ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : chapter 2 [อัพเดท 100 %]
-2-
ฮิบาริ เคียวยะก้าวขาเดินอย่างไม่เร่งรีบในยามเช้าของฤดูหนาว ดวงตาสีรัตติกาลปรายมองไปด้านนอกหน้าต่างของโรงเรียนนามิโมริซึ่งทุกอย่างในเมืองล้วนเป็นสีขาวสะอาดตา ร่างสูงละสายตาคมจากหน้าต่างบานนั้นแล้วออกเดินต่อไปเรื่อยๆจนถึงบานประตูสีซีดจัดบานหนึ่งที่เปิดทิ้งไว้บางส่วนตั้งแต่เมื่อคืน ชายหนุ่มเลื่อนบานประตูเปิดออก เขาดูไม่ตกใจที่เจอผู้หญิงผมยาวร่างเล็กยืนอยู่ตรงบานประตูพอดี
"..."
"..."
มีเพียงความเงียบงันที่ปกคลุมห้องรับแขกของโรงเรียนนามิโมริเท่านั้น ชายหญิงทั้งสองต่างมองกันอย่างประเมินค่าคนตรงหน้าแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรต่อนอกจากยืนอยู่เฉยๆตรงนั้น จนกระทั่งร่างเล็กที่ดูเบื่อหน่ายกับความเงียบจึงเอ่ยขึ้นมา
"นายกับลุงคนนั้นตายแล้วเหรอ ?"
...ไม่มีเสียงอะไรตอบรับร่างเล็ก..
ชายหนุ่มผมสีดำสนิทยิ้มเย็นๆให้และนั่งลงบนโซฟาตัวประจำของตน และเริ่มเอนตัวไปด้านหลัง เปลือกตาเริ่มปิดลงอย่างเกียจคร้าน
"สัตว์กินพืชไม่จำเป็นต้องรู้"ฮิบาริพูดในขณะที่หลับตาไปด้วย
"ฉันไม่กินผัก"
"..."ความเงียบเข้าครอบงำห้องขนาดกลางแห่งนี้อีกครั้ง ม่านตาสีแดงของร่างเล็กจ้องมองร่างสูงที่นอนหลับบนโซฟาอย่างเอาเรื่อง ริมฝีปากบางขมุบขมิบสบถคำด่าทอฮิบาริและเดินออกจากห้องไปพร้อมกับเสียงเอื่อยเฉื่อยที่ว่า
"ถ้าฉันเป็นอะไรตายขึ้นมา จำไว้ด้วยว่าเป็นเพราะแวมไพร์บ้าเลือดแบบนาย สวัสดี!"
"..."
"..."
มีเพียงความเงียบงันที่ปกคลุมห้องรับแขกของโรงเรียนนามิโมริเท่านั้น ชายหญิงทั้งสองต่างมองกันอย่างประเมินค่าคนตรงหน้าแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรต่อนอกจากยืนอยู่เฉยๆตรงนั้น จนกระทั่งร่างเล็กที่ดูเบื่อหน่ายกับความเงียบจึงเอ่ยขึ้นมา
"นายกับลุงคนนั้นตายแล้วเหรอ ?"
...ไม่มีเสียงอะไรตอบรับร่างเล็ก..
ชายหนุ่มผมสีดำสนิทยิ้มเย็นๆให้และนั่งลงบนโซฟาตัวประจำของตน และเริ่มเอนตัวไปด้านหลัง เปลือกตาเริ่มปิดลงอย่างเกียจคร้าน
"สัตว์กินพืชไม่จำเป็นต้องรู้"ฮิบาริพูดในขณะที่หลับตาไปด้วย
"ฉันไม่กินผัก"
"..."ความเงียบเข้าครอบงำห้องขนาดกลางแห่งนี้อีกครั้ง ม่านตาสีแดงของร่างเล็กจ้องมองร่างสูงที่นอนหลับบนโซฟาอย่างเอาเรื่อง ริมฝีปากบางขมุบขมิบสบถคำด่าทอฮิบาริและเดินออกจากห้องไปพร้อมกับเสียงเอื่อยเฉื่อยที่ว่า
"ถ้าฉันเป็นอะไรตายขึ้นมา จำไว้ด้วยว่าเป็นเพราะแวมไพร์บ้าเลือดแบบนาย สวัสดี!"
-----------------------------------------------------------------------------
ซากิเดินไปอย่างไม่รู้ทิศทางต่อไปเรื่อยๆในตึกอย่างไม่รู้จบ ขาเรียวเตะเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งที่กองอยู่ข้างทางเดินในตึกจนรู้สึกเจ็บแปล๊บจนน้ำตาแทบไหล แต่ความเจ็บปวดที่เท้าก็ไม่มากเท่าอาการปวดหัวของเธอในตอนนี้ พื้นซึ่งเต็มไปด้วยฝุ่นเขรอะเริ่มหมุนติ้วมากขึ้นทุกขณะจนรู้สึกคลื่นไส้ สองขาเรียวชะงัก ประโยคการสนทนาที่น่าจะเคร่งเครียดและเป็นความลับมากพอสมควรดังขึ้นมาจากห้องเรียนห้องหนึ่ง ด้วยความอยากรู้อยากเห็นซากิจึงเอียงคอฟังการสนทนานั้นด้วยท่าทีสนใจขึ้นมาเล็กน้อย
" .....ยังไม่ตาย แต่ว่าพวกผู้พิทักษ์น่าจะโดนลอบสังหารตั้งแต่หลายปีก่อนแล้วไม่ใช่หรือไง?"
"..."
"ทำไมนายถึงกลายเป็นแบบนี้"
"..."
"เกิดอะไรขึ้นกับพวกนายกัน ฮายาโตะ"
"ถึงฉันบอกเธอไปก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก"น้ำเสียงเฉียบขาดดังขึ้น ซากิกระพริบตาปริบๆพยายามสะบัดหัวไล่อาการปวดหัวออกไปและฟังบทสนทนาเพื่อนของตนที่ดูจริงจังมากกว่าปกติกับผู้ชายที่ชื่อฮายาโตะอะไรนั่นต่อไป
"บางที...."
"..."
"การเล่าเรื่องแย่ๆออกมาก็อาจทำให้นายสบายใจกว่านี้ก็ได้นะ"
ร่างเล็กที่ยืนเอียงคอฟังอยู่หน้าบานประตูห้องเรียนกรอกตาไปมาพร้อมเบ้ปากให้คำพูดชวนอ้วกของเพื่อนสนิทตน ก่อนจะหยุดและก้มหน้ากุมหัวด้วยความปวดร้าวราวกับใครเอาค้อนปอนหนักๆมาตีหัวอย่างรุนแรง ใบหน้าหวานนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดอยู่พักหนึ่งโดยที่ไม่ได้สนใจะฟังบทสนทนาอีกต่อไป
"ยังไม่ไปจากโรงเรียนของฉันอีกเหรอ ยัยสัตว์กินพืช"
เสียงเย็นเยียบที่ฟังแล้วชวนสยองขวัญมากกว่าผีลวงตาเมื่อคืนเอ่ยทัก ซากิสะดุ้งแล้วหันมามองหน้านิ่ง บานประตูห้องเรียนถูกเปิดอย่างแรงจนกระแทกหัวร่างเล็กที่ปวดหัวจนแทบระเบิดเป็นเหตุให้เกิดอาการปวดหัวมากกว่าเดิม โกคุเดระเดินออกมาดูข้างนอกและเริ่มต่อว่าซากิที่แอบฟังยืดยาว ส่วนไวโอลีนก็ยืนมองสถานการณ์ความวุ่นวายและปลีกตัวหายไปอย่างแนบเนียน
" .....ยังไม่ตาย แต่ว่าพวกผู้พิทักษ์น่าจะโดนลอบสังหารตั้งแต่หลายปีก่อนแล้วไม่ใช่หรือไง?"
