ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [fic KHR reborn] Vampire or Mafia

    ลำดับตอนที่ #3 : chapter 2 [อัพเดท 100 %]

    • อัปเดตล่าสุด 24 ธ.ค. 57


    -2-




     
                    ฮิบาริ เคียวยะก้าวขาเดินอย่างไม่เร่งรีบในยามเช้าของฤดูหนาว ดวงตาสีรัตติกาลปรายมองไปด้านนอกหน้าต่างของโรงเรียนนามิโมริซึ่งทุกอย่างในเมืองล้วนเป็นสีขาวสะอาดตา ร่างสูงละสายตาคมจากหน้าต่างบานนั้นแล้วออกเดินต่อไปเรื่อยๆจนถึงบานประตูสีซีดจัดบานหนึ่งที่เปิดทิ้งไว้บางส่วนตั้งแต่เมื่อคืน ชายหนุ่มเลื่อนบานประตูเปิดออก เขาดูไม่ตกใจที่เจอผู้หญิงผมยาวร่างเล็กยืนอยู่ตรงบานประตูพอดี






                  "..."






                 "..."








         มีเพียงความเงียบงันที่ปกคลุมห้องรับแขกของโรงเรียนนามิโมริเท่านั้น ชายหญิงทั้งสองต่างมองกันอย่างประเมินค่าคนตรงหน้าแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรต่อนอกจากยืนอยู่เฉยๆตรงนั้น จนกระทั่งร่างเล็กที่ดูเบื่อหน่ายกับความเงียบจึงเอ่ยขึ้นมา




           "นายกับลุงคนนั้นตายแล้วเหรอ ?"




             ...ไม่มีเสียงอะไรตอบรับร่างเล็ก..




         ชายหนุ่มผมสีดำสนิทยิ้มเย็นๆให้และนั่งลงบนโซฟาตัวประจำของตน และเริ่มเอนตัวไปด้านหลัง  เปลือกตาเริ่มปิดลงอย่างเกียจคร้าน







        "สัตว์กินพืชไม่จำเป็นต้องรู้"ฮิบาริพูดในขณะที่หลับตาไปด้วย





        "ฉันไม่กินผัก"






        "..."ความเงียบเข้าครอบงำห้องขนาดกลางแห่งนี้อีกครั้ง ม่านตาสีแดงของร่างเล็กจ้องมองร่างสูงที่นอนหลับบนโซฟาอย่างเอาเรื่อง ริมฝีปากบางขมุบขมิบสบถคำด่าทอฮิบาริและเดินออกจากห้องไปพร้อมกับเสียงเอื่อยเฉื่อยที่ว่า



              


              "ถ้าฉันเป็นอะไรตายขึ้นมา จำไว้ด้วยว่าเป็นเพราะแวมไพร์บ้าเลือดแบบนาย สวัสดี!"



     
    -----------------------------------------------------------------------------
        
       ซากิเดินไปอย่างไม่รู้ทิศทางต่อไปเรื่อยๆในตึกอย่างไม่รู้จบ ขาเรียวเตะเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งที่กองอยู่ข้างทางเดินในตึกจนรู้สึกเจ็บแปล๊บจนน้ำตาแทบไหล แต่ความเจ็บปวดที่เท้าก็ไม่มากเท่าอาการปวดหัวของเธอในตอนนี้ พื้นซึ่งเต็มไปด้วยฝุ่นเขรอะเริ่มหมุนติ้วมากขึ้นทุกขณะจนรู้สึกคลื่นไส้ สองขาเรียวชะงัก   ประโยคการสนทนาที่น่าจะเคร่งเครียดและเป็นความลับมากพอสมควรดังขึ้นมาจากห้องเรียนห้องหนึ่ง ด้วยความอยากรู้อยากเห็นซากิจึงเอียงคอฟังการสนทนานั้นด้วยท่าทีสนใจขึ้นมาเล็กน้อย




              " .....ยังไม่ตาย แต่ว่าพวกผู้พิทักษ์น่าจะโดนลอบสังหารตั้งแต่หลายปีก่อนแล้วไม่ใช่หรือไง?"


              "..."


              "ทำไมนายถึงกลายเป็นแบบนี้"


              "..."

            

             "เกิดอะไรขึ้นกับพวกนายกัน ฮายาโตะ"



             "ถึงฉันบอกเธอไปก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก"น้ำเสียงเฉียบขาดดังขึ้น ซากิกระพริบตาปริบๆพยายามสะบัดหัวไล่อาการปวดหัวออกไปและฟังบทสนทนาเพื่อนของตนที่ดูจริงจังมากกว่าปกติกับผู้ชายที่ชื่อฮายาโตะอะไรนั่นต่อไป




             "บางที...."


