ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Happy Ending

    ลำดับตอนที่ #1 : พาร์ทเนอร์คนใหม่

    • อัปเดตล่าสุด 12 ก.ค. 52


     

     

     

     

     

                โลกทั้งโลกของฉันมักจะหมุนไปแต่ที่เดิมๆเสมอ ไม่ว่าเมื่อวาน วันนี้ หรือแม้แต่วันพรุ่งนี้ก็ตาม คำถามที่ฉันมักจะถามตัวเองบ่อยๆว่า มัวทำอะไรอยู่? มักจะเกิดขึ้นกับฉันเสมอๆ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น กระแสของฝูงชนก็พัดพาฉันให้กลับมาสู่โลกของความเป็นจริงเรื่อยไป

     

    ใช่..มันอาจเป็นเรื่องเศร้าที่ชีวิตมีแต่เรื่องซ้ำซาก แต่ตัวฉันเองที่ไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงอะไรเลยกลับน่าเศร้าซะยิ่งกว่า ฉันอยากจะวิ่งทะยานไปข้างหน้า วิ่ง วิ่งด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี ฉันอยากมีความฝัน อยากมีความรักที่สุดแสนโรแมนติกและอยากมีชีวิตที่เพอร์เฟ็ค

     

    แต่จะทำไงได้ล่ะ

     

    ...

    ....

    .....

     

    “โฮ๊ยยยย ทำไมเกรดเป็นงี้อีกแล้วอ่าาา”

     

    “เธอได้เท่าไหร่”

     

    “กรี๊ดดด อย่าถามได้ปะ!

     

    “เฮ้อ ..จะขึ้นม.ปลายทั้งที อาจารย์ก็น่าจะให้เกรดดีๆส่งท้ายเป็นของขวัญบ้างน้า ..เออ แล้วเนยล่ะ เกรดเป็นไงบ้าง?”

     

    “...”

     

    “เนย”

     

    “...”

     

    “เนย!

     

    “เอ๊ะ!?”

    ฉันหลุดออกจากภวังค์

    เพโรนาวา นครต้องสาป ได้ดึงฉันไปอยู่อีกโลกหนึ่งอย่างสมบูรณ์แบบ

     

    “เอาอีกแล้ว อ่านนิยายตลอดเลยนะเธอน่ะ เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตอบ”

     

    “เอ่อ โทษที พูดเรื่องอะไรกันอยู่เหรอ?” ฉันขยับแว่น หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ

    ก็เมื่อกี้น่ะ กำลังจะถึงตอนสำคัญ..ตอนที่พระเอกกำลังจะเงื้อดาบฆ่าแม่มดสาวผู้เป็นที่รักด้วยความเข้าใจผิด

     

    “ไม่พูดแล้ว ช่างเหอะ” เพื่อนเริ่มชินชา “วันนี้ไปฉลองคาราโอเกะรับหน้าร้อนดีมั้ย หน้าร้อนอย่างนี้ต้องคาราโอเกะสิ!

     

    “จริงด้วย! ทั้งกลุ่มส่งเสียงเชียร์

     

    สุดท้ายแล้ว ฉันก็ไม่ได้อ่านเพโรนาวาต่อ พอกลับบ้านก็รู้สึกเพลียแบบสุดๆแถมพรุ่งนี้ก็มีเรียนพิเศษตั้งแต่เช้าจรดเย็น

    วันนี้วันหนึ่ง ที่ฉันอุทิศให้กับคาราโอเกะ

     

    หน้าร้อนที่ไม่มีอะไรคืบหน้า ทุกๆวันผ่านไปอย่างว่างเปล่าและมากขึ้นทุกขณะ ฉันเรียนพิเศษเตรียมขึ้นมัธยมปลาย.. เรียนตั้งแต่เช้าจรดเย็น พอเลิกเรียนก็ได้แต่มองดูเพื่อนๆชวนกันไปเที่ยว

     

