ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SNSD] Feminine Club : คลับลับฉบับสาวๆ!

    ลำดับตอนที่ #10 : Profile No. 7 & No. 8 : เจสสิก้า & ทิฟฟานี่ [Part 3]

    • อัปเดตล่าสุด 9 ต.ค. 54


              ฉันกลับหอมาด้วยดวงตาแดงก่ำ นึกในใจว่าไม่อยากให้คริสตัลถามเซ้าซี้วุ่นวาย แต่พอเปิดประตูเข้ามา คนที่ฉันเจอกลับเป็นทิฟฟานี่ที่อยู่ในสภาพไม่ต่างกัน

    “พักนี้เราไม่ค่อยได้คุยกัน ฉันเลยขอให้คริสตัลไปนอนกับแอมเบอร์แทนฉันคืนนึง...ฉัน--ฉัน--” พูดได้เท่านั้นน้ำตาของฟานี่ก็ไหลลงมาเป็นสาย น่าแปลกที่ปกติฉันคงจะตั้งคำถามเซ้าซี้เธอว่าใครมารังแกเพื่อนรักของฉันคนนี้ หรือมีเรื่องอะไรที่ทำให้เธอไม่สบายใจ แต่วันนี้ฉันกลับกอดเธอแน่นแล้วเริ่มร้องไห้ไปพร้อมๆกัน

    นานเป็นชั่วโมงกว่าที่เราสองคนจะหยุดร้องไห้ ตอนนี้ฉันกับทิฟฟานี่นอนขลุกกันอยู่บนเตียง คุยกันถึงเรื่องราวในอดีตก่อนที่เราจะได้มาอยู่ในเอฟคลับด้วยกัน

    “เธอจำได้ไหม ตอนนั้นที่ฉันย้ายมาจากอเมริกาใหม่ๆ เราสองคนตัวติดกันมากเลย” ฟานี่พูดขึ้น

    “ใช่ ฉันน่ะอยู่กับเธอมากกว่าคริสตัลซะอีก” ฉันหัวเราะ

    “แต่ก็มีอยู่ช่วงนึง ที่เธอเข้าไปเป็นเอฟคลับก่อน” ฉันได้รับการชวนเข้าเป็นสมาชิกคลับก่อนทิฟฟานี่สองเดือนค่ะ ในช่วงนั้นฉันต้องไปซ้อมร้องเพลง ซ้อมเต้น จนไม่ค่อยได้เจอกับทิฟฟานี่ แต่เราก็กลับมาสนิทกันอีก... มากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เมื่อทิฟฟานี่เองก็ได้รับการชวนให้มาเข้าคลับด้วยเหมือนกัน

    “ตอนนั้นน่ะ... ฉันเหงามากเลยที่ไม่มีเธอ จีอาก็เลยหาเพื่อนคุยมาให้... ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเขาเป็นใคร เพราะเราคุยกันผ่านเว็บแชท ฉันน่ะนอนไม่หลับจนถึงตีสองตีสาม แล้วเขาก็มักจะมาออนไลน์ช่วงนั้น เราเลยได้คุยกันทุกวัน”

    “แล้วยังไงต่อ?” ฉันกระตุ้นให้ฟานี่เล่าต่อไป

    “...ฉันขอเบอร์โทรเขา แล้วเขาก็ให้มานะ แต่ฉันไม่กล้าโทรไปหรอก เราเริ่มส่งข้อความหากันบ่อยๆ แล้วจู่ๆวันนึงเขาก็โทรมา” ทิฟฟานี่ถอนหายใจยาว “เขาบอกฉันว่าอย่าตกใจนะ เขาเป็นไอดอล แล้วเขาก็อยากเจอฉันมาก เขาขอให้ฉันไปหาที่รายการเพลง แล้วทำตัวเป็นแฟนคลับ พวกเราเจอกันเป็นครั้งแรก แล้วพอการแสดงจบ เขาก็หนีมาเจอฉันที่สตูดิโอพร้อมกับวิกผมประหลาดๆ เขาสวมแว่นดำด้วยนะ แล้วนั่นก็เป็นเดทครั้งแรกของเราสองคน ถึงจะตลกไปหน่อยแต่ฉันก็มีความสุขมากเลย... แต่ว่าตอนนี้...”

    เสียงของทิฟฟานี่ขาดหายไป ฉันพลิกตัวแล้วดึงฟานี่เข้ามาในอ้อมกอด ลูบผมเธอช้าๆเป็นการปลอบ

    “เธอรักเขามากนี่นา”

    “เธอเองก็รักพี่คยูฮยอนเหมือนกันใช่ไหมล่ะ?” ฉันอึ้งไปกับคำถามของทิฟฟานี่

    “รักไม่รักแล้วยังไง สุดท้ายไอดอลก็คงเลือกความฝันมากกว่าความรักอยู่ดีแหละ ไม่งั้นเธอเองจะมานั่งเจ็บแบบนี้เหรอ”

    “แต่มันไม่ได้เป็นยังงั้นทุกคนหรอกสิก้า... สำหรับฉัน เค้าคนนั้นคงเลือกความฝัน แต่เธอเองก็ยังไม่รู้ไม่ใช่เหรอว่าพี่คยูฮยอนจะเลือกอะไร” ทิฟฟานี่ปาดน้ำตาออกไปจากใบหน้าแล้วส่งยิ้มให้ฉัน

    “ทำไมเราต้องเป็นตัวเลือกล่ะ? ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันขอเลือกเองดีกว่า” แม้ว่าจะต้องเจ็บปวดก็ตาม... ฉันแอบเติมท่อนสุดท้ายในใจโดยไม่ให้ทิฟฟานี่ได้ยิน แต่ไม่รู้ทำไม ฉันกลับรู้สึกเหมือนว่าทิฟฟานี่อ่านใจฉันออก ยัยนั่นดีดหน้าผากฉันเบาๆ

    “นอนได้แล้ว อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันแสดงจริงแล้วนี่”

    ฉันยิ้มรับแล้วพลิกตัวหันหลังกลับมา... หลังจบการแสดงนี้ฉันก็จะไม่ต้องทรมานใจอีก เพราะคงไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว...

    แต่นั่นจะทำให้ความเจ็บปวดจางหายไปได้จริงๆน่ะเหรอ?

     

     

    แค่เพียงแป๊บเดียว การแสดงจริงรอบจริงก็มาถึงและผ่านไปแล้วเจ็ดรอบ สำหรับวันนี้เป็นการแสดงครั้งสุดท้ายของฉันแล้ว... เมื่อม่านปิดลง ทุกสิ่งทุกอย่างจะกลายเป็นอดีต...

    รวมทั้งโจคยูฮยอนด้วย...

    หลังจากเกิดเรื่องวันนั้น เราสองคนไม่ได้พูดกันอีกเลย คยูฮยอนมีงานเยอะขึ้นเพราะวงปรินซ์กำลังเตรียมตัวสำหรับการคัมแบ๊ค ไหนจะต้องไปออกรายการวาไรตี้ต่างๆ เวลาซ้อมที่น้อยกว่าคนอื่นทำให้เขาจริงจังมากขึ้น แม้แต่เวลาที่ทุกคนพักกอง เขาก็มักจะเป็นคนเดียวที่ยืนอยู่หน้ากระจก ซ้อมร้องซ้อมเต้นไม่ยอมหยุด แม้ว่ารุ่นพี่และผู้กำกับหลายๆคนจะบอกว่าเขาเล่นดีมากแล้วก็ตาม

    ฉันพยายามจะไม่มองไปทางเขา แต่ทุกครั้งที่เขาขยับตัว หรือแม้กระทั่งถอนหายใจ ฉันกลับรู้สึกได้

    ฉันก็แค่ เคย เป็นแฟนคลับของเขา... ก็แค่ เคย หลงใหลผู้ชายคนนี้เพราะเขาเป็นดาราคนหนึ่ง

    ฉันไม่ได้รักเขา...

    เสียงปรบมือดังกึกก้องปลุกฉันขึ้นจากภวังค์ การแสดงรอบสุดท้ายจบลงแล้ว พวกเรานักแสดงทุกคนทำเซอร์เท่นคอลก่อนที่ม่านจะโรยตัวลงมา แล้วทีมงานแบ๊คเสตจทุกคนก็ปรบมือ

    “ยอดเยี่ยมมากเลยสิก้า อยากให้สาวๆทุกคนได้มาดูเธอจัง”

    “ก็พักนี้งานยุ่ง เลยแบ่งทีมมาดูกันค่ะ วันนี้ฮโยยอนกับซูยองก็มา” พูดยังไม่ทันขาดคำ สองคนนั้นก็เดินเข้ามาพลางโค้งคำนับทักทายสตาฟฟ์คนอื่นๆ ที่มีสิทธิ์เข้ามาถึงหลังเวทีได้เนี่ย เพราะฉันขอบัตรสตาฟฟ์ไปแขวนคอสองคนนั้นมาก่อนแล้วค่ะ

    “อ้าว พี่ก็มาเหมือนกันเหรอคะ?” ฮโยยอนทักท่านประธานตลอดกาลของเราที่ยิ้มกว้างเหมือนตัวเองชนะโกลเด้นดิสค์

    “พี่มาทีหลัง ไม่ได้ดูตั้งแต่ต้นหรอก แต่ว่าไม่ได้มาคนเดียวนะ ^^” พี่โบอายิ้มอย่างมีเลศนัย แล้วโดยที่ฉันไม่ทันได้สังเกตเลย ใครบางคนก็เข้ามาปิดตาฉันไว้

    “ทาดา~ ทายซิใครเอ่ย?”

    “ธันเดอร์!” ฉันดึงมือเขาออกแล้วหันไปเห็นรอยยิ้มกว้างของเจ้าเด็กนี่ ก่อนจะมะเหงกหัวไปทีนึง “นี่! นายโดดเรียนมาใช่ไหม? กล้าดียังไงหา!?

    “โอ๊ยๆ! อย่าสิสิก้า ก็เธอให้บัตรพี่ดาราไปสองใบไม่ใช่เหรอ ยัยพี่บ้าก็เลยลากฉันมาดู แต่เริ่มเรื่องไปนิดเดียวก็ต้องไปทำงานต่อแล้ว เหลือแต่ฉันนี่แหละ ดีนะที่เจอพี่โบอาไม่งั้นเข้ามาหลังเวทีไม่ได้เลยนะเนี่ย” ธันเดอร์ขยายความก่อนจะถอนหายใจ ฉันกับพี่โบอาและสาวๆหัวเราะขำแล้วหันไปแนะนำให้เด็กนี่รู้จักกับซูยองและฮโยยอน แต่เจ้าเด็กนี่กลับชะเง้อคอมองนู่นนี่ไปทั่ว ไม่ได้สนใจมองหน้าเพื่อนฉันเลยสักนิด -*-

    “นี่ ปาร์คซังฮยอน มองหาอะไรของนายมิทราบยะ”

    “หาพระเอกสุดหล่อของเธอไง โจคยูฮยอนน่ะ”

    “หัดดูสูจิบัตรบ้างสิยะ พระเอกของรอบนี้คือพี่เจย์ ไม่ใช่ตานั่นซักหน่อย” แค่ได้ยินชื่อเขา หัวใจของฉันก็กระตุกวูบแล้ว...

