คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : CATCH ME IF YOU CAN : VII
Catch Me If you Can : VII
ผมได้แต่ยืนตุ้มๆต่อมๆอยู่หลังม่าน ในที่สุดฉากที่รอคอยก็มาถึง หึ หึ หึ...
เอาซี้ ผมจะจูบให้ดูดดื่ม เดี๋ยวจะหามุมแบบหันให้คนดูเห็นด้วย เตรียมแฟนแคมเอาไว้เลย รับรองงานนี้คยูซันเกิดแน่ๆ!
ยัยตัวเล็กได้แต่ยืนเจี๋ยมเจี๊ยมทำหน้าสงบเสงี่ยมไม่พูดไม่จากับใคร สงสัยจะยอมรับชะตากรรมแล้วล่ะมั้ง? แต่ยังไงผมก็ชนะ โอ้ หลั่น ล้า~
ว่าแล้วก็หันไปยิ้มหื่นๆใส่คุณที่รักอีกที ชะล่ะล่า~
ม่านถูกชักเปิดออก ผมวิ่งเข้าไปก่อนตามบท ฉากนี้เป็นฉากงานหมั้นของแฟรงค์กับแบรนด้าแต่ตำรวจดันตามกลิ่นมาเจอ คุณพระเอกเลยต้องหนีแล้วทิ้งคนรักไว้เป็นหม้ายขันหมาก ส่วนตัวแล้วผมว่ามันซื่อบื้อชะมัด ถ้าเป็นผม ผมจะฉุดให้หนีตามกันไปเลย ตัดปัญหา แฮปปี้เอนดิ้งสุดๆ
ซันนี่ปรากฏตัวเข้ามาในฉาก ตาโตๆของยัยตัวเล็กนี่มองผม อย่างเจ็บปวด แฟนผมแสดงได้ดีเหลือเชื่อแม้ว่ามันจะเป็นครั้งแรก ให้ตาย... เจอสายตาแบบนี้แล้วปวดใจชะมัด...
ถ้าผมทำเธอเสียใจ เธอจะมองผมแบบนี้จริงๆใช่มั้ย?
แล้วการจูบเธอออกสื่อนี่นับรึเปล่า?
“แฟรงค์ ได้โปรด...” เสียงหวานๆของเธอพูดออกมาตามบท ตอนนี้ผมยืนอยู่บนฉากที่เป็นด้านนอกของระเบียงชั้นสองแล้ว “ก่อนคุณจะไป ช่วยบอกชื่อจริงๆของคุณให้ฉันรู้ที”
“แฟรงค์ วิลเลี่ยม อบาก์เนล จูเนียร์” ผมพูดย้ำกับเธอทีละพยางค์ น้ำตาใสๆเริ่มรื้นขึ้นมา แล้วมือผมก็กำราวระเบียงแน่น ไม่ว่าจะเล่นกับใครผมก็ไม่เจ็บจนจุกขนาดนี้ ผมต้องตายแน่ๆถ้าผมเป็นคนทำให้เธอเจ็บเหมือนอย่างที่แฟรงค์ทำแบรนด้าเจ็บ
...หรือผมควรจะพักเรื่องจูบไว้ก่อนดีนะ?
