คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Tribute : Before true stories lets begin with TALES
ก่อนจะไปเข้าสู่เรื่องจริง เรามาเริ่มกันที่ ‘น้ำย่อย’ ด้วยเทพนิยายปรัมปราของแท้กันก่อนดีว่า... ขอเรียงใหม่ไปตามเนื้อเรื่องแล้วกันนะคะ เพราะถ้าไม่อ่านก่อนเดี๋ยวจะไม่เข้าใจคอนเซปต์ บางเรื่องคิดว่าคงเคยผ่านตากันมาบ้างแล้ว แต่บางเรื่องอาจจะไม่ ^^
หนูน้อยหมวกแดง
กาลครั้งหนึ่ง มีเด็กหญิงเล็กๆอาศัยอยู่ที่กระท่อมชายป่า เด็กหญิงชอบสวมเสื้อมีหมวกสีแดงสดใส ทุกคนจึงพากันเรียกเธอว่า ‘หนูน้อยหมวกแดง’ อยู่มาวันหนึ่ง แม่ของเด็กหญิงไหว้วานให้หนูน้อยหมวกแดงไปเยี่ยมไข้คุณยายที่บ้าน เด็กหญิงรับตะกร้าแล้ววิ่งออกจากบ้านลัดเลาะผ่านป่ามุ่งหน้าตรงไปทางบ้านของคุณยายโดยไม่รู้เลยว่าหมาป่าตัวหนึ่งแอบตามมาอยู่ห่างๆ
เจ้าหมาป่ามีแผนจะจับหนูน้อยหมวกแดงกินเป็นอาหาร มันจึงทำทีเป็นเข้าไปตีสนิท และชวนหนูน้อยหมวกแดงไปเที่ยวทุ่งดอกไม้ หนูน้อยมัวแต่เก็บดอกไม้จนไม่ทันสังเกตว่าหมาป่าจอมเจ้าเล่ห์ได้ไปที่กระท่อมของคุณยาย มันเคาะประตู และเมื่อหญิงชราเดินมาเปิดประตูให้ มันก็กลืนร่างเธอลงท้องไป ก่อนจะแสร้งปลอมตัวเป็นคุณยายแล้วไปนอนบนเตียงแทนเพื่อรอหนูน้อยหมวกแดง
เมื่อหนูน้อยหมวกแดงมาถึงแล้วพบหมาป่าปลอมเป็นคุณยายทำทีเป็นนอนซมอยู่บนเตียง เธอก็เอ่ยปากถามว่าทำไมคุณยายถึงได้มีเล็บ มีขน และมีเขี้ยวน่ากลัว หมาป่าจึงเปิดเผยตัวแล้วจับหนูน้อยหมวกแดงกลืนลงท้องไปอีกคนก่อนจะนอนหลับอย่างสบายใจ
ระหว่างนั้นนายพรานหนุ่มผู้หนึ่งเดินผ่านมา สุนัขล่าเนื้อของเขาได้กลิ่นหมาป่าจึงเห่าเรียกแล้วมุ่งตรงไปทางกระท่อมของคุณยาย นายพรานสังหรณ์ใจว่าต้องเกิดเรื่องร้ายขึ้นจึงเข้าไปในกระท่อม เมื่อเห็นหมาป่านอนหลับสนิทอยู่บนเตียงจึงยิงหมาป่าแล้วผ่าท้องเอาตัวคุณยายกับหลานสาวออกมา ก่อนจะสั่งสอนหนูน้อยหมวกแดงไม่ให้ไว้ใจคนแปลกหน้าง่ายๆอีก หนูน้อยหมวกแดงรับคำแล้วกลับบ้านอย่างปลอดภัย
รองเท้าแดง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เด็กสาวชาวนายากจนนามคาเร็นได้รับการอุปการะจากเศรษฐินีหลังมารดาของเธอเสียชีวิต ก่อนจะย้ายมาอยู่กับแม่ทูนหัว คาเร็นมีรองเท้าสีแดงเก่าๆอยู่คู่หนึ่ง เมื่อฐานะเปลี่ยนไป เธอก็ขอให้แม่ทูนหัวซื้อรองเท้าสีแดงคู่ใหม่ให้ เด็กหญิงสวมรองเท้าสีแดงทุกวันแม้แต่ในวันที่ต้องไปโบสถ์ เธอไม่ได้สนใจจะสวดอ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้าและเพิกเฉยต่อสายตาที่ทุกคนมองเธออย่างตำหนิในทุกครั้งที่เธอสวมรองเท้าแดงเข้ามาในโบส์ แต่คาเร็นไม่เคยใส่ใจแม้กระทั่งเมื่อแม่ทูนหัวของเธอล้มป่วยลง คาเร็นก็ยังคงสวมรองเท้าสีแดงออกไปเที่ยวเล่น