    “อันนั้นรู้แล้วน่า แต่ว่าฉันเห็นหมอนั่นมานั่งดูนะ รู้สึกจะมากับคิมคิบอม ฉันนึกว่าเขาจะมาเชียร์เธอซะอีก” มาเชียร์ฉันงั้นเหรอ? เป็นไปไม่ได้มั้ง? แล้วทำไม... ทำไมเขาถึงไม่เข้ามาหลังเวทีล่ะ

    “จะว่าไปคิบอมก็บอกฉันว่าจะมาวันนี้เหมือนกันนะ” พี่โดบอาเสริมอีกแรง หรือว่าเขาจงใจมาดูการแสดงสุดท้ายของฉัน ทำไมล่ะ?

    ...ไม่มั้ง? จริงๆแล้วเขาอาจจะมาเชียร์คนอื่น ใช่สิ พี่คิมบอมแรน่าจะรู้เรื่องนี้ ฉันไปถามเขาดีกว่า

    ฉันทิ้งธันเดอร์ให้อยู่กับสองสาวเอฟคลับและพี่โบอา ก่อนจะปลีกตัวเดินแยกไปอีกทางที่เหล่าสามทหารเสือและทีมงานยืนคุยกันอยู่ พี่บอมแรหันมาหาฉันทันทีเมื่อฉันเดินเข้าไป แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร พี่เค้าก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน

    “เธอมาก็ดีแล้วเจสสิก้า” พี่บอมแรดันหลังฉันเข้าไปในวง ทุกคนดูมีสีหน้าเป็นกังวล มีเรื่องอะไรกันนะ?!

    “ดาน่าเพิ่งประสบอุบัติเหตุตกเวทีจากไลฟ์รายการเพลงวันนี้ เส้นเอ็นข้อเท้าขาด แค่จะยืนยังทำไม่ได้เลย” รองผู้กำกับพูดขึ้นมา... ถ้าพี่ดาน่าเล่นไม่ได้ งั้นก็หมายความว่า...

    “พรุ่งนี้เธอต้องเล่นคู่กับคยูฮยอนนะ”


             “ไหวมั้ยเนี่ย นายน่ะ” คิบอมถามขึ้นมา นี่สีหน้าผมแย่ขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย? โอเคผมรู้ว่าพักนี้ผมงานหนักขึ้น แต่ส่วนนึงเป็นเพราะผมแทบไม่ได้นอนเลยในช่วงที่ผ่านมา ปกติผมเองก็มีเวลานอนแค่ 2-3 ชั่วโมงต่อวันอยู่แล้ว แต่พักนี้กลับมีเรื่องที่ทำให้ผมหลับไม่ลงอีก...

    น้ำตาของเจสสิก้า...กับคำที่เธอพูดว่าเกลียดผม

    ทำไมมันถึงเจ็บเข้าไปในใจทุกทีเลยนะ?

    ผมไอออกมา ก่อนจะคว้าขวดน้ำที่เสียบไว้ข้างๆมาดื่ม คิบอมส่งยามาให้อย่างรู้หน้าที่ก่อนจะเอื้อมมือมาแตะหน้าผมเบาๆ

    “นายเป็นไข้นี่”

    “อือ เดี๋ยวก็หาย”

    ~ตี่ ดี ดี๊ ติ๊ด ตี~

    “รับให้หน่อย” ผมโยนโทรศัพท์ตัวเองให้คิบอม เพราะเห็นว่าสตาฟฟ์จากละครเวทีโทรมา ไม่แน่ใจว่าสภาพเสียงตัวเองจะดูดีพอเลยไม่อยากรับ คิบอมดูเหมือนจ่ะอานใจผมออก หมอนั่นเลยไม่ได้พูดอะไรนอกจากกดรับให้

    “สวัสดีครับ ผมคิบอมนะครับ... อา คยูฮยอนนี่หลับอยู่ครับ มีเรื่องด่วนอะไรรึเปล่าครับ?... งั้นเหรอครับ ผมจะบอกเขาให้... ขอบคุณครับ” คิบอมวางสายอย่างรวดเร็วแล้วยื่นโทรศัพท์คืนมาให้ผม

    “ว่าไง?”

    “พี่ดาน่าบาดเจ็บจากไลฟ์วันนี้ พรุ่งนี้จะขึ้นแสดงรอบสุดท้ายไม่ได้... นายต้องเล่นคู่กับเจสสิก้าแทน”

    ผมชะงัก หันไปมองหน้าคิบอมอย่างไม่อยากจะเชื่อ แล้วผมก็เอามือตบหน้าผากตัวเอง

    “เวรแล้วไง เด็กนั่นแม้แต่หน้าฉันตอนนี้ยังไม่อยากมองเลย”

    “ก็นายไปทำอะไรเค้าไว้ล่ะ เล่นควงปาร์คบอมไปอวดยังงั้น เป็นใครก็ต้องของขึ้นเป็นธรรมดา” คิบอมขยี้หัวผม

    “เฮ้ย ฉันไม่ได้เป็นคนชวนนะ รายนั้นเค้ามาเอง แถมเราก็เคลียร์กันไปแล้วด้วย”

    “นายเคลียร์กับพี่บอม แต่ไม่ได้พูดอะไรกับสิก้าใช่ไหมล่ะ?”

    “พูดอะไร? ฉันต้องพูดอะไร?”

    “ไอ้มักเน่ซื่อบื้อ = = ฉันหมายความว่าแกสารภาพรักกับสิก้าไปแล้วรึยัง?”

    เหมือนโดนหมัดอัปเปอร์คัตสอยปลายคาง จากที่ผมรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนผ่าวเพราะพิษไข้ ตอนนี้มันกลับยิ่งร้อนกว่าเดิม แล้วหัวสมองก็ว่างเปล่า

    “ชัดเลย แสดงว่ายัง แถมเพิ่งรู้ตัวด้วยล่ะสิ...” คิบอมตบเข่าแล้วลูบคางหัวเราะหึหึ

    “ฉัน...ฉัน...” ผมหาเรื่องเถียงมันไม่ออกจริงๆ เพราะสิ่งที่ไอ้เพื่อนบ้านี่พูดดันเป็นความจริงอย่างแรง คนหล่ออยากตายครับ!

    “แต่สิก้าเกลียดฉัน” กว่าผมจะพูดคำนี้ออกมาได้มันยากเย็นซะเหลือเกิน ต่อให้โดนแอนตี้แฟนเกลียดนับล้านมันก็ไม่เจ็บปวดเท่าคำสามคำนี้หลุดออกมาจากปากเจสสิก้า จอง

    “ไอ้มักเน่ปัญญาอ่อน แค่นี้ก็ดูไม่ออก คนในกองเค้ารู้กันทั้งนั้นแหละว่าเจสสิก้าชอบนายยังกับอะไรดี ถ้าเผื่อไม่รู้ล่ะก็นะ เจสสิก้าน่ะเป็นแฟนคลับของนายมาตั้งแต่แรก แล้วนายทำไง? ไปด่าเค้าซะสาดเสียเทเสียกับแค่ทำกาแฟหกนิดหน่อย สมควรแล้วมั้ยล่ะที่จะโดนเค้าเกลียดน่ะ” คิบอมมันร่ายเป็นฉากๆ ชนิดที่ทำเอาผมเถียงไม่ออกไปเลย หมอนี่ปกติเงียบเป็นเป่าสาก แต่บทพูดที่นี่ยิ่งกว่าโดนมันเตะก้านคออีกครับ โอเค! งานนี้มักเน่ผิดก็ได้ฟะ T^T ว่าแต่ใจความสำคัญของเรื่องที่มันพูดคืออะไรนะ? เจสสิก้าชอบผม?

    “นายพูดจริงเหรอ? นายรู้ได้ไง แน่ใจได้ไงว่าเจสสิก้าชอบฉัน?”

    “พี่โบอาน่ะนะ พาไปเลี้ยงเหล้าเข้าหน่อยก็พูดหมด - -” โอว...คิมคิบอมช่างน่ากลัว

    “ว่าไงเด็กๆ” ประตูรถตู้ที่พวกผมนั่งเปิดออก แล้วพี่ฮยอนจุงก็ก้าวขึ้นมา สีหน้าดูเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด พี่ซูมี ผู้จัดการวงของเรามองตามอย่างเป็นห่วง

    “ดูเหนื่อยๆ นะพี่ ไม่ได้ป่วยตามผมใช่ไหม?” ผมถาม

    “อาการอย่างนี้ท่าทางจะเป็นไข้ใจ” พี่ฮยอนจุงแทบสำลักน้ำก่อนหันมาถลึงตาใส่คิบอม ส่วนผม... ก็เอ๋อน่ะสิครับ

    “พี่มีแฟนเหรอ?”

    “อ่า... เรียกว่าเคยมีมากกว่า...” จำเลยของเราตอบอ้ำๆอึ้งๆ ก่อนที่คิบอมจะพูดออกมา

    “ใครเป็นคนบอกเลิกล่ะ? พี่หรือทิฟฟานี่?”