              "..."
            

             "การเล่าเรื่องแย่ๆออกมาก็อาจทำให้นายสบายใจกว่านี้ก็ได้นะ"




          ร่างเล็กที่ยืนเอียงคอฟังอยู่หน้าบานประตูห้องเรียนกรอกตาไปมาพร้อมเบ้ปากให้คำพูดชวนอ้วกของเพื่อนสนิทตน ก่อนจะหยุดและก้มหน้ากุมหัวด้วยความปวดร้าวราวกับใครเอาค้อนปอนหนักๆมาตีหัวอย่างรุนแรง ใบหน้าหวานนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดอยู่พักหนึ่งโดยที่ไม่ได้สนใจะฟังบทสนทนาอีกต่อไป






       "ยังไม่ไปจากโรงเรียนของฉันอีกเหรอ ยัยสัตว์กินพืช"



    เสียงเย็นเยียบที่ฟังแล้วชวนสยองขวัญมากกว่าผีลวงตาเมื่อคืนเอ่ยทัก ซากิสะดุ้งแล้วหันมามองหน้านิ่ง บานประตูห้องเรียนถูกเปิดอย่างแรงจนกระแทกหัวร่างเล็กที่ปวดหัวจนแทบระเบิดเป็นเหตุให้เกิดอาการปวดหัวมากกว่าเดิม โกคุเดระเดินออกมาดูข้างนอกและเริ่มต่อว่าซากิที่แอบฟังยืดยาว ส่วนไวโอลีนก็ยืนมองสถานการณ์ความวุ่นวายและปลีกตัวหายไปอย่างแนบเนียน




     
    5%


      



             "ยัยผู้หญิงไร้มารยาท!! มาแอบฟังคนอื่นได้ยังไงห๊ะ!?"        โกคุเดระยังคงจับผ้าพันคอของซากิไว้แล้วเขย่าตัวพร้อมโวยวายไม่จบสิ้น โดยมีผู้พิทักษ์เมฆายืนมองหน้านิ่งอยู่ด้วย





           "บอกมาเดี๋ยวนี้ะว้อยยย ฟังอะไรไปบ้างงง ตอบเซ่!!!"






           "น..หนาว"    ริมฝีปากบางพึมพำเสียงเบา ร่างเล็กโอนเอนไปมาเพราะแรงเขย่าตัวของชายเบื้องหน้า







             โครม!!!






          =_= <-หน้าโกคุเดระ




           -_- <-หน้าฮิบาริ




             ชายหนุ่มทั้งสองยืนมองร่างเล็กที่ล้มไปกองกับพื้นเสียงดังอย่างงุนงง มือหนาของโกคุเดระยกขึ้นมาเกากลุ่มผมสีเงินด้วยความมึนงง "เฮ้ย.. ฮิบาริ"  เขาเรียกผู้พิทักษ์เมฆาเสียงแผ่วเบา แต่ทว่าเสียงของเขายังคงก้องบนทางเดินในอาคารเรียนร้างแห่งนี้  "มีอะไรเจ้าสัตว์กินพืช"  คนถูกเรียกละสายตาคมกริบจากหญิงร่างเล็กที่นอนแน่นิ่งมายังใบหน้าของโกคุเดระ




              "แกดูยัยนี่ไปนะ ฉันไปล่ะ!!"  ไม่ทันจะพูดอะไรต่อ สัตว์กินพืชหัวเงินก็ออกวิ่งไปด้วยความรวดเร็วแล้ว ร่างสูงส่ายหน้าอย่างเอือมระอาและแค่นยิ้มให้กับร่างเล็กราวกับมีความคิดอะไรดีๆในหัวผุดขึ้นมา







              น่าสนุกดีนะ ยัยสัตว์กินพืช...









     
    -------------------------------------------------------------





     
                  [ Violin  talk ]





                หลังจากที่ฉันแอบหนีมาจากสถานการณ์ที่ดูวุ่นวายนั่นแล้วก็รีบตรงดิ่งไปยังทางออกตามที่โกคุเดระบอกตอนคุยกันอยู่ในห้อง จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังคงเดินไปเรื่อยเปื่อยอยู่ในเมือง เพราะมั่นใจว่าถึงกลับไปก็คงไม่เจอเพื่อนอยู่ที่บ้านแน่นอน ขาของฉันยังคงก้าวสลับกันอย่างสม่ำเสมอบนทางเท้า พลางมองบรรยากาศเมืองนามิโมริไปด้วยความตื่นเต้น






         ความจริงแล้วมันก็เหมือนเดิมทุกครั้งที่ออกมาเดินข้างนอกบ้านนั่นแหละ.. แต่มันก็สนุกดีที่เดินชมอะไรแปลกตาแบบนี้นะ..