“...แฟรงค์ วิลเลี่ยม อบาก์เนล จูเนียร์... ฉันรักคุณค่ะ” ผมยังคิดไม่ทันจบร่างเล็กๆนุ่มนิ่มของซันนี่ก็ก้าวเข้ามาแล้วกอดคอรั้งให้ผมลงไปหาเธอ แต่พอเราอยู่ใกล้กันแค่ลมหายใจ อะไรบางอย่างก็ทำให้ผมสะดุดกึก
ยัยนี่ไปกินอะไรมาฟะ ปากโคตรเหม็นอ่ะ! -*-
“...ยาจีนของยูริ ดีนะที่พกมาด้วย ^^” เสียงหวานๆกระซิบเบาๆแทนคำตอบ แต่ผมนี่แทบอ้วกครับ โห กลิ่นมันสุดจะบรรยาย ไม่รู้จะสรรหาอะไรมาเปรียบเทียบ แถมจะหันหนีก็ไม่ได้ จะจูบจริงก็ไม่กล้า ซันนี่เล่นเป็นฉากสุดท้ายนะ แต่ผมดิเล่นอีกหลายฉาก เกิดจูบจริงแล้วกลิ่นติดไป ไม่ผมก็นักแสดงคนอื่นๆคงได้ตายกันไปข้างแหละ
ว้อยยยยยยยยย!! T^T อีซุนคยู นี่เธอจะแก้ให้ได้มันทุกมุกเลยใช่ม้ายยยยยยยย
ผมโดดลงจากระเบียง มึนไม่หายกับกลิ่นยาทลายล้างโลกที่คุณสุดที่รักลงทุนกินเพื่อไม่ให้ผมจูบ
“ยูริ! เอาไอ้ยาจีนนั่นมาอีก เอามาเป็นโหลเลย” ฉันเหวี่ยงกระเป๋าทิ้ง แล้วเดินเข้ามาในหอที่ควอนยูลนอนแอ้งแม้งดูละครตัวเองอยู่หน้าตาเฉย
“อ้าว ไหนบอกว่ามันเหม็น ไม่อยากกิน?”
“ไม่ต้องพูดมากหรอกน่า เอาเป็นว่าฉันซื้อต่อ โหลนึง” ฉันพูดแล้วควอนยูลก็มองหน้าฟานี่แบบงงๆ กลิ่นมันเหม็นจริงอะไรจริงอยู่หรอกนะ แต่ถ้ามันจะทำให้ฉันรอดพ้นเงื้อมมืออีหมาป่าวิปริตนี่ได้ไปจนจบฉันก็ยอมล่ะ!
“ซันนี่... เธอทำเกินไปหน่อยรึเปล่า?” ซูยองเปิดประตูห้องแล้วเดินตรงมาหาฉันแบบเอาเรื่อง นี่ไปโดนใครฟ้องอะไรมาอีกล่ะถึงได้มาแนวเหวี่ยงแบบนี้ =__=
“พี่ซองมินโทรมาเล่าให้ฉันฟังหมดแล้วนะว่าเธอทำอะไรกับมักเน่วงนู้นไว้บ้าง ฉันว่าเธอคุยกับพี่เค้าดีๆแล้วตกลงให้ได้ดีกว่าว่าจะเอายังไง เล่นเกมกันแบบนี้เดี๋ยวก็ทะเลาะกันจริงๆหรอก”
เฮอะ! ไม่อยากบอกว่าตอนนี้ถึงไม่ทะเลาะก็เหมือนทะเลาะแล้ว เราสองคนเจอหน้าก็แทบจะแยกเขี้ยวใส่กัน ฉันก็หนีสุดฤทธิ์ ส่วนหมอนั่นก็ตามแฉสุดตัว
“ข้อตกลงมันมีอยู่สองอย่างนะซูยอง อย่างแรกคือปิดเรื่องนี้ต่อไป หรืออย่างที่สอง--แฉให้เคป๊อปสั่นสะเทือนไปเลย เธอคิดว่าหมอนั่นจะเลือกข้อไหนล่ะ?” ฉันตอบกลับไป ฟันธงในใจว่าโจคยูฮยอนเลือกข้อหลังชัวร์ป้าบ
“ถ้าเขาอยากเปิดเผยจริงฉันว่าพี่เค้าคงทำตั้งนานแล้วล่ะ เธอเองก็เดทกับเขามาเกือบสองปี น่าจะพอมีหลักฐานอะไรอยู่แล้ว แต่ที่พี่เค้าไม่ทำ ไม่ใช่เพราะตามใจเธอหรอกเหรอ? เธอก็น่าจะยอมๆให้เขาสร้างโมเมนท์บ้างอะไรบ้างนะ” ฟานี่ร่ายยาวจนฉันแทบจะเล็คเชอร์ ถ้าไม่ติดว่านั่นมันจะขัดกับหลักการของฉันน่ะนะ...