    “เฮ้ย!” พี่ฮยอนจุงร้องเสียงหลงเลยครับคราวนี้ “แกรู้ได้ยังไง?! พี่ไม่เคยบอกซักคำ”

    “ข้อแรก วันที่เจอฟานี่ครั้งแรก พี่มองเธอบ่อยมาก แล้วท่าทางก็ไม่เหมือนคนเพิ่งรู้จักกัน ข้อสอง ผมแอบเห็นพี่เดินตามฟานี่เข้าห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าไปเมื่อวันนั้น และข้อสาม เพราะผมฉลาด”

    “นายไม่ได้บอกใครเรื่องนี้ใช่ไหม?” พี่ฮยอนจุงถามอย่างจริงจัง แต่คิบอมกลับแค่ยักไหล่

    “จะพูดได้ยังไง นี่มันเรื่องของพี่... ว่าแต่ตอบมาสิ ใครบอกเลิกใคร ผมอยากรู้ ไอ้มักเน่ก็อยากรู้” อยากกดไลค์คำพูดคิบอมจังเลยแฮะ

    พี่ฮยอนจุงได้แต่ยกมือยอมแพ้แล้วเอนตัวลงพิงกับเบาะ “ฉันเองแหละ”

    “แล้วทำไมพี่ทำท่าเหมือนโดนบอกเลิกซะเอง?” ผมซักบ้าง

    “เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว พี่ถ่ายเอ็มวีงานโซโล่กับเอฟคลับ มีคนตัดสายไฟ ตั้งใจจะให้สปอตไลท์ร่วงลงมาใส่ทิฟฟานี่”

    “สโตล์กเกอร์” ผมกับคิบอมพูดขึ้นมาพร้อมกัน

    “ฉันเองก็ไม่ทันรู้เลยนะเนี่ย” พี่ซูมีพูดขึ้นมา

    “แล้วสโตล์กเกอร์รายนั้นติดต่อพี่มารึเปล่า?” ผมถามต่อ พี่ฮยอนจุงมีสีหน้าลำบากใจก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งให้คิบอม ผมชะโงกหน้ามอง... หวา... น่ากลัวแฮะ แบบนี้มันข่มขู่กันชัดๆเลยนะเนี่ย

    คิบอมเปลี่ยนไปกดดูเบอร์ของคนส่ง แต่มันกลับขึ้นเป็นไพรเวทนัมเบอร์ซะนี่

    “ผมขอมือถือพี่ไว้นะ มีอะไรก็เอาโทรศัพท์ผมไปใช้ก่อน เรื่องงานให้ติดต่อพี่ยองจุนกับพี่ซูมี คงไม่มีปัญหาใช่มั้ยครับ?”

    “จ้ะ ยังไงเรื่องงานก็ต้องผ่านพวกเราอยู่แล้ว” พี่ซูมีรับปากพร้อมรอยยิ้มอย่างเป็นกังวล

    “มาว่ากันต่อเรื่องฟานี่” นี่ผมรู้สึกไปเองรึเปล่าครับว่าวันนี้คิบอมมันพูดเยอะ? = = แต่ก็ยกบทให้มันเถอะครับ เพราะมันดันถามเรื่องที่ผมอยากรู้อยู่เหมือนกัน “พี่แน่ใจแล้วเหรอว่าการเลิกกับทิฟฟานี่จะเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด?” นั่นไง จัดไปอีกสิบแต้ม

    “ก็แล้วนายจะให้พี่ทำไง? ให้พี่ปล่อยสโตล์กเกอร์คนนั้นทำอะไรทิฟฟานี่รึไง?” พี่ฮยอนจุงตะโกนออกมาอย่างอึดอัด

    “ผมว่าพี่กลับไปคิดดูดีๆดีกว่ามั้ง” ผมพูดขึ้น “คิดให้ดีๆว่าฟานี่มีค่ากับพี่มากแค่ไหน แล้วต่อให้พี่เลิกกับเธอ ถ้าไอ้โรคจิตคนนั้นยังตามพี่อยู่ รู้ว่าพี่ลืมฟานี่ไปไม่ได้แล้วผมถามหน่อยเหอะว่าเขาจะหยุดมั้ย? พี่มัวแต่กลัวว่าคนอื่นจะทำร้ายทิฟฟานี่ แต่ผมว่าฟานี่เจ็บที่สุดก็เพราะพี่นี่แหละ”

    พี่ฮยอนจุงนิ่งอึ้งไปกับคำพูดของผม ก่อนจะหลับตาลงแล้วหยิบไอพอดออกมาฟังเพลงเงียบๆ คิบอมถอนหายใจน้อยๆแล้วหันมาทางผม

                  “พูดได้ดีนะ... แต่กรุณาเคลียร์ตัวเองให้รอดด้วย”


    พวกเรายกขโยงมาเชียร์เธอกันทั้งคลับเลยนะ!

    ข้อความจากซูยองทำให้ฉันถอนหายใจหนัก... พวกนี้ล่ะก็ พอรู้ว่าฉันจะได้เล่นกับคยูฮยอนก็จัดการเคลียร์คิวมาดูกันได้พร้อมหน้าเชียวนะ! ร้ายกาจจริงๆ!

    ไม่อยากจะบอกว่าเป็นเพราะวันนี้ฉันตื่นเต้นมาก ก็เลยรีบมาที่โรงละครก่อนเวลา นี่กว่าจะถึงเวลาเตรียมตัวก็อีกตั้งสามชั่วโมงแน่ะค่ะ แต่ถึงยังงั้นทีมงานบางคนก็มาถึงแล้ว

    ฉันเปิดประตูเดินเข้าไปในห้องพักนักแสดงแล้วก็เจอกับใครคนหนึ่งยืนหลับตาพิงล็อกเกอร์อยู่... คนที่ไม่อยากเจอที่สุด

    ฉันตั้งใจจะเดินเลี่ยงออกไปโดยทำเป็นไม่เห็นเขาอย่างที่เคย แต่ลมหายใจหนักๆนั่นกลับสะกิดใจจนฉันต้องหันกลับไปแล้วเดินเข้าไปใกล้ๆ

    “นี่นาย...” ฉันเรียก เขาลืมตาขึ้นมามองฉันนิดหนึ่ง แล้วตัวเขาก็โงนเงนจนฉันต้องรีบเข้าไปพยุงเอาไว้

    “ไม่...เป็นไร”

    “ไม่เป็นไรอะไรกันเล่า นายเป็นไข้นี่! ตัวร้อนขนาดนี้นายจะเล่นไหวได้ยังไง” ฉันทาบมือลงบนหน้าผากที่ร้อนจี๋ของเขา แต่หมอนั่นกลับดึงมือฉันมากุมไว้แล้วทรุดตัวลงนั่งกับพื้น

    “ขอร้องล่ะ... อย่าบอกใคร... ฉันต้องขึ้นเวทีวันนี้... ฉันอยากเล่นคู่กับเธอ”

    หัวใจของฉันเหมือนจะหยุดเต้น เอาอีกแล้ว... ผู้ชายคนนี้มีอิทธิพลกับหัวใจฉันมากเกินไปอีกแล้ว ฉันลุกขึ้นทุลักทุเลพยุงเขาไปนอนบนโซฟา ก่อนจะวิ่งไปรื้อกล่องปฐมพยาบาล... เจอแล้ว ยากับแผ่นเจลลดไข้ ฉันป้อนยาให้เขาก่อนจะแปะเจลลดไข้ลงบนหน้าผากชื้นเหงื่อนั่นแล้วถอดเสื้อแจ็กเกตมาห่มให้เขา

    “ยังมีเวลาอีกสามชั่วโมงก่อนจะขึ้นเวที นายอยู่ในนี้ ห้ามออกไปนะ ฉันจะบอกทุกคนเองว่านายติดงาน ถ้ามีรู้ขึ้นมาว่านายป่วยล่ะก็ นายได้อดขึ้นเวทีแน่”

    “...ขอบใจนะ” รอยยิ้มจางๆของเขาแทบจะทำให้ฉันหายใจไม่ออก ฉันรีบหมุนตัวหันหลังให้เขาก่อนจะถอนหายใจอีกรอบแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมา

    “ซูยองอา... ฉันมีเรื่องจะให้พวกเธอช่วย” ฉันไม่ได้อธิบายอะไรให้สาวๆฟังเลย เพียงแค่บอกว่าฉันต้องการอะไรบ้างเท่านั้น แค่ครึ่งชั่วโมง ซูยอง แทยอน และฮโยยอนก็เข้ามาเคาะประตูห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ฉันรออยู่ด้วยความกระวนกระวาย

    “ได้ตามที่สั่งมั้ย?” ฉันรีบถามทันทีที่เปิดประตูเข้ามา

    “อื้อ” ซูยองพยักหน้าก่อนจะหลีกทางให้คุณหมอเดินเข้ามาในห้อง เพราะซูยองเคยบอกว่ามีคุณอาเป็นหมอ เพราะงั้นนี่แหละเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุดของงานนี้เลยล่ะค่ะ ฮโยยอนทำหน้าเบ้เมื่อเห็นคุณหมอค่อยๆกดเข็มฉีดยาลงไปบนแขนขาวซีดของคนป่วยที่ไม่มีแรงแม้แต่จะถาม ด้วยซ้ำ

    “สภาพแบบนี้จะไหวเหรอ?” แทยอนถามขึ้นมา

    “ต้องไหวสิ... แทยอน ช่วยแต่งหน้าให้หมอนี่ทีนะ ถ้าปล่อยให้ทีมงานแต่งให้ทุกคนต้องรู้แน่ๆว่าเขาป่วย เดี๋ยวฉันคงต้องออกไปเปลี่ยนชุดกับหาข้อแก้ตัวให้ตาบ้านี่ก่อน” ฉันพูดรัวเร็ว พลางมองคนป่วยที่ไม่มีทีท่าจะรับรู้อะไรสักนิด ให้ตายเถอะ ไม่อยากยอมรับเลย แต่ฉันเป็นห่วงเขาจริงๆ แล้วฉันก็อยากเล่นคู่กับเขาจริงๆ

    “ไปเถอะ ไม่ต้องห่วงทางนี้หรอก” ซูยองที่ดูเหมือนจะอ่านใจฉันออกหันมาบีบไหล่ฉันเบาๆ ฉันพยักหน้ารับก่อนจะก้าวออกไปจากห้อง

    ขอแค่ครั้งเดียว... ต่อให้ฉันต้องโดนเขาทิ้ง แต่ก็ขอแค่ครั้งเดียว

    ให้ฉันได้ยืนบนเวทีคู่กับเขาซักครั้งเดียวก็พอ...

     

     

    “พี่ฟานี่ เร็วๆเข้า” ยัยน้องรองหันมากวักมือเรียกฉันที่มัวแต่งุ่มง่ามเก็บข้าวของที่กระจัดกระจายเกลื่อนโต๊ะเต็มไปหมด

    “อีกนาทีเดียวฉันจะไม่รอแล้วนะ” เสียงยูริดังขึ้นมาสมทบ

    “อ๊าย! ก็พวกเธอเล่นรื้อนิตยสารของฉันซะเละหมด จะไม่ให้เก็บได้ยังไงล่ะ!

    ที่ฉันต้องลนอยู่นี่ก็เพราะยัยลิงสองตัวที่หันมาจิกทุกๆห้าวินาทีเนี่ยแหละค่ะ สองคนนี้น่ะรื้อนิตยสารแฟชั่นของฉันออกมาอ่านแล้วก็กองเต็มโต๊ะไปหมด พอได้เวลาที่สิก้าใกล้แสดงก็มาเร่ง ฮึ่ม -*- มันน่าจับตีก้นนักเชียว

    ฉันรวบๆหนังสือที่เหลือยัดใส่ชั้นอย่างไม่สนใจจะเรียง แต่พอหันไปที่ประตูกลับว่างเปล่า นี่ฉันโดนทิ้งเหรอเนี่ย!

    ควอนยูล! อิมยุนอา! จำเอาไว้เลยนะ!