                  แม่ของฉันเป็นคนในวองโกเล่แฟมิลี่.. ส่วนพ่อของฉันเป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียง ฉันเป็นลูกครึ่งอิตาลี-ญี่ปุ่น  และเกิดที่อิตาลี..







              ตั้งแต่เด็ก.. ฉันพูดเป็นแต่ภาษาญี่ปุ่น ภาษาแม่ของฉันเพียงเท่านั้น จนกระทั่งตอนห้าขวบ พ่อเริ่มให้ฉันเรียนภาษาอิตาลีเพื่อจะได้สื่อสารกับคนอื่นรู้เรื่องบ้าง..










                         เพราะอย่างนั้น... ฉันจึงได้พบกับฮายาโตะ






           เด็กตัวเล็ก ผมสีเงินสว่างเจิดจ้า ใบหน้าหวานราวกับเด็กผู้หญิง ดวงตาสีมรกตเป็นประกายวิบวับ            เด็กคนนั้นกำลังเล่นเปียโนในงานเลี้ยงที่จัดขึ้นที่คฤหาสน์หลังใหญ่โต    เขามีท่าทางกระอักกระอ่วนตลอดเวลาเวลาที่ต้องพบเจอคนมากมาย






               อาจเป็นเพราะตอนนั้นเป็นเด็กที่ไม่รู้ประสา จึงเข้าไปทักด้วยภาษาอิตาลีที่กระท่อนกระแท่น





                



        หลังจากนั้นฉันกับฮายาโตะก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมา.. จนฮายาโตะหนีออกจากบ้านไปนั่นแหละ ฉันถึงได้สั่งให้ลูกน้องคนสนิทไปตามเก็บถ่ายรูปอยู่บ่อยๆ เดี๋ยว! หยุดเลยนะพวกเธอ ฉันไม่ได้โรคจิตนะ บอกไว้ก่อน! แค่อยากรู้ความเป็นมาเป็นไปของเพื่อนเท่านั้น ขีดเส้นใต้ตัวหนาๆ ทำอักษรใหญ่ๆไว้เลย!








               สเปคของผู้หญิงสวยๆรวยๆแบบฉันต้องไม่ใช่เพื่อนหญิง(?)หน้าตาสวยๆอย่างฮาตาโตะ!!!






      เถียงกับตัวเองในความคิดต่อไป พลางดูดนมปั่นที่เผลอซื้อมาระหว่างทางอย่างเลื่อนลอย เดินเหม่อทีไรก็เผลอซื้อของมาทุกที ก็มันน่ากินจะตายไปเนอะไรท์... (ตูไม่รู้ตูไม่เกี่ยว ตูมาปั่นฟิคเดี๋ยวก็ไป :ไรท์)







         คิ้วเรียวของฉันขมวดเข้าหากัน เมื่อจู่ๆก็นึกถึงเรื่องของเพื่อนตอนเด็กขึ้นมาอีกหน..




        ถ้ายัยซากิไม่มาขัดฉัน ป่านนี้ฉันก็รู้เรื่องไปนานแล้วย่ะ! นึกแล้วอยากกระโดดถีบเพื่อนหน้ามึนให้หายมึนไปเลย-_-^







              จากข่าวของวงการมาเฟียทั่วไปคือ.. วองโกเล่รุ่นที่สิบและผู้พิทักษ์ถูกลอบสังหารขณะไปเที่ยวพักผ่อนส่วนตัว และไม่มีร่องรอยของซากศพหรืออะไรโผล่มาให้เห็น รวมทั้งร่างของวองโกเล่ที่มีชีวิตก็ไม่โผล่มาให้เห็นอีกเลยเช่นกัน





           แต่ในตอนนี้เราก็พบผู้พิทักษ์ตั้งสามคนว่ายังมีชีวิตอยู่นี่หน่า.. ไม่สิทั้งสามไม่มีชีวิตอีกต่อไปแล้ว




            เพราะทั้งสามกลายเป็นแวมไพร์..    และเป็นอมตะ






          มีผู้คนมากมายที่ต้องการจะสังหารวองโกเล่.. แต่จะเป็นใครที่แข็งแกร่งพอที่จะทำให้วองโกเล่สูญหายไปได้   ในตอนแรกที่ถามถึงบอสรุ่นที่สิบ ฮายาโตะก็ดูลำบากใจที่จะตอบคำถามสั้นๆของฉันมากพอสมควรแถมในแววตามรกตนั่นยังดูเศร้าสร้อยอย่างบอกไม่ถูกอีกต่างหาก  







        นึกแล้วก็รู้สึกหดหู่่ตามไปด้วย กลับบ้านไปหาเพื่อนดีกว่าเยอะ >O<




























        





         ฟิ้วว .....