“โมเมนท์บ้านแดดดี๊เธอสิ คิดจะจูบจริงกลางเวทีน่ะนะ -*-”
“ฉันก็จูบพี่จองโมนะ ไม่เห็นเป็นไรเลย เจสสิก้า ยุนอา ยูริ ก็เล่นฉากจูบกันทั้งนั้นแหละ”
“แต่นี่มันไม่เหมือนกันนะ! ฉันไม่อยากให้เป็นข่าว” ฉันทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา เหนื่อยใจกับการไล่ต้อนของเพื่อนๆ ในวง เดี๋ยวแม่ก็ลาออกไปอยู่ทีอาร่าซะนี่! T^T
“งั้นเปลี่ยนคำถามใหม่” ควอนยูลลุกจากท่านอนเกลือกกลิ้งบนพื้นมานั่งข้างๆฉัน “ถ้าไม่ใช่พี่คยูฮยอน เธอจะกล้าจูบไหม?”
“ก็มันเป็นเรื่องงาน...”
“งั้นก็คิดถึงแต่เรื่องงานสิ เรื่องจูบถือเป็นกำไร”
“พูดซะง่ายเชียวนะยะ -*- คนอื่นจะคิดแบบนั้นรึเปล่าเนี่ยสิ”
“ก็จะไปแคร์คนอื่นทำไม ถึงจะเป็นเอลฟ์เป็นโซวอนก็เหอะ” ซูยองทิ้งตัวตามลงมานั่งข้างฉัน “อะไรที่คิดแล้วทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ก็อย่าไปคิด ฉันรู้ว่าเธอแคร์โซวอนมาก แล้วก็แคร์เผื่อไปถึงเอลฟ์ด้วย แต่อย่าลืมนะว่าเธอต้องมีชีวิตของเธอ จะมาทำอะไรตามใจคนเกือบทั้งโลกมันก็ไม่ไหวหรอก”
ฉันได้แต่นิ่งไป... บางทีมันอาจจะเป็นอย่างที่ซูยองพูดจริงๆ ฉันอาจจะแคร์สื่อมากไปหน่อย เลยทำให้ความรักกลายเป็นเหมือนสงครามย่อมๆ แต่ว่ามันยังไม่สายไปใช่ไหม?
คราวนี้... ฉันจะวิ่งช้าๆให้ตาหมาป่านั่นจับทันบ้างก็คงไม่ผิดมั้ง?
ฉันยืนตุ้มๆต่อมๆอยู่แถวๆห้องซ้อม เขาจะมารึเปล่านะ? โจคยูฮยอนจะมาตามนัดไหม?
นี่อุตส่าห์ไปหาของมาไถ่โทษ ทั้งๆที่มันใกล้จะวันเกิดฉันแล้ว แต่ก็รู้สึกผิดนิดหน่อยแหละ ลงท้ายยัยพวกนั้นก็ไซโคจนฉันใจอ่อน ยอมเป็นฝ่ายยกธงเจรจาสงบศึก
ฉันกำผ้าพันคอในมือแน่น รู้น่าว่ามันกำลังจะเข้าหน้าร้อน แต่ว่าฉันไม่มีอะไรอย่างอื่นจะให้เขานี่นา? จริงๆฉันไม่ได้ถักเองทั้งผืน แต่ไปซื้อมาแล้วก็เอามาทำอะไรเพิ่มเติมนิดหน่อย ^^~ หวังว่าตาบ้านั่นคงจะชอบนะ
ตริ๊ง~
เสียงข้อความในไอโฟนดังขึ้น ฉันหยิบขึ้นมาดู เขาส่งมา
‘กำลังไปหา’
ทำไมแค่คำสั้นๆแค่นี้ถึงได้ทำให้หัวใจพองโตขึ้นมาได้นะ โอ๊ยยยยย อีซุนคยู! เธอไม่ได้เพิ่งจะรักเขาสักหน่อย นี่พวกเธอคบกันมาสองปีเศษได้แล้วนะ!