    ฉันเปิดประตูออกไปแต่แล้วก็ต้องชะงักเพราะคนที่ยืนรออยู่หน้าห้อง กลับเป็นคนที่ฉันไม่คิดเลยว่าเขาจะมายืนอยู่ตรงนี้

    “ว่าไง” พี่คิบอมยิ้มกว้างมองฉันที่ได้แต่ทำหน้างง

    “พี่รู้ได้ยังไงคะว่า...”

    “นี่น่ะ...” พี่เค้าโชว์ตั๋วละครของเจสสิก้าให้ฉันดู “ตั๋วที่นั่งของเธอใบนี้ ซันนี่กับซอฮยอนเอาให้พี่มา... แต่คิดว่า มันคงไม่จะเป็นแล้วล่ะมั้ง?” พูดจบพี่เค้าก็ฉีกตั๋วออกต่อหน้าต่อตา เล่นเอาฉันอ้าปากค้าง

    “พี่คะ!

    “เธอมีธุระที่สำคัญมากกว่า และต้องมากับพี่ ทิฟฟานี่ ฮวัง”

    ว่าแล้วพี่คิบอมก็ลากฉันเดินตรงไปทางลิฟท์ ด้วยอารมณ์ประมาณว่ายังตั้งสติไม่ได้ กว่าจะรู้ตัวอีกที ฉันก็มานั่งอยู่ตรงเบาะข้างคนขับที่มีคิมคิบอมแห่งวงปรินซ์เป็นคนขับซะแล้ว

    “พี่จะพาฉันไปไหนคะ?” ฉันถามขึ้นมา

    “ก็แค่นั่งรถเล่น ^^” พี่คิบอมพูดพร้อมรอยยิ้ม แล้วเขาก็เอื้อมมือไปเปิดวิทยุ จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีกและดูเหมือนว่าจะไม่ต้องการให้ฉันพูดอะไรด้วย ฉันเลยได้แต่มองวิวสองข้างทาง ป่านนี้การแสดงของเจสสิก้าจะเริ่มรึยังนะ? เสียดายจังที่ไม่ได้ไปดู สิก้าอุตส่าห์ได้เล่นกับพี่คยูฮยอนทั้งที...

    เสียงใสๆของดีเจชื่อดังอย่างอีซองมินดังขึ้นมา เขากำลังเป็นดีเจที่ฮอตมากๆตอนนี้ ก็นอกจากจะพูดเก่งแล้ว เขายังหน้าตาดี แล้วก็ร้องเพลงเพราะมากอีกด้วยค่ะ ไม่แปลกหรอกที่สาวๆจะกรี๊ดเขาน่ะ

    “...เอาล่ะ ทุกคนครับ ช่วยกันปรบมือต้อนรับเพื่อนซี้ของผม คิมฮยอนจุงแห่งวงปรินซ์!” ลมหายใจฉันสะดุดกับเสียงที่ดังออกมาจากวิทยุนั่น ฉันหันกลับไปมองหน้าพี่คิบอมอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาแล้วก็เห็นรอยยิ้มเล็กๆบนใบหน้า

    “นี่เป็นแผนของพี่ใช่ไหมคะ?” ฉันก็ไม่อยากจะปรี๊ดหรอกนะ แต่ว่านี่มันเกินไปแล้ว ฉันเอื้อมมือกดปิดวิทยุทันที แล้วพี่คิบอมก็เหยียบเบรกซะแรงจนฉันต้องยึดเบาะไว้แน่น

    “พี่ยอมรับนะว่ามันเป็นแผน” พี่เค้าพูดขึ้นมา “แต่ถึงอย่างนั้นมันก็หมายความว่าพี่ฮยอนจุงพยายามจะทำอะไรบางอย่างเพื่อเธอไม่ใช่เหรอ? รู้ทั้งรู้อย่างนั้นเธอก็ยังจะใจดำ ไม่ฟังสิ่งที่เขาจะพูดอีกงั้นเหรอ”

    หึ... ใจดำ ใครกันแน่ที่ใจดำ... เขาไม่ใช่เหรอที่เป็นฝ่ายบอกเลิก เขาจะรู้บ้างไหมว่าฉันเจ็บปวดขนาดไหน...

    “ทิฟฟานี่... เรื่องบางเรื่องมันวัดแค่คำพูดไม่ได้หรอกนะ” พี่คิบอมถอนหายใจ “พี่พูดไปเธออาจจะไม่เชื่อ... แต่การเป็นฝ่ายต้องเอ่ยคำว่าเลิกกันทั้งๆที่ตัวเองยังรักคนๆนั้นอยู่เต็มหัวใจน่ะ มันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดมากกว่าโดนบอกเลิกซะเองอีก”

    ฉันมองหน้าพี่คิบอม... เมื่อกี้เขาต้องการจะสื่ออะไรนะ? แล้วโดยที่ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาก็มองไปที่วิทยุ... ฉันเอื้อมมือสั่นเทาไปเปิดมันขึ้นมาอีกครั้ง

    “—นะครับ ผมก็ไม่รู้ว่าถึงตรงนี้เธอจะยังฟังอยู่รึเปล่า” เสียงเศร้าๆของพี่ฮยอนจุงดังขึ้นมา แค่เสียงของเขา... แค่ได้ยินเสียงของเขาหัวใจฉันก็เต้นแรง พี่คิบอมเอื้อมมือไปเปิดเสียงให้ดังขึ้นอีกนิด

    “แต่ผมก็ยังอยากจะหวังให้เธอฟัง แม้มันจะดูเหมือนคำแก้ตัว แต่มันมีคำถามหนึ่งที่คาใจผมตลอดและผมอยากให้เธอรู้คำตอบ... ระหว่างความฝันกับความรัก... แน่นอนผมคงต้องเลือกความฝัน”

    “แต่ผมหวังว่าสักวัน ผมจะเจอคนคนนึงที่รักผม เข้าใจผม แล้วพร้อมที่จะก้าวเข้ามาอยู่ร่วมกับความฝันของผม เดินไปพร้อมๆกัน... อาจจะฟังดูเห็นแก่ตัวนะครับ แต่ในเรื่องความรักเนี่ย ฮันรยูสตาร์อย่างคิมฮยอนจุงก็เป็นแค่ผู้ชายธรรมดาโง่ๆคนนึง ที่อยากจะปกป้องผู้หญิงที่เขารัก แม้ว่าจะทำเรื่องไม่เป็นเรื่องลงไปก็ตาม...”

    “ย่าห์... นี่มันโรแมนติกมากๆเลยนะฮยอนจุงอา” ดีเจซองมินเปรยขึ้นมา “เอาล่ะครับ แล้วก็วันนี้คุณฮยอนจุงได้เตรียมเพลงมาให้เธอคนนั้นด้วย ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากเลยนะเนี่ย ที่คุณฮยอนจุงอุตส่าห์มาพูดเปิดเผยทุกอย่างกับเราเป็นรายการแรก ผมหวังว่าสาวน้อยที่กุมหัวใจเจ้าชายคนนี้จะยอมให้โอกาสกับเขาอีกสักครั้ง... เพลง One More Time ครับ” 

    내가 몰랐었나봐 너를 몰랐었나봐

    ฉันคิดว่าเธอเองคงไม่ทันรู้สึก ว่าฉันนั้นรู้ตัว

    이렇게 더 가까이에 있는데

    ว่าเราสองคนยืนใกล้กันมากขนาดนี้

    정말 소중한 것은 사라져간 후에야

    เราคงปล่อยสิ่งสวยงามเหล่านี้เลยผ่านไปไม่ได้

    알수 있는가봐 지금의 너처럼

    ตอนนี้เธอคงจะเข้าใจฉันแล้วใช่ไหม

     

    미안해 니가 흘린눈물 알지 못해

    ขอโทษนะ ที่ไม่เคยรู้เหตุผลเบื้องหลังน้ำตาของเธอเลย

    미안해 이제서야 니앞에 와서

    ขอโทษ ตอนนี้ฉันยืนอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว

     

    One More Time, One More Time

    อีกสักครั้ง อีกสักครั้ง

    다시 한번 내곁으로 와줄순 없겠니

    ได้โปรดช่วยกลับมายืนเคียงข้างฉันอีกสักครั้งได้ไหม

    언제나 너만을 사랑해

    ฉันจะรักแค่เธอตลอดไป

    늦은 이 후회만큼 더 사랑할께

    และจะไม่มีวันเสียใจ ฉันจะรักเพียงแค่เธอ

     

    เสียงเพลงในวิทยุค่อยๆจางหายไป พร้อมกับน้ำตาของฉันที่ไหลลงมาเป็นทาง...

     

     

    เสียงปรบมือดังกระหึ่มจากผู้คนในฮอลล์ดังขึ้นเมื่อม่านถูกชักปิดลงชั่วคราว

    คยูฮยอนหมุนตัวกลับมาพร้อมกับพี่ๆสามทหารเสือ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ดูเป็นคนละคนกับเมื่อกี้อย่างไม่น่าเชื่อ ไม่รู้ว่าจะขอบคุณใครดีระหว่างแทยอนที่แต่งหน้าให้ซะเนี้ยบ หรือว่าคุณอาหมอของซูยองที่รีบรักษาจนเห็นผลได้ทันตาขนาดนี้ แต่ที่น่าทึ่งที่สุดคือเจ้าตัวนั่นแหละ การแสดงของเขายังคงออกมายอดเยี่ยมไร้ที่ติ ดาร์ตาญังยังคงดูร่าเริง มีชีวิตชีวา มุ่งมั่นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความฝันจนฉันไม่อาจละสายตาจากเขาได้เลย และแม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่การแสดงตามบท แต่ทุกครั้งที่เราต้องกอด จับมือ หรือบอกรักกัน หัวใจฉันก็เต้นแรงทุกที

    “องก์สุดท้ายแล้วนะ พยายามเข้า!” พี่บอมแรกระซิบ ก่อนที่ม่านจะเปิดออก... มันคือฉากที่ฉันเคยเป็นคู่ซ้อมให้เขาก่อนหน้านี้...

    รุ่นพี่ที่รับบทเป็นลูกน้องของมิลาดีดึงตัวฉันออกไปหน้าม่าน ตามบทคอนแสตนซ์จะต้องโดนจับเป็นตัวประกัน ฉันแทบไม่ต้องแสดงอะไรเลย แต่ฉันรู้ว่าองก์นี้จะเป็นงานยากที่สุดของเขา เพราะบล็อกกิ้งการต่อสู้ของฉากนี้ถือเป็นไฮไลท์ของละคร และมันยากมหาโหดเลยทีเดียว

    คยูฮยอนปาดเหงื่อ ดวงตาของเขามองคู่ต่อสู้ก่อนจะเดินวนเป็นวงกลมเพื่อหยั่งเชิง แล้วจู่ๆฝีเท้าของเขาก็โงนเงน

    หัวใจฉันหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม

    เขากลับมายืนตัวตรงได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วฉากต่อสู้ก็เริ่มขึ้น

    ระหว่างนั้นหูของฉันไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกแล้ว สายตาของฉันจับจ้องเขาทุกฝีก้าว สวดภาวนา—หวังเอาไว้หมดใจให้เขาทำสำเร็จ ไม่มีอะไรผิดเพี้ยนไปจากตอนซ้อมเลย เขาสอดดาบตวัดดาบของมิลาดีแล้วเขวี้ยงไปอีกทาง ชัยชนะของดาร์ตาญัง และก็เป็นชัยชนะของโจคยูฮยอนด้วย

    “ดาร์ตาญัง!

