่าลูกคนแรกของเราคงได้เกิดวันเดียวกับคุณพ่อแน่ๆเลยล่ะ ^^~

    The End

    เมาท์กันนิดนึง

     

    ด้วยความที่ยูเป็นเมนซันนี่ ก็เลยขอ HBD ยัยเตี้ย เอ๊ย! หนูซุนคยูของเราด้วย Short fic

    คือตอนนี้ยังเยอะไม่พอ? ทั้ง Catch me ทั้งตอนของฟานี่ เอาน่าๆ อยากให้ได้เห็นตอนเค้าฮันนีมูนกันนี่นา =w=~

    สารภาพว่า อัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์แดนกังหันลมกับดอกทิวลิปนี่เป็นเมืองในฝันที่ยูอยากไปมากๆค่ะ ที่บ้านมีหนังสือเล่าเรื่องสไตล์นำเที่ยวนิดๆของอัมสเตอร์ดัมอยู่ แล้วก็หยิบมาอ่านบ่อยๆ ชื่อว่าอัมสเตอร์ดัม เพื่อน และจักรยานที่ขโมยมา ชอบมาก และใช้เป็นคู่มือเปิดประกอบการเขียน 555++

     

    สุดท้ายนี้ ขอบอกว่าคิดถึงนักอ่านทุกคน ทั้งหน้าใหม่หน้าเก่า ขาประจำที่ยังคงตามอ่านกันอยู่ (แม้จะมีอาการดองบ้างเป็นระยะตามมรสุมชีวิต) ติดตามตอนต่อไปเน้อ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×