เสียงประตูเปิดตามหลังฉันแล้วหน้าหล่อๆของโจคยูฮยอนก็โผล่เข้ามา ดูก็รู้ว่าวิ่งมาจากห้องซ้อมเพราะเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มใบหน้าเขาเลยล่ะ อ๊ายยย ฉันดีใจอีกแล้ว สุดท้ายก็เลยไม่กล้าจะมองหน้าคุณที่รักตรงๆเลย เขินนน~
“มีอะไรเหรอ?” เขาถามฉัน น้ำเสียงฟังดูเหินห่างชอบกล อ้อ... ลืมไปเราสองคนอยู่ในโหมดทำศึกหนักระหว่างสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมา
“ฉัน... เอ่อ มีเรื่องอยากคุยกับพี่”
“นึกว่าเราจะหมดเรื่องคุยกันไปนานแล้วซะอีก” เขาตอกกลับมา แต่น้ำเสียงมีแววงอนๆชอบกล
“พี่คยูฮยอน เรามาสงบศึกกันเถอะนะคะ ฉันไม่อยากให้เราทะเลาะกันขึ้นมาจริงๆ” ฉันแกล้งพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงออดอ้อนแอ๊บแบ๊ว ตาโตๆคู่นั้นหันมามองฉันก่อนจะเชิดใส่แล้วทำแก้มป่อง อ๊าย แฟนใครไม่รู้ น่ารักชะมัด
“ตัวเองทำอะไรไว้บ้าง จู่ๆจะมาขอสงบศึกดื้อๆแบบนี้มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ?”
“ก็แล้วพี่อยากได้อะไรไถ่โทษล่ะคะ?” ฉันสอดนิ้วตัวเองเข้าไปกุมมืออุ่นๆของพี่คยูฮยอนที่ไม่มีท่าทีปฏิเสธ ฉันชอบเวลาเราจับมือกัน ชอบทุกครั้งเวลาที่มือใหญ่ๆคู่นี้สัมผัสฉัน เขาเองก็เหมือนจะรู้ดีด้วยถึงได้ขยันแต๊ะอั๋งกันนัก
“อืม... อะไรดีล่ะ?” รอยยิ้มเจาเล่ห์แบบเด็กๆฉายขึ้นบนเรียวปาก ก่อนที่เขาจะหันมายิ้มกว้างส่งให้ มืออีกข้างยกขึ้นมาขยี้ผมฉันเบาๆ เหมือนทุกที ให้ตายเถอะ ฉันมีความสุขจัง
ต่อจากนี้อะไรจะเกิดก็เกิด! ฉันจะไม่ปิดบังแล้ว!
แต่แค่ชั่วเสี้ยววินาทีที่ฉันคิดแบบนั้นแสงแฟลชก็สว่างวาบพร้อมกับเสียงชัตเตอร์ ฉันหันไปทางที่มาของเสียงแล้วแสงแฟลชก็สว่างวาบขึ้นอีก ก่อนที่ภาพคนถ่ายจะปรากฏชัดเต็มสายตา
นักข่าว!
คิมอีนา คนที่ตามกองละครของเราอยู่!
“หยุดนะ!” ฉันร้องห้ามก่อนจะยกมือขึ้นปิดหน้าปิดตา แต่เธอวิ่งหนีออกไปแล้ว พร้อมกับกล้องที่มีรูปเราสองคนจับมือกัน สวีทกัน
โจคยูฮยอน!
“นี่พี่นัดนักข่าวมาเหรอ?! พี่ทำแบบนี้ได้ยังไง?!”