นายทหารหนุ่มในงานเต้นรำเห็นรองเท้าสีแดงของคาเร็นในวันหนึ่งและเขาได้เอ่ยปากทักว่ารองเท้าเต้นรำสีแดงของเด็กสาว สวยงามน่ารักกว่าทุกคู่ที่เขาเคยพบ เมื่อสิ้นคำชายหนุ่ม รองเท้าก็เริ่มเต้นรำได้เอง คาเร็นไม่สามารถหยุดรองเท้า หรือแม้แต่จะถอดมันออก รองเท้าสีแดงพาคาเร็นเต้นรับไปรอบๆอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่ว่ายามกลางวัน ยามกลางคืน ผ่านทุ่งหญ้าหรือพงหนาม และก็คาเร็นไม่สามารถไปร่วมพิธีศพของแม่บุญธรรมได้ เด็กสาวร้องไห้พลางภาวนาถึงพระเจ้าที่เธอไม่เคยเหลียวแล เมื่อนั้นเทวทูตก็ปรากฏขึ้น ชี้ดาบมายังคาเร็นและสั่งให้เธอเต้นรำต่อไปจนกระทั่งหมดลมหายใจ เพื่อให้เป็นอุทาหรณ์แก่เด็กทุกคนที่ละเลยต่อพระเจ้า คาเร็นเอ่ยปากอ้อนวอนเทวทูต แต่รองเท้าสีแดงก็พาเธอเต้นรำจากไปก่อนที่เธอจะทันได้ยินคำตอบเสียด้วยซ้ำ
คาเร็นได้พบเพชฌฆาตหนุ่ม เธอขอร้องให้เขาตัดข้อเท้าเธอทิ้งเสียเพื่อที่เธอจะได้หยุดเต้นรำ เพชฌฆาตจึงลงขวานตัดข้อเท้าคาเร็นให้ขาดออก แต่รองเท้าก็ยังคงเต้นรำไม่หยุด ชายหนุ่มจึงมอบเท้าเทียมให้แก่คาเร็นและสอนให้เธอสวดบทส่งวิญญาณ เพราะเห็นว่าเธอผ่านความทุกข์ทรมานมามาก
หลังจากนั้นเมื่อคาเร็นพยายามจะไปโบสถ์ รองเท้าสีแดงที่ยังคงสวมติดกับข้อเท้าของเธอก็จะปรากฏขึ้นขวางทางทุกครั้งไป เธอทำงานเป็นคนทำความสะอาดเรือนพักของบาทหลวง แต่เมื่อถึงวันอาทิตย์เธอกลับไปกล้าเข้าร่วมสวดภาวนาเนื่องจากกลัวรองเท้าสีแดงจะปรากฏขึ้นอีก คาเร็นทำได้เพียงแต่นั่งลงในห้องของเธอแล้วสวดอ้อนวอนขอพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าอีกครั้ง แล้วเทวทูตก็ปรากฏกายขึ้น โปรยกลีบกุหลาบและมอบพรให้แก่เด็กสาว รับเอาจิตวิญญาณอันสว่างไสวและบริสุทธิ์ของคาเร็นขึ้นไปยังสรวงสวรรค์ และนับแต่นั้นมา ไม่มีผู้ใดกล่าวถึงรองเท้าสีแดงอีกเลย
ราพันเซล
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีสามีและภรรยาคู่หนึ่งที่รักกันมาก วันหนึ่ง สามีได้รู้ว่าภรรยาจะมีลูก สามีเป็นสุขมาก จนสัญญาว่าจะทำอะไรก็ได้ที่จะทำให้ภรรยามีความสุข ทุกๆ วัน หญิงสาวเฝ้ามองสวนงดงามของแม่มดที่เต็มไปด้วยดอกราพันเซล และปรารถนาจะทานดอกราพันเซลเหล่านั้น แต่ทว่าทั้งคู่รู้ดีว่าไม่อาจรุกล้ำเข้าไปในสวนของแม่มดได้เพราะนางมีพลังอำนาจเวทมนตร์เกินกว่าที่มนุษย์จะต่อกร หญิงสาวจึงได้แต่เฝ้ามองดอกราพันเซลนั้นด้วยความหม่นหมอง สามีไม่สามารถทนมองภรรยาทุกข์ทนได้ คืนนั้น เขาแอบเข้าไปในสวนของแม่มด และขโมยดอกราพันเซลมาจำนวนหนึ่ง เขานำมาให้ภรรยาทานในเช้าวันรุ่งขึ้นและเธอยินดีมาก พร้อมทั้งเอ่ยปากว่าอยากจะทานดอกราพันเซลอีก สามีจึงต้องแอบเข้าไปในสวนของแม่มดเป็นครั้งที่สอง แต่ครั้งนี้ แม่มดจับได้ สามีอ้อนวอนขอให้นางยกโทษให้ โดยอ้างว่าทำไปเพราะต้องการให้ภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์มีความสุข แม่มดไตร่ตรองสักพักหนึ่ง และอนุญาตให้ชายหนุ่มเก็บเอาดอกราพันเซลไปได้มากเท่าที่เขาต้องการ แต่มีข้อแม้ว่าเมื่อภรรยาทารกเกิดมา เขาต้องนำบุตรมามอบให้เป็นค่าดอกราพันเซล ชายหนุ่มคิดว่าแม่มดคงจะลืมจึงตอบตกลง แต่เมื่อทารกเกิด นางกลับปรากฏตัวอยู่หน้ากระท่อมและทวงถามสัญญาที่สามีเคยให้ไว้ ด้วยความเกรงกลัวอำนาจเวทมนตร์ สามีจึงต้องมอบลูกสาวให้นางไป แม่มดตั้งชื่อทารกว่า ราพันเซล และเลี้ยงเธอเหมือนกับลูกสาวตัวเอง