     ประหนึ่งมีสายลมพัดผ่านเสียงฟิ้วพร้อมใบไม้แห้งๆหล่นจากต้นปลิวพัดมาด้วย หน้าบ้านขนาดกลางมีเพียงความเงียบสงบในยามค่ำ ฉันมองไปรอบบริเวณถนนอย่างระแวงและจับไขประตูบ้านอยู่พักใหญ่






          ยัยสองคนนั้นหายไปก็เหงาอยู่เหมือนกันแฮะ..





    พอเข้ามาในตัวบ้านได้ก็เตรียมที่จะล็อคประตูเหล็กหน้าบ้านอีกครั้งด้วยท่าทีอืดอาดผิดปกติ ฉันหยุดการกระทำไปพักหนึ่งและเอียงคอพักเสียงฝีเท้าที่เหมือนจะล่องลอยมาแต่ไกล







      "ยัยสัตว์กินพืช เปิดประตู"





      =[]= น... นี่มัน ผู้ชายหน้าหล่อใจอำมหิตที่มัดฉันไว้กับเก้าอี้เป็นชั่วโมงนี่!!!






    "จะเปิดประตูหรือจะโดนฉันขย้ำ เร็วสิ สัตว์กินพืชนี่มันหนัก"









    ฉันมองไปยังหลังของผู้พิทักษ์เมฆา ฮิบาริ เคียวยะที่ได้ยินชื่อมาจากแม่อย่างตกตะลึง ได้ข่าวมาว่าผู้ชายคนนี้ไม่ค่อยสุงสิงและยุ่งกับใคร ทำไมถึงแบกเพื่อนเวรหน้ามึนของฉันมาได้เนี่ยยย =[]=!!!







    มือเรียวเล็กรีบเลื่อนรั้วเหล็กหน้าบ้านแล้วล็อคอย่างเสร็จสรรพ ฉันยังคงอ้าปากค้างอย่างทึ่งๆโดยไม่พูดอะไรต่อ เพราะถ้าพูดอาจไม่เหลือชีวิตรอด บางทีฉันอาจจะกลายเป็นศพอนาถหมดความสวยโดนยัดศพหน้าประตูบ้านก็เป็นได้...  ฉันรีบวิ่งไปดูฮิบาริกับซากิที่ไร้สติและเห็นว่าเพื่อนโดนโยนทิ้งลงโซฟาอย่างไร้เยื่อใย






    บางทีนะ.. ฉันว่าร่างกายเพื่อนฉันไม่สมประกอบกว่าเดิมก็อาจเป็นเพราะตานี่โยนเพื่อนฉันลงแบบนี้ แล้วก็ผู้ชายหัวสับปะรดคนนั้นก็โยนก่อนหน้านี้มาอีก ถ้ามีวาสนาเจอกันใหม่นะซากิเพื่อนรัก..=_=







       "ถ้ายัยสัตว์กินพืชตัวนี้ฟื้นเมื่อไหร่....."   นิ้วชี้เรียวของชายหนุ่มชี้ไปยังซากิที่นอนขดตัวอยู่บนโซฟา





       "ฉันจะกลับมาขย้ำยัยนี่เล่น "




       "เอ้อ...ถ้าฉันไม่โง่ ฉันจะไม่บอกนายว่าซากิฟื้นเมื่อไหร่ เชิญไปได้แล้วฮิบาริ"   ฉันกรอกตาไปมาและผายมือไปยังประตูไม้ชั้นดี นึกสงสารเพื่อนที่นอนซมเพราะไข้ขึ้นมาจับใจ



        ฮิบาริดูเหมือนจะสงสัยเล็กน้อยว่าทำไมถึงรู้จักชื่อฮิบาริได้ แต่คนตรงหน้าก็ไม่ได้ปริปากถามอะไรออกมา เพียงแต่หันหลังกลับไปด้วยดีโดยไม่มีการขัดขืน