“เดี๋ยวก่อน ซันนี่--”
“ฉันอุตส่าห์จะตามใจพี่แล้ว ทำไม? ทำไมพี่ถึงได้ทรยศความไว้ใจของฉันแบบนี้? พี่เคยรู้เหตุผลที่ฉันต้องปิดบังเรื่องของเราไว้มั้ย? รู้บ้างไหมว่าฉันลำบากใจแค่ไหน ต้องอดทนมากแค่ไหน แต่พี่กลับมาทำแบบนี้” คำพูดพรั่งพรูออกมาจากปากฉันเป็นชุดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ โจคยูฮยอนได้แต่ยืนอึ้งพูดอะไรไม่ออก ฮึ! ใช่สิ! เค้าเป็นฝ่ายชนะแล้วนี่ ในที่สุดเค้าก็จับฉันได้แล้ว...
“พอใจแล้วสินะ เกมจบแล้ว ระหว่างเราก็จบด้วยเหมือนกัน” ฉันทิ้งผ้าพันคอในมือลงพื้น ไม่สนใจใยดีมันอีกต่อไป ฉันไม่แคร์แล้วว่าพรุ่งนี้ข่าวจะออกมาเป็นยังไง เขาอยากจะให้สัมภาษณ์ยังไงก็ช่าง อยากจะพูดว่าเรายังรักกันอยู่ก็เชิญ ฉันจะไม่ยอมรับ ไม่ปฏิเสธอะไรทั้งนั้น เพราะนี่มันเป็นเกมที่เขาชนะ
ในเมื่อฉันเป็นคนแพ้ ฉันก็จะทำให้แน่ใจว่าตัวเองจะไม่กลับไปเล่นมันอีกเป็นครั้งที่สอง
ผมมองผ้าพันคอในมืออย่างเหม่อลอย ผ้าพันคอผืนนี้ผมเก็บได้จากวันที่เราทะเลาะกัน ที่ผ่านมาเรามีงอนกันบ้างก็จริง แต่นั่นเป็นครั้งแรกที่ซันนี่ร้องไห้ต่อหน้าผม
ผมรู้ว่าเธอแคร์คนอื่นมาก ทั้งเอลฟ์และโซวอน แน่นอนว่าเธอไม่ได้ปกป้องแค่ตัวผม แต่เธอพยายามปกป้องแฟนคลับของเราสองคน ทั้งๆที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมควรจะเป็นคนปกป้องเธอมากกว่า
มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรากันนะ? ทำไมมันเป็นแบบนี้ไปได้?
ผมผลิกมันไปมาแล้วสายตาก็สะดุดลงตรงด้ายสีแดงเส้นเล็กๆที่เธอปักเอาไว้
Sunkyu & Kyuhyun
หัวใจผมเจ็บจนจุกเลยแฮะ... ให้ตายสิ...
ตอนนี้ภาพข่าวของเราสองคนกระจายว่อนทั่วเว็บไซต์พอร์ทัล ทางค่ายยังไม่ได้ออกมาแก้ข่าวอะไร แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดคือผมกับซันนี่โดนจับแยกกันโดยสมบูรณ์แบบ นอกจากละครที่กำหนดวันแสดงเอาไว้แล้ว งานอะไรก็ตามที่ผมมีอันต้องคู่กับโซนยอชีแดเป็นอันแคนเซิลทั้งหมด
“คยูฮยอน เป็นไง พร้อมรึยัง?” พี่คังอินเดินเข้ามาตบบ่าผม วันนี้เป็นวันที่ผมกับซันนี่จะแสดงด้วยกันเป็นรอบสุดท้ายครับ พี่คังอินที่เพิ่งออกจากกรมเลยถือโอกาสมาเชียร์พวกเราสองคน ดูเหมือนซูยองเองก็มาด้วย แต่ ณ ตอนนี้ผมกับซันนี่กลายเป็นคนแปลกหน้าระหว่างกันไปโดยสิ้นเชิงแล้ว
พี่คังอินเห็นผมไม่พูดอะไรแต่ก็คงจะดูอาการออก
“พวกเราอยู่ด้วยกันมาหกปีแล้วนะ คยูฮยอน นายเคยเถียงพี่จนเราทะเลาะกันถึงขั้นเกือบชกกันด้วยซ้ำ” พี่คังอินยกมือขึ้นลูบหัวผมเบาๆอย่างที่เค้าชอบทำเวลาผมอ้อน หรือเวลาที่ผมกำลังเหนื่อย “นายเป็นคนที่เผชิญหน้ากับปัญหามาตลอด ครั้งนี้นายก็ต้องเผชิญหน้ากับมัน แล้วผ่านมันไปให้ได้ เข้าใจไหม?”