    เอาล่ะ วันนี้ฉันอ่านเพโรนาวาจบพอดี ฉันพลิกไปพลิกมาหน้าสุดท้ายกับรองปก รู้สึกอย่างเดียวว่าจบแล้วจริงๆเหรอ เนื้อหาที่มันส์หยด อารมณ์อันลึกซึ้งกับคติอันคมคาย ทำให้ฉันประทับใจมาก

     

    “เค้าน่าจะเขียนภาคสองต่อน้า อยากอ่านอีกจัง”

    ฉันโยนตัวเองลงบนที่นอน หยิบเพโรนาหนาขนาดสี่ร้อยหน้าขึ้นมาทับหัว ยังคงพลิกไปพลิกมาเผื่อว่าฉันจะอ่านข้ามไปตรงไหน

    ด้วยความที่ไม่น่าพลาด ฉันก็เลยพลิกมาอ่านหน้าคำนำผู้แต่ง

     

    วาริช วาริช งั้นเหรอ?” ฉันอ่านชื่อผู้แต่ง เอียงคอไปมาจนผมพันกันยุ่ง

     

    “นายคนนี้อายุพอๆกับเราเลยแฮะ ยังเด็กอยู่เลย”

     

    เพโรนาวา เป็นเบสต์เซลเลอร์ที่กำลังร้อนระอุอยู่ในประเทศไทยขณะนี้ ฉันเผลอหยิบมาตอนไปงานหนังสือคราวที่แล้วเพราะคิดว่าน่าสนใจดี หน้าปกสวย ที่สำคัญคนหยิบกันเยอะ ฉันที่กลัวว่าจะซื้อไม่ทันก็เลยรีบหยิบๆตามๆเค้ามา

    ปรากฏว่าฉันอ่านจนติดงอมแงม แค่หน้าแรกก็ตรึงร่างฉันได้แล้ว

     

    แม้ฉันจะชอบอ่านนิยายรักมากกว่าแฟนตาซี แม้จะอ่านนิยายมาหลายเรื่องแล้ว และก็เปลี่ยนอันดับนิยายในดวงใจทุกๆเดือน แต่เดือนนี้เรื่องนี้ดีที่สุด เป็นครั้งแรกที่ฉันยกให้แฟนตาซีเป็นที่หนึ่ง

     

    “สนุกขนาดนี้ อาจจะเอาไปทำหนังก็ได้”

     

    ฉันนอนกอดหนังสือ ยิ้มเหมือนคนบ้าเพราะอารมณ์ยังอินอยู่ในนิยาย

    เคยออกบ่อยไป

     

    “เค้าจะเขียนเรื่องอื่นอีกมั้ยนะ?”

    ฉันคิด ใจเต้นโครมครามระหว่างเปิดคอมพ์

     

    ช่วงนี้นิยายในอินเตอร์เนตกำลังบูม ถ้า วาริช เป็นคนอายุพอๆกันกับฉันล่ะก็ บางทีเค้าอาจจะเอานิยายลงในอินเตอร์เน็ตบ้างล่ะน่า

     

    ฉันคลิก คลิก แล้วก็คลิก โอ้โห คนๆนี้อายุเท่ากันกับฉันจริงๆเหรอ นี่มันกี่เล่มเนี่ย สอง สาม สี่ หก แปด ให้ตายเหอะ โคตรคนหรือเปล่า? เพโรวานาเป็นเล่มล่าสุดของเขาสินะ

     

    ฉันรีบจดรายชื่อหนังสือ พับโน๊ตบุ๊คยัดใส่กระเป๋าตามเดิม พรุ่งนี้ฉันจะไปไล่หามาอ่านให้ได้

    ค่ำคืนนี้ ใจฉันเต้นแรงขึ้นมาเล็กน้อยก็จริง

    แต่วันต่อมาทุกอย่างได้กลับเข้าที่ตามเดิม ดำเนินไปในแบบแผนเดิมๆ

     

    ฉันเรียน เรียน เรียนพอออดพักกลางวัน ก็ล้อมวงนั่งกินขนมกับเพื่อน กลับบ้าน คุยกับพ่อแม่กับน้องชาย แล้วก็นิยายๆๆๆ วันเวลาของฉันผ่านไปแบบนี้ ทุกๆวัน ..ทุกๆวัน