     
    -------------------------------------------
     


            ฉันจัดการลากตัวซากิไปเรื่อยๆตามทางเดินไปยังห้องนอนของนางด้วยความพยายาม(?) ตัวเล็กกว่าฉันทำไมมันหนักแบบนี้ยะ หรือว่ายัยนี่แอบไปซ่อนน้ำหนักหรือไขมันส่วนเกินไว้ที่ไหน ฉันออกแรงดึงเพื่อนสนิทยิ่งกว่าเก่าเพื่อลากขึ้นเตียง แค่จับมือซากิก็รับรู้ถึงความร้อนจัดผิดปกติแล้ว เมื่อลากเพื่อนขึ้นเตียงไว้อย่างทุลักทุเลเสร็จก็จัดการเช็ดตัวให้แบบลวกๆ (ก็คนมันไม่เคยทำนี่ =^=) โดยปกติแล้วซากิเป็นคนขี้เซาที่ป่วยง่ายมากๆ ก็มีแต่อึนจีนางฟ้านางสวรรค์แม่พระของกลุ่มนี่แหละที่มานั่งดูแลเพื่อนไม่หลับไม่นอนประหนึ่งคุณแม่นั่งดูแลลูกน้อยวัยสามเดือนกำลังป่วยหนักอะไรประมาณนั้น ฉันถอนหายใจและเอามือทาบหน้าผากเนียนใสของเพื่อนอย่างเบามือ




       ปกติเวลายัยนี่เป็นไข้ก็ไม่เป็นขนาดหน้าซีด แก้มแดงจัด อะไรขนาดนี้ไม่ใช่รึไง







        ไวเท่าความคิด ฉันรีบจับหน้าร้อนๆของเพื่อนหันไปอีกทางเพื่อจะดูที่คอขาวๆของยัยซากิ.. ร่องรอยของเขี้ยวปรากฎแก่สายตาของฉัน แทบอยากจะยกเท้าขึ้นมาก่ายหน้าผากตัวเอง ที่แท้ก็เป็นเพราะโดนดูดเลือดจนเลือดเหลือน้อย ภูมิคุ้มกันต่ำก็ต่ำยิ่งกว่าเดิม ไข้หนักแบบนี้ก็สมน้ำหน้าแล้วยัยหน้ามึน
    =_=;






     แต่ซากิไม่ใช่คนที่ยอมอะไรใครง่ายๆไม่ใช่เหรอ...





    ตอนนั้นที่เจอกันในห้องฝุ่นเขรอะนั่น ซากิหลับอยู่นี่หน่า..








          ยัยนี่ตื่นยากจะตาย...






        โดนลักดูดเลือดตอนหลับอยู่แน่ๆ=__= 






         ฉันได้แต่มองเพื่อนที่นอนซมเพราะพิษไข้อย่างหนักใจ และจัดแจงห่มผ้าห่มให้ซากิ ฉันเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบพร้อมกุมขมับกับความขี้เซาของเพื่อนตัวเอง


    [
    Violin end talk ]






     
    ----------------------
     
             





                       อาจเป็นเพราะความรู้สึกเหมือนหัวจะแตกเป็นเสี่ยงๆของซากิ จึงทำให้ร่างเล็กร้องขึ้นมาเสียงดังและหน้าผากที่ร้อนจัดของตนไว้แน่น  เธอหอบหายใจและยังคงนั่งกุมศีรษะของตัวเองอยู่อย่างนั้นนานพอควร ความรู้สึกมันตื๊อเริ่มคืบคลานเข้ามาในหัวสมองของคนขี้เซามากขึ้นกว่าเก่าเมื่อจะเอนตัวลงนอนหลับ   ริมฝีปากบางพึมพำเสียงแหบแห้ง ก่อนที่มือเรียวเล็กจะเริ่มคลำหาสวิตซ์ของโคมไฟบนตู้ไม้ข้างเตียงขนาดเล็ก เมื่อไฟสีส้มจางๆติดขึ้นมาสำเร็จร่างเล็กก็พยุงร่างกายที่ร้อนจัดเดินไปตามทางในยามค่ำคืนอันเงียบสงัด