    ฉันกระโดดเข้าสู่อ้อมกอดเขาทันทีที่ตัวเองเป็นอิสระ วินาทีนี้เหลือแค่เราสองคนบนเวที ฉันมองใบหน้าชื้นเหงื่อกับลมหายใจหอบถี่ของเขาด้วยหัวใจที่ปวดร้าว รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้นมาแล้วมืออุ่นๆก็โน้มให้ฉันซบลงกับไหลกว้าง น้ำตาไหลมาจากไหนไม่รู้ พร้อมๆกับที่เสียงเพลงดังขึ้น

    เหมือนในบทสินะ... เมื่อเพลงนี้จบ เราจะต้องจากกัน...

    คอนแสตนซ์ต้องแต่งงาน ส่วนดาร์ตาญังเข้าพิธีสาบานตน

    เหมือนกับฉันที่ต้องกับไปสู่ชีวิตธรรม และเขาต้องกลับไปเป็นไอดอลที่อยู่ไกลแสนไกล

    เสียงเพลงเงียบลงเมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ว่าน้ำตาของฉันไหลไม่หยุด คยูฮยอนถอดหมวกออก มืออีกข้างที่ว่างช้อนใบหน้าฉันให้สบตากับเขาก่อนจะพูดสิ่งที่ไม่เคย ไม่มี และไม่มีวันปรากฏอยู่ในบท

    “ฉันรักเธอ”

    ณ วินาทีนั้น ริมฝีปากอุ่นก็โน้มลงมา ฉันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าหมวกหลุดจากมือเขาไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่าคนดูปรบมือเกรียวกราวขนาดไหน ฉันรับรู้แค่ว่ารสจูบหอมหวานนี่จะเป็นจูบแรกและจูบสุดท้ายระหว่างฉันกับผู้ชายคนนี้

    ทันทีที่การแสดงนี้สิ้นสุดลง...

     

     

    “ดีแล้วเหรอที่พูดออกไปแบบนั้นน่ะ?” ซูมีพูดขึ้นมาในขณะที่ผมกดปุ่มส่งข้อความจากมือถือของคิบอมเข้าไปที่เบอร์ทิฟฟานี่... ผมขอแก้ตัวด้วยการไปเจอกับเธอที่นัมซานทาวเวอร์อีกครั้ง

    “แล้วแน่ใจได้ยังไงว่าเธอจะมา? แน่ใจได้ยังไงว่าแฟนคลับจะไม่เอาเรื่อง?” ซูมียังคงส่งคำถามต่อมาเรื่อยๆ

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด... แต่ผมจะไม่ทิ้งฟานี่ไปไหนอีกแล้ว” ผมตอบเธอไป ซูมีดูเหมือนจะเร่งความเร็วขึ้น

    “รักเธอมากเลยสินะ” ผมไม่ตอบ แต่กลับมองผ้าพันคอในมือที่ผมถือติดมาด้วย... ผ้าพันคอสีเทาที่มีปมด้ายขึ้นมาเต็มไปหมด ก็เพราะว่าคนถักถักไม่เป็น แต่แค่คิดภาพคนอย่างทิฟฟานี่นั่งหัวยุ่งกับไหมพรมเป็นสิบๆก้อนเพื่อถักเจ้านี่ให้ผม แค่นั้นก็ทำให้ผ้าพันคอผืนนี้มีค่ามหาศาลแล้วล่ะครับ

    “ซูมี คุณขับเร็วเกินไปแล้วนะ มันอันตราย” ผมเตือน เมื่อเห็นหน้าปัดบอกอัตราความเร็วพุ่งไปที่ 140 กม./ชม. แล้ว

    “ยิ่งอันตรายสิยิ่งดี” เธอพูดพร้อมกับเสียงหัวเราะน้อยๆ เสียงหัวเราะที่ทำให้ผมขนลุกขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ

    “ฉันเคยเป็นเด็กฝึกหัดในสังกัดเดียวกับเธอ... มาก่อนเธอด้วยซ้ำ” จู่ๆซูมีก็เริ่มพูดขึ้นมา เรื่องนั้นผมรู้ครับ จริงๆแล้วการที่ใครสักคนออดิชั่นผ่าน ไม่ได้หมายความว่าคนๆนั้นจะได้เป็นศิลปินเสมอไป ดูอย่างซูมีที่เคยถูกวางตัวให้อยู่ในวงไอดอล แต่พอสมาชิกที่เป็นตัวหลักขอถอนตัวออกไป โปรเจคต์ของเธอก็ถูกยุบ ถึงยังงั้นท่านประธานก็ไม่เคยทิ้งเด็กในสังกัด มีหลายคนผันตัวออกไปเป็นนักแสดง ไม่ก็ดีเจ ในขณะที่ซูมีก้าวเข้ามาทำงานเบื้องหลังด้วยการเป็นหนึ่งในผู้จัดการวงให้พวกเรา

    “ฉันเกลียดเธอมากในตอนแรก ที่เธอเข้ามาทีหลัง แต่กลับได้รับความสนใจมากกว่า แต่พอฉันเห็นความสามารถของเธอ ฉันก็รู้ว่าทำไม ฉันอุตส่าห์ยอมรับ แล้วสุดท้ายก็เปลี่ยนมาเป็นชื่นชม”

    ผมมองเธออย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ตอนนี้ความเร็วเพิ่มขึ้นอีกแล้ว แต่ซูมีก็ยังคงพูดต่อไป

    “ฉันปฏิเสธคำชักชวนจากค่ายอื่นๆ ฉันทิ้งความฝันของตัวเอง เพียงเพื่อจะอยู่ข้างเธอ คอยสนับสนุนเธอ แต่แล้ว... เธอกลับไปรักกับยัยเด็กนั่น!” ซูมีตวาดอย่างโกรธเกรี้ยว เสี้ยววินาทีนั้นเหมือนจิ๊กซอว์ทุกชิ้นถูกวางเข้าที่ของมัน ผมรู้แล้ว... ซูมีคือสโตล์กเกอร์คนนั้น เธออยู่ใกล้ขนาดนี้ถึงได้รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับผม ถึงได้เข้าใกล้ตัวผมและทิฟฟานี่ได้อย่างง่ายดาย แต่แทนที่ผมจะกลัว ภาพรอยยิ้มสดใสของทิฟฟานี่กลับปรากฏในหัวสมอง แล้วผมก็โกรธที่เธอคิดจะแยกเราสองคนออกจากกัน

    “เธอทำได้ยังไง!” ผมตะโกนใส่เธอ “เธอคิดจะฆ่าทิฟฟานี่ที่ไม่เกี่ยวข้องด้วยเลย เธอทำได้ยังไง!

    “ก็เพราะเธอรักนังนั่น! เธอไม่มีสิทธิ์เป็นของใครทั้งนั้นนอกจากฉัน!!!” ซูมีกรีดร้อง เหมือนกับว่าเธอจะเสียสติไปแล้ว

    “หยุดรถ ฉันจะลง!” ผมสั่งเธอ แต่เธอกลับหัวเราะด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น

    “ไม่ได้หรอก... ฉันตัดสายเบรกไปแล้ว ถ้าเธอไม่ได้เป็นของ ใครก็ไม่มีสิทธิ์ทั้งนั้น เราจะตายไปด้วยกัน... เราจะตายไปด้วยกัน คิมฮยอนจุง!!” แล้วเสียงหัวเราะน่ากลัวของเธอก็ดังก้อง ความเร็วของรถตอนนี้อยู่ที่ 170 กม./ชม.

    ผมมองหน้าเธออย่างไม่อยากเชื่อ แล้วผมก็มองโทรศัพท์ในมือที่สั่นขึ้นมา

     

    ฉันจะรอพี่นะคะ

     

    ผมหลับตาลง... โอเค อย่างน้อยมันก็คงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมต้องผิดนัดกับฟานี่

    ผมเอื้อมมือไป... แล้วกระชากเบรกมือขึ้นทันที

    รถหมุนคว้าง เสียงกรีดร้อง เสียงแตรดังลั่น ตามมาด้วยการกระแทกอย่างแรง แล้วผมก็ไม่รับรู้อะไรอีก...


    “ฟานี่!” ใบหน้าที่คุ้นเคยหันมาตามเสียงเรียก ก่อนที่ทิฟฟานี่จะวิ่งตรงเข้ามากอดฉันทั้งน้ำตา

    “อาการเป็นยังไงบ้าง?” คยูฮยอนรีบเอ่ยถามพี่คิบอมกับพี่ยองจุน มือเย็นเยียบของเขายังจับมือฉันไว้แน่น ขณะที่มืออีกข้างของฉันได้แต่ลูบหลังทิฟฟานี่ที่ร้องไห้ไม่หยุด ทันทีที่ม่านปิดลง สตาฟฟ์หลังเวทีก็รีบเข้ามาบอกพวกเราเรื่องอุบัติเหตุ พวกซันนี่ที่รู้เรื่องจากพี่คิบอมก็เลยมารับฉันกับคยูฮยอนหลังเวทีแล้วรีบรุดมาที่โรงพยาบาล

    “โคม่า... กว่าจะมาถึงนี่ก็เสียเลือดไปมากแล้ว นี่ฟานี่ก็เพิ่งไปให้เลือดมา” ฉันหันกลับไปมองฟานี่ที่ยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้น  แขนของเธอมีพลาสเตอร์ปิดไว้อยู่ แถมสีหน้าก็ดูซีดจนน่าเป็นห่วง

    “พี่เค้าเลือดกรุ๊ปอะไรคะ?” ยุนอาถาม

    “กรุ๊ปบีครับ” พี่คิบอมตอบ แล้วสาวๆกรุ๊ปบีอย่างซันนี่ กันยุนอาก็พยักหน้าน้อยๆ ซูยอง แทยอน ที่มีเลือดกรุ๊ปโอก็เดินตามสองคนนั้นไปเหมือนกัน

    “ฉันเองก็กรุ๊ปบี... ฉันจะไปให้เลือดด้วย”

    “เธออยู่นี่แหละ” มักเน่วงปรินซ์พูดโดยไม่มองหน้าฉัน เขาก็ยังคงไม่ปล่อยมือฉัน ทิฟฟานี่เองก็ยังคงกอดฉันแน่น ยูริบีบไหล่แล้วส่งยิ้มมาให้

    “อยู่เป็นเพื่อนฟานี่เถอะนะ ตั้งสี่คนคงจะพอแล้วล่ะ”

    “แล้วนี่... ประธานบริษัท... คุณลุงของพี่ซันนี่รู้ข่าวแล้วรึยังคะ?”