    จนกระทั่งซัมเมอร์ของปีนี้..ได้ผ่านพ้นไปอย่างเรียบง่าย

     

     

     

     

     

     

    ฝนเทลงมาห่าใหญ่ต้อนรับการเปิดเทอมตั้งแต่วันแรก

    วันแรกของมัธยมปลาย กับสิ่งใหม่ๆที่น่าจะทำให้จิตใจชุ่มชื้นขึ้น

     

    “เช้าอย่างนี้ ฝนไม่น่าตกเลย”

    ฉันสะบัดร่มเพื่อไล่หยดน้ำ พึมพำกับตัวเองที่มาถึงห้องเรียนคนแรก

     

    “ว้าย เนย ระวังหน่อยสิ”

    คนร้องโวยวายเป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยม.ต้นของฉัน ชื่อแป้ง เราอยู่กลุ่มเดียวกันแต่ไม่สนิทกันมากเพราะเธอมักจะอยู่กับแฟนตลอด

     

    “โทษที เลอะรึเปล่า” ฉันรีบควานหาทิชชู่ แต่แป้งเร็วกว่า

     

    “ก็นิดนึง ไม่เป็นไร”

     

    “ได้เรียนห้องเดียวกันอีกแล้วนะ”

     

    โต๊ะถูกวางไว้เป็นคู่ๆ เป็นแถวเรียบร้อย คาดว่าลุงภารโรงคงจัดรอไว้ตั้งแต่ก่อนเปิดเทอมแล้ว ฉันกับแป้ง เราทั้งคู่เดินหาที่นั่งใหม่ ระหว่างที่ฉันกำลังนึกว่าจะนั่งที่ไหนดี ยัยแป้งก็วางกระเป๋าซะแล้ว

     

    “ฉันจะนั่งด้านหลังตรงนี้ล่ะ พีทน่ะสูงจะตาย ขืนนั่งหน้าล่ะก็บังคนอื่นหมด”

    พีทคือชื่อแฟนเธอค่ะ

     

    “อืม เธอคิดถูกแล้วล่ะ”

     

    สุดท้าย ฉันก็เลือกที่นั่งหลังห้องเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าฉันสูงหรืออะไร แต่ฉันจะได้เอาไว้แอบอ่านนิยายตอนที่ครูเผลอ

     

    เพื่อนในกลุ่มเดิมกระจัดกระจายกันไปตามแผนที่เลือกเรียน ฉันเลือกสายวิทย์เพราะไม่รู้จะเรียนอะไร ลองคิดดูแล้วมันก็น่าจะง่ายกว่าการนั่งจ๋องท่องศัพท์ฝรั่งเศสล่ะนะ

    ทว่ามารู้ตัวเอาตอนที่นั่งเรียนฟิสิกส์คาบแรก

    ฉันคงเลือกสายการเรียนพลาดซะแล้ว

     

    Quizเหรอ”

    ฉันคราง คาบแรกแล้วจะเอาอะไรมาตอบคำถาม ยิ่งเป็นคำนวณล้วนๆด้วย

     

    “แค่ทดสอบความรู้พวกเธอเฉยๆ อนุญาตให้ปรึกษากันได้กับเพื่อนที่นั่งข้างๆ”

     

    ฉันหันไปมองโต๊ะข้างๆที่ว่างโล้งโจ้ง แล้วก็หันไปจ้องครูตาปริบๆ

    ฉันเป็นคนเดียวที่ไม่มีพาร์ทเนอร์ เพราะเพื่อนนั่งจับคู่กันไปหมดแล้ว เพื่อนที่สนิทๆก็นั่งกับแฟนแล้วฉันก็เลยอ้างว้าง

    อาจารย์สังเกตเห็นก็เลยเดินมาถาม

     

    “เพื่อนเธอล่ะ”

     

    “หนูนั่งคนเดียวค่ะ”

     

    “ทำไม ห้องนี้ต้องมีครบคู่สิ”

     

    “คะ?”