"..."
"ทำไมนายถึงกลายเป็นแบบนี้"
"..."
"เกิดอะไรขึ้นกับพวกนายกัน ฮายาโตะ"
"ถึงฉันบอกเธอไปก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก"น้ำเสียงเฉียบขาดดังขึ้น ซากิกระพริบตาปริบๆพยายามสะบัดหัวไล่อาการปวดหัวออกไปและฟังบทสนทนาเพื่อนของตนที่ดูจริงจังมากกว่าปกติกับผู้ชายที่ชื่อฮายาโตะอะไรนั่นต่อไป
"บางที...."
"..."
"การเล่าเรื่องแย่ๆออกมาก็อาจทำให้นายสบายใจกว่านี้ก็ได้นะ"
ร่างเล็กที่ยืนเอียงคอฟังอยู่หน้าบานประตูห้องเรียนกรอกตาไปมาพร้อมเบ้ปากให้คำพูดชวนอ้วกของเพื่อนสนิทตน ก่อนจะหยุดและก้มหน้ากุมหัวด้วยความปวดร้าวราวกับใครเอาค้อนปอนหนักๆมาตีหัวอย่างรุนแรง ใบหน้าหวานนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดอยู่พักหนึ่งโดยที่ไม่ได้สนใจะฟังบทสนทนาอีกต่อไป
"ยังไม่ไปจากโรงเรียนของฉันอีกเหรอ ยัยสัตว์กินพืช"
เสียงเย็นเยียบที่ฟังแล้วชวนสยองขวัญมากกว่าผีลวงตาเมื่อคืนเอ่ยทัก ซากิสะดุ้งแล้วหันมามองหน้านิ่ง บานประตูห้องเรียนถูกเปิดอย่างแรงจนกระแทกหัวร่างเล็กที่ปวดหัวจนแทบระเบิดเป็นเหตุให้เกิดอาการปวดหัวมากกว่าเดิม โกคุเดระเดินออกมาดูข้างนอกและเริ่มต่อว่าซากิที่แอบฟังยืดยาว ส่วนไวโอลีนก็ยืนมองสถานการณ์ความวุ่นวายและปลีกตัวหายไปอย่างแนบเนียน
5%
"ยัยผู้หญิงไร้มารยาท!! มาแอบฟังคนอื่นได้ยังไงห๊ะ!?" โกคุเดระยังคงจับผ้าพันคอของซากิไว้แล้วเขย่าตัวพร้อมโวยวายไม่จบสิ้น โดยมีผู้พิทักษ์เมฆายืนมองหน้านิ่งอยู่ด้วย
"บอกมาเดี๋ยวนี้ะว้อยยย ฟังอะไรไปบ้างงง ตอบเซ่!!!"
"น..หนาว" ริมฝีปากบางพึมพำเสียงเบา ร่างเล็กโอนเอนไปมาเพราะแรงเขย่าตัวของชายเบื้องหน้า
โครม!!!
=_= <-หน้าโกคุเดระ
-_- <-หน้าฮิบาริ
ชายหนุ่มทั้งสองยืนมองร่างเล็กที่ล้มไปกองกับพื้นเสียงดังอย่างงุนงง มือหนาของโกคุเดระยกขึ้นมาเกากลุ่มผมสีเงินด้วยความมึนงง "เฮ้ย.. ฮิบาริ" เขาเรียกผู้พิทักษ์เมฆาเสียงแผ่วเบา แต่ทว่าเสียงของเขายังคงก้องบนทางเดินในอาคารเรียนร้างแห่งนี้ "มีอะไรเจ้าสัตว์กินพืช" คนถูกเรียกละสายตาคมกริบจากหญิงร่างเล็กที่นอนแน่นิ่งมายังใบหน้าของโกคุเดระ
"แกดูยัยนี่ไปนะ ฉันไปล่ะ!!" ไม่ทันจะพูดอะไรต่อ สัตว์กินพืชหัวเงินก็ออกวิ่งไปด้วยความรวดเร็วแล้ว ร่างสูงส่ายหน้าอย่างเอือมระอาและแค่นยิ้มให้กับร่างเล็กราวกับมีความคิดอะไรดีๆในหัวผุดขึ้นมา
น่าสนุกดีนะ ยัยสัตว์กินพืช...
-------------------------------------------------------------
[ Violin talk ]
หลังจากที่ฉันแอบหนีมาจากสถานการณ์ที่ดูวุ่นวายนั่นแล้วก็รีบตรงดิ่งไปยังทางออกตามที่โกคุเดระบอกตอนคุยกันอยู่ในห้อง จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังคงเดินไปเรื่อยเปื่อยอยู่ในเมือง เพราะมั่นใจว่าถึงกลับไปก็คงไม่เจอเพื่อนอยู่ที่บ้านแน่นอน ขาของฉันยังคงก้าวสลับกันอย่างสม่ำเสมอบนทางเท้า พลางมองบรรยากาศเมืองนามิโมริไปด้วยความตื่นเต้น
ความจริงแล้วมันก็เหมือนเดิมทุกครั้งที่ออกมาเดินข้างนอกบ้านนั่นแหละ.. แต่มันก็สนุกดีที่เดินชมอะไรแปลกตาแบบนี้นะ..
แม่ของฉันเป็นคนในวองโกเล่แฟมิลี่.. ส่วนพ่อของฉันเป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียง ฉันเป็นลูกครึ่งอิตาลี-ญี่ปุ่น และเกิดที่อิตาลี..
ตั้งแต่เด็ก.. ฉันพูดเป็นแต่ภาษาญี่ปุ่น ภาษาแม่ของฉันเพียงเท่านั้น จนกระทั่งตอนห้าขวบ พ่อเริ่มให้ฉันเรียนภาษาอิตาลีเพื่อจะได้สื่อสารกับคนอื่นรู้เรื่องบ้าง..
เพราะอย่างนั้น... ฉันจึงได้พบกับฮายาโตะ
เด็กตัวเล็ก ผมสีเงินสว่างเจิดจ้า ใบหน้าหวานราวกับเด็กผู้หญิง ดวงตาสีมรกตเป็นประกายวิบวับ เด็กคนนั้นกำลังเล่นเปียโนในงานเลี้ยงที่จัดขึ้นที่คฤหาสน์หลังใหญ่โต เขามีท่าทางกระอักกระอ่วนตลอดเวลาเวลาที่ต้องพบเจอคนมากมาย
อาจเป็นเพราะตอนนั้นเป็นเด็กที่ไม่รู้ประสา จึงเข้าไปทักด้วยภาษาอิตาลีที่กระท่อนกระแท่น
หลังจากนั้นฉันกับฮายาโตะก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมา.. จนฮายาโตะหนีออกจากบ้านไปนั่นแหละ ฉันถึงได้สั่งให้ลูกน้องคนสนิทไปตามเก็บถ่ายรูปอยู่บ่อยๆ เดี๋ยว! หยุดเลยนะพวกเธอ ฉันไม่ได้โรคจิตนะ บอกไว้ก่อน! แค่อยากรู้ความเป็นมาเป็นไปของเพื่อนเท่านั้น ขีดเส้นใต้ตัวหนาๆ ทำอักษรใหญ่ๆไว้เลย!