ราพันเซลเติบโตขึ้นพร้อมความงดงาม แม้จะอยู่เพียงลำพังในหอคอยสูงที่ไม่มีทั้งประตูและบันได แม่มดไม่ต้องการให้มีผู้ใดได้พบเจอราพันเซล ดังนั้นนางจึงซ่อนทางลับเอาไว้ไม่ให้เด็กสาวรู้ พร้อมทั้งเสี้ยมสอนราพันเซลให้ปล่อยผมยาวสีทองสุกสว่างของเธอลงมาเพื่อใช้เป็นทางขึ้นลงหอคอย แม้ว่าแม่มดที่อ้างว่าเป็นมารดาจะเข้ามาเยี่ยมเธอบ่อยๆ แต่ราพันเซลก็ยังคงรู้สึกเหงาและปรารถนาจะได้ออกไปจากหอคอยสักครั้ง
วันหนึ่ง เจ้าชายจากแดนไกลร้องเพลงอันไพเราะของราพันเซล เจ้าชายหนุ่มขี่ม้าไปตามเสียงเพลงและมองเห็นหญิงสาวที่อยู่บนหอคอย เจ้าชายตกหลุมรักราพันเซลทันทีและพยายามคิดหาวิธีที่จะได้พบเธอ เจ้าชายเฝ้ารอจนกระทั่งแม่มดกลับมาพร้อมทั้งเรียกให้ราพันเซลปล่อยผมเปียลงมาจากหอคอยเพื่อให้นางปีนขึ้นไปได้ เมื่อสบโอกาสที่แม่มดจากไป เขาก็เลียนเสียงหญิงชรา ราพันเซลหลงเชื่อและคิดว่าแม่มดกลับมาจริงๆจึงปล่อยผมเปียลงไปให้ เจ้าชายจึงใช้ผมของราพันเซลปีนขึ้นไปบนหอคอย สร้างความประหลาดใจให้กับราพันเซลอย่างมาก เธอไม่เคยเจอใครมาก่อนนอกจากแม่มด แต่เจ้าชายพูดกับเธอด้วยความอ่อนโยน เขาบอกเธอว่าเขาได้ตกหลุมรักกับเธอ ราพันเซลฟังด้วยหัวใจ เธอยื่นมือเธอให้เจ้าชายสวมแหวนและสาบานเป็นภรรยาของเขา หลังจากนั้นเจ้าชายมาหาราพันเซลทุกวันพร้อมกับดอกกุหลาบ ราพันเซลซ่อนดอกไม้เหล่านั้นไว้และรอคอยโอกาสที่จะหลบหนีแม่มด ทว่ากลีบดอกกุหลาบได้ร่วงหล่นลงมาจากที่ซ่อน ทำให้แม่มดรู้ว่าเจ้าชายลอบปีนขึ้นมาหาราพันเซลทุกค่ำคืน ด้วยความโกรธ แม่มดตัดผมเปียของราพันเซล แล้วไล่เธอออกจากหอคอย ราพันเซลจึงหลบหนีเข้าไปในป่า ส่วนแม่มดก็เฝ้ารอให้เจ้าชายกลับมา เพียงไม่นานเสียงเรียกของชายหนุ่มก็ดังขึ้น แม่มดปล่อยผมเปียของราพันเซลลงไปให้เจ้าชายหนุ่มปีนขึ้นมาเหมือนทุกครั้ง แต่เมื่อปีนขึ้นมาได้ครึ่งทางแม่มดก็ปรากฏกายให้เห็นจากหน้าต่าง นางปล่อยผมเปียของราพันเซลที่ถือเอาไว้ทำให้เจ้าชายร่วงลงบนพุ่มไม้หนาม เจ้าชายทั้งบาดเจ็บและตาบอดจึงทำได้แต่เพียงออกร่อนเร่ตามหาราพันเซล ผ่านไปหลายปี เจ้าชายเดินทางรอนแรมจนกระทั่งเขาได้ยินเสียงเพลงอันคุ้นเคย ในที่สุดเขาก็ได้พบภรรยาที่บัดนี้ให้กำเนิดลูกฝาแฝด น้ำตาแห่งความยินดีของราพันเซลร่วงลงบนเปลือกตาของเจ้าชาย รักษาบาดแผลทั้งหมดและทำให้เขากลับมามองเห็นอีกครั้ง ทั้งสี่คนเดินทางกลับไปยังอาณาจักรของเจ้าชายและใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขนับแต่นั้นมา
เจ้าหญิงเงือกน้อย