     

    “เนี่ย ทำไมขาดไปคนนึงล่ะ”

    ฉันส่ายหน้าด้วยความไม่รู้

     

    “คงขาดล่ะมั้ง” อาจารย์หัวเราะ “ขาดเรียนตั้งแต่วันแรกเลยนะ เอาล่ะ ถือว่าเช็คชื่อไปในตัวก็แล้วกัน”

    อาจารย์สรุปก่อนจะเดินจากไป

     

    ควิซข้อนั้นนรกจริงๆ ฉันเรียนพิเศษมาแล้วยังไม่รู้เลยว่าจะเริ่มต้นตรงไหน คู่อื่นทำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ฉันหัวเดียวกระเทียมฝ่ออย่างี้คงต้องกินแห้วซะแล้ว แต่ช่างเถอะ อาจารย์คงไม่เก็บคะแนน

     

     

     

     

     

    ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ฉันก็ยังไม่เห็นวี่แววของพาร์ทเนอร์ฉัน ซึ่งมีตัวตนจริงๆรึเปล่าก็ไม่รู้ หรือเป็นแค่ชื่อที่เกิดจากความผิดพลาดของการรันข้อมูล

     

    ยัยแป้งเมาท์กับเพื่อนๆในกลุ่มตอนกินข้าวกลางวัน

    “พีทรู้จักคนที่ขาดไปล่ะ เพื่อนร่วมห้องตอนหมอต้นของเขาเอง”

     

    “จริงเหรอ”

     

    “อืม ก็เห็นว่าเป็นคนแปลกๆเหมือนกันนะ มาโรงเรียนก็มานอนกลางวัน ไม่ค่อยสุงสิงกับใครเท่าไหร่ ผมงี้เป็นกระเซิงเลย แว่นก็หนาเตอะดูแล้วน่ารำคาญแทน”

    ยัยแป้งโบกไม้โบกมือ

     

    “ฮ่าๆๆ พูดเข้า ยังกับรู้จักเขาแน่ะแป้ง”

     

    “ก็พีทว่ามายังงี้นี่นา รู้ปะ เขาเดาว่าหมอนั่นน่าจะลาออกไปแล้วด้วยนะถึงได้ขาดโรงเรียนนานแบบนี้”

     

    แต่นักเรียนปริศนาเป็นที่สนใจอยู่ไม่นาน ทุกคนก็เปลี่ยนเรื่องคุยไปเรื่อยๆ

    “เออ ว่าแต่หมูนี้เนยอ่านนิยายแนวแฟนตาซีบ่อยขึ้นนะ”

     

    “เอ๊ะ?” ฉันเงยหน้าขึ้นจากการอ่านนิยาย “ออ ฉันติดตามของนักเขียนคนนึงอยู่น่ะ เขียนได้สนุกมากเลย”

     

    “เนยนี่อ่านเยอะเหมือนกัน ไม่คิดจะแต่งเองบ้างล่ะ”

     

    “ฉันนะเหรอ”

     

    “ใช่ เธอน่าจะเขียนได้นะ ไม่ลองดูล่ะ ในเว็บไง ในเว็บน่ะ ฉันเคยเข้าไปดูเหมือนกัน นิยายเยอะแยะเต็มไปหมด”

    ฉันกระพริบตาปริบๆ นักเขียนเนี่ยนะ?

     

    “อืม ฉันจะลองเข้าไปดูละกัน”

    ฉันพยักหน้า และเพื่อนๆก็หันไปเมาท์เรื่องชุดนักเรียนตัวใหม่ที่ซื้อมาไม่กี่วันก็คับแทน

     

    “อ้วนน่ะสิ”

     

    “หรือว่าเธออึ๋มขึ้น”

     

    “บ้า”

    เสียงเฮฮายังกระหึ่มต่อไป

    จนกระทั่งมีผู้ชายคนหนึ่งเดินตรงมาทางนี้ ฉันเลยหันไปมองต้นเหตุที่ทำให้ทั้งกลุ่มเงียบ

     

    “เนย”

    ..ดูเหมือนเขาจะเรียกฉันนะ

    การสนทนาหยุดชะงัก ทั้งกลุ่มหันไปมองหมอนั่น แล้วก็มองมาทางฉัน

     

    “เพื่อนฉันอยากคุยกับเธอแน่ะ”

     

    “หา เพื่อน? ใครเหรอ?”