สเปคของผู้หญิงสวยๆรวยๆแบบฉันต้องไม่ใช่เพื่อนหญิง(?)หน้าตาสวยๆอย่างฮาตาโตะ!!!
เถียงกับตัวเองในความคิดต่อไป พลางดูดนมปั่นที่เผลอซื้อมาระหว่างทางอย่างเลื่อนลอย เดินเหม่อทีไรก็เผลอซื้อของมาทุกที ก็มันน่ากินจะตายไปเนอะไรท์... (ตูไม่รู้ตูไม่เกี่ยว ตูมาปั่นฟิคเดี๋ยวก็ไป :ไรท์)
คิ้วเรียวของฉันขมวดเข้าหากัน เมื่อจู่ๆก็นึกถึงเรื่องของเพื่อนตอนเด็กขึ้นมาอีกหน..
ถ้ายัยซากิไม่มาขัดฉัน ป่านนี้ฉันก็รู้เรื่องไปนานแล้วย่ะ! นึกแล้วอยากกระโดดถีบเพื่อนหน้ามึนให้หายมึนไปเลย-_-^
จากข่าวของวงการมาเฟียทั่วไปคือ.. วองโกเล่รุ่นที่สิบและผู้พิทักษ์ถูกลอบสังหารขณะไปเที่ยวพักผ่อนส่วนตัว และไม่มีร่องรอยของซากศพหรืออะไรโผล่มาให้เห็น รวมทั้งร่างของวองโกเล่ที่มีชีวิตก็ไม่โผล่มาให้เห็นอีกเลยเช่นกัน
แต่ในตอนนี้เราก็พบผู้พิทักษ์ตั้งสามคนว่ายังมีชีวิตอยู่นี่หน่า.. ไม่สิทั้งสามไม่มีชีวิตอีกต่อไปแล้ว
เพราะทั้งสามกลายเป็นแวมไพร์.. และเป็นอมตะ
มีผู้คนมากมายที่ต้องการจะสังหารวองโกเล่.. แต่จะเป็นใครที่แข็งแกร่งพอที่จะทำให้วองโกเล่สูญหายไปได้ ในตอนแรกที่ถามถึงบอสรุ่นที่สิบ ฮายาโตะก็ดูลำบากใจที่จะตอบคำถามสั้นๆของฉันมากพอสมควรแถมในแววตามรกตนั่นยังดูเศร้าสร้อยอย่างบอกไม่ถูกอีกต่างหาก
นึกแล้วก็รู้สึกหดหู่่ตามไปด้วย กลับบ้านไปหาเพื่อนดีกว่าเยอะ >O<
ฟิ้วว .....
ประหนึ่งมีสายลมพัดผ่านเสียงฟิ้วพร้อมใบไม้แห้งๆหล่นจากต้นปลิวพัดมาด้วย หน้าบ้านขนาดกลางมีเพียงความเงียบสงบในยามค่ำ ฉันมองไปรอบบริเวณถนนอย่างระแวงและจับไขประตูบ้านอยู่พักใหญ่
ยัยสองคนนั้นหายไปก็เหงาอยู่เหมือนกันแฮะ..
พอเข้ามาในตัวบ้านได้ก็เตรียมที่จะล็อคประตูเหล็กหน้าบ้านอีกครั้งด้วยท่าทีอืดอาดผิดปกติ ฉันหยุดการกระทำไปพักหนึ่งและเอียงคอพักเสียงฝีเท้าที่เหมือนจะล่องลอยมาแต่ไกล
"ยัยสัตว์กินพืช เปิดประตู"
=[]= น... นี่มัน ผู้ชายหน้าหล่อใจอำมหิตที่มัดฉันไว้กับเก้าอี้เป็นชั่วโมงนี่!!!
"จะเปิดประตูหรือจะโดนฉันขย้ำ เร็วสิ สัตว์กินพืชนี่มันหนัก"
ฉันมองไปยังหลังของผู้พิทักษ์เมฆา ฮิบาริ เคียวยะที่ได้ยินชื่อมาจากแม่อย่างตกตะลึง ได้ข่าวมาว่าผู้ชายคนนี้ไม่ค่อยสุงสิงและยุ่งกับใคร ทำไมถึงแบกเพื่อนเวรหน้ามึนของฉันมาได้เนี่ยยย =[]=!!!
มือเรียวเล็กรีบเลื่อนรั้วเหล็กหน้าบ้านแล้วล็อคอย่างเสร็จสรรพ ฉันยังคงอ้าปากค้างอย่างทึ่งๆโดยไม่พูดอะไรต่อ เพราะถ้าพูดอาจไม่เหลือชีวิตรอด บางทีฉันอาจจะกลายเป็นศพอนาถหมดความสวยโดนยัดศพหน้าประตูบ้านก็เป็นได้... ฉันรีบวิ่งไปดูฮิบาริกับซากิที่ไร้สติและเห็นว่าเพื่อนโดนโยนทิ้งลงโซฟาอย่างไร้เยื่อใย
บางทีนะ.. ฉันว่าร่างกายเพื่อนฉันไม่สมประกอบกว่าเดิมก็อาจเป็นเพราะตานี่โยนเพื่อนฉันลงแบบนี้ แล้วก็ผู้ชายหัวสับปะรดคนนั้นก็โยนก่อนหน้านี้มาอีก ถ้ามีวาสนาเจอกันใหม่นะซากิเพื่อนรัก..=_=
"ถ้ายัยสัตว์กินพืชตัวนี้ฟื้นเมื่อไหร่....." นิ้วชี้เรียวของชายหนุ่มชี้ไปยังซากิที่นอนขดตัวอยู่บนโซฟา
"ฉันจะกลับมาขย้ำยัยนี่เล่น "
"เอ้อ...ถ้าฉันไม่โง่ ฉันจะไม่บอกนายว่าซากิฟื้นเมื่อไหร่ เชิญไปได้แล้วฮิบาริ" ฉันกรอกตาไปมาและผายมือไปยังประตูไม้ชั้นดี นึกสงสารเพื่อนที่นอนซมเพราะไข้ขึ้นมาจับใจ
ฮิบาริดูเหมือนจะสงสัยเล็กน้อยว่าทำไมถึงรู้จักชื่อฮิบาริได้ แต่คนตรงหน้าก็ไม่ได้ปริปากถามอะไรออกมา เพียงแต่หันหลังกลับไปด้วยดีโดยไม่มีการขัดขืน
หลังจากที่ฉันแอบหนีมาจากสถานการณ์ที่ดูวุ่นวายนั่นแล้วก็รีบตรงดิ่งไปยังทางออกตามที่โกคุเดระบอกตอนคุยกันอยู่ในห้อง จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังคงเดินไปเรื่อยเปื่อยอยู่ในเมือง เพราะมั่นใจว่าถึงกลับไปก็คงไม่เจอเพื่อนอยู่ที่บ้านแน่นอน ขาของฉันยังคงก้าวสลับกันอย่างสม่ำเสมอบนทางเท้า พลางมองบรรยากาศเมืองนามิโมริไปด้วยความตื่นเต้น
ความจริงแล้วมันก็เหมือนเดิมทุกครั้งที่ออกมาเดินข้างนอกบ้านนั่นแหละ.. แต่มันก็สนุกดีที่เดินชมอะไรแปลกตาแบบนี้นะ..
แม่ของฉันเป็นคนในวองโกเล่แฟมิลี่.. ส่วนพ่อของฉันเป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียง ฉันเป็นลูกครึ่งอิตาลี-ญี่ปุ่น และเกิดที่อิตาลี..