“ขอบคุณครับพี่” ผมพูดได้แต่นั้นก่อนจะบีบมือพี่คังอินกลับเบาๆ พี่แกตบบ่าผมอีกสองสามทีก่อนจะ เดินออกไปจากห้องแต่งตัว ผมเหลือบมองนาฬิกา เสียงสตาฟฟ์ตะโกนขึ้นเรียกนักแสดงแสตนด์บายภายในสิบห้านาที
ซันนี่ยังไม่มา...
เธอเล่นองก์สอง ยังมีเวลาอีกนาน แต่ว่าผมอยากเจอเธออยากอธิบายให้เข้าใจว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นฝีมือของผม
“คยูฮยอน ไปได้แล้ว” พี่โปรดิวว์เซอร์เรียก ผมจำใจลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินเข้าไปหลังเวที
ขออย่าให้เรื่องของผมกับซันนี่จบลงเหมือนแฟรงค์กับแบรนด้าเลย
“แน่ใจนะว่าไหว?” ซูยองหันมาถามฉันเป็นรอบที่ล้าน ในขณะที่ฉันได้แต่พยักหน้าเนือยๆตอบกลับไป
หลายวันมานี้ฉันแทบไม่ได้นอนเลย แถมยังตระเวนถ่ายรายการ บินไปบินมาหลายประเทศ ขนาดสมาชิกในวงเองยังแทบจะไม่ได้คุยกัน แต่ให้งานยุ่งๆแบบนี้ก็ดีแล้ว ฉันจะได้ไม่ต้องไปมัวคิดถึงเรื่องไม่เป็นเรื่องให้เสียใจเปล่าๆ
“เธอต้องเล่นคู่กับพี่เค้านะ วันนี้” ซูยองย้ำอีกที
“ฉันโปรพอที่จะทำงานร่วมกับเขาได้น่า ไว้รอเรื่องนี้ซาสักพัก เราอาจจะกลับมาเป็นพี่น้องร่วมค่ายเหมือนเดิม” ฉันตอบพลางจัดชุดที่สวมอยู่ให้เข้าที่เข้าทางทั้งที่ไม่จำเป็น ทำไมมันรู้สึกโหวงๆชอบกล
“ยัยบ้าเอ๊ย! เธอจะดื้อไปถึงไหนกัน อีซุนคยู!” ซุยองลุกขึ้นมายืนค้ำหัวฉัน ท่าทางของขึ้นสุดๆ “ไม่ใช่พวกเราเคยบอกเธอไปแล้วรึไงว่าถ้าพี่เค้าจะแฉเธอน่ะ เค้าทำไปนานแล้ว!”
“แล้วไง...”
“แล้วไงเหรอ!? เธอยังจะ— ซันนี่... อีซุนคยู!?”
น้ำเสียงในตอนท้ายของซูยองเปลี่ยนไปเป็นกังวล ฉันรู้ว่าเพราะอะไร... เพราะว่าอีซุนคยูที่อยู่ตรงหน้าเธอกำลังร้องไห้ ฉันกำลังร้องไห้...
“ไว้เราค่อยคุยกันทีหลังนะ... ฉันต้องทำสมาธิก่อน” ฉันหันหลังให้กับยัยโย่งที่ตอนนี้พูดอะไรไม่ออก สักพักเสียงรองเท้าส้นสูงก้าวเป็นจังหวะกับเสียงประตูปิดก็ทำให้ฉันรู้ว่าเธอออกไปแล้ว
นี่ฉันจะทำยังไงกับตัวเองดี ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะสู้หน้าเค้ายังไง...
การปล่อยคนที่รักจากไปมันเจ็บขนาดนี้เลยเหรอ...
ความคิดเห็น