     

    “เค้าบอกว่าให้มาเจอกันหลังเลิกเรียน ที่ห้องดนตรี”

     

    เขาทิ้งไว้แค่นั้นแล้วก็ตรงไปยังโต๊ะนักเรียนเขา ทุกคนมองฉันตาปริบๆ แล้วก็ตบไหล่ฉันยกใหญ่

    “ว้าว ผู้ชายรึเปล่าเนี่ย”

     

    “สงสัยว่าวันวาเลนไทน์ของยัยเนยกำลังใกล้เข้ามาแล้ว”

    ทุกคนแซวจนฉันหน้าแดง นี่มันเรื่องอะไรกัน

     

     

     

     

     

    “จะคุยกับเขาจริงๆนะเหรอ?”

    ยัยแป้งพูดพึมพำ ระหว่างเอาแขนเท้าเปียโนหลังเบ้อเริ่ม

     

    “ก็คงอย่างนั้น”

     

    “ใครกันน้า จะหล่อสู้พีทของฉันได้รึเปล่าน้อ~ แป้งแซวต่อ

     

    “อาจจะไม่ใช่ผู้ชายก็ได้ ที่สำคัญนะเค้าไม่ได้บอกว่าจะขอคบเป็นแฟนซะหน่อย อาจจะมีธุระอย่างอื่นก็ได้”

     

    “โธ่ ก็รอดูกันต่อไปละกัน อ๊ะ นั่นไงๆ มาแล้ว”

    ฉันมองคนที่เปิดประตูห้องดนตรีเข้ามา

     

    เป็นผู้ชายจริงๆ และก็มาคนเดียวด้วย

    แป้งเบิกตาโพลง เธอรีบมากระซิบที่หูฉัน

     

    “เธอรู้จักเขามั้ย” ฉันส่ายหน้าระหว่างนั่งอึ้งกับความหล่อของผู้ชายที่เดินเข้ามา “นั่นพี่ยีนส์ รองประธานนักเรียนคนใหม่นี่นา ว้าว เนย ไปเลยสิไปเลย”

    แป้งผลักหลังฉันที่ขาแข็งทื่อ จนเกือบสะดุดล้มทับใส่เขา

     

    “เนย งั้นฉันไปก่อนนะ เจอกันพรุ่งนี้นะ” แป้งยิ้มและรีบวิ่งออกจากห้องไป คาดว่าเธอคงจะรีบเอาข่าวนี้ไปฝอยต่อในกลุ่มเรา

    พี่ชายคนที่ชื่อยีนส์มองตามแป้งไป

     

    “นั่นเพื่อนเธอเหรอ”

     

    ฉันหน้าแดง เธอ ที่เขาพูดมันทำให้ฉันใจเต้นตึ๊กตั๊กๆแปลกๆ ฉันพยักหน้าเร็วๆสามที แล้วก็ต้องรีบจับแว่นก่อนที่มันจะกระเด็นไปตกพื้น

     

    เขาเหมือนจะจ้องหน้าฉันแล้วขมวดคิ้ว เขาเอาของบางอย่างออกมาแล้วยื่นให้ตรงหน้าฉัน

    “นี่ของเธอใช่มั้ย”

     

    “เอ๋” ฉันมองดูกระเป๋าตังค์ที่อยู่ในมือยีนส์ เอ๊ะ เอ๊ะ..

