คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : CATCH ME IF YOU CAN : IX
Catch Me If you Can : IX
สิ่งสุดท้ายที่ฉันจำได้คือแววตาคู่นั้นของเขา มารู้ตัวอีกทีก็ตอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลแล้ว...
แทยอนกุมมือฉันอย่างเป็นห่วงพลางถามอาการฉันอย่างร้อนใจ ก่อนจะอธิบายว่าน้องรองกับเจสสิก้าติดถ่ายละคร แต่ผลัดกันโทรมาถามเป็นระยะ คนอื่นๆกำลังจะตามมาเยี่ยมหลังจากหมดคิวงาน
“เธอพักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายก็เลยน็อค” ฮโยยอนอธิบายขณะที่ซูยองเอื้อมมือมาแตะหน้าผากฉัน
“ฉันคงทำงานมากไปหน่อย” ฉันตอบสาวๆ พยายามจะยิ้มขึ้นมาให้พวกเธอคลายความกังวล แต่ทุกคนกลับมองหน้ากันแล้วถอนหายใจ
“คิดว่าพวกเราโง่หรือไง? เธอน่ะ... ตั้งแต่มีข่าวกับพี่คยูฮยอนก็ซึมจนจะเหมือนผีดิบอยู่แล้ว” ซูยองว่า แน่นอนว่าข้อนั้นฉันเถียงไม่ได้ ก็มันเรื่องจริงนี่นา ตั้งแต่ที่เรามีเรื่องกันวันนั้นฉันก็กินไม่ได้นอนไม่หลับพอยิ่งต้องฝืนหัวเราะเวลาไปออกรายการ ฉันก็ยิ่งทุกข์หนักกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า
“ฉันก็แค่ผิดหวังในตัวเขา ไม่คิดว่าเราจะต้องจบกันแบบนี้...”
“แน่ใจเหรอว่าที่อาการโคม่าน่ะเป็นเพราะผิดหวังในตัวพี่คยูฮยอน อาการของเธอมันฟ้องชัดๆว่าเฮิร์ทเพราะรัก” แทยอนสวนมาตรงจุดเล่นเอาซะฉันพูดไม่ออกเลย
“แต่มันเป็นข่าวออกไปแล้ว ยังไงเราสองคนก็ต้องเลิกกันอยู่ดี” ฉันพูดโดยพยายามไม่ให้เสียงสั่น แต่ความเป็นจริงก็ทำให้ขอบตาร้อนผ่าว ฉันกลัว กลัวว่าโซวอนจะทำร้ายเขา กลัวว่าโซวอนจะทำร้ายเอลฟ์ กลัวเขาบาดเจ็บ กลัวเขาเสียใจ กลัวยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
“ฟังนะซันนี่...” ซูยองพูดก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งบนเตียง “พวกเราเข้าใจว่าเธอรักพี่คยูฮยอนมากขนาดไหน เธอยอมที่จะอดทนเก็บเรื่องราวเอาไว้เป็นความลับ เพราะไม่อยากให้พี่เค้ามีแอนตี้แฟน... แต่ว่า ความเป็นจริงข้อนั้น เธอเคยบอกพี่เค้ารึเปล่า? เคยนั่งคุยกันจริงๆจังบ้างไหม? ฉันเห็นพวกเธอคนนึงก็วิ่งหนี ส่วนอีกคนก็วิ่งไล่ แต่ที่ถูกต้องน่ะ ความรักมันคือการเดินเคียงข้างไปด้วยกันไม่ใช่เหรอ?”
ฉันได้แต่นิ่งไป... จริงด้วย เรายังไม่เคยคุยกันเลยสักคำ... ไม่เคยบอกเหตุผลว่าทำไมฉันถึงอยากปกปิดสถานะของเราเอาไว้ไม่ให้โลกรู้ เขาคงจะไม่เข้าใจ คงไม่รู้เจตนาที่แท้จริง...
แต่มันจะสายเกินไปรึเปล่านะถ้าฉันอยากจะคุยกับเขา...