                           ร่างเล็กกุมหัวตัวเองและก้มหน้าเดินออกมาจากห้องนอนอย่างเชื่องช้า มือเรียวเล็กเคลื่อนไปตามกำแพงเพื่อหาสวิตซ์ไฟ ราวกับว่ามีใครทุบหัวอีกครั้ง ใบหน้าซากิบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ร่างเล็กสบัดหัวแรงๆสองสามทีเพื่อไล่อาการมึนตื๊อในหัวออกไปแต่ดูเหมือนสถานการณ์จะแย่ลงกว่าเดิมเสียอีก มือเรียวทั้งสองยกขึ้นเปิดตู้เก็บยาต่างๆอย่างรวดเร็ว ยาแก้ปวดหัวเป็นสิ่งที่หาง่ายที่สุดในตู้ยาประจำบ้าน ร่างเล็กยิ้มบางก่อนจะเทเม็ดยาสีขาวสะอาดลงบนมือของตนพร้อมจัดการเก็บของให้เรียบร้อยและเดินดุ่มไปที่ห้องครัว










        ซากิหยิบขวดน้ำในตู้เย็นในห้องครัวขึ้นมากระดกลงคอพร้อมกับยาแก้ปวด ร่างเล็กอ้าปากหาววอดและบิดขี้เกียจพลางเดินไปยังห้องนอนของตนด้วยอาการปวดหัวที่ทวีความปวดไปอีกหลายเท่า



     
    ----------------------------------------



     
                  -เช้าวันรุ่งขึ้น-




          ร่างเล็กตื่นขึ้นมาด้วยท่าทีสดใสกว่าเมื่อวานหลายเท่า ไวโอลีนและซากิที่ทำอะไรไม่ค่อยจะเป็นเมื่อไม่มีอึนจี  ทั้งสองจึงต้มซุปสาหร่ายสำเร็จรูปธรรมดาเป็นอาหารเช้าซึ่งมันก็ช่วยบรรเทาอาการหิวโหยของทั้งคู่ได้ไม่ดีมากนัก




       "เดี๋ยวฉันจะออกไปซื้อของกินข้างนอก"   หญิงสาวเรือนผมสีดำสนิทเอ่ยขึ้นพร้อมกับแต่งตัวให้อบอุ่นมากขึ้นกับสภาพอากาศหนาวเย็นด้านนอกบ้าน  "ซื้ออะไร?"คนผมยาวสีสว่างตาเท้าคางถามด้วยท่าทีน่าหมั่นไส้ในสายตาของไวโอลีน ดวงตาสีม่วงตวัดไปมองเพื่อนที่ป่วยอย่างคาดโทษ แต่คนถูกมองกลับตีหน้ามึนใส่พร้อมกระพริบตาปริบๆราวกับไม่รับรู้สายตาโหดๆของไวโอลีน





            "ฉัันคงไม่ใจร้ายขนาดที่จะให้คนป่วยแบบเธอไปซื้อของข้างนอกหรอก"







           "งั้นคนใจดีต้องทิ้งเพื่อนไว้สินะ?"ซากิย้อนถามโดยที่ยังคงสีหน้าอยู่เช่นเดิม เป็นที่รู้ๆกันอยู่ว่าซากิเป็นผู้หญิงที่ทำตัวขวางโลก ทำอะไรแปลกประหลาด บางครั้งก็ปากเสียจนใครหลายๆคนอยากจับผู้หญิงคนนี้ไปกระทืบให้จมดิน แน่ล่ะ ตั้งแต่มัธยมต้นจนถึงมัธยมปลายไม่มีใครกล้าแหยมกับผู้หญิงดูไร้พิษสงคนนี้แม้แต่คนเดียว ความจริงแล้วคนที่มาหาเรื่องซากิก็ไม่มีชีวิตรอดไปอย่างสงบสุขในรั้วโรงเรียนอีกเลย มีเพียงแต่ไวโอลีนและอึนจีเท่านั้นที่เป็นเพื่อนและสนิทกับร่างเล็ก









       ไวโอลีนทำเพียงแค่หัวเราะให้กับเพื่อนสนิท   ยักไหล่เล็กน้อยและเดินออกไปจากบ้าน โดยมีดวงตากลมสีแดงฉานจับจ้องอยู่ตลอดเวลา







              [Saki Talk]




        ฉันถอนหายใจกับคำพูดที่ไร้การกลั่นกรองจากสมองที่พ่นออกไปใส่หนึ่งในเพื่อนสนิทแบบนั้น เปลือกตาของฉันปิดลงอย่างเชื่องช้า   มือเรียวของฉันยกขึ้นมานวดขมับเบาๆ ฉันลืมตาขึ้นอีกครั้งและทอดสายตามองไปยังหน้าต่างที่เบื้องนอกมีหิมะโปรยปรายอยู่เต็มไปหมด    ทุกอย่างด้านนอกเป็นสีขาวแทบทุกอย่าง  มันดูสะอาดตาและหมดจดไปทุกอย่าง ถ้าฉันไม่ป่วยเพราะผีดูดเลือดคนนั้น ตอนนี้ฉันคงจะได้ไปเล่นหิมะและอาจได้ปั้นมนุษย์หิมะที่สวนข้างบ้านกับเพื่อนทั้งสองคนก็ได้









          อึนจีหายไปไหนกันนะ...