    “รู้แล้วครับ กำลังคุยกับทีมแพทย์ แล้วก็พ่อของพี่ฮยอนจุงอยู่” พี่ยองจุน ผู้จัดการวงปรินซ์เป็นคนตอบคำถามของซอฮยอน แล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีใครเปิดปากพูดอะไรอีก คยูฮยอนยอมปล่อยมือฉันแล้วเดินไปนั่งกับพี่คิบอมอย่างอ่อนแรง ส่วนฉันทำได้แค่เพียงปลอบทิฟฟานี่เงียบๆ ยูริ ซอฮยอน และฮโยยอนขอตัวไปดูกลุ่มสาวๆที่ห้องบริจาคเลือด แต่แค่ครู่เดียวผู้ชายในชุดสูทคนหนึ่งก็เดินมาตามคิบอม คยูฮยอนและพี่ยองจุนไป เหมือนว่าท่านประธานจะเรียกพบอะไรซักอย่าง

    “บอกท่านประธานด้วยว่าฉันไม่ไป เหนื่อย จะอยู่นี่แหละ” คยูฮยอนยื่นคำขาด พี่คิบอมถอนหายใจเล็กๆ หมอนี่แม้แต่ในสถานการณ์แบบนี้ก็ยังทำตัวออนท็อปเสมอต้นเสมอปลาย ให้มันได้ยังงี้สิ

    “ฉันก็กำลังจะบอกให้นายอยู่ตรงนี้แหละ ฝากด้วยล่ะ” พี่คิบอมตบไหล่เขาเบาๆ ก่อนจะเดินออกไป ยังไม่ทันที่สองคนนั้นจะคล้อยหลัง หมอนั่นก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินมานั่งข้างๆ สีหน้ายังดูซีดๆ ฉันเกือบลืมไปเลยแฮะว่าเขาไม่สบายอยู่ พอเห็นสายตาของฉันเขาก็ยิ้มขึ้นมานิดหน่อย

    “ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไม่เป็นไร”

    “ใครห่วงนายกันล่ะ! ฉันก็แค่- -

    “ชู่ว!” เขาเอานิ้วแตะปาก แล้วมองไปทางทิฟฟานี่ที่เผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ฉันถอนหายใจก่อนจะดึงตัวทิฟฟานี่ให้ลงมาหนุนตักฉันแทน... ฉันลูบผมเธอเบาๆ ทิฟฟานี่ ฮวังคนที่มีตายิ้มสดใสคนนั้นหายไปไหนแล้วนะ

    “ปล่อยให้หลับไปแบบนี้ซักพักเถอะ ตื่นมาแล้วก็คงต้องร้องไห้อีก” คยูฮยอนพูดขึ้นมา สายตาที่เขามองฟานี่ดูเหมือนจะเข้าใจความทุกข์ที่เพื่อนของฉันแบกรับไว้ ใช่สิ... เขาก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน พี่ฮยอนจุงก็เหมือนพี่ชายแท้ๆของเขาคนหนึ่ง... ถ้าหากว่าจะต้องเสียเขาไป...

    “พักนี้เธอขี้แยจังนะ” ฉันเพิ่งรู้ตัวว่าร้องไห้ก็ตอนที่มืออุ่นๆนั่นเอื้อมมือมาปาดน้ำตาให้

    ฉันเจ็บปวดที่ได้แต่มองทิฟฟานี่ร้องไห้ และเจ็บปวดที่รู้ว่าคนสองคนข้างๆฉันตอนนี้กำลังปวดร้าวมากแค่ไหน แต่ฉันกลับช่วยอะไรไม่ได้เลย

    คยูฮยอนไม่ได้พูดอะไร เขาเอนตัวลงมาซบไหล่ฉัน รู้สึกได้เลยว่าตัวเขายังร้อนอยู่ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ฉันสัมผัสได้คือหยดน้ำอุ่นๆ แล้วเสียงแหบแห้งของเขาก็พูดขึ้นมา

    “มันจะไม่เป็นไรใช่ไหม? บอกฉันทีว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไร...”

    ฉันพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ปล่อยให้น้ำตาร่วงลงมาในความเงียบงัน

     

     

    ฉันค่อยๆลืมตาขึ้นมาแล้วก็พบว่าตัวเองกำลังนอนหนุนตักเจสสิก้า

    พอมองไปรอบๆ สาวๆเอฟคลับทุกคนกำลังนั่งหลับพิงกันอยู่หน้าห้องฝ่าตัด ซันนี่ ยุนอา แทยอน และซูยองมีพลาสเตอร์แปะไว้ที่แขน... ระหว่างที่ฉันร้องไห้เหมือนเสียสติ ทุกๆคนก็พยายามเต็มที่ที่จะช่วยพี่ฮยอนจุงเอาไว้

    ฉันมองเจสสิก้าอีกที ตอนแรกไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่าเธอรีบมาทั้งๆที่อยู่ในชุดแสดงละคร พี่คยูฮยอนก็เหมือนกัน เขากำลังซบไหล่เจสสิก้า ทั้งคู่หลับสนิท แต่ฉันเห็นรอยน้ำตาจางๆ ฉันค่อยๆลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปยังที่นั่งฝั่งตรงข้าม พี่คิบอมนั่งอยู่ตรงนั้น ดวงตาแดงก่ำ แม้จะไม่ได้ร้องไห้ มือประสานกันจรดหน้าผาก พอเห็นฉันเขาก็ฝืนยิ้ม

    “ตื่นแล้วเหรอ?”

    ฉันพยักหน้า รู้สึกเหมือนยังหาเสียงของตัวเองไม่เจอ แล้วก็มึนหัวไปหมด

    “ไปล้างหน้าหน่อยไหม? ตาบวมหมดแล้ว”

    ฉันส่ายหัว กลืนน้ำลายสองสามที แล้วเอ่ยถามออกไป

    “พี่เค้าเป็นยังไงบ้างคะ?”

    แววตาของพี่คิบอมหมองลงจนใจฉันกระตุกวูบ น้ำตาเอ่อท้นในดวงตาของเขาแต่กลับไม่ได้ไหลออกมา

    “พี่ไม่อยากเป็นคนพูด... แต่... มันอาจจะไม่มีวงปรินซ์อีกแล้ว”

    “พี่... หมายความว่ายังไง?”

    “พี่ฮยองจุน... ซี่งโครงหักทะลุปอดหลายจุด ถ้าโชคดีก็คงจะรอดผ่านคืนนี้ไปได้ แต่ถึงยังงั้น เขาก็อาจจะกลับมาเป็นนักร้องไม่ได้อีก”

    หัวใจฉันเหมือนจะหยุดเต้นลงไปซะเดี๋ยวนั้น น้ำตาที่แห้งไปแล้วกลับเอ่อท้นขึ้นมาอีก พี่คิบอมก้มหน้าลงซบกับฝ่ามือ

    “ท่านประธานยอมทุ่มเงินซื้อตัวหมอจากอเมริกามารักษาพี่เค้าให้ได้ แต่ว่า... ถ้ามันไม่พ้นคืนนี้...”

    ฉันลุกขึ้นยืน แทบไม่รู้สึกถึงพื้นที่เหยียบอยู่ด้วยซ้ำ แล้วก็ผลักประตูห้องฉุกเฉินเข้าไป รู้ว่าพี่คิบอมไม่คิดจะห้าม ตรงมุมในสุดของห้อง... ร่างพี่ฮยอนจุงนอนสงบอยู่ตรงนั้น เครื่องช่วยหายใจครอบอยู่บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ที่โต๊ะข้างเตียงมีเสื้อผ้าของเขาที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดและผ้าพันคอสีเทาคุ้นตา- -เหมือนความทรงจำไหลย้อนกลับเข้ามาในสมอง

     

    “เมอร์รี่ คริสมาสต์ค่ะ ^^

    “อะไรเนี่ย พี่เปิดดูได้มั้ย?”

    “อื้อ เปิดเลยๆ”

    “หวา~ นี่เธอถักเองใช่มั้ยเนี่ย -*- ฟานี่ ทำไมถั่วงอกเต็มไปหมดแบบนี้ล่ะ แล้วมันขยุกขยุยแบบนี้พี่จะพันคอได้ไง”

    “ก็เพิ่งหัดถักนี่คะ ถึงจะไม่สวยแต่ฉันก็อุตส่าห์ทำกับมือเชียวนะ ถ้าไม่ชอบก็เอาคืนมา ฉันเอาไปให้คนอื่นก็ได้”

    “ได้ไงล่ะ ให้แล้วห้ามเอาคืนสิ!

    “ก็พี่ไม่ชอบนี่!

    “พี่ไม่ได้พูดซักคำว่าพี่ไม่ชอบ... ของขวัญชิ้นแรกจากคนที่รัก จะไม่ชอบได้ยังไง...”

     

    ฉันลูบรอยถักตะปุ่มตะป่ำนั่นแล้วก็หัวเราะเบาๆ ยังจะเก็บเอาไว้อีก... ผ้าพันคอผืนนี้ ฉันไม่เคยเห็นเขาใส่เลยเพราะคิดว่าเขาคงอายที่ฉันถักออกมาไม่สวย แต่ว่ามันไม่ใช่... ไม่ใช่อย่างที่ฉันคิดเลย

    เหมือนกับความสัมพันธ์ของเราสองคน ฉันเองก็เคยคิดมาตลอดว่าที่เขาปิดบังไว้เป็นเพราะไม่อยากให้ใครๆรู้ว่าคบเด็กผู้หญิงธรรมดาอย่างฉัน ทั้งๆที่จริงๆแล้ว เหตุผลที่เขาเก็บมันเอาไว้ มีแค่ต้องการจะปกป้องฉันเท่านั้น

    ทำไมทิฟฟานี่ ฮวัง ถึงได้โง่ยังงี้นะ

    ฉันเอื้อมมือไปจับมือของเขา น้ำตาไหลลงมาช้าๆ

    “พี่บอกเองไม่ใช่เหรอคะ ว่าอยากจะเจอใครสักคน ที่พร้อมจะเดินเคียงข้าง และอยู่ในความฝันของพี่... ลืมตาขึ้นมาสิ ลืมตาขึ้นมามองฉัน มาทำความฝันต่อไป ความฝันของเราสองคน...”