ใต้มหาสมุทรที่ลึกล้ำมีมหานครที่ปกครองโดยราชาแห่งชาวเงือก ราชามีธิดาด้วยกันห้าองค์ ซึ่งอายุห่างกันเพียงองค์ละหนึ่งปี เมื่อธิดาแต่ละองค์อายุครบสิบห้า พวกเธอจะได้รับอนุญาตให้ว่ายน้ำขึ้นไปสำรวจโลกมนุษย์ เมื่อถึงวันเกิด เหล่าเจ้าหญิงเงือกต่างก็ว่ายน้ำขึ้นไปแล้วนำเรื่องราวสนุกสนานกลับมาเล่าให้น้องๆฟัง เหลือแต่เพียงพระธิดาองค์เล็กที่ยังอายุไม่ครบกำหนด ทว่าเธอก็ตั้งตารอคอยให้ถึงวันเกิดอายุครบสิบห้าปีของเธอ
เมื่อถึงวันที่เธอตั้งตารอคอย เจ้าหญิงว่ายน้ำขึ้นไปเพียงลำพัง ที่ใจกลางมหาสมุทร เธอพบเรือขนาดใหญ่และที่ดาดฟ้าเรือ เธอเห็นเจ้าชายรูปงามกำลังสังสรรค์กับเพื่อนฝูง เงือกน้อยตกหลุมรักเจ้าชายตั้งแต่แรกพบ และเฝ้าว่ายน้ำตามไปเพื่อแอบมอง ทว่าไม่นานพายุก็เริ่มกระหน่ำ เรือลำใหญ่ถูกคลื่นโถมซัดจนอัปปางลงในพริบตา เงือกน้อยช่วยเจ้าชายที่หมดสติเอาไว้และพาเขาไปส่งที่ชายฝั่งใกล้กับโบสถ์ เมื่อเจ้าชายฟื้นขึ้น เขาไม่พบใครเลยและไม่รู้ว่าเจ้าหญิงเงือกเป็นผู้ช่วยชีวิตเขา
เงือกน้อยว่ายน้ำกลับสู่เมืองบาดาล แต่เธอยังคงคิดถึงเจ้าชายหนุ่มรูปงามผู้เป็นรักแรก เจ้าหญิงตัดสินใจไปหาแม่มดทะเล บอกเล่าความต้องการที่จะขึ้นไปอยู่บนโลกมนุษย์ แม่มดตกลงมอบยาที่จะเปลี่ยนหางของเงือกให้กลายเป็นขา ทว่าราคาของยานั้นต้องแลกกับเสียงอันไพเราะของเธอ แม่มดกล่าวเตือนเจ้าหญิงว่าหากเธอดื่มยานี้แล้ว จะไม่สามารถกลับเป็นเงือกได้ชั่วชีวิต และทุกย่างก้าวของเธอจะเจ็บปวดเหมือนเหยียบลงบนคมมีด แต่เธอจะสามารถเดินได้อย่างมนุษย์ มีขาที่สวยงาม และสามารถเต้นรำได้อย่างงดงาม แต่อำนาจเวทมนตร์จะคงอยู่ต่อเมื่อเธอเจ้าชายจุมพิตและสาบานรักต่อเธอ แต่ถ้าหากเจ้าชายแต่งงานกับหญิงอื่น เธอจะสลายกลายเป็นฟองคลื่น เจ้าหญิงรับทราบและดื่มยานั้นอย่างไม่ลังเล
เช้าวันรุ่งขึ้น เจ้าชายพบหญิงนิรนามที่ชายฝั่ง เขารู้สึกสนใจเงือกน้อยมากแม้ว่าเธอจะพูดไม่ได้ก็ตาม ความงามของเธอ ท่วงท่าที่เธอเต้นรำดูสง่างามจนใครๆก็ต้องหลงใหล จนเมื่อองค์ราชาสั่งให้เจ้าชายแต่งงานกับเจ้าหญิงจากต่างแคว้น เจ้าชายทรงคิดว่าเจ้าหญิงเป็นผู้ช่วยชีวิตเมื่อครั้งที่เรืออัปปางเพราะเธอคือคนแรกที่พบเขาตรงชายหาด เจ้าชายตกหลุมรักเธอและตกปากรับคำที่จะแต่งงาน เงือกน้อยหัวใจสลายและเฝ้ารอยคอยรุ่งเช้าของวันแต่งงานที่เธอจะยุติความทรมานลง ทว่าก่อนฟ้าสาง บรรดาพี่สาวทั้งสี่คนของเธอปรากฎตัวขึ้น พวกเธอนำผมยาวสลวยไปแลกกับมีดเงินเล่มหนึ่ง เจ้าหญิงทั้งสี่บอกให้น้องสาวแทงเจ้าชายลงที่หัวใจแล้วหยดเลือดของเขาที่เท้าเธอ จากนั้นเธอจะสามารถกลับลงสู่ทะเลและกลายเป็นนางเงือกเหมือนเดิมได้ เงือกน้อยรับมีดไว้ แล้วเดินไปยังห้องบรรทมของเจ้าชาย เธอเฝ้ามองใบหน้างดงามของเขายามหลับ แม้จะยกมีดในมือขึ้นแต่ก็ไม่อาจทำใจปลิดชีวิตชายที่รักได้ เมื่อแสงอาทิตย์เริ่มปรากฏที่ขอบฟ้าเธอก็จุมพิตอำลา ก่อนจะกระโดดลงทะเล ร่างของเธอสลายกลายเป็นฟองคลื่น ดวงวิญญาณของเธอลอยขึ้นไปในสายลมเฝ้าดูงานวิวาห์และอวยพรให้แก่เจ้าหญิงกับเจ้าชายที่เธอรักสุดหัวใจ