ตั้งแต่เด็ก.. ฉันพูดเป็นแต่ภาษาญี่ปุ่น ภาษาแม่ของฉันเพียงเท่านั้น จนกระทั่งตอนห้าขวบ พ่อเริ่มให้ฉันเรียนภาษาอิตาลีเพื่อจะได้สื่อสารกับคนอื่นรู้เรื่องบ้าง..
เพราะอย่างนั้น... ฉันจึงได้พบกับฮายาโตะ
เด็กตัวเล็ก ผมสีเงินสว่างเจิดจ้า ใบหน้าหวานราวกับเด็กผู้หญิง ดวงตาสีมรกตเป็นประกายวิบวับ เด็กคนนั้นกำลังเล่นเปียโนในงานเลี้ยงที่จัดขึ้นที่คฤหาสน์หลังใหญ่โต เขามีท่าทางกระอักกระอ่วนตลอดเวลาเวลาที่ต้องพบเจอคนมากมาย
อาจเป็นเพราะตอนนั้นเป็นเด็กที่ไม่รู้ประสา จึงเข้าไปทักด้วยภาษาอิตาลีที่กระท่อนกระแท่น
หลังจากนั้นฉันกับฮายาโตะก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมา.. จนฮายาโตะหนีออกจากบ้านไปนั่นแหละ ฉันถึงได้สั่งให้ลูกน้องคนสนิทไปตามเก็บถ่ายรูปอยู่บ่อยๆ เดี๋ยว! หยุดเลยนะพวกเธอ ฉันไม่ได้โรคจิตนะ บอกไว้ก่อน! แค่อยากรู้ความเป็นมาเป็นไปของเพื่อนเท่านั้น ขีดเส้นใต้ตัวหนาๆ ทำอักษรใหญ่ๆไว้เลย!
สเปคของผู้หญิงสวยๆรวยๆแบบฉันต้องไม่ใช่เพื่อนหญิง(?)หน้าตาสวยๆอย่างฮาตาโตะ!!!
เถียงกับตัวเองในความคิดต่อไป พลางดูดนมปั่นที่เผลอซื้อมาระหว่างทางอย่างเลื่อนลอย เดินเหม่อทีไรก็เผลอซื้อของมาทุกที ก็มันน่ากินจะตายไปเนอะไรท์... (ตูไม่รู้ตูไม่เกี่ยว ตูมาปั่นฟิคเดี๋ยวก็ไป :ไรท์)
คิ้วเรียวของฉันขมวดเข้าหากัน เมื่อจู่ๆก็นึกถึงเรื่องของเพื่อนตอนเด็กขึ้นมาอีกหน..
ถ้ายัยซากิไม่มาขัดฉัน ป่านนี้ฉันก็รู้เรื่องไปนานแล้วย่ะ! นึกแล้วอยากกระโดดถีบเพื่อนหน้ามึนให้หายมึนไปเลย-_-^
จากข่าวของวงการมาเฟียทั่วไปคือ.. วองโกเล่รุ่นที่สิบและผู้พิทักษ์ถูกลอบสังหารขณะไปเที่ยวพักผ่อนส่วนตัว และไม่มีร่องรอยของซากศพหรืออะไรโผล่มาให้เห็น รวมทั้งร่างของวองโกเล่ที่มีชีวิตก็ไม่โผล่มาให้เห็นอีกเลยเช่นกัน
แต่ในตอนนี้เราก็พบผู้พิทักษ์ตั้งสามคนว่ายังมีชีวิตอยู่นี่หน่า.. ไม่สิทั้งสามไม่มีชีวิตอีกต่อไปแล้ว
เพราะทั้งสามกลายเป็นแวมไพร์.. และเป็นอมตะ
มีผู้คนมากมายที่ต้องการจะสังหารวองโกเล่.. แต่จะเป็นใครที่แข็งแกร่งพอที่จะทำให้วองโกเล่สูญหายไปได้ ในตอนแรกที่ถามถึงบอสรุ่นที่สิบ ฮายาโตะก็ดูลำบากใจที่จะตอบคำถามสั้นๆของฉันมากพอสมควรแถมในแววตามรกตนั่นยังดูเศร้าสร้อยอย่างบอกไม่ถูกอีกต่างหาก
นึกแล้วก็รู้สึกหดหู่่ตามไปด้วย กลับบ้านไปหาเพื่อนดีกว่าเยอะ >O<
ฟิ้วว .....
ประหนึ่งมีสายลมพัดผ่านเสียงฟิ้วพร้อมใบไม้แห้งๆหล่นจากต้นปลิวพัดมาด้วย หน้าบ้านขนาดกลางมีเพียงความเงียบสงบในยามค่ำ ฉันมองไปรอบบริเวณถนนอย่างระแวงและจับไขประตูบ้านอยู่พักใหญ่
ยัยสองคนนั้นหายไปก็เหงาอยู่เหมือนกันแฮะ..
พอเข้ามาในตัวบ้านได้ก็เตรียมที่จะล็อคประตูเหล็กหน้าบ้านอีกครั้งด้วยท่าทีอืดอาดผิดปกติ ฉันหยุดการกระทำไปพักหนึ่งและเอียงคอพักเสียงฝีเท้าที่เหมือนจะล่องลอยมาแต่ไกล
"ยัยสัตว์กินพืช เปิดประตู"
=[]= น... นี่มัน ผู้ชายหน้าหล่อใจอำมหิตที่มัดฉันไว้กับเก้าอี้เป็นชั่วโมงนี่!!!
"จะเปิดประตูหรือจะโดนฉันขย้ำ เร็วสิ สัตว์กินพืชนี่มันหนัก"
ฉันมองไปยังหลังของผู้พิทักษ์เมฆา ฮิบาริ เคียวยะที่ได้ยินชื่อมาจากแม่อย่างตกตะลึง ได้ข่าวมาว่าผู้ชายคนนี้ไม่ค่อยสุงสิงและยุ่งกับใคร ทำไมถึงแบกเพื่อนเวรหน้ามึนของฉันมาได้เนี่ยยย =[]=!!!