แทยอนหยิบรีโมททีวีขึ้นมากดเปิดเพื่อทำลายความเงียบน่าอึดอัด ยัยนั่นไล่เปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ แต่แล้วภาพก็หยุดลงตรงหน้าของผู้ชายคนนั้น คนที่ฉันคิดถึงเขามากที่สุดตอนนี้
โจคยูฮยอน...
“ตกลงความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับคุณซันนี่เป็นยังไงบ้างครับ?”
“เป็นเรื่องจริงรึเปล่าคะที่พวกคุณคบกัน”
“หรือคุณคบเธอแค่เพราะเห็นว่าเป็นหลานสาวของอีซูมาน?”
ทุกคำถามทิ่งแทงลงในหัวใจฉัน แทยอนทำท่าจะกดเปลี่ยนช่องแต่ฉันยกมือห้ามไว้ สายตาจ้องมองลงไปในดวงตาสีดำสนิทที่คงไม่มีทางได้รับรู้ว่า ณ ตอนนี้ฉันกำลังมองเขาอยู่
“มันเป็นแค่การซ้อมบทละครเวทีน่ะครับ ผมกับซันนี่เราเป็นแค่พี่น้องร่วมค่ายที่ผมไม่ได้ออกมาพูดก่อนหน้านี้พราะอยากจะให้เกียรติซันนี่ในฐานะที่เธอเป็นผู้หญิงแล้วก็คงจะเสียหายมากกว่าผม แต่เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดมากไปกว่านี้ ผมขอยืนยันเลยนะครับว่าเราสองคนเป็นแค่พี่น้องกัน ระหว่างเราไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษอะไรทั้งนั้น” พี่คยูฮยอนพูดออกมาด้วยท่าทางสบายๆพร้อมรอยยิ้ม แต่หัวใจของฉันราวกับโดนบีบรัดด้วยมือที่มองไม่เห็น
ทั้งๆที่ทุกอย่างเป็นไปตามที่ฉันต้องการแล้วแท้ๆ ทั้งๆที่ต่อไปนี้จะไม่มีข่าวลือ ไม่มีคยูซัน ไม่มีแอนตี้แฟน แต่ทำไมมันถึงได้เจ็บขนาดนี้กันนะ?
จบแล้ว... ทุกอย่างระหว่างเราจบลงแล้ว...
รู้ตัวอีกทีน้ำตาของฉันก็ไหลลงมาไม่หยุด ซูยอง แทยอนและฮโยยอนเข้ามากอดฉันแน่น แต่ความเจ็บปวดมันไม่ได้ลดลงเลย... สายไปแล้ว มันสายเกินไปแล้ว...
สายเกินไปที่จะมารู้ตัวเอาตอนนี้ว่าฉันรักโจคยูฮยอนมากขนาดไหน...