เจ้าหญิงหงส์ขาว
ณ อาณาจักรอันแสนไกลโพ้นแห่งหนึ่งมีเจ้าชายผู้สง่างามและเป็นที่ต้องตาของหญิงสาวทั่วทุกแคว้นเมืองนามซิกฟริด แต่เจ้าชายกลับเบื่อหน่ายกับงานเลี้ยงเต้นรำเลือกคู่ที่องค์ราชาจัดให้เป็นประจำจึงแอบขี่ม้าออกมากลางงานเลี้ยง
เจ้าชายซีกฟริดขี่ม้าออกไปกลางป่าจนกระทั่งไปเจอทะเลสาบแห่งหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยหงส์มากมาย และเมื่อแสงจันทร์ส่องกระจ่างเหล่าหงส์นั้นก็เปลี่ยนร่างเป็นหญิงสาวงดงามสะพรั่ง เจ้าชายซีกฟริดทรงหลงเสน่ห์หญิงคนหนึ่งที่รูปโฉมงดงามที่สุด แท้จริงแล้วเธอคือเจ้าหญิงโอเด็ต ซึ่งถูกคำสาปของแม่มดให้กลายเป็นหงส์ขาวพร้อมกับเหล่าข้ารับใช้และจะสามารถกลายร่างกลับเป็นคนได้เฉพาะยามต้องแสงจันทร์เท่านั้น หนทางเดียวที่จะแก้ไขคำสาปได้คือจะต้องมีผู้สาบานรักแท้จากใจให้แก่องค์หญิง
เจ้าชายและเจ้าหญิงทั้งสองต่างตกหลุมรักซึ่งกันและกัน เจ้าชายซิกฟรีดให้คำมั่นว่าจะปฏิญาณรักต่อโอเด็ตท่ามกลางงานเต้นรำ และจะทำให้เธอพ้นจากคำสาป แม่มดแอบล่วงรู้ว่าเจ้าชายซีกฟริดจะพาเจ้าหญิงโอเด็ตไปยังพระราชวังจึงแอบปลอมตัวเป็นเจ้าหญิงโอเด็ตและขังเจ้าหญิงตัวจริงไว้ที่ยอดหอคอย นางล่อลวงให้เจ้าชายประกาศสาบานรักกับตนแทนเจ้าหญิงโอเด็ตตัวจริง
ทันทีที่คำปฏิญาณจบลง แม่มดก็กลายร่างคืนตามเดิม เจ้าชายซิกฟรีดตกพระทัยมากและรู้ว่าสายเกินไปเสียแล้ว หากโอเด็ตไม่ได้รับคำปฏิญาณจากคนที่เธอรักเจ้าหญิงจะต้องตาย ซิกฟริดออกตามหาเจ้าหญิงโอเด็ตตัวจริงที่ถูกขังไว้บนยอดหอคอยจนพบและรับรู้ว่าเธอกำลังจะตายในไม่ช้า ท้ายที่สุดทั้งสองจึงตัดสินใจกระโดดจากหน้าผาลงสู่ทะเลสาบเพื่อให้ความรักคงอยู่ชั่วนิรันดร์
ทัมเบลิน่า
เช้าวันหนึ่งหน้าบ้านเศรษฐีผู้มั่งคั่ง มีหญิงสาวขอทานเคาะประตูเพื่อขออาหาร ภรรยาของเศรษฐีสงสางนางจึงมอบอาหารให้ หญิงชรามอบเมล็ดพืชจำนวนหนึ่งให้เป็นการตอบแทน เมื่อภรรยานำเมล็ดพืชเหล่านั้นไปปลูกเพียงชั่วข้ามคืนเมล็ดพืชน้อยๆก็เติบโตเป็นดอกไม้งดงาม และเมื่อกลีบเล็กๆบานออก เด็กสาวตัวเล็กเท่านิ้วหัวแม่มือก็ปรากฏขึ้น ภรรยาเศรษฐีเอ็นดูเด็กน้อยและตั้งชื่อเธอว่า ทัมเบลิน่า
ทุกๆคืนทัมเบลิน่าจะนอนหลับในเปลที่ทำจากเปลือกถั่ว ทว่าคืนหนึ่งคางคกน่าเกลียดหลุดรอดเข้ามาทางช่องหน้าต่างแล้วขโมยเปลของทัมเบลิน่าออกไป นางคางคกเฒ่าต้องการให้ทัมเบลิน่าแต่งงานกับลูกชายคางคกน่าเกลียดของนาม ทว่าทัมเบลิน่ากลับหนีออกมาได้ เธออาศัยใบบัวแทนเรือ หลบหนีมาจนกระทั่งพบกับตัวด้วง เธอขอร้องให้ตัวด้วงช่วยพาเธอหนี แต่ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน เจ้าด้วงก็หนีไป ทิ้งทัมเบลิน่าไว้ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ทัมเบลิน่าไร้ที่พึ่งจึงโซซัดโซเซไปจนพบกับหนูนาที่ยอมให้เธออาศัยอยู่ด้วย หนูนาหว่านล้อมให้ทัมเบลิน่าแต่งงานกับตัวตุ่นเพื่อนบ้านของเธอ ทว่าทัมเบลิน่ากลับคิดตรงกันข้าม เพราะเธอไม่ปราถนาจะอยู่ใต้พื้นดินโดยปราศจากเหล่าดอกไม้และแสงตะวันได้ ระหว่างที่เธอกำลังเป็นทุกข์อยู่นั่นเอง ทัมเบลิน่าก็พบกับนกนางแอ่นตัวหนึ่งที่บาดเจ็บและพลัดร่วงลงมาอยู่ใต้หิมะ ทัมเบลิน่าเฝ้าดูแลนกนางแอ่นจนมันหายดี หลังจากได้ฟังเรื่องราวของทัมเบลิน่า เจ้านางแอ่นจึงช่วยเหลือเธอด้วยการพาเธอหนีจากโพรงของหนูนา ไปยังทุ่งดอกไม้กลางป่า ที่นั่นเธอพบผู้คนมากมายที่มีขนาดเท่ากับเธอ ต่างแค่เพียงแต่พวกเขามีปีกและมีประกายระยิบระยับ เจ้าชายแฟรี่เองสังเกตเห็นทัมเบลิน่าและตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกพบ ทั้งคู่แต่งงานกันและองค์ราชากับราชินีของเหล่าแฟรี่ได้มอบปีกงดงามคู่หนึ่งให้แก่ทัมเบลิน่าพร้อมตั้งชื่อใหม่ให้ว่าไมอา นับจากนั้นไมอากับเจ้าชายปกครองบรรดาแฟรี่และอยู่อย่างสงบสุขในทุ่งดอกไม้ชั่วนิรันดร์
ราชินีหิมะ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เหล่าปีศาจโทรลล์ได้สร้างกระจกวิเศษขึ้นมา กระจกนี้มีอำอาจบิดเบือนสิ่งที่สวยงามให้กลับกลายเป็นความอัปลักษณ์ หัวหน้าโทรลล์คิดจะนำกระจกวิเศษนี้ขึ้นไปยังสรวงสวรรค์เพื่อแกล้งเหล่าเทวดานางฟ้า แต่ระหว่างทางมันกลับทำกระจกหลุดมือ มันร่วงหล่นลงสู่พื้นดินแล้วแตกกระจายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย บางชิ้นก็เล็กเพียงฝุ่นผง สายลมจึงพัดพาเศษกระจกออกไปทุกที่ หากเศษกระจกหลุดเข้าไปในดวงตาหรือในหัวใจของใคร คนผู้นั้นจะมองเห็นทุกสิ่งน่าเกลียดน่ากลัวตามอำนาจของกระจก
ในหมู่บ้านเล็กๆไม่ไกลกันนัก เคย์และเกอร์ด้า เด็กหญิงชายคู่หนึ่งเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เกิด บ้านของทั้งสองอยู่ติดกัน และมีระเบียงบนหลังคาเชื่อมต่อกัน ที่หน้าต่างของเด็กทั้งสองปลูกดอกกุหลาบเล็กๆเอาไว้ และเด็กทั้งคู่ก็ชอบดูแลแปลงดอกไม้เล็กๆตรงขอบหน้าต่างด้วยกันเสมอๆ ระหว่างหน้าหนาวย่าของเคย์จะเล่านิทานให้เด็กๆฟัง ครั้งหหนึ่งคุณย่าได้เล่าเรื่องราชินีหิมะที่มีอำนาจเหนือเกล็ดหิมะทั้งปวง ทำให้เคย์ชอบมองออกไปนอกหน้าต่างในวันหิมะตกเสมอๆ ครั้งหนึ่งเขาเห็นราชินีร่างเล็กตรงข้างหน้าต่าง ราชินีหิมะชักชวนให้เคย์ไปกับนาง เด็กชายผละออกจากหน้าต่างด้วยความหวาดกลัว
ฤดูใบไม้ผลิต่อมาดอกกุหลาบเริ่มผลิบานอีกครั้ง และเมื่อเกอร์ด้าเห็นดอกกุหลาบ เด็กหญิงก็จะนึกถึงความรักที่เธอมีต่อเคย์ แต่ทว่าเมื่อหน้าร้อนมาเยือนเกล็ดกระจกถูกลมพัดพามาตกลงที่แปลงกุหลาบเล็กๆของเคย์ ระหว่างที่เด็กทั้งสองอ่านหนังสืออยู่นั้น กระจกก็ปลิวเข้าสู่ดวงตาและหัวใจของเด็กชาย เคย์กลับเปลี่ยนเป็นคนละคนนับแต่วันนั้นมา เด็กชายแสดงท่าทีเกรี้ยวกราดต่อทั้งเกอร์ด้าและคุณย่าเพราะทั้งคู่กลับกลายเป็นคนอัปลักษณ์ ทั้งหัวใจของเขาก็เย็นชาจนลืมความรักทั้งหมด สิ่งเดียวที่ยังคงงดงามในสายตาของเด็กชายคือเกล็ดหิมะเล็กๆ ที่เคย์เฝ้ามองผ่านแว่นขยายก่อนที่มันจะละลายหายไป