มือเรียวเล็กรีบเลื่อนรั้วเหล็กหน้าบ้านแล้วล็อคอย่างเสร็จสรรพ ฉันยังคงอ้าปากค้างอย่างทึ่งๆโดยไม่พูดอะไรต่อ เพราะถ้าพูดอาจไม่เหลือชีวิตรอด บางทีฉันอาจจะกลายเป็นศพอนาถหมดความสวยโดนยัดศพหน้าประตูบ้านก็เป็นได้... ฉันรีบวิ่งไปดูฮิบาริกับซากิที่ไร้สติและเห็นว่าเพื่อนโดนโยนทิ้งลงโซฟาอย่างไร้เยื่อใย
บางทีนะ.. ฉันว่าร่างกายเพื่อนฉันไม่สมประกอบกว่าเดิมก็อาจเป็นเพราะตานี่โยนเพื่อนฉันลงแบบนี้ แล้วก็ผู้ชายหัวสับปะรดคนนั้นก็โยนก่อนหน้านี้มาอีก ถ้ามีวาสนาเจอกันใหม่นะซากิเพื่อนรัก..=_=
"ถ้ายัยสัตว์กินพืชตัวนี้ฟื้นเมื่อไหร่....." นิ้วชี้เรียวของชายหนุ่มชี้ไปยังซากิที่นอนขดตัวอยู่บนโซฟา
"ฉันจะกลับมาขย้ำยัยนี่เล่น "
"เอ้อ...ถ้าฉันไม่โง่ ฉันจะไม่บอกนายว่าซากิฟื้นเมื่อไหร่ เชิญไปได้แล้วฮิบาริ" ฉันกรอกตาไปมาและผายมือไปยังประตูไม้ชั้นดี นึกสงสารเพื่อนที่นอนซมเพราะไข้ขึ้นมาจับใจ
ฮิบาริดูเหมือนจะสงสัยเล็กน้อยว่าทำไมถึงรู้จักชื่อฮิบาริได้ แต่คนตรงหน้าก็ไม่ได้ปริปากถามอะไรออกมา เพียงแต่หันหลังกลับไปด้วยดีโดยไม่มีการขัดขืน
-------------------------------------------
ฉันจัดการลากตัวซากิไปเรื่อยๆตามทางเดินไปยังห้องนอนของนางด้วยความพยายาม(?) ตัวเล็กกว่าฉันทำไมมันหนักแบบนี้ยะ หรือว่ายัยนี่แอบไปซ่อนน้ำหนักหรือไขมันส่วนเกินไว้ที่ไหน ฉันออกแรงดึงเพื่อนสนิทยิ่งกว่าเก่าเพื่อลากขึ้นเตียง แค่จับมือซากิก็รับรู้ถึงความร้อนจัดผิดปกติแล้ว เมื่อลากเพื่อนขึ้นเตียงไว้อย่างทุลักทุเลเสร็จก็จัดการเช็ดตัวให้แบบลวกๆ (ก็คนมันไม่เคยทำนี่ =^=) โดยปกติแล้วซากิเป็นคนขี้เซาที่ป่วยง่ายมากๆ ก็มีแต่อึนจีนางฟ้านางสวรรค์แม่พระของกลุ่มนี่แหละที่มานั่งดูแลเพื่อนไม่หลับไม่นอนประหนึ่งคุณแม่นั่งดูแลลูกน้อยวัยสามเดือนกำลังป่วยหนักอะไรประมาณนั้น ฉันถอนหายใจและเอามือทาบหน้าผากเนียนใสของเพื่อนอย่างเบามือ
ปกติเวลายัยนี่เป็นไข้ก็ไม่เป็นขนาดหน้าซีด แก้มแดงจัด อะไรขนาดนี้ไม่ใช่รึไง
ไวเท่าความคิด ฉันรีบจับหน้าร้อนๆของเพื่อนหันไปอีกทางเพื่อจะดูที่คอขาวๆของยัยซากิ.. ร่องรอยของเขี้ยวปรากฎแก่สายตาของฉัน แทบอยากจะยกเท้าขึ้นมาก่ายหน้าผากตัวเอง ที่แท้ก็เป็นเพราะโดนดูดเลือดจนเลือดเหลือน้อย ภูมิคุ้มกันต่ำก็ต่ำยิ่งกว่าเดิม ไข้หนักแบบนี้ก็สมน้ำหน้าแล้วยัยหน้ามึน=_=;
แต่ซากิไม่ใช่คนที่ยอมอะไรใครง่ายๆไม่ใช่เหรอ...
ตอนนั้นที่เจอกันในห้องฝุ่นเขรอะนั่น ซากิหลับอยู่นี่หน่า..
ยัยนี่ตื่นยากจะตาย...
โดนลักดูดเลือดตอนหลับอยู่แน่ๆ=__=
ฉันได้แต่มองเพื่อนที่นอนซมเพราะพิษไข้อย่างหนักใจ และจัดแจงห่มผ้าห่มให้ซากิ ฉันเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบพร้อมกุมขมับกับความขี้เซาของเพื่อนตัวเอง
[ Violin end talk ]
----------------------
อาจเป็นเพราะความรู้สึกเหมือนหัวจะแตกเป็นเสี่ยงๆของซากิ จึงทำให้ร่างเล็กร้องขึ้นมาเสียงดังและหน้าผากที่ร้อนจัดของตนไว้แน่น เธอหอบหายใจและยังคงนั่งกุมศีรษะของตัวเองอยู่อย่างนั้นนานพอควร ความรู้สึกมันตื๊อเริ่มคืบคลานเข้ามาในหัวสมองของคนขี้เซามากขึ้นกว่าเก่าเมื่อจะเอนตัวลงนอนหลับ ริมฝีปากบางพึมพำเสียงแหบแห้ง ก่อนที่มือเรียวเล็กจะเริ่มคลำหาสวิตซ์ของโคมไฟบนตู้ไม้ข้างเตียงขนาดเล็ก เมื่อไฟสีส้มจางๆติดขึ้นมาสำเร็จร่างเล็กก็พยุงร่างกายที่ร้อนจัดเดินไปตามทางในยามค่ำคืนอันเงียบสงัด
ร่างเล็กกุมหัวตัวเองและก้มหน้าเดินออกมาจากห้องนอนอย่างเชื่องช้า มือเรียวเล็กเคลื่อนไปตามกำแพงเพื่อหาสวิตซ์ไฟ ราวกับว่ามีใครทุบหัวอีกครั้ง ใบหน้าซากิบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ร่างเล็กสบัดหัวแรงๆสองสามทีเพื่อไล่อาการมึนตื๊อในหัวออกไปแต่ดูเหมือนสถานการณ์จะแย่ลงกว่าเดิมเสียอีก มือเรียวทั้งสองยกขึ้นเปิดตู้เก็บยาต่างๆอย่างรวดเร็ว ยาแก้ปวดหัวเป็นสิ่งที่หาง่ายที่สุดในตู้ยาประจำบ้าน ร่างเล็กยิ้มบางก่อนจะเทเม็ดยาสีขาวสะอาดลงบนมือของตนพร้อมจัดการเก็บของให้เรียบร้อยและเดินดุ่มไปที่ห้องครัว
ซากิหยิบขวดน้ำในตู้เย็นในห้องครัวขึ้นมากระดกลงคอพร้อมกับยาแก้ปวด ร่างเล็กอ้าปากหาววอดและบิดขี้เกียจพลางเดินไปยังห้องนอนของตนด้วยอาการปวดหัวที่ทวีความปวดไปอีกหลายเท่า
----------------------------------------
-เช้าวันรุ่งขึ้น-
ร่างเล็กตื่นขึ้นมาด้วยท่าทีสดใสกว่าเมื่อวานหลายเท่า ไวโอลีนและซากิที่ทำอะไรไม่ค่อยจะเป็นเมื่อไม่มีอึนจี ทั้งสองจึงต้มซุปสาหร่ายสำเร็จรูปธรรมดาเป็นอาหารเช้าซึ่งมันก็ช่วยบรรเทาอาการหิวโหยของทั้งคู่ได้ไม่ดีมากนัก
"เดี๋ยวฉันจะออกไปซื้อของกินข้างนอก" หญิงสาวเรือนผมสีดำสนิทเอ่ยขึ้นพร้อมกับแต่งตัวให้อบอุ่นมากขึ้นกับสภาพอากาศหนาวเย็นด้านนอกบ้าน "ซื้ออะไร?"คนผมยาวสีสว่างตาเท้าคางถามด้วยท่าทีน่าหมั่นไส้ในสายตาของไวโอลีน ดวงตาสีม่วงตวัดไปมองเพื่อนที่ป่วยอย่างคาดโทษ แต่คนถูกมองกลับตีหน้ามึนใส่พร้อมกระพริบตาปริบๆราวกับไม่รับรู้สายตาโหดๆของไวโอลีน
"ฉัันคงไม่ใจร้ายขนาดที่จะให้คนป่วยแบบเธอไปซื้อของข้างนอกหรอก"
"งั้นคนใจดีต้องทิ้งเพื่อนไว้สินะ?"ซากิย้อนถามโดยที่ยังคงสีหน้าอยู่เช่นเดิม เป็นที่รู้ๆกันอยู่ว่าซากิเป็นผู้หญิงที่ทำตัวขวางโลก ทำอะไรแปลกประหลาด บางครั้งก็ปากเสียจนใครหลายๆคนอยากจับผู้หญิงคนนี้ไปกระทืบให้จมดิน แน่ล่ะ ตั้งแต่มัธยมต้นจนถึงมัธยมปลายไม่มีใครกล้าแหยมกับผู้หญิงดูไร้พิษสงคนนี้แม้แต่คนเดียว ความจริงแล้วคนที่มาหาเรื่องซากิก็ไม่มีชีวิตรอดไปอย่างสงบสุขในรั้วโรงเรียนอีกเลย มีเพียงแต่ไวโอลีนและอึนจีเท่านั้นที่เป็นเพื่อนและสนิทกับร่างเล็ก
ไวโอลีนทำเพียงแค่หัวเราะให้กับเพื่อนสนิท ยักไหล่เล็กน้อยและเดินออกไปจากบ้าน โดยมีดวงตากลมสีแดงฉานจับจ้องอยู่ตลอดเวลา
[Saki Talk]
ฉันถอนหายใจกับคำพูดที่ไร้การกลั่นกรองจากสมองที่พ่นออกไปใส่หนึ่งในเพื่อนสนิทแบบนั้น เปลือกตาของฉันปิดลงอย่างเชื่องช้า มือเรียวของฉันยกขึ้นมานวดขมับเบาๆ ฉันลืมตาขึ้นอีกครั้งและทอดสายตามองไปยังหน้าต่างที่เบื้องนอกมีหิมะโปรยปรายอยู่เต็มไปหมด ทุกอย่างด้านนอกเป็นสีขาวแทบทุกอย่าง มันดูสะอาดตาและหมดจดไปทุกอย่าง ถ้าฉันไม่ป่วยเพราะผีดูดเลือดคนนั้น ตอนนี้ฉันคงจะได้ไปเล่นหิมะและอาจได้ปั้นมนุษย์หิมะที่สวนข้างบ้านกับเพื่อนทั้งสองคนก็ได้
อึนจีหายไปไหนกันนะ...