แม้ว่าเวลามันจะผ่านไปเป็นเดือนแล้วก็ตาม สมองของผมก็ยังคงตื้อตันไม่หาย
บทสัมภาษณ์ในวันนั้น... การยุติความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการระหว่างผมกับซันนี่... เหมือนชีวิตของผมกลายเป็นสีเทานับตั้งแต่นั้น ดวงอาทิตย์ดวงเล็กๆของผมหายไปจากโลกหมองหม่น เมื่อไหร่กันนะ? เมื่อไหร่ทุกอย่างจะกลับคืนมาเป็นปกติเมื่อไหร่…
“คอนเสิร์ตรวมค่ายรอบนี้นายยังอยากร้องเพลงคู่กับโซนยอชีแดอยู่ไหม?” ชางมินแห่งดงบังชินกิถามผม ตอนนี้เราสองคนแอบบดอดมากินเหล้าตามประสาเพื่อนซี้ แน่นอนว่าไม่ปล่อยให้พี่ผู้จัดการรู้หรอกครับ
“นายก็รู้ว่าตอนนี้ฉันพยายามอยู่ห่างๆ เด็กพวกนั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” ผมตอบ ชางมินได้แต่หัวเราะกลับมาเบาๆ
แน่นอนครับว่าชางมินเป็นข้อยกเว้นอีกคนที่รู้เรื่องระหว่างผมกับซันนี่ จะไม่ให้รู้ได้ยังไงในเมื่อไอ้หมอนี่มันเป็นเพื่อนสนิทผม อะไรที่ผมรู้มันก็รู้ด้วยเกือบซะทุกเรื่องจนแทบจะรวมร่างกันได้อยู่แล้ว
แต่ในเวลาแบบนี้ก็มีหมอนี่แค่คนเดียวเท่านั้นแหละที่จะช่วยปรับทุกข์ได้
“ฉันดูชองชุนบุลแพพักหลังๆนี้นะ ดูซันนี่ไม่ค่อยร่าเริงเหมือนแต่ก่อน” ชางมินเปรยขึ้นมา ส่วนผมก็ได้แต่ยกแก้วไวน์ขึ้นซัดรวดเดียวหมดจนหมอนั่นเลิกคิ้ว
“ไม่รู้สิ ฉันไม่ดูรายการนั้นนานแล้ว” เพราะผมไม่สามารถมองหน้าเธอได้โดยไม่รู้สึกเจ็บปวด ทั้งๆที่เราอยู่ใกล้แค่เอื้อม หอพักเราห่างกันแค่ห้าหรือสิบนาที เราไปซ้อมเต้นตึกเดียวกันแทบทุกวัน แต่ชีวิตของผมกลับขาดเธอไปอย่างสมบูรณ์แบบ ผู้คนรอบข้างจงใจไม่พูดถึงเธอให้ผมได้ยิน แม้แต่ทุกครั้งเวลาที่รุ่นน้องโซนยอชีแดเดินผ่าน ผมหวังจะได้เห็นยัยตัวเล็กของผมสักแว่บนึง แต่ก็ไม่เคยเลย... เท่าที่ผมทำได้คือเข้าไปดูแฟนคาเฟ่ อ่านข่าวเกี่ยวกับเธอ ใจหายทุกครั้งเวลาที่เธอป่วย เป็นห่วงทุกครั้งที่เธอทำงานหนักมากไป โกรธทุกครั้งที่มีใครเขียนข่าวไม่ดีถึงเธอ อย่างน้อย...ผมอาจจะไม่ได้เป็น ‘แฟน’ ของเธอแล้ว แต่ก็ขอให้ผมได้เป็นแค่แฟนคลับก็ยังดี...
เธอจะทำแบบเดียวกันรึเปล่านะ?
“ดึกแล้ว นายดื่มหนักด้วย เดี๋ยวฉันขับไปส่งแล้วกัน”
“พูดอะไรของนาย? ยังไงก็ต้องไปส่งอยู่แล้วนี่ นายเป็นคนไปรับฉันออกมาดื่มเอง ฉันไม่ได้ขับรถมาซะหน่อย” ผมชกชางมินเบาๆที่ไหล่ แล้วหมอนั่นก็โบกมือเรียกพนักงานมาคิดเงิน อา... ท่าทางผมจะดื่มหนักจริงๆแฮะ แต่นานๆทีจะได้มีโอกาสแบบนี้นี่นา...
เราสองคนเดินออกจากร้านแล้วมุ่งตรงไปยังลานจอดรถ ผมขึ้นไปนั่งคู่กับชางมินตรงที่นั่งข้างคนขับแล้วหมอนั่นก็สตาร์ทรถขับออกไป
แสงไฟยามราตรีของกรุงโซลวิ่งผ่านกระจกหน้าต่าง คลอเบาๆกับเพลงเปิดตัวอัลบั้มใหม่ของพี่โบอา แย่ชะมัด... เนื้อเพลงมันแทงใจดำผมมากเกินไปแฮะ
내사랑 이제는 안녕 You’re the only one
ลาก่อน ที่รักของฉัน แม้คุณจะเป็นคนเดียวในใจฉันก็ตาม
이별하는 이순간에도 You’re the only one
แม้ว่าเราจะต้องแยกทางกันไป แต่เธอก็ยังอยู่ในใจ
아프고 아프지만 바보 같지만 Good bye
ถึงฉันจะเจ็บปวดสักเท่าไหร่ แม้ว่าจะดูโง่งม แต่คงต้องเอ่ยคำลา
다시 널 못 본다 해도 You’re the only one
เราคงไม่ได้พบกันอีก แต่เธอคือคนเดียวที่ฉันจะรัก...
