คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ข้อมูลเบื้องต้น
1.1 สภาพภูมิศาสตร์
จุดเริ่มต้นของอารยธรรมโรมัน ตั้งอยู่บนคาบสมุทรอิตาลี มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงโรม ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำไทเบอร์ และอยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลประมาณ 15 ไมล์ ที่ตั้งของกรุงโรมมีเนินเขา 7 ลูก เป็นแนวป้องกันไม่ให้ศัตรูรุกรานได้ง่าย คาบสมุทรอิตาลีมีลักษณะทางภูมิศาสตร์ 4 แบบคือ
1. ทางตอนเหนือมีที่ราบอยู่ระหว่างภูเขาแอลป์กับภูเขาแอปเพนไนส์ คือ ที่ราบลอมบาร์ดี
2. ตอนกลางของคาบสมุทรอิตาลีมีแนวภูเขาแอปเพนไนส์ ทอดยาวในแนวเหนือ-ใต้ มีความยาวประมาร 800 ไมล์
3. ที่ราบด้านตะวันออกของภูเขาแอปเพนไนส์ขนานยาวไปกับชายฝั่งทะเล
4. ที่ราบด้านตะวันตกของภูเขาแอปเพนไนส์ขนานยาวไปกับชายฝั่งทะเล บริเวณตอนกลางมีที่ราบลุ่มบริเวณแม่น้ำไทเบอร์ เรียกว่าที่ราบลุ่มละติอุม ซึ่งเป็นที่ตั้งของกรุงโรม
จากลักษณะทางภูมิศาสตร์ดังกล่าวคาบสมุทรอิตาลีสามารถทำการติดต่อคมนาคมและมีความอุดมสมบูรณ์กว่าคาบสมุทรกรีก ภูเขามิได้เป็นอุปสรรคกีดขวาง แต่เป็นเสมือนกระดูกสันหลัง
ลักษณะภูมิอากาศเป็นแบบเมดิเตอร์เรเนียนเหมือนกับคาบสมุทรกรีก ดังนั้น บริเวณนี้จึงเหมาะแก่การเพาะปลูกองุ่นและมะละกอ ซึ่งชาวกรีกได้นำเข้ามาเผยแพร่
1.2 ชนเผ่า
ชนเผ่าที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณคาบสมุทรอิตาลีเป็นชนเผ่าอินโดยูโรเปียนที่อพยพเข้ามามี 3 ช่วง คือ ในช่วงระยะประมาณ 2,000-800 ปีก่อนคริสต์ศักราช ชาวอินโดยูโรเปียนได้อพยพมาจากลุ่มแม่น้ำดานูบเข้าสู่คาบสมุทรอิตาลีและตั้งถิ่นฐานบริเวณตอนเหนือและตอนกลาง โดยผสมผสานกับชาวพื้นเมืองดั้งเดิมที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวมาก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้ชนกลุ่มใหม่ที่เรียกว่าพวกอิตาลิค โดยส่วนใหญ่พวกนี้จะตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณที่ราบลุ่มละติอุม ด้วยเหตุนี้จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พวกลาติน
ต่อมาในช่วงระยะเวลา 900 ปีก่อนคริสต์ศักราช พวกอีทรัสกันได้อพยพเข้ามาตั้งรกรากในคาบสมุทรอิตาลีทางด้านตะวันตก ตั้งแต่แม่น้ำโปไปจนถึงเนเปิลส์ พวกอิตาลิคหรือลาตินถูกพวกอีทรัสกันปกครอง ซึ่งพวกนี้ได้น้ำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ชาวลาติน ทั้งเรื่องการค้า ความรู้ และทักษะการหลอมโลหะ การนับถือเทพเจ้า
ส่วนพวกกรีกได้เข้ามาตั้งอาณานิคมในดินแดนทางตอนใต้ของคาบสมุทรอิตาลี เมื่อประมาณศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสต์ศักราช มีอาณานิคมที่สำคัญคือ แมกนา กราเซีย และเมืองเนเปิลส์ ชาวกรีกนำความเจริญมาเผยแพร่ในดินแดนแถบนี้ ทั้งทางด้านศิลปวิทยาการ ตัวอักษร ยุทธวิธีการรบ ตลอดจนนำพืชผลทางการเกษตรมาปลูกคือ องุ่นและมะละกอ