            ฉันนึกถึงใบหน้าใสซื่อของเพื่อนชาวเกาหลีทันที ไม่คิดเลยว่าเมื่อไม่มีเพื่อนชาวเกาหลีคนนี้ทุกอย่างจะดูยากลำบากไปเกือบทุกอย่าง  ฉันมองชามว่างเปล่าที่เคยบรรจุน้ำซุปสาหร่ายสำเร็จรูปด้วยสายตานิ่งเฉย       มือของฉันเลื่อนจากขมับไปยังแก้วน้ำที่บรรจุน้ำเปล่าใสสะอาดไว้เต็มเปี่ยม ฉันยกมันขึ้นกระดกดื่มพร้อมกับกลืนเม็ดยาหลายเม็ดลงคอ



               "แค่กๆ! อ่ะ.. แค่กๆๆ!!"      ฉันเริ่มต้นไอจนรู้สึกแสบในลำคอไปหมด รู้สึกทรมานกับการป่วยครั้งนี้มากกว่าครั้งไหนๆ นึกโกรธแค้นผู้ชายคนนั้นอยู่ในใจ ถ้าหายดีเมื่อไหร่...

           .
           .

           .
           .





      .....
    .
    .
    .
    .







          "จะขย้ำให้เรียบ"






       ใช่แล้ว ฉันจะขย้ำนายไม่ให้เหลือชิ้นดี       ฉันยิ้มบางให้กับความคิดแก้แค้นที่ดูชั่วร้ายราวกับนางมารร้ายในละครหลังข่าวนั่น แล้วหัวเราะหึๆในลำคอเสียงแหบแห้ง








     
          เดี๋ยวนะ.....













         เมื่อกี้ฉันไม่ได้พูด..











       ม่านตาสีแดงจัดของฉันเบิกกว้างด้วยความตกใจกลัว ฉันอ้าปากเล็กน้อยและหันหาต้นตอของเสียงเย็นๆน่าขนลุกนั่น












              "เหยด....."









          ฉันพึมพำเบาๆเมื่อหาต้นตอของเสียงนั้นเจอ ปากที่อ้าค้างจนจะเป็นตัวโอหุบทันทีเมื่อเห็นหน้าเจ้าของเสียงเย็นเสียวสันหลังวาบขนาดนี้    ฉันไม่ใช่นางเอกนิยายที่ต้องถามประมาณว่า 'อ้าว.. นายมาที่นี่ทำไม?'    'อีตาหัวรังนกหน้าหล่อ จะมาที่นี่ทำไมห๊ะ!?'   'เฮ้ ว่าไงนายที่ดูดเลือดฉันเมื่อคืน'   'ว่าไงสุดหล่อ'








              คนอย่างซากิไม่มีทางพูดจาแบบนั้น คำว่าสุภาพสตรีนี่อย่าให้พูดถึง








             บอกว่าฉันเป็นทอมอาจจะมีคนเชื่อก็ได้นะ...











           ว่าแต่... ในประโยคนั่นที่ฉันทดลองเป็นนางเอกสวยใสฉันเผลอชมผู้ชายคนนี้ไปนี่หว่าาา=[]=!












         "ท่าทางจะหายดีแล้วนี่ มาเล่นขย้ำกันหน่อยเป็นไง?"










           ขย้ำบ้านแกสิ-_-;






         "กลัวจนพูดไม่ออกรึไง ยัยสัตว์กินพืช"





         ที่นายนิสัยแบบนี้เป็นเพราะไม่กินผักสินะ?










         "คิดว่าจะน่าสนุกกว่านี้ซะอีก ที่แท้ก็เป็นแค่สัตว์ปวกเปียกที่ทำอะไรไม่เป็น"









         ว่างมากก็ไปดูแลรักษาสุนัขในช่องปากด้วยก็ดีนะ พ่อคนรับประทานเนื้อ









        เคร้ง!