    ดวงตาของเขายังคงปิดสนิท เสียงสัญญาณชีพดังเป็นจังหวะ ทุกครั้งที่มันทิ้งตัวลงเป็นช่วงหัวใจฉันก็ดำดิ่งลงไปด้วย ภาวนาอย่าให้มันกลายเป็นเพียงเส้นตรงสงบนิ่ง โดยที่ไม่รู้ตัว... ฉันก็ร้องเพลงออกมา เพลงที่เขาเพิ่งจะร้องให้ฉันฟัง

     

    바보같은 내가 널마음에 없는 말들로

    ฉันมันเป็นคนโง่ ที่ไม่รู้เลยว่าเธอคิดอะไรในใจ

    그렇게 많이 아프게 했나봐

    เหมือนว่ามันคงจะเจ็บปวดมาก

    니가 아니였다면 몰랐을 행복인데

    ถ้าขาดเธอไป ฉันคงไม่อาจมีความสุข

    이제야 알았어 니가 사랑이란걸

    ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่ารักคืออะไร

     

    고마워 소중한 사랑을 가르쳐줘

    ขอบคุณนะ ที่สอนฉันทุกเรื่องราวของความรัก

    고마워 이제 내가 더 사랑할게

    ขอบคุณนะ ต่อจากนี้ฉันจะรักเธอมากขึ้นไปอีก

     

    One More Time, One More Time

    อีกสักครั้ง อีกสักครั้ง

    다시 한번 내곁으로 와줄순 없겠니

    ได้โปรดช่วยกลับมายืนเคียงข้างฉันอีกสักครั้งได้ไหม

    언제나 너만을 사랑해

    ฉันจะรักแค่เธอตลอดไป

    늦은 이 후회만큼 더 사랑할께

    และจะไม่มีวันเสียใจ ฉันจะรักเพียงแค่เธอ...

     

    ฉันซบหน้าลงกับเตียง ร้องไห้ออกมาอย่างปวดร้าว อ้อนวอนทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าหรือซาตาน ขอให้ผู้ชายคนนี้กลับมาหาฉัน กลับมาทำความฝันร่วมกัน

    “...One…more…time…” เสียงที่ดังขึ้นมาแผ่วเบาราวเสียงกระซิบ แต่ทว่ากลับดังก้องในหูของฉัน ฉันเงยหน้าขึ้น มองริมฝีปากซีดนั้นอย่างคาดหวัง “One…more time…

    “หมอ! หมอคะ!” ฉันตะโกนร้องอย่างสุดเสียง มือคว้าออดขึ้นมากดในขณะที่ตาก็มองไปที่มอนิเตอร์ สัญญาณชีพเต้นเป็นจังหวะถี่ขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

    “...ทาชี ฮัน...... แนคยอล...” เขายังคงพึมพำเนื้อเพลงออกมาอย่างไม่รู้ตัว ปลายนิ้วเริ่มขยับ แต่เปลือกตายังปิดสนิท

    เพียงไม่กี่อึดใจ ทีมแพทย์และพยาบาลก็เข้ามา ฉันถูกกันตัวออกไปข้างนอก ทุกๆคนตื่นแล้วและมองฉันอย่างตั้งคำถาม เจสสิก้าเดินเข้ามาจับมือฉันอย่างเป็นห่วง

    “ฟานี่ เกิดอะไรขึ้น? พี่เค้า...”

    ฉันปาดน้ำตา แล้วส่งยิ้มที่สดใสที่สุดให้เจสสิก้า

    “พี่เค้ากลับมาหาพวกเราแล้ว!

     

     

    “อืมมม... เป็นข่าวใหญ่จริงๆด้วย” เสียงของซันนี่ดังมาตามสายขณะที่ฉันกำลังเก็บกระเป๋าหนังสือ เพราะว่าขาดเรียนไปเยอะมากตอนซ้อมละครเวที คราวนี้เจสสิก้า จองเลยต้องอยู่เรียนชดเชยหลังโรงเรียนเลิกทุกวันเลยล่ะค่ะ เฮ้อ! คิดแล้วก็เหนื่อย

    ส่วนข่าวที่ซันนี่พูดถึงก็หนีไม่พ้นเรื่องอุบัติเหตุของพี่ฮยอนจุงที่เจ้าตัวรอดมาได้อย่างปาฏิหารย์ นับจากวันนั้นที่พวกเราไปนั่งลุ้นอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน พี่ฮยอนจุงก็ต้องเข้ารับการผ่าตัดอีกสองครั้ง และแม้ว่าอาการจะอยู่ในขั้นโคม่าต่อมาอีกสองวัน แต่พอวันที่สามเขาก็ได้สติ กำลังใจจากกลุ่มแฟนคลับปริ๊นเซสที่ไปออกันหน้าตึกเอสเอ็มและที่โรงพยาบาลทุกวี่วันทำให้อาการของพี่ฮยอนจุงดีวันดีคืน เห็นทิฟฟานี่โม้ให้ฟังว่าเจ้าตัวคุยปร๋อเหมือนแต่ก่อน แต่ว่าแขนขายังคงเข้าเฝือก เดินไม่ได้ไปกว่าสองเดือน

    “แล้วเรื่องพี่ซูมีล่ะ?” ฉันถาม

    “ทีแรกคุณลุงกะจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุดเลย แต่ว่าพี่เค้าก็เจ็บหนักเหมือนกัน เห็นว่ากระดูกสันหลังแหลกไปช่วงนึง คงจะเป็นอัมพาต เดินไม่ได้ไปตลอดชีวิต พี่ฮยอนจุงเลยสงสาร ไม่เอาความ สุดท้ายคุณลุงเลยให้ข่าวไปว่ารถประสบอุบัติเหตุเพราะพี่ซูมีหลับใน จะได้จบๆกันไป”

    ฉันถอนหายใจ ถึงแม้ว่าพี่เค้าเคยคิดจะทำร้ายทิฟฟานี่ แต่พอมาเจอแบบนี้เข้าพวกเราก็อดสงสารไม่ได้ ฟานี่เองก็ดูจะเห็นใจเขาเหมือนกัน ตรงกันข้ามกับพี่คิบอมที่ฉุนขาดและบอกว่าสมควรแล้วที่พี่ซูมีจะต้องกลายเป็นแบบนี้

    “พอเจอเรื่องนี้เข้า เลยไม่มีใครสนใจฉากจูบของเธอกับพี่คยูฮยอนวันนั้น แอบเสียดายเหมือนกันนะเนี่ย แต่ก็โล่งอกว่าคงไม่โดนแอนตี้แฟนหมายหัวเหมือนฟานี่” ซันนี่หัวเราะเสียงใสแต่ฉันสิแทบอยากจะกรี๊ด ก็จริงๆในบทมันไม่ได้จูบจริงนี่นา จะตอนที่เขาเล่นกับดาน่าหรือตอนฉันเล่นกับพี่เจย์ก็ไม่ได้จูบเจิบอะไรทั้งนั้น คงเป็นเพราะเมายาลดไข้ ตาบ้านั่นถึงได้จูบมาได้ แล้วก็ดันเป็นจูบแรกของฉันซะด้วย

    “เลิกพูดเรื่องนั้นได้แล้วน่า มันก็เป็นแค่การแสดงน่ะแหละ” ฉันแกล้งทำน้ำเสียงหงุดหงิดใส่ซันนี่ที่ดูเหมือนจะรู้ทัน

    “อะไร หลังจากวันนั้นอย่าบอกนะว่าไม่มีอะไรคืบหน้า?!

    ก็จะไปมีอะไรได้ยังไง... ในเมื่อเขาก็กลับไปใช้ชีวิตวุ่นวายตามประสาไอดอลตามเดิม ส่วนฉัน...ก็กลับมาเป็นนักเรียน ม.ปลายธรรมดาๆ โอเคว่า... ฉันเอาข้าวของทุกอย่างกลับมาจัดเหมือนเดิมแล้ว โปสเตอร์รูปเขาก็เอามาติดเหมือนเดิมด้วย... ก็แค่กลับมาเป็นปริ๊นเซสที่มองเขาอยู่ห่างๆ แค่นี้มันคงจะดีกว่า

    “ไว้เจอกันเย็นนี้ที่คลับนะ” ฉันตัดบทแล้วก็วางสายไป จากนั้นก็เดินไปที่ป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียน ฟานี่ยืนรอฉันอยู่ที่นั่น

    “อ้าว วันนี้เธอไม่ไปโรงพยาบาลเหรอ?”

    “อื้อ ก็จะไปน่ะนะ แต่พอดีว่าพี่คิบอมโทรมา” ทิฟฟานี่ทำสีหน้าเป็นกังวล “พี่คยูฮยอนอาการแย่มากเลย คราวที่แล้วยังไม่หายดีแต่กลับไปโหมงานหนักเลยป่วยยิ่งกว่าเดิมอีก แถมที่หอก็ไม่มีใครอยู่ พี่ยองจุนต้องไปทำงานกับพี่คิบอม แล้วก็ยังหาผู้จัดการคนใหม่มาแทนพี่ซูมีไม่ได้ ฉันกะว่าจะไปดูแลพี่เค้านะ แต่ถ้าไม่ไปหาพี่ฮยอนจุงล่ะก็... พี่เค้าต้องงอนแน่เลย”

    “อา... ถ้างั้น ฉันไปแทนก็ได้” ฉันรับอาสา นึกถึงอาการที่หมอนั่นป่วยวันขึ้นแสดงรอบสุดท้ายแล้วก็อดใจหายไม่ได้ ถ้าหนักกว่าเดิมนี่หมายความว่าหมอนั่นคงนอนซมอยู่บนเตียง ทำอะไรไม่ได้แน่ๆ

    “แต่ถ้าเธอลำบากใจ...” ฟานี่ดูมีท่าทีลังเล

    “ไม่หรอก ไปเยี่ยมพี่ฮยอนจุงเถอะ ทางนี้ฉันจัดการเอง ^^” ฉันยิ้มกว้างส่งให้ฟานี่ที่ตาเป็นประกายขึ้นมาทันที แล้วเพื่อนซี้ของฉันก็หยิบกระดาษใบหนึ่งมาส่งให้

    “นี่ที่อยู่จ้ะ แล้วก็คีย์การ์ด ใบนี้เป็นของพี่ฮยอนจุงน่ะ พี่คิบอมเอามาให้ฉันเมื่อวาน ถ้ามีอะไรก็โทรมานะ” ฟานี่โบกมือให้ฉันอย่างร่าเริง แล้วโบกแท็กซี่ไปโรงพยาบาลด้วยความรวดเร็ว

    ฉันถอนหายใจ...

    เฮ้อ...