1.3 ภาษา
มีความแตกต่างกันไปตามกลุ่มชนที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในคาบสมุทรอิตาลี คือ ในกลุ่มพวกลาตินใช้ภาษาซึ่งมีรากฐานภาษาอินโดยูโรเปียน ต่อมาเรียกว่าภาษาโปรโตลาติน หรือภาษาลาตินก่อนยุคคลาสิค ส่วนพวกอีทรัสกันมีตัวอักษรที่คล้ายคลึงกับภาษากรีก และพวกกรีกใช้ภาษาของตนเองในการติดต่อสื่อสาร ต่อมาเมื่อพวกลาตินสามารถครอบครองคาบสมุทรอิตาลีและสร้างจักรวรรดิโรมัน ภาษาที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารคือภาษาลาติน ซึ่งกลายเป็นภาษาที่ได้รับความนิยมแพร่หลายไปในดินแดนต่างๆและเป็นรากฐานของภาษาต่างๆในโลกชาติตะวันตก
1.4 พัฒนาการของจักรวรรดิโรมัน
ชาวลาตินถูพวกชาวอีทรัสกันปกครองในช่วง 900-510 ปีก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งพวกอีทรัสกันนำระบบกษัตริย์มาใช้ในการปกครองดินแดนตอนเหนือ และตอนกลางของคาบสมุทรอิตาลี ชาวลาตินอยู่ในฐานะผู้ถูกปกครอง แต่ได้เรียนรู้และรับความเจริญจากพวกอีทรัสกันในหลายๆด้าน เช่น การแต่งการด้วยเสื้อโทก้า การใช้อาวุธมัดหวายมีขวานปักอยู่ตรงกลาง
ต่อมาประมาณปี 509 ก่อนคริสต์ศักราช ชาวลาตินรวมตัวกันโค้นล้มอำนาจของกษัตริย์อีทรัสกัน และได้จัดการปกครองแบบสาธารณรัฐ จากนั้นพวกลาตินได้แผ่ขยายอำนาจไปยังดินแดนต่างๆ จนกระทั่งสามารถครอบครองดินแดนได้ตลอดคาบสมุทรอิตาลีในปี 265 ก่อนคริสต์ศักราช
สาเหตุที่ทำให้ชาวโรมันสามารถขยายอำนาจได้อย่างกว้างขวางมี 4 ประการ คือ
ประสิทธิภาพของกองทัพ ในระยะแรกโรมันได้มีการจัดรูปแบบกองทหารแบบฟาแลงก์ โดยแบ่งทหารกองละ 100 คน กองหน้าจะมีอาวุธและเสื้อเกาะที่มีประสิทธิภาพ ส่วนกองหลังถืออาวุธเบา การจู่โจมศัตรูกองทหารเดินหน้าเข้าหาศัตรูพร้อมกัน ต่อมาได้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพของกองทัพให้ดียิ่งขึ้น โดยจัดกองทหารแบบลีเจน โดยแบ่งกองทหารประมาณ 60-120 คน ทหารทุกคนมีเกราะ โล่ หอก และดาบ แต่มีอาวุธใหม่ คือ หอกปลายเหล็ก กองทหารแต่ละกองแยกย้ายกันจู่โจมศัตรู นอกจากการจัดการระบบกองทัพแล้ว ในกองทัพยังวางกฎระเบียบวินัยที่เคร่งครัดอีด้วย ประการสำคัญผู้ที่จะเป็นทหารโรมันได้ต้องเป็นพลเมืองโรมันที่มีอายุระหว่าง 17-46 ปี ทำให้ทหารโรมันมีความพร้อมที่จะทำสงครามเพื่อชาวโรมัน
การสร้างถนน ภายหลังจากที่โรมันได้ชัยชนะเหนือดินแดนใดแล้ว ได้ดำเนินการสร้างถนนจากดินแดนนั้นๆมุ่งหน้าเข้าสู่กรุงโรม ทั้งนี้เพื่อใช้เป็นเส้นทางควบคุมดินแดนต่างๆมิให้แยกตัวจากโรมัน ถนนที่สร้างนี้มีความแข็งแกร่งทนทานเพราะใช้ส่งกำลังพลและเสบียงอาหาร ในยามสงบใช้เป็นเส้นทางการค้า การมีถนนทำให้กรุงโรมติดต่อสื่อสารระหว่างดินแดนต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว จึงง่ายต่อการควบคุมปกป้องดินแดนเหล่านี้