ฉันนึกถึงใบหน้าใสซื่อของเพื่อนชาวเกาหลีทันที ไม่คิดเลยว่าเมื่อไม่มีเพื่อนชาวเกาหลีคนนี้ทุกอย่างจะดูยากลำบากไปเกือบทุกอย่าง ฉันมองชามว่างเปล่าที่เคยบรรจุน้ำซุปสาหร่ายสำเร็จรูปด้วยสายตานิ่งเฉย มือของฉันเลื่อนจากขมับไปยังแก้วน้ำที่บรรจุน้ำเปล่าใสสะอาดไว้เต็มเปี่ยม ฉันยกมันขึ้นกระดกดื่มพร้อมกับกลืนเม็ดยาหลายเม็ดลงคอ
"แค่กๆ! อ่ะ.. แค่กๆๆ!!" ฉันเริ่มต้นไอจนรู้สึกแสบในลำคอไปหมด รู้สึกทรมานกับการป่วยครั้งนี้มากกว่าครั้งไหนๆ นึกโกรธแค้นผู้ชายคนนั้นอยู่ในใจ ถ้าหายดีเมื่อไหร่...
.
.
.
.
.....
.
.
.
.
"จะขย้ำให้เรียบ"
ใช่แล้ว ฉันจะขย้ำนายไม่ให้เหลือชิ้นดี ฉันยิ้มบางให้กับความคิดแก้แค้นที่ดูชั่วร้ายราวกับนางมารร้ายในละครหลังข่าวนั่น แล้วหัวเราะหึๆในลำคอเสียงแหบแห้ง
เดี๋ยวนะ.....
เมื่อกี้ฉันไม่ได้พูด..
ม่านตาสีแดงจัดของฉันเบิกกว้างด้วยความตกใจกลัว ฉันอ้าปากเล็กน้อยและหันหาต้นตอของเสียงเย็นๆน่าขนลุกนั่น
"เหยด....."
ฉันพึมพำเบาๆเมื่อหาต้นตอของเสียงนั้นเจอ ปากที่อ้าค้างจนจะเป็นตัวโอหุบทันทีเมื่อเห็นหน้าเจ้าของเสียงเย็นเสียวสันหลังวาบขนาดนี้ ฉันไม่ใช่นางเอกนิยายที่ต้องถามประมาณว่า 'อ้าว.. นายมาที่นี่ทำไม?' 'อีตาหัวรังนกหน้าหล่อ จะมาที่นี่ทำไมห๊ะ!?' 'เฮ้ ว่าไงนายที่ดูดเลือดฉันเมื่อคืน' 'ว่าไงสุดหล่อ'
คนอย่างซากิไม่มีทางพูดจาแบบนั้น คำว่าสุภาพสตรีนี่อย่าให้พูดถึง
บอกว่าฉันเป็นทอมอาจจะมีคนเชื่อก็ได้นะ...
ว่าแต่... ในประโยคนั่นที่ฉันทดลองเป็นนางเอกสวยใสฉันเผลอชมผู้ชายคนนี้ไปนี่หว่าาา=[]=!
"ท่าทางจะหายดีแล้วนี่ มาเล่นขย้ำกันหน่อยเป็นไง?"
ขย้ำบ้านแกสิ-_-;
"กลัวจนพูดไม่ออกรึไง ยัยสัตว์กินพืช"
ที่นายนิสัยแบบนี้เป็นเพราะไม่กินผักสินะ?
"คิดว่าจะน่าสนุกกว่านี้ซะอีก ที่แท้ก็เป็นแค่สัตว์ปวกเปียกที่ทำอะไรไม่เป็น"
ว่างมากก็ไปดูแลรักษาสุนัขในช่องปากด้วยก็ดีนะ พ่อคนรับประทานเนื้อ
เคร้ง!
อาวุธเป็นท่อนสีเงินถูกนำออกมาโดยไม่มีการบอกกล่าว ฉันเกือบจะโดนมันไปเต็มเปาถ้าไม่หยิบแจกันข้างโต๊ะขึ้นมากันไว้ก่อน แต่แจกันที่ฉันถือไว้กลับร้าวและแตกคามือฉันในไม่กี่วินาทีต่อมา
"หึ.." แวมไพร์ที่ไม่รู้จักชื่อแสยะยิ้มอย่างดูถูกเหยียดหยามที่มุมปาก
เขาถอยไปไม่กี่ก้าวและเริ่มพุ่งใส่ฉันอีกรอบ ฉันยกแขนที่ปราศจากอาวุธทั้งสองข้างขึ้นมากัน ท่อนเหล็กนั้นสร้างความปวดร้าวได้เป็นอย่างดี ใบหน้าของฉันเหยเกด้วยความเจ็บปวดที่แล่นปราดอยู่ตรงแขนที่ดูเหมือนจะไร้ความรู้สึกไปแล้ว
"ทนได้ดีนี่" ชายเบื้องหน้าว่าพลางยิ้มเหยียดหยามมากกว่าเก่า
ฉันอาศัยจังหวะการเผลอของชายคนนี้และจัดการจับแขนข้างหนึ่งของเขาบิด แต่ชายคนนี้ที่มีแรงมหาศาลกลับสบัดฉันออกจนกระเด็นและล้มไปกองกับพื้น
"เจ้าหัวพืชไร่นั่นคงไร้ความสามารถอย่างที่ว่าไปจริงๆ" เขาพึมพำและใช้สายตานิ่งเฉยมองมาที่ฉันและเริ่มพุ่งตรงเข้ามาหาฉันอีกรอบด้วยความเร็วมากกว่าเก่า
เคร้ง!
เสียงท่อนเหล็กและเหล็กชั้นดีกระทบกันดังสนั่น ฉันและชายตรงหน้าสบตามองกันอย่างรู้เท่าทันและหมุนตัวกลับหลังกัน พร้อมหันมาประจันหน้ากันอีกครา พัดที่ทำจากเหล็กชั้นดีสะบัดไปโดนใบหน้าของแวมไพร์พอดีจนเป็นรอยยาวบนแก้มขาวเนียนของเขา ฉันฉีกยิ้มเย็นให้ผู้ชายเบื้องหน้าและเบี่ยงตัวหลบการโจมตีด้วยทอนฟาไปทันหวุดหวิด ฉันเบิกตาค้างอย่างงุนงงเมื่อฉันหยุดทอนฟาของคนตรงหน้าได้สำเร็จ แต่กลับมีอะไรยื่นออกมาจากปลายของท่อนเหล็กสีเงินและหมุนโจมตีฉันอย่างรวดเร็ว ผมยาวๆของฉันถูกตัดเล็มโดยแวมไพร์บ้าเลือดตรงหน้า ฉันข้วางพัดเหล็กหนักๆไปอันหนึ่งมันแปรเปลี่ยนกลายเป็นบูมเมอแรงที่ปลายทำจากมีดคมกริบ มันพุ่งตรงไปยังชายหนุ่มที่ดูตกตะลึงกับอาวุธแปลกประหลาดของฉัน เสื้อตัวยาวของเขาขาดไปบางส่วน เมื่อเขาเห็นว่าฉันเหม่อมองบาดแผลของเขาและรับบูมเมอแรงที่กลายเป็นพัดมาถือไว้นิ่งๆต่อ เขาจึงอาศัยโอกาสนี้ใช้ทอนฟาที่มีใบมีดคมกริบโผล่พ้นออกมาจากท่อนเหล็กฟาดเข้าทีตัวของฉันอย่างจัง แต่สัญชาตญาณของฉันก็สั่งการให้หลบการโจมตีของเขา ซึ่งมีเพียงใบหน้าและแขนบางส่นเท่านั้นที่โดนการโจมตีนี้
[Saki end talk]
ชายหญิงทั้งสองฟาดฟันกันไม่ได้หยุดจนกระทั่งปลายทอนฟาและปลายพัดคมกริบจ่อคอคนทั้งสองพร้อมกัน คนทั้งคู่จึงยอมละการต่อสู้และเก็บอาวุธของตนไปในที่สุด
"ไม่เลวนี่... ยัยสัตว์กินพืช"
ร่างเล็กตื่นขึ้นมาด้วยท่าทีสดใสกว่าเมื่อวานหลายเท่า ไวโอลีนและซากิที่ทำอะไรไม่ค่อยจะเป็นเมื่อไม่มีอึนจี ทั้งสองจึงต้มซุปสาหร่ายสำเร็จรูปธรรมดาเป็นอาหารเช้าซึ่งมันก็ช่วยบรรเทาอาการหิวโหยของทั้งคู่ได้ไม่ดีมากนัก
"เดี๋ยวฉันจะออกไปซื้อของกินข้างนอก" หญิงสาวเรือนผมสีดำสนิทเอ่ยขึ้นพร้อมกับแต่งตัวให้อบอุ่นมากขึ้นกับสภาพอากาศหนาวเย็นด้านนอกบ้าน "ซื้ออะไร?"คนผมยาวสีสว่างตาเท้าคางถามด้วยท่าทีน่าหมั่นไส้ในสายตาของไวโอลีน ดวงตาสีม่วงตวัดไปมองเพื่อนที่ป่วยอย่างคาดโทษ แต่คนถูกมองกลับตีหน้ามึนใส่พร้อมกระพริบตาปริบๆราวกับไม่รับรู้สายตาโหดๆของไวโอลีน
"ฉัันคงไม่ใจร้ายขนาดที่จะให้คนป่วยแบบเธอไปซื้อของข้างนอกหรอก"
"งั้นคนใจดีต้องทิ้งเพื่อนไว้สินะ?"ซากิย้อนถามโดยที่ยังคงสีหน้าอยู่เช่นเดิม เป็นที่รู้ๆกันอยู่ว่าซากิเป็นผู้หญิงที่ทำตัวขวางโลก ทำอะไรแปลกประหลาด บางครั้งก็ปากเสียจนใครหลายๆคนอยากจับผู้หญิงคนนี้ไปกระทืบให้จมดิน แน่ล่ะ ตั้งแต่มัธยมต้นจนถึงมัธยมปลายไม่มีใครกล้าแหยมกับผู้หญิงดูไร้พิษสงคนนี้แม้แต่คนเดียว ความจริงแล้วคนที่มาหาเรื่องซากิก็ไม่มีชีวิตรอดไปอย่างสงบสุขในรั้วโรงเรียนอีกเลย มีเพียงแต่ไวโอลีนและอึนจีเท่านั้นที่เป็นเพื่อนและสนิทกับร่างเล็ก
ไวโอลีนทำเพียงแค่หัวเราะให้กับเพื่อนสนิท ยักไหล่เล็กน้อยและเดินออกไปจากบ้าน โดยมีดวงตากลมสีแดงฉานจับจ้องอยู่ตลอดเวลา
[Saki Talk]
ฉันถอนหายใจกับคำพูดที่ไร้การกลั่นกรองจากสมองที่พ่นออกไปใส่หนึ่งในเพื่อนสนิทแบบนั้น เปลือกตาของฉันปิดลงอย่างเชื่องช้า มือเรียวของฉันยกขึ้นมานวดขมับเบาๆ ฉันลืมตาขึ้นอีกครั้งและทอดสายตามองไปยังหน้าต่างที่เบื้องนอกมีหิมะโปรยปรายอยู่เต็มไปหมด ทุกอย่างด้านนอกเป็นสีขาวแทบทุกอย่าง มันดูสะอาดตาและหมดจดไปทุกอย่าง ถ้าฉันไม่ป่วยเพราะผีดูดเลือดคนนั้น ตอนนี้ฉันคงจะได้ไปเล่นหิมะและอาจได้ปั้นมนุษย์หิมะที่สวนข้างบ้านกับเพื่อนทั้งสองคนก็ได้
อึนจีหายไปไหนกันนะ...
ฉันนึกถึงใบหน้าใสซื่อของเพื่อนชาวเกาหลีทันที ไม่คิดเลยว่าเมื่อไม่มีเพื่อนชาวเกาหลีคนนี้ทุกอย่างจะดูยากลำบากไปเกือบทุกอย่าง ฉันมองชามว่างเปล่าที่เคยบรรจุน้ำซุปสาหร่ายสำเร็จรูปด้วยสายตานิ่งเฉย มือของฉันเลื่อนจากขมับไปยังแก้วน้ำที่บรรจุน้ำเปล่าใสสะอาดไว้เต็มเปี่ยม ฉันยกมันขึ้นกระดกดื่มพร้อมกับกลืนเม็ดยาหลายเม็ดลงคอ
"แค่กๆ! อ่ะ.. แค่กๆๆ!!" ฉันเริ่มต้นไอจนรู้สึกแสบในลำคอไปหมด รู้สึกทรมานกับการป่วยครั้งนี้มากกว่าครั้งไหนๆ นึกโกรธแค้นผู้ชายคนนั้นอยู่ในใจ ถ้าหายดีเมื่อไหร่...
.
.
.
.
.....
.
.
.