    อ้าว นี่มันกระเป๋าตังค์ที่หายไปของฉันนี่นา เขาจับกระเป๋านั่นยัดใส่มือของฉัน

     

    “ฉันเก็บได้น่ะ พอล้วงดูเห็นว่าหน้าคุ้นๆ พอถามเพื่อนก็เลยรู้ว่าเป็นเธอ”

     

    “อ้าว ง งั้นหรอกเหรอคะ” นึกว่าอะไรซะอีกตกใจหมด เรื่องแค่นี้ฝากคนอื่นมาคืนก็ได้นี่นา

    “ฉันไม่ไว้ใจไอ้พวกบ้านั่นหรอก” พี่ชายคนนี้พูดเหมือนอ่านสีหน้าฉันออก “โทษทีนะ ที่พึ่งเอามาคืน ฉันไปแข่งกีฬากลับมาเมื่อวานน่ะ”

     

    ฉันรีบโบกมือ รู้สึกเหงื่อแตกกับอะไรๆที่จินตนาการไปไกลเมื่อกี้

    “ไม่เป็นไรๆ ยังไงก็ขอบคุณมากค่ะ”

     

    “เงินอยู่ครบนะ ไว้ใจได้”

     

    “อ ค่ะ”

    ฉันพยักหน้าเร็วๆ ก่อนจะวิ่งหนีออกไปจากห้อง แฮ่กๆ ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี

    อ๊าก นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่นะ? คิดว่าคนหล่อๆจะมาหลงรักตัวเองงั้นเหรอ ไม่มีทาง ไม่มีทางเลย

     

     

     

     

     

     

    วันต่อมา

    ฉันเห็นกระเป๋านักเรียนของใครบางคนบนโต๊ะข้างๆตอนคาบโฮมรูม

    นึกสังหรณ์ใจยังไงบอกไม่ถูก

    ถึงจะมีกระเป๋า แล้วเจ้าของกระเป๋าหายไปไหนล่ะ?

     

    “นี่! เป็นไงบ้าง” แป้งทักฉันตอนที่อาจารย์เผลอ

     

    “อะไร?”

     

    “ก็พี่ยีนส์ไง เธอตกลงคบกับเขารึเปล่า”

     

    “บ้า มันไม่ใช่อย่างที่เธอคิดหรอก”

     

    “หา? แล้วมันอย่างไหน”

     

    “เค้าเจอกระเป๋าตังค์ที่หายไปของฉันแล้วก็เอามาคืนน่ะ”

     

    “อะไรกัน ไม่อยากเชื่อเลย”แป้งหงุดหงิด “น่าเบื่อชะมัด นึกว่าจะได้เห็นเรื่องสุดยอดๆซะแล้วสิ”

    ฉันขมวดคิ้ว เรื่องสุดยอดๆงั้นเหรอ

     

    ปึง!

    ทันใดนั้นประตูก็เปิดออกอย่างรุนแรง ทุกคนหันไปมองประตูหน้าห้องเป็นสายตาเดียว

     

    “ขอโทษครับ” ผู้ชายคนหนึ่ง..ใส่ชุดนักเรียน และฉัน...ไม่เคยเห็นหน้า

     

    “ผมไปเจออาจารย์ใหญ่มา เลยมาช้า” เขาบอกครูรัวๆ

     

    ครูเหวอไปพักหนึ่ง แต่พอผู้ชายคนนั้นยื่นลายเซ็นรับรองของครูใหญ่ไปให้ ครูก็เลยชี้ที่นั่งมาทางฉัน

    ให้ตายเหอะเป็นดังคาด เขาเดินตรงมาทางนี้ ฉันรู้ทันทีเลยว่าคนคนนี้คงเป็นพาร์ทเนอร์ของฉัน

     

    “หวะ หวัดดี”ฉันทักเขาอย่างกล้าๆกลัว

     

    เขาพยักหน้าตอบแค่นั้นแล้วก็หย่อนก้นนั่งบนโต๊ะ

    ตอนนั้นยัยแป้งรีบหันมาสะกิดฉัน เธอพูดแบบไร้เสียงให้ฉันอ่านจากริมฝีปาก

     

    “อย่างที่ว่าเลยเห็นมั้ย”

    ฉันอ่านปากได้แค่นี้

     

    ใช่ เอ่อ พาร์ทเนอร์ของฉันที่ชื่ออะไรก็ไม่รู้ เป็นแบบที่ยัยแป้งว่าจริงๆแหละ ผมเผ้ารุงรังปรกหน้า แว่นตาก็หนาเตอะซะยิ่งกว่าโนบิตะซะอีก ฉันว่าฉันสายตาสั้นมากแล้วนะ นี่สั้นกว่าฉันซะอีกมั้ง