ผมยังรักเธออยู่...
“เอ้อ ฉันลืมบอกนายไปว่าต้องแวะเอาของไปทิ้งไว้ที่คอนโดก่อน” ชางมินพูดขึ้นมา
“อือ” ผมรับแกนๆ แล้วเราสองคนก็ได้แต่เงียบ ผมมองวิวสองข้างทางต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งรถเลี้ยวเข้ามายังอคอนโดหรูแห่งหนึ่งที่ชางมินมันซื้อเอาไว้นอนเล่นแก้เซ็งเวลางอนพี่ยุนโฮ
เราสองคนเดินลงจากรถ ชางมินเดินอ้อมไปหยิบของอะไรสักอย่างที่กระโปรงหลัง ปล่อยผมยืนแกร่วรออยู่ตรงที่จอดรถ
~ตริ๊งๆ~
เสียงโทรศัพท์มือถือของหมอนั่นดังขึ้น ชางมินมองหน้าผมเป็นเชิงขอโทษก่อนจะส่งถุงกระดาษให้ พร้อมกับยัดกุญแจห้องใส่ในมือเหมือนกับจะบอกเป็นนัยๆให้ผมขึ้นไปรอข้างบนก่อนได้เลย ผมพยักหน้ารับรู้แล้วก็เดินตรงไปที่ลิฟท์อย่างว่าง่าย รอแค่ไม่นานลิฟท์ก็มา ผมก้าวเข้าไปแล้วหันหลังกลับพร้อมกับที่ประตูเลื่อนปิดลง ไม่มีใครในนั้น ผมยืนอยู่คนเดียว มองเงาตัวเองที่สะท้อนออกมาจากประตูเหล็กเงาวับนั่น ผมช่างดูเป็นผู้ชายซื่อบื้อ งี่เง่า ที่ดูไร้ความสุขโดยสิ้นเชิง แต่คิดแบบนั้นได้แค่แว้บเดียวประตูลิฟท์ก็เปิดออก แล้วมือหลายคู่ก็พุ่งเข้ามาคว้าตัวผมไว้ทันที
“เฮ้ย!!!” ผมร้องเสียงหลงพยายามปัดป่ายมือปลาหมึกทั้งหลายให้พ้นจากตัว ไม่ใช่มือใครที่ไหนหรอกครับ ก็พี่ๆในวงผมนี่แหละ เท่าที่พอจะบอกได้ก่อนจะโดนถุงดำคลุมหัวเนี่ย ก๊วนนี้นำทัพโดยพี่คังอินกับพี่ชินดง แล้วไอ้แขนล่ำๆที่เข้ามาล็อคตัวผมไว้จากด้านหลังเนี่ยดูจากความสูงแล้วน่าจะเป็นพี่ชีวอนชัวร์ป้าบ
“พวกพี่มาล็อคผมทำแมวอะไรเนี่ย -*-“
“อย่าพูดให้มากนักไอ้น้อง ตอนนี้แกโดนจับแล้ว ข้อหาทำร้ายเด็กในสังกัดของพี่ฮีชอลเนี่ยโทษไม่ใช่จะเบาๆนะรู้ไหม?” เสียงพี่ชินดงพูดขึ้นมา ผมแอบได้ยินเสียงหัวเราะแหลมๆของลีดเดอร์ตัวดีดังเสริมขึ้นมาด้วย ชิส์ รอเข้ากรมก่อนเถอะ พ่อจะยึดอำนาจให้เรียบเลยคอยดู!