    ไม่เจอหน้ากันเจ็ดวัน นี่ฉันจะต้องกลับไปยุ่งกับตาบ้านี่อีกแล้ว คงจะเหนื่อยดีพิลึกล่ะ

    ...แต่ไม่รู้ทำไมฉันถึงหุบยิ้มไม่ได้สักที

     

     

    “ขอโทษนะคะ”

    และแล้ว ฉันก็มายืนจุ้มปุ๊กอยู่หน้าอินเตอร์คอมฯ ณ หอพักของเจ้าชายวงปรินซ์ ไม่อยากจะบอกเลยว่าพวกนี้อยู่กันแบบหรูสุดๆ คุณลุงของซันนี่นี่สปอยล์เด็กในสังกัดจัง

    “ครับ... มาแล้ว” เสียงที่คุ้นเคยดังออกมา แล้วประตูก็เปิดออก แล้วใบหน้าที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นมา เขาไม่ได้แต่งหน้า แล้วก็อยู่ในชุดเสื้อยืดกับกางเกงขายาวลายสก็อตเก่าๆ หน้ากากอนามัยถูกดึงลงมาอยู่ใต้คาง ตาโตๆที่แดงก่ำนั่นเบิกกว้างมองฉันอย่างตกใจ ก่อนจะพูดออกมา

    “เธอ... เธอ...”

    “ฉันไม่ใช่ผีนะ ก็แค่มาดูว่านายยังไม่ตาย พอดีว่าคนอื่นๆเขาไม่ว่างกันหมด” หมอนั่นเลิกคิ้วนิดหนึ่ง

    “คิบอมมีงานเหรอ?”

    “นี่นายไม่รู้ตารางของเพื่อนร่วมวงเอาซะเลยนะ = = แต่ช่างเถอะ ยังไม่ตายก็ดี ฉันจะได้กลับ”

    “อ๊ะ เดี๋ยวสิ!” มือแข็งแรงนั่นคว้าข้อมือฉันไว้ได้ทัน แล้วสีหน้าหมอนั่นก็ดูแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด เขาหอบหายใจอย่างยากลำบากแล้วเอนตัวพิงกำแพงเหมือนหมดแรงเอาซะดื้อๆ จนฉันต้องรีบไปประคองไว้

    “นี่! นายเป็นหนักขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย!

    “อือ... ปวดหัวจัง ช่วยพาฉันไปนอนหน่อยสิ”

    ฉันค่อยๆพยุงเขาเข้าไปแล้วพาหมอนั่นไปนอนพักบนโซฟา ถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปวางเต็มโต๊ะ อี๋

    “กินแต่ของไม่มีประโยชน์ถึงได้ป่วยอยู่นั่นแหละ นอนนิ่งๆนะ ฉันจะไปเอายามาให้” ฉันดุหมอนั่นที่ทำหน้าซื่อเหมือนเด็ก แล้วก็ตั้งใจจะลุกเดินเข้าครัวไป แต่จู่ๆมือของเขาก็ดึงฉันให้ล้มลงมา แขนแข็งแรงล็อกตัวฉันให้อยู่ในอ้อมกอดอย่างที่คนป่วยหนักไม่น่าจะทำได้

    “ไง... ฉันเล่นละครเก่งกว่าที่เธอคิดใช่มั้ย?” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นมาบนใบหน้า แล้วความโกรธของฉันก็พุ่งปรี๊ด มือสองข้างเลยทุบลงไปบนแผ่นอกของอีตาบ้านี่อย่างไม่ยั้ง

    “ปล่อยฉันเลยนะ ไอ้คนโกหก หลอกลวง ปลิ้นปล้อน ฉันบอกให้ปล่อยไง! นายมัน…! นายนี่มัน!

    ฉันขุดคำด่ามาจนไม่รู้จะด่าเขาว่าอะไรแล้วแต่หมอนั่นก็ยังไม่สะทกสะท้าน ตรงกันข้ามกลับหัวเราะเบาๆซะด้วยซ้ำ

    “เธอจะด่าฉันแรงกว่านี้ก็ได้นะ ขอแค่อย่าพูดว่าเกลียดฉันก็พอแล้ว”

    ฉันชะงักไปกับคำพูดของเขา หัวใจเต้นแรงขึ้นมาอีกแล้ว... แล้วนี่ เราอยู่ใกล้กันตั้งขนาดนี้ ฉันแทบจะนอนอยู่บนตัวเขาเลยนะ!

    “ปล่อยนะ ฉันจะกลับแล้ว”

    “ไม่มีทาง ฉันจะไม่ปล่อยเธอไปไหนอีกแล้ว” เขาพูดขึ้นมา ดวงตาคู่นั้นมีแววจริงจัง “ไม่เชื่อเหรอที่ฉันพูดวันนั้น... เธอคิดว่าฉันพูดไปโดยไม่ได้ตั้งใจใช่ไหม? งั้นจะพูดให้ฟังอีกครั้งชัดๆเลย... ฉันชอบเธอ ชอบมากจนคิดว่ารักไปแล้ว เธอคบกับฉันได้มั้ย?”

    “แต่เดี๋ยวสักวันหนึ่งนายก็จะต้องเลือกระหว่างความรักกับความฝัน ฉันไม่อยากทำให้นายต้องเลือก แล้วก็ไม่อยากเป็นตัวเลือกของนาย” ฉันหลบตาเขา บอกไม่ถูกว่าดีใจหรือเสียใจที่ได้ยินคำพูดนั้น

    “เอาจริงๆนะ... ไม่ว่ายังไงฉันคงต้องเลือกความฝันน่ะแหละ” คำพูดนั้นทำให้หัวใจฉันเจ็บเหมือนโดนบีบ “แต่ว่า... บังเอิญว่าความฝันของฉันมันมีเธอรวมอยู่ในนั้นด้วยน่ะสิ เจสสิก้า จอง”

    ฉันมองหน้าเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา รอยยิ้มอบอุ่นของเขาทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างสว่างไสว

    “แค่หลับตาฉันก็เห็นเธอแล้ว เป็นแบบนี้ฉันจะทิ้งเธอไปได้ยังไง... แล้วเธอน่ะเป็นแฟนคลับฉันไม่ใช่เหรอ? เธอทิ้งฉันลงเหรอ?”

    “ไม่ ฉันไม่เป็นแฟนคลับนายแล้ว” ฉันพูดออกไป ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้างด้วยความตกใจ

    “เพราะฉันจะเป็น แฟน ของนายนับจากวินาทีนี้เป็นต้นไปน่ะสิ!

     

     

    “หัวเราะคิกคักอะไรกันมาเชียวสาวๆ” เสียงแซวดังขึ้นจากคนป่วยที่อยู่บนเตียง แต่ดันเป็นคนป่วยอารมณ์ดีเกินเหตุ ตอนนี้เจ้าตัวกำลังนั่งอ่านจดหมายให้กำลังใจจากแฟนคลับโดยมีพี่คิบอมช่วยทำหน้าที่แกะซองจดหมายให้อยู่ข้างๆ

    ฉันเดินเข้าไปนั่งข้างเตียงอย่างรู้หน้าที่ ขณะที่สาวๆในคลับคนอื่นๆ กระจายตัวไปรอบๆห้อง

    “แผนสำเร็จนะคะพี่คิบอม” ซันนี่เดินไปไฮไฟว์กับคนต้นคิดที่ยิ้มกว้าง

    “แผนอะไรน่ะฟานี่?” พี่ฮยอนจุงหันมาถามฉัน

    “ก็แผนจับคู่ไงคะ พี่คิบอมน่ะแหละต้นคิด ส่งเจสสิก้าไปเป็นพยาบาลจำเป็นดูแลพี่คยูฮยอนที่หอพัก ไม่รู้ป่านนี้จะสวีทกันไปถึงไหนแล้ว” ฉันพูดแล้วก็หยิบขนมออกมาป้อนเข้าปากคนป่วยไปด้วย

    “เฮ้ๆ ส่งสิก้าไปถึงหอแบบนี้อันตรายนะ เหมือนส่งเนื้อเข้าปากเสือชัดๆ มักเน่มันหื่นจะตาย นายก็รู้” พี่ฮยอนจุงหันไปพูดกับพี่คิบอมที่ยิ้มชอบใจ

    “ก็ไอ้เสืออย่างน้องเล็กเราน่ะ มันต้องเจออย่างเจสสิก้านะพี่ ไม่งั้นใครก็เอามันไม่อยู่หรอก”

    ~ติ๊ด ตีดี่ ดติ๊ดตี~

    เสียงมือถือของยูริดังขึ้น เจ้าตัวพยักหน้าเป็นเชิงขอโทษแล้วเปิดโทรศัพท์ขึ้นดู

    “อ่า... เจสสิก้า” นั่นไง ตายยากชะมัด = = โทรมาพอดี “อา ใช่ อยู่ที่โรงพยาบาล...อยู่สิ...ทั้งคู่เลย... เห? สปีกเกอร์โฟนเหรอ รอแปบนึงนะ...” แล้วยูริก็เดินเข้ามาข้างเตียงท่ามกลางความสนใจของทุกคน ก่อนที่เธอจะเปิดสปีคเกอร์โฟน

    “พี่ฮยอนจุง พี่คิบอมคะ ^^…” เสียงหวานๆของเจสสิก้าดังขึ้น อ่า... สำหรับพี่เค้าสองคนน่ะคงไม่รู้หรอก แต่สาวๆเอฟคลับทุกคนมองหน้ากัน เสียงหวานขนาดนี้มักจะตามมาด้วยสิก้าเอฟฟเฟกต์ชนิดจัดหนัก งานพี่พี่คยูฮยอนท่าจะไม่รอดซะแล้วแฮะ

    “ฝากสอนน้องเล็กของพี่หน่อยนะคะว่าอย่าไปเที่ยวทำตัวหื่นใส่ใครอีก ไม่งั้น... หามักเน่ใหม่ได้เลย ^^

    “อ๊าก! สิก้า เจ็บนะ อย่าสิ! โอ๊ย! นี่เธอ ฉันป่วยอยู่นะ! พี่! คิบอม! กลับมาช่วยผมเร็วๆเข้า T^T” เสียงร้องโหยหวนของพี่คยูฮยอนดังขึ้นมาเป็นแบ๊กกราวนด์ ทำเอาพวกเราอดขำไม่ได้ ส่วนพี่ฮยอนจุงก็ได้แต่ทำหน้าเหรอหรา ไม่รู้ว่าจะห่วงใครดีระหว่างสิก้ากับมักเน่

    “ผมลืมบอกพี่ไป” พี่คิบอมหัวเราะ “อย่างเจสสิก้าน่ะ จัดอยู่ในประเภท แม่เสือ

    แล้วพวกเราก็พากันหัวเราะขึ้นมา

    หวังแต่ว่าพี่คยูฮยอนคงจะไม่ต้องเจ็บหนักจนเข้าโรงพยาบาลมาอีกคนนะ!

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×