ในฤดูหนาวนั่นเอง เคย์ก็ได้พบราชินีหิมะอีกครั้งระหว่างเดินทางเข้าเมือง นางปรากฏกายในร่างหญิงสาวงามสง่าในชุดเฟอร์สีขาวพร้อมกับเลื่อนเทียมกวาง ราชินีเชิญให้เคย์ขึ้นนั่งบนเลื่อนก่อนจะจูบเด็กชายสองครั้ง ครั้งแรกเพื่อให้ร่างเขาชาด้วยความหนาว และครั้งที่สองเพื่อให้เขาลืมความทรงจำที่ผ่านมาทั้งหมด ราชินีไม่ได้จูบเขาเป็นครั้งที่สามเพราะจุมพิตนั้นจะฆ่าเด็กชาย เคย์ถูกพาตัวไปยังปราสาทหิมะที่ขั้วโลกเหนือ เด็กชายมองเห็นปราสาทหนาวเหน็บเป็นสิ่งสวยงามเพราะเศษกระจกในดวงตา
หลังจากเคย์หายตัวไปจากหมู่บ้าน เกอร์ด้าก็เฝ้าออกตามหาทว่าไม่มีใครพบเด็กชายเลย เธอออกเดินทางจนพบแม่มดเฒ่าที่ต้องการให้เด็กหญิงอยู่รับใช้ตลอดไป แม่มดสาปให้เกอร์ด้าลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ใช้เวทมนตร์บังคับดอกกุหลาบให้จมอยู่ใต้พื้นดินเพื่อที่เกอร์ด้าจะได้ไม่นึกถึงความรักที่มีต่อเคย์ แต่น้ำตาของเกอร์ด้าที่หยดลงบนพื้นก็ทำลายอำนาจเวทมนตร์นั้น พุ่มกุหลาบผุดขึ้นจากพื้นดินแล้วบอกเธอว่าร่างของเคย์ไม่ได้ถูกฝังไว้ในพื้นดิน เกอร์ด้าจึงออกเดินทางอีกครั้งด้วยความหลังว่าเคย์คงยังมีชีวิตอยู่ เด็กหญิงร่อนเร่ไปถึงปราสาทของเจ้าชายและเจ้าหญิง แต่ก็ไม่พบแม้แต่เงาของเคย์ เจ้าหญิงเจ้าชายเวทนาในตัวเกอร์ด้าและมอบเสื้อผ้าอุ่นๆให้เป็นการช่วยเหลือ เธอออกเดินทางต่อจนพบเด็กหญิงขี้ขโมยที่บอกเธอว่าเคย์โดนราชินีหิมะจับตัวไป
ด้วยความช่วยเหลือของเพื่อนๆ เกอร์ด้าเดินทางไปยังขั้วโลกเหนือพร้อมกับกวางเรนเดียร์ ระหว่างทางเธอพบหญิงชาวบ้านชื่อฟินน์และแลปป์ ทั้งคู่ช่วยเหลือเกอร์ด้าและเรนเดียร์ด้วการบอกทางไปยังปราสาทที่ตั้งอยู่แถบขั้วโลก นางฟินน์ยังกล่าวกับกวางเรนเดียร์ว่าพวกนางไม่อาจมอบพลังอำนาจใดๆให้ได้ เพราะพลังใจของเกอร์ด้าคือสิ่งที่ทรงอานุภาพมากที่สุด หัวใจที่สะอาดบริสุทธิ์ของเธอคือสิ่งเดียวที่จะลบล้างอำนาจของกระจกในดวงตาและจิตใจของเคย์ได้
ไม่นานหลังจากนั้นเกอร์ด้าก็เดินทางถึงปราสาทน้ำแข็งของราชินีหิมะ เธอสวดอ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้าทำให้ผ่านประตูที่เหล่าเกล็ดหิมะปกป้องอยู่เข้ามาข้างใน เกอร์ด้าพบเคย์อยู่เพียงลำพังบนทะเลสาปน้ำแข็ง องค์ราชินีมอบปริศนาหนึ่งให้เด็กชายเพื่อรั้งเขาไว้ให้อยู่ด้วยกัน เคย์ต้องเรียงเกล็ดน้ำแข็งให้เป็นคำว่า "นิจนิรันดร์" เคย์จึงจะพ้นจากอำนาจมนตราของราชินี เกอร์ด้าตรงเข้าไปหาเด็กชาย เธอร้องไห้ก่อนจะกอดและจูบร่างที่เย็นเยียบเหมือนน้ำแข็ง ทันใดนั้นมนตร์ของกระจกวิเศษก็เสื่อมลง เคย์จับมือเกอร์ด้ากระโดดโลดเต้นไปรอบๆทำให้เกล็ดน้ำแข็งกระจัดกระจายแล้วเรียงเป็นคำว่า "นิจนิรันดร์" ได้เอง ทั้งคู่รีบหลบหนีออกมาจาปราสาทของราชินีและกลับไปยังหมู่บ้าน เคย์และเกอร์ด้าได้เติบโตขึ้น ทั้งคู่แต่งงานกันและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขชั่วนิจนิรันดร์