“พี่ก็ให้ผมเคลียร์กะพี่ฮีชอลเองดิ มาจับผมแบบนี้จะเล่นอะไรกันน่ะ? แล้วเด็กพี่ฮีชอลอะไรที่ไหน? ไม่เห็นจะเข้าใจเลย” ผมเถียงทั้งๆที่รู้สึกเหมือนโดนกึ่งลากกึ่งหามให้เข้าไปในห้องๆหนึ่ง ทันทีที่ประตูปิดลง เจ้าพวกพี่บ้าก็เริ่มรุมถอดเสื้อผ้าผมทันที
“เฮ้ย!! พวกพี่ทำอะไรน่ะ!!!”
“เอาน่า ไม่ต้องอายหรอก พี่เคยเห็นนายใส่กางเกงในตัวเดียวเดินรอบหอมาแล้วด้วยซ้ำ เอ้านี่! ใส่ซะ” พี่คังอินว่าก่อนจะจับแขนผมยัดใส่เสื้ออะไรสักอย่างที่ดูจากความหนาแล้วมันคงเป็นสูท ลงอีหรอบนี้ไม่รู้ว่าผมจะโดนจับทำอะไร แต่ถึงคิดจะขัดก็เปล่าประโยชน์ ผมก็เลยว่าง่ายยอมให้พี่ๆเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ทั้งๆที่ยังคงโดนปิดตาอยู่แบบนี้
“ดีมากไอ้น้องเล็ก คราวนี้เดินตามพี่มานี่” ผมได้ยินเสียงพี่อีทึกพูดจูงมือลากผมเดินไปที่ไหนสักแห่ง แล้วเขาก็จบผมยืนนิ่งๆ
“สัญญากับพี่ก่อนว่านายจะหลับตาเอาไว้ก่อน ห้ามแอบดูเด็ดขาด เข้าใจไหม?” พี่ชีวอนว่า ผมได้แต่พยักหน้ารับ แล้วพี่เค้าก็ดึงถุงออกให้ผมได้หายใจเต็มปอดสักที นึกแปลกใจว่าตัวป่วนพวกนี้มีแผนอะไรแกล้งผมกันแน่ อยู่ๆก็นึกหมั่นเขี้ยวกันขึ้นมาซะงั้น รอกลับไปนะพ่อจะวางแผนเอาคืนเรียงตัวเลยเชียว
ระหว่างที่ความคิดเลวๆระดมพาเหรดเข้ามาในหัวสมอง เสียงประตูก็เปิดก็ดังขึ้น ผมได้ยินเสียงเดิน... แต่เสียงนั่นมันเป็นเสียงรองเท้าส้นสูงหลายๆคู่ที่ทำให้ใจผมเริ่มเต้นตุ้มๆต่อมๆ
“ลืมตาสิคะ”
เสียงหวานๆที่ผมอยากได้ยินที่สุดดังขึ้นไม่ไกล ผมลืมตาขึ้นตามที่เธอสั่ง แล้วพระอาทิตย์ของผมก็ยืนยิ้มแฉ่งอยู่ตรงหน้า ในชุดเดรสเกาะอกสีขาวสั้นแค่เข่า ผิวขาวๆของเธอ รอยยิ้ม ดวงตาที่ผมฝันถึงทุกคืน ผมที่เคยเป็นสีทองสั้นตอนนี้ยาวลงมาระคอแล้วก็ถูกย้อมเป็นสีน้ำตาลสว่าง เธอสวมมงกุฎดอกไม้ไว้ด้วยเลยยิ่งทำให้เธอดูเหมือนเจ้าสาว...
เจ้าสาว...
เจ้าสาว!?
ผมหันกลับมามองตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า พวกพี่ๆจับผมใส่สูทสีขาวสะอาดแบบที่เราใส่ในเพลง Marry U แถมมีดอกกุหลาบขาวปักที่กระเป๋าเสื้อให้อีกต่างหาก
“ไม่ดีใจเหรอคะ?” ซันนี่ถามผม สีหน้าดูเหมือนไม่มั่นใจแบบนั้นมันน่ารักซะจนเล่นเอาผมตาพร่าเลย
“ดีใจสิ... ดีใจจนพูดไม่ออกเลยล่ะ” ผมตอบเธอพร้อมรอยยิ้มที่เรียกเสียงกรี๊ดจากสี่สาวกองเชียร์ ยุนอา เจสสิก้า ทิฟฟานี่และแทยอนที่ยืนลุ้นกันตัวโก่ง
“คืองี้ ให้ฉันอธิบายที่มาที่ไปหน่อยนะ” ชางมินที่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้เดินเข้ามาตบไหล่ผมพร้อมรอยยิ้มแบบชวนถีบสุดๆ “พวกพี่ๆนายน่ะเห็นว่านายยังรักซันนี่อยู่ ส่วนสาวๆทางนี้ก็ไม่อยากเห็นซันนี่ตรอมใจตาย เพราะงั้น พวกเราเลยวางแผนนี้ขึ้นมาเป็นเซอร์ไพรส์ให้นายซะ รวมทั้งจะได้เปิดโอกาสให้พวกนายสองคนปรับความเข้าใจกันด้วย”
ชางมินดึงมือซันนี่ขึ้นมาแล้ววางมือเล็กๆของเธอลงบนมือผม
“พวกเราทุกคนรู้ว่าการเป็นไอดอลแล้วมีความรักมันเป็นเรื่องยาก แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ยังหวังให้นายสองคนผ่านทุกสิ่งทุกอย่างไปได้ ไม่คิดว่ามันวิเศษเหรอกับการที่ได้รักคนที่มีความฝันเดียวกันน่ะ?”
ผมพยักหน้า พูดอะไรไม่ออก มันวิเศษ วิเศษสุดๆไปเลย ไม่ว่าซันนี่จะเป็นใคร จะฝันยังไง ผมก็ยังอยากจะรักเธอที่เธอเป็นแบบนี้
“ในละครมันมีฉากนึงที่ฉันอยากเล่น แต่มันไม่มีในบทน่ะ” ซันนี่พูดขึ้นมา
“ฉากไหนล่ะ?”
“ฉากแต่งงานของแฟรงค์กับแบรนด้าน่ะค่ะ... แฟรงค์จำใจต้องหนีไปในวันงานเพราะมีตำรวจตามมาพอดี...”
“งั้นคราวนี้เรามาเล่นบทนั้นกันไหม? แต่ไม่ใช่ในฐานะแฟรงค์กับแบรนด้า แต่เป็นในฐานะคยูฮยอนแห่งซุปเปอร์จูเนียร์ และซันนี่แห่งโซนยอชีแด” ผมพูดแล้วก็คุกเข่าลงหนึ่งข้างกุมมือของซันนี่เอาไว้
“แต่งงานกันนะ”
สิ้นคำพูดของผม ทุกๆคนก็ส่งเสียงร้องกรี๊ดกร๊าดขึ้นมาทันที แทยอนกับทิฟฟานี่เริ่มร้องเพลง Marry U แล้วพี่ชีวอนก็มายืนเก๊กรับตำแหน่งบาทหลวงให้
โอเค... นี่มันอาจจะเป็นงานแต่งงานปลอมๆที่มีแค่สมาชิกร่วมค่ายไม่กี่คนร่วมเป็นพยาน แต่ผมขอบอกเลยว่าผมมีความสุขที่สุด มีความสุขมากๆ
“ต่อไปนี้ฉันจะไม่หนีอีกแล้วนะ” ซันนี่พูดระหว่างที่กุมมือผมแน่น “ฉันรักโซวอน ฉันรักโซนยอชีแด ฉันรักทั้งเอลฟ์และซุปเปอร์จูเนียร์ แต่ฉันก็รักผู้ชายที่ชื่อโจคยูฮยอนด้วยเหมือนกัน เพราะงั้นฉันจะไม่หนีอีกต่อไปแล้วค่ะ”
“ถ้างั้นเรามาเดินไปด้วยกันนะ จนกว่าจะถึงวันที่เราได้แต่งงานกันจริง” ผมบอกกับเธอแล้วสักขีพยานรอบๆก็ช่วยกันโปรยดอกไม้กับกระดาษว่อนไปทั่วห้อง
...ต่อจากนี้จะไม่มีใครวิ่งหนี ไม่มีการวิ่งไล่ตาม แต่เราจะเชื่อใจกันและกัน ปกป้องความฝันของกันและกันไปจนกว่าจะถึงวันที่พวกเราอยากจะก้าวลงจากเวทีแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่...