.
"จะขย้ำให้เรียบ"
ใช่แล้ว ฉันจะขย้ำนายไม่ให้เหลือชิ้นดี ฉันยิ้มบางให้กับความคิดแก้แค้นที่ดูชั่วร้ายราวกับนางมารร้ายในละครหลังข่าวนั่น แล้วหัวเราะหึๆในลำคอเสียงแหบแห้ง
เดี๋ยวนะ.....
เมื่อกี้ฉันไม่ได้พูด..
ม่านตาสีแดงจัดของฉันเบิกกว้างด้วยความตกใจกลัว ฉันอ้าปากเล็กน้อยและหันหาต้นตอของเสียงเย็นๆน่าขนลุกนั่น
"เหยด....."
ฉันพึมพำเบาๆเมื่อหาต้นตอของเสียงนั้นเจอ ปากที่อ้าค้างจนจะเป็นตัวโอหุบทันทีเมื่อเห็นหน้าเจ้าของเสียงเย็นเสียวสันหลังวาบขนาดนี้ ฉันไม่ใช่นางเอกนิยายที่ต้องถามประมาณว่า 'อ้าว.. นายมาที่นี่ทำไม?' 'อีตาหัวรังนกหน้าหล่อ จะมาที่นี่ทำไมห๊ะ!?' 'เฮ้ ว่าไงนายที่ดูดเลือดฉันเมื่อคืน' 'ว่าไงสุดหล่อ'
คนอย่างซากิไม่มีทางพูดจาแบบนั้น คำว่าสุภาพสตรีนี่อย่าให้พูดถึง
บอกว่าฉันเป็นทอมอาจจะมีคนเชื่อก็ได้นะ...
ว่าแต่... ในประโยคนั่นที่ฉันทดลองเป็นนางเอกสวยใสฉันเผลอชมผู้ชายคนนี้ไปนี่หว่าาา=[]=!
"ท่าทางจะหายดีแล้วนี่ มาเล่นขย้ำกันหน่อยเป็นไง?"
ขย้ำบ้านแกสิ-_-;
"กลัวจนพูดไม่ออกรึไง ยัยสัตว์กินพืช"
ที่นายนิสัยแบบนี้เป็นเพราะไม่กินผักสินะ?
"คิดว่าจะน่าสนุกกว่านี้ซะอีก ที่แท้ก็เป็นแค่สัตว์ปวกเปียกที่ทำอะไรไม่เป็น"
ว่างมากก็ไปดูแลรักษาสุนัขในช่องปากด้วยก็ดีนะ พ่อคนรับประทานเนื้อ
เคร้ง!
อาวุธเป็นท่อนสีเงินถูกนำออกมาโดยไม่มีการบอกกล่าว ฉันเกือบจะโดนมันไปเต็มเปาถ้าไม่หยิบแจกันข้างโต๊ะขึ้นมากันไว้ก่อน แต่แจกันที่ฉันถือไว้กลับร้าวและแตกคามือฉันในไม่กี่วินาทีต่อมา
"หึ.." แวมไพร์ที่ไม่รู้จักชื่อแสยะยิ้มอย่างดูถูกเหยียดหยามที่มุมปาก
เขาถอยไปไม่กี่ก้าวและเริ่มพุ่งใส่ฉันอีกรอบ ฉันยกแขนที่ปราศจากอาวุธทั้งสองข้างขึ้นมากัน ท่อนเหล็กนั้นสร้างความปวดร้าวได้เป็นอย่างดี ใบหน้าของฉันเหยเกด้วยความเจ็บปวดที่แล่นปราดอยู่ตรงแขนที่ดูเหมือนจะไร้ความรู้สึกไปแล้ว
"ทนได้ดีนี่" ชายเบื้องหน้าว่าพลางยิ้มเหยียดหยามมากกว่าเก่า
ฉันอาศัยจังหวะการเผลอของชายคนนี้และจัดการจับแขนข้างหนึ่งของเขาบิด แต่ชายคนนี้ที่มีแรงมหาศาลกลับสบัดฉันออกจนกระเด็นและล้มไปกองกับพื้น
"เจ้าหัวพืชไร่นั่นคงไร้ความสามารถอย่างที่ว่าไปจริงๆ" เขาพึมพำและใช้สายตานิ่งเฉยมองมาที่ฉันและเริ่มพุ่งตรงเข้ามาหาฉันอีกรอบด้วยความเร็วมากกว่าเก่า
เคร้ง!
เสียงท่อนเหล็กและเหล็กชั้นดีกระทบกันดังสนั่น ฉันและชายตรงหน้าสบตามองกันอย่างรู้เท่าทันและหมุนตัวกลับหลังกัน พร้อมหันมาประจันหน้ากันอีกครา พัดที่ทำจากเหล็กชั้นดีสะบัดไปโดนใบหน้าของแวมไพร์พอดีจนเป็นรอยยาวบนแก้มขาวเนียนของเขา ฉันฉีกยิ้มเย็นให้ผู้ชายเบื้องหน้าและเบี่ยงตัวหลบการโจมตีด้วยทอนฟาไปทันหวุดหวิด ฉันเบิกตาค้างอย่างงุนงงเมื่อฉันหยุดทอนฟาของคนตรงหน้าได้สำเร็จ แต่กลับมีอะไรยื่นออกมาจากปลายของท่อนเหล็กสีเงินและหมุนโจมตีฉันอย่างรวดเร็ว ผมยาวๆของฉันถูกตัดเล็มโดยแวมไพร์บ้าเลือดตรงหน้า ฉันข้วางพัดเหล็กหนักๆไปอันหนึ่งมันแปรเปลี่ยนกลายเป็นบูมเมอแรงที่ปลายทำจากมีดคมกริบ มันพุ่งตรงไปยังชายหนุ่มที่ดูตกตะลึงกับอาวุธแปลกประหลาดของฉัน เสื้อตัวยาวของเขาขาดไปบางส่วน เมื่อเขาเห็นว่าฉันเหม่อมองบาดแผลของเขาและรับบูมเมอแรงที่กลายเป็นพัดมาถือไว้นิ่งๆต่อ เขาจึงอาศัยโอกาสนี้ใช้ทอนฟาที่มีใบมีดคมกริบโผล่พ้นออกมาจากท่อนเหล็กฟาดเข้าทีตัวของฉันอย่างจัง แต่สัญชาตญาณของฉันก็สั่งการให้หลบการโจมตีของเขา ซึ่งมีเพียงใบหน้าและแขนบางส่นเท่านั้นที่โดนการโจมตีนี้
[Saki end talk]
ชายหญิงทั้งสองฟาดฟันกันไม่ได้หยุดจนกระทั่งปลายทอนฟาและปลายพัดคมกริบจ่อคอคนทั้งสองพร้อมกัน คนทั้งคู่จึงยอมละการต่อสู้และเก็บอาวุธของตนไปในที่สุด
"ไม่เลวนี่... ยัยสัตว์กินพืช"
------------------------TBC-------------------
ร้อยเปอร์เซนต์ตามสัญญาแล้วฮ๊าบบบบบ ตัดไปแบบงงๆ และมึนๆในการปั่น
มีใครสงสัยมั้ยว่าตอนนี้อึนจีตายไปรึยัง 55555555
เจอกันตอนหน้านะคะ
ร้อยเปอร์เซนต์ตามสัญญาแล้วฮ๊าบบบบบ ตัดไปแบบงงๆ และมึนๆในการปั่น
มีใครสงสัยมั้ยว่าตอนนี้อึนจีตายไปรึยัง 55555555
เจอกันตอนหน้านะคะ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น