            อาวุธเป็นท่อนสีเงินถูกนำออกมาโดยไม่มีการบอกกล่าว ฉันเกือบจะโดนมันไปเต็มเปาถ้าไม่หยิบแจกันข้างโต๊ะขึ้นมากันไว้ก่อน แต่แจกันที่ฉันถือไว้กลับร้าวและแตกคามือฉันในไม่กี่วินาทีต่อมา






       "หึ.."  แวมไพร์ที่ไม่รู้จักชื่อแสยะยิ้มอย่างดูถูกเหยียดหยามที่มุมปาก








     เขาถอยไปไม่กี่ก้าวและเริ่มพุ่งใส่ฉันอีกรอบ ฉันยกแขนที่ปราศจากอาวุธทั้งสองข้างขึ้นมากัน ท่อนเหล็กนั้นสร้างความปวดร้าวได้เป็นอย่างดี ใบหน้าของฉันเหยเกด้วยความเจ็บปวดที่แล่นปราดอยู่ตรงแขนที่ดูเหมือนจะไร้ความรู้สึกไปแล้ว





        "ทนได้ดีนี่"    ชายเบื้องหน้าว่าพลางยิ้มเหยียดหยามมากกว่าเก่า









        ฉันอาศัยจังหวะการเผลอของชายคนนี้และจัดการจับแขนข้างหนึ่งของเขาบิด แต่ชายคนนี้ที่มีแรงมหาศาลกลับสบัดฉันออกจนกระเด็นและล้มไปกองกับพื้น





     
         "เจ้าหัวพืชไร่นั่นคงไร้ความสามารถอย่างที่ว่าไปจริงๆ"    เขาพึมพำและใช้สายตานิ่งเฉยมองมาที่ฉันและเริ่มพุ่งตรงเข้ามาหาฉันอีกรอบด้วยความเร็วมากกว่าเก่า








         เคร้ง!







            เสียงท่อนเหล็กและเหล็กชั้นดีกระทบกันดังสนั่น ฉันและชายตรงหน้าสบตามองกันอย่างรู้เท่าทันและหมุนตัวกลับหลังกัน พร้อมหันมาประจันหน้ากันอีกครา พัดที่ทำจากเหล็กชั้นดีสะบัดไปโดนใบหน้าของแวมไพร์พอดีจนเป็นรอยยาวบนแก้มขาวเนียนของเขา    ฉันฉีกยิ้มเย็นให้ผู้ชายเบื้องหน้าและเบี่ยงตัวหลบการโจมตีด้วยทอนฟาไปทันหวุดหวิด    ฉันเบิกตาค้างอย่างงุนงงเมื่อฉันหยุดทอนฟาของคนตรงหน้าได้สำเร็จ แต่กลับมีอะไรยื่นออกมาจากปลายของท่อนเหล็กสีเงินและหมุนโจมตีฉันอย่างรวดเร็ว ผมยาวๆของฉันถูกตัดเล็มโดยแวมไพร์บ้าเลือดตรงหน้า   ฉันข้วางพัดเหล็กหนักๆไปอันหนึ่งมันแปรเปลี่ยนกลายเป็นบูมเมอแรงที่ปลายทำจากมีดคมกริบ มันพุ่งตรงไปยังชายหนุ่มที่ดูตกตะลึงกับอาวุธแปลกประหลาดของฉัน เสื้อตัวยาวของเขาขาดไปบางส่วน  เมื่อเขาเห็นว่าฉันเหม่อมองบาดแผลของเขาและรับบูมเมอแรงที่กลายเป็นพัดมาถือไว้นิ่งๆต่อ เขาจึงอาศัยโอกาสนี้ใช้ทอนฟาที่มีใบมีดคมกริบโผล่พ้นออกมาจากท่อนเหล็กฟาดเข้าทีตัวของฉันอย่างจัง แต่สัญชาตญาณของฉันก็สั่งการให้หลบการโจมตีของเขา ซึ่งมีเพียงใบหน้าและแขนบางส่นเท่านั้นที่โดนการโจมตีนี้









     


               [Saki end talk]









        ชายหญิงทั้งสองฟาดฟันกันไม่ได้หยุดจนกระทั่งปลายทอนฟาและปลายพัดคมกริบจ่อคอคนทั้งสองพร้อมกัน คนทั้งคู่จึงยอมละการต่อสู้และเก็บอาวุธของตนไปในที่สุด








         "ไม่เลวนี่... ยัยสัตว์กินพืช"










     
    ------------------------TBC-------------------









    ร้อยเปอร์เซนต์ตามสัญญาแล้วฮ๊าบบบบบ ตัดไปแบบงงๆ และมึนๆในการปั่น
    มีใครสงสัยมั้ยว่าตอนนี้อึนจีตายไปรึยัง 55555555
    เจอกันตอนหน้านะคะ

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×