แต่กว่าจะถึงวันนั้น เราคงต้องเก็บเรื่องคยูซันเอาไว้เป็นความลับต่อไปอีกนิดล่ะเนอะ
7 เดือนผ่านไป...
“ไม่เข้าใจเลย! ฉันทั้งมีฉากกอด ฉากจูบฉากบนเตียงกับพี่เค้าด้วยแท้ๆ! ทำไมพวกเธอถึงยังเชียร์ซอฮยอนกันอยู่ได้!”
“ก็ก่อนหน้านี้เธอเองไม่ใช่เหรอที่กดดันให้พวกเราช่วยชงคยูซอน่ะ แล้วตอนนี้จะมาโวยวายทำเกลืออะไรยะ!” ซูยองผลักหัวม่วงๆของฉันจนหน้าคะมำแทบทิ่มพื้นทางเดิน ส่วนสาวๆคนอื่นดีแต่หัวเราะเยาะ
ตอนนี้เราอยู่ที่สตูดิโอของรายการ Radio Star ที่มีพี่คยูฮยอนเป็นหนึ่งในบรรดาพิธีกรค่ะ เพิ่งจะถ่ายเสร็จไปสดๆร้อนๆเมื่อตะกี้เอง แล้วก็... แน่นอนว่าออนแอร์ไปแม่ยกคยูซอคงได้ดูกันสนุกสนาน ก็ยัยพวกนี้ชงกันซะพร้อมดื่ม =__= เอะอะๆ ก็วกเข้าเรื่องคยูซออยู่ได้ ไม่ได้จะเห็นหัวแฟนตัวจริงอย่างฉันสักนิด!
“หึงพี่เค้าก็ยอมรับมาเถอะค่ะ” แม้แต่มักเน่ของเราก็ยังร่วมวงล้อด้วย T^T เอากะเค้าสิ!
“ก็ไม่ได้อะไรหรอก แต่ก็เซ็งนิดๆน่ะแหละ คิดดูสิ หลังจากเกิดเรื่องพวกเราก็ไปโปรโมทอัลบั้มที่ญี่ปุ่น พี่เค้าก็มีแพลนยูนิตเอ็มไปที่จีน คิดว่าจะได้เจอกันมากขึ้นเพราะเล่นละครเรื่องเดียวกัน แต่ก็ดันถูกจับยัดลงตารางคนละวันกันหมดเลย ฉันอุตส่าห์ตั้งตารอแท้ๆ...” ฉันทำหน้าบูด แต่แทยอนก็เดินเข้ามาโอบไหล่
“อย่าคิดมากน่า เจ้าชายของเธอมาแล้วโน่น”
ยัยเพื่อนเตี้ยผลักฉันไปจ๊ะเอ๋กับโจคยูฮยอนที่เดินออกมาจากห้องแต่งตัวข้างหน้า แล้วสาวๆก็เริ่มร้องเพลงท่อน I got a boy ซ้ำไปซ้ำมาพลางทำท่าแรปโย่วไปด้วยอีกตะหาก =__=
“ไง” ฉันทักได้แค่นั้น
“ไม่ไงอ่ะ” เขาตอบแถมตั้งท่าจะเดินหนีอีกต่างหาก
“พี่จะไปไหนอ่ะ! เราเพิ่งเจอกันแท้ๆนะ!”