สโนวไวท์
กาลครั้งหนึ่งในดินแดนอันไกลโพ้น พระราชินีรูปงามกำลังเฝ้าฝันถึงวันที่ประสูติของพระธิดาองค์น้อยที่อยู่ในครรภ์ พระนางนั่งปักผ้าอยู่ริมหน้าต่าง ฉับพลันนันเกล็ดหิมะสีขาวก็ร่วงลงมา ด้วยความปิตียินดี องค์ราชินีเผลอทำเข็มแทงนิ้วตนเอง หยดเลือดสีแดงส่งประกายท่ามกลางหิมะแรกแห่งฤดู พระนางจึงขอพร ให้เจ้าหญิงที่จะเกิดมามีผิวขาวดุจดังหิมะ และมีริมฝีปากแดงดังเลือด
ไม่นานต่อมา เจ้าหญิงก็ลืมตาดูโลก ทว่าองค์ราชินีกลับสิ้นลมไปก่อนจะได้รับขวัญเจ้าหญิงน้อยที่ได้รับการขนานนามว่าสโนว์ไวท์ หลังจากนั้นไม่นานองค์ราชาก็อภิเษกมเหสีองค์ใหม่ที่งดงามไม่แพ้ราชินีองค์ก่อน
นานวันสโนว์ไวท์ก็เติบโตขึ้นเป็นเด็กสาวสวยงามน่ารัก คำกล่าวขานถึงความงามและน้ำเสียงไพเราะทำให้ผู้คนต่างเล่าลือกันว่าเจ้าหญิงน้อยคือผู้ที่งดงามที่สุดในแผ่นดิน แม้กระทั่งกระจกวิเศษของราชินีก็ยังคงสะท้อนภาพสโนวไวท์เมื่อผู้เป็นเจ้าของเอ่ยถามถึงหญิงที่งามที่สุด ด้วยความริษยา นางจึงหาทางกำจัดเจ้าหญิงน้อย ด้วยการออกอุบายให้นายพรานคนสนิทตามสโนวไวท์ออกไปในป่า แล้วเชือดคอก่อนจะควักหัวใจกลับมาให้นาง นายพรานดำเนินการตามแผน แต่ด้วยความสงสารเจ้าหญิง เขาจึงปล่อยเธอไป แล้วฆ่าหมูป่าตัวหนึ่ง ควักหัวใจไปให้ราชินีแทน
สโนว์ไวท์พลัดหลงทางในป่าจนเจอเข้ากับกระท่อมน้อยหนึ่งหลัง ด้วยความเนื่อยล้าเธอจึงเข้าหลบที่กระท่อมแล้วเผลอหลับไป เหล่าคนแคระเมื่อกลับมาพบสโนว์ไวท์หลังจากทำงาน ถึงแม้พวกเขาจะประหลาดใจ แต่ก็ยินดีให้เธออยู่ด้วย โดยมีข้อแม้ว่าเธอจะต้องคอยดูแลทำความสะอาดบ้านให้พวกเขา สโนวไวท์ตกปากรับคำและจัดการดูแลงานบ้านให้เหล่าคนแคระเป็นอย่างดี
ฝ่ายราชินี ครั้นเมื่อส่องกระจกก็ยังคงเห็นภาพสโนว์ไวท์อยู่ในป่า ด้วยความริษยา ครั้งนี้นางจึงลงทุนแปลงกายเป็นหญิงชราก่อนจะนำผลแอ๊ปเปิ้ลมาชุบยาพิษ แล้วออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังกระท่อมคนแคระ
สโนว์ไวท์ได้ยินเสียงเคาะประตู เมื่อโผล่หน้าออกไปแล้วเห็นว่าเป็นหญิงชราเธอจึงไม่ได้ติดใจสงสัย แม่เลี้ยงแกล้งทำเป็นถามทาง เมื่อสโนวไวท์ให้คำตอบ นางก็หยิบแอปเปิ้ลอาบยาพิษมอบให้ เจ้าหญิงรับมาแล้วกัดแอปเปิ้ลเข้าไปเพียงคำเดียว ยาพิษออกฤทธิ์ทำให้ลมหายใจหยุดลงทันที เมื่อคนแคระกลับมาถึงบ้านแล้วพบเพียงร่างไร้ลมหายใจของสโนวไวท์ พวกเขาก็พากันคร่ำครวญก่อนจะนำร่างของเจ้าหญิงบรรจุไว้ในโลงแก้ว ประดับดอกไม้แล้วตั้งไว้กลางป่า ทันใดนั้นขบวนล่าสัตว์ขององค์ชายก็ผ่านมา เจ้าชายเห็นรูปโฉมงดงามของสโนว์ไวท์แล้วก็ตกหลุมรักในทันที เจ้าชายประทับจุมพิตลงที่ริมฝีปากแดง ทำให้ชิ้นแอปเปิ้ลร่วงหล่นและสโนวไวท์ฟื้นขึ้น จากนั้นทั้งคู่ก็ได้อภิเษกสมรสกันแล้วปกครองเมืองอย่างมีความสุข
t
h
e
m
y
b
u
t
t
e
r
ความคิดเห็น