ป้อมปราการ ในบริเวณชายแดนเมืองหน้าด่านมีการสร้างป้อมไว้คอยป้องกันศัตรูจากภายนอก นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ปกป้องดูแลเมืองต่างๆ ในบริเวณใกล้เคียงอีกด้วย
คุณสมบัติของชาวโรมัน ชาวโรมันมีคุณสมบัติหลายประการที่ส่งเสริมความยิ่งใหญ่ คือ การอุทิศตนต่อหน้าที่ มีความอดทน มีระเบียบวินัยเชื่อฟังผู้บังคับบัญชา มีอุปนิสัยไม่ยอมแพ้ เป็นนักมองความจริง เรียนรู้บทเรียนจากอดีต มีขันติธรรมต่อต่างชาติ
ภายหลังจากที่ชาวโรมันมีอำนาจเหนือคาบสมุทรอิตาลีแล้ว ได้แผ่ขยายอำนาจออกนอกคาบสมุทรอิตาลี โดยทำสงครามคาร์เทจ (ระหว่างปี264-146 ก่อนคริสต์ศักราช) เรียกว่า สงครามปิวนิค ซึ่งมี 3 ครั้ง ด้วยกัน สงครามสิ้นสุดลงด้วยการผ่ายแพ้ของคาร์เทจ ส่งผลให้โรมันได้ครอบครองดินแดนต่างๆที่อยู่ในความครอบครองของคาร์เทจมาก่อน เช่น เกาะคอร์ซิกา และ ซาร์ดิเนีย ดินแดนในสเปน ดินแดนทางตอนเหนือของทวีปอัฟฟริกา จากนั้นชาวโรมันได้ขยายอำนาจไปทางด้านตะวันออก โดยได้ครอบครองดินแดนซิเรีย มาซิโดเนีย รัฐต่างๆในเอเชียไมเนอร์
ต่อมาโรมันได้ขยายอาณาเขตขึ้นไปทางตอนเหนือภายใต้การนำกองทัพของ จูเลียต ซีซาร์ ในช่วงระหว่างปี 58- 50 ก่อนคริสต์ศักราช ทำให้โรมันสามารถครอบครองแคว้นโกล มีอาณาบริเวณจดแม่น้ำไรน์ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ และ ช่องแคบอังกฤษทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ และสามารถเข้าไปปกครองดินแดนภาคตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะอังกฤษอยู่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ
สำหรับดินแดนอียิปต์ โรมันสามารถรวมไว้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับอาณาจักรโรมันใน 30 ปีก่อนคริสต์ศักราช ภายหลังจากออคตาเวียได้รับชัยชนะในยุทธการทางเรือที่แอคตีอุมใน 31 ปีก่อนคริสต์ศักราช และ เมื่อออคเตเวียขึ้นมามีอำนาจปกครองโรมันได้จัดรูปแบบการปกครองใหม่เป็นจักรวรรดิ(27ปีก่อนคริสต์ศักราช) โดยตนเองดำรงตำแหน่งจักรพรรดิองค์แรกมีพระนามว่า ออกุสตุส ซีซาร์ ส่วนรูปแบบการปกครองสาธารณรัฐก็ยังรักษารูปแบบไว้ แต่ในทางปฏิบัติอำนาจสูงสุดอยู่ที่ออกุสตุส ซีซาร์ครองอำนาจอยู่นั้นเป็นชิวงระยะเวลาที่มีความสงบสุข ปราศจากการทำสงครามครั้งใหญ่ๆ จึงเป็นสมัยแรกของสันติภาพโรมัน ซึ่งจะคงอยู่ต่อไปอีก200ปี
กล่าวโดยสรุปได้ว่า การขยายอาราเขตของโรมันเมื่อสิ้นสุดสมัยออกุสตุสใน ค.ศ. 14 โรมันครอบครองดินแดนเรเซีย นอริคุม แพนโนเมีย อียิปต์ มอริตาเนีย และเมื่อสิ้นสมัยมาร์