“ชู่ว! อย่าเสียงดังสิ ถ้ามีคนแอบถ่ายจะว่ายังไง ไม่ได้นะ พี่จะไม่ยอมให้เธอโดนเอล์ฟเพ่งเล็งหรอก”
ฉันอ้าปากค้าง แน่นอนว่าพวกสาวๆข้างหลังก็เหมือนกัน แต่พี่คยูฮยอนเหมือนจะไม่รู้สึกว่าไอ้สิ่งที่ตัวเองพูดออกมามันเหมือนกับที่ฉันเคยพูดก่อนหน้านี้เปี๊ยบ เขาก็เลยพล่ามต่อมาเป็นชุด
“ตอนนี้พี่เข้าใจเธออย่างถ่องแท้แล้วนะ เพิ่งไม่นานมานี้เองพี่ก็รู้สึกได้ว่าพลังของเอลฟ์น่ะน่ากลัวมากเลย ถ้าเกิดมีใครรู้เรื่องเราคบกัน เธอก็จะเป็นอันตราย ไม่ได้ๆ พี่ไม่ยอมให้เราสองคนเป็นข่าวอีกแล้วล่ะ ห้ามให้ใครรู้เด็ดขาดเรื่องคยูซัน” โจคยูฮยอนพูดจริงจังแล้วเดินออกไป ทิ้งให้พวกเรายืนงงเป็นไก่ตาแตก
“เอาล่ะสิ กลับตาลปัตรแล้วทีนี้...” ฮโยยอนพูดขึ้น ฉันได้ยินเสียงฟานี่หัวเราะแหะๆ แต่ขอบอกเลยว่าตอนนี้อีซุนคยูปรี๊ดสุดๆ
“ย่าห์! โจคยูฮยอน!!! กลับมาเคลียร์กันเดี๋ยวนี้เลยนะยะ นายตั้งใจจะปิดเรื่องนี้ไปอีกนานเท่าไหร่กันน่ะหา! มินซอนเยวงวันเดอร์เกิร์ลส์ยังแต่งงานไปแล้วเลยนะ! นายจะมาแคร์อะไร?! ย่าห์!!! คยูฮยอน!!!” ฉันออกวิ่งไล่ตามคุณแฟนตัวดีที่ตอนนี้เริ่มออกวิ่งหนีนำหน้าฉันไปแล้ว
ช่างเอลฟ์ ช่างโซวอนสิ!!! ฉันจะประกาศให้โลกรู้ให้ได้เลยว่าคยูซันมันมีอยู่จริง!!!
---------------------------------------------------------------------
Footnote :
ในที่สุด Catch Me If You Can ก็จบลงอย่างเป็นทางการซะที เย้!~
ก็... จบแบบเกรียนๆสไตล์คู่คยูซันล่ะนะ (ฮา~) ยังไงก็ตาม ขอบพระคุณนักอ่านสาวกคยูซันทุกท่านที่ยังคงเป็นแฟนกันเหนียวแน่นมากว่าครึ่งปี m_ _m ขอบคุณจริงๆค่ะ
เมื่อไม่นานมานี้ ยูก็ได้เข้าไปแอบดูเรตติ้งนิยายผ่านทาง Kyusun Thailand Fanpage อยากจะบอกว่าขอบคุณมากๆที่มีหลายคนกล่าวถึงและโหวตให้ฟิคชั่นทั้งสามเรื่องของยูติดเป็นหนึ่งในฟิคคยูซันที่โหดมันส์ฮาที่สุด เค้าก็ประทับใจอยู่นะ ,,- -,, ขอบคุณน้องแอดมินแฟนเพจด้วยที่ช่วยประกาศให้โลกรู้ว่าคยูซันมีอยู่จริง 555++
นักอ่านทุกท่านจะช้าอยู่ไย จงรีบไปถวายตัวและเผยแพร่ลิทธิคยูซันกันเถอะ!!
แล้วเจอกันใน deathmark นะคะ ^^
ความคิดเห็น