     

     “นาย..” ฉันรวบรวมความกล้า “นายชื่ออะไรเหรอ ฉันชื่อเนย”

     

    “...” เขาหันมามองฉัน ฉันคิดว่างั้นนะ

     

    “เอ่อ ฉันถามว่านายชื่ออะไรเหรอ”

     

    “ชื่อเหรอ?” เสียงเขาทุ้มต่ำ น้ำเสียงระคนสงสัยแต่ก็นุ่มนวลจนฉันตกใจ อืม แบบว่าผิดจากภาพลักษณ์ภายนอกนิดหน่อย

     

    “เออ แค่ถามน่ะ..” สังสัยว่าคงไม่ค่อยมีคนถามชื่อเขาล่ะมั้ง “..คาบlabเราเป็นพาร์ทเนอร์กัน น่าจะรู้จักกันเอาไว้ ฉันต้องนั่งตรงนี้ต่อไปอีกสองเทอม”

     

    “...วาริท เขาตอบเสียงเบา

     

    “เอ๋” ฉันนึกถึงชื่อ วาริช นามปากกานักเขียนที่ฉันชื่นชอบ “วาริช หรือ วาริท”

     

    “...” นายคนนี้ทำท่าเหมือนจะแปลกใจนิดหน่อย แต่เขาก็ย้ำ “วาริท วาริทที่แปลว่าเมฆ ไม่ใช่วาริช”

     

    “อ อ๋อ” ฉันผงะ เออ จะเป็นไปได้ยังไง นั่นก็นามปากกานี่นา ทำไมฉันถึงได้เพ้อเจ้อนักนะ “เอ่อ คือ ..ชื่อนาย..เพราะดี..”

     

    “อืม” เขาตอบและเมินฉันไปโดยปริยาย

    ฉันเกาคางงงๆ

     

    บอกตามตรง ฉันเพิ่งเคยเห็นคนแบบหมอนี่ครั้งแรกนี่แหละ จะว่าไม่สนใจอะไรก็ไม่ใช่ เพราะฉันเห็นเขาซ่อมดินสอกดตลอดคาบคณิตศาสตร์เลย พอเข้าคาบเคมีก็ดันหลับ ยิ่งแย่ไปใหญ่ก็ตอนเล่นพละหมอนั่นโดดเรียนเฉยเลย ลำบากให้ฉันต้องไปตามหา

    แฮ่กๆๆ ฉันวิ่งไปทั่วโรงเรียนเลย วันนี้อากาศดีลมพัดแรงเลยทำให้ฉันไม่ร้อน

     

    ไม่รู้ว่าอีตาแว่นนั่นไปหลบอยู่ที่ไหน ฉันลองไปที่ห้องพยาบาลก็ไม่เจอ ดาดฟ้าก็ไม่เจอ เหลืออีกที่เดียวคือในสวนเกษตรหลังโรงเรียน

    แฮ่กๆๆ ฉันวิ่งไปที่ต้นไม้ใหญ่

     

    ลมพัดมาอีกระลอก

    ใบไม้เล็กๆเลยร่วงหล่นลงมายกใหญ่ ลอยละล่องปลิวลงมายังพื้นสวยงามเหมือนฉากในหนังเกาหลีไม่มีผิดเพี้ยน เอ๊ะ ไม่สิไม่ ฉันกำลังมาตามหาคนอยู่นี่นะ

     

    อ๊ะ นั่น! นั่นไง

    ฉันเห็นใครบางคนกำลังนอนเอาหลังอิงกับต้นไม้อยู่

     

    แน่เลย ต้องเป็นหมอนั่นแน่ๆ หนอย..ให้ฉันวิ่งวุ่นตามหา ที่แท้แอบมาหลับสบายใจเฉิบอยู่ที่นี่นะเอง

     

    “เข้าไปด้านหลังอย่างนี้ล่ะ แม่จะปลุกให้ต๊กกะใจเลย” ฉันบอกตัวเองอย่างมาดมั่น

    เอาล่ะ หนึ่ง สอง สาม

     

    “นี่นาย!!..” ฉันเข้าไปเขย่าคอหมอนั่นย้ากส์ “อย่ามาหลับที่นี่นะ ไปเข้าเรียนได้แล้ว ไอ้บ้า!

     

    “โอ๊ย!

     

    “ย้ากกกกก” ฉันหลับหูหลับตาเขย่าคอเขาต่อไป

     

    “นี่เธอ!

     

    ย้ากกก

     

    “โอ๊ย พอได้แล้ว! รู้แล้วๆ จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”

    เขาจับมือฉันออก พร้อมกับจ้องตาฉันเขม็ง

     

    เอาล่ะ งานเสร็จเรียบร้อยซักที ฉันนึกยิ้มๆ แต่ ..เฮ้ย!!!!

     

    ฉันเบิกตาโพลง อ้าว หมะ หมอนี่ใคร.. ไม่ใช่นายเมฆนี่นา แบบว่า..แว่นหาย..

    อ้าวๆ ๆ ๆ ????

     

    ฉันมองหน้าผู้ชายตรงหน้า เขาดูหงุดหงิดอย่างรุนแรง

     

    “จะไปเดี๋ยวนี้แหละ น่ารำคาญจริง ไปที่โรงยิมใช่มั้ย”

    หมอนี่พูดย้ำ

     

    เขาหยิบปากกากับกระดาษปลิวเกลื่อนอยู่แถวนั้น ฉันนั่งงงเต๊ก เอ๊ะ เอ๊ะ ?? เสียงก็ของนายแว่น แต่หน้าตาไม่ใช่นี่นา หมอนี่คาดผม หน้าผากรั้นๆกับจมูกโด่งเป็นสัน แววตาเฉียบคม เหมือนลูกธนู เค้าโครงหน้าที่สวยเหมือนรูปปั้นกรีก

     

    เอ๊ะ เอ๊ะ..

     

    “เธอ ชื่ออะไรนะ ฉันจำไม่ได้” เขาหันมาถาม น้ำเสียงยังหงุดหงิด

     

    “เนย เนยค่ะ” ฉันเองก็ตอบเลิกลัก

     

    “เออ นั่นแหละ” เขาถอดที่คาดผมออก ผมหน้าม้าหนาๆเลยตกลู่ลงมา “ช่วยเก็บกระดาษพวกนี้หน่อยสิ”

     

    “เอ๊ะ”

     

    “อย่ามัวแต่เอ๊ะ อยากเรียกให้ฉันไปเรียนไม่ใช่เหรอ ช่วยกันเก็บสิ”

     

    “คะ?” ฉันมัวแต่ตะลึง เขาสวมแว่นตาคู่นั้นแล้ว

     

    “เร็วๆสิ”

     

    “อ๊ะ ค่ะๆ” ฉันรีบเก็บกระดาษช่วยเขา แต่สายตายังคงจับจ้องคนตรงหน้าอยู่ดี

     

    ให้ตายเหอะ นี่มันแหกตากันนี่

    เขาเป็นนายเมฆสุดเซอร์หรือว่าเทพบุตรสุดหล่อกันแน่!

     

    ฉันก้มลงเก็บกระดาษที่ปลิวว่อนเพราะลมเริ่มพัดแรง ในอกสั่นไหว

     

    “ย อย่างกับนิยายเลยแน่ะ” ฉันพึมพำ

     

    “จะเก็บอีกนานมั้ย!

     

    อ๊าก ฉันรีบๆรวบกระดาษแถวๆนั้นไปคืนเขา แต่กระดาษก็ปลิวจากมือฉันไปอีกรอบ หวา..นายวาริท นายเมฆอะไรนั่นแทบจะโง้งเขี้ยวขย้ำคอฉันตายอยู่แล้ว

     

     

     

     

     

    -----------------------------------------------------------------------------

    เจอกันตอนต่อไปนะคะ อย่าลืมเม้นให้กันหน่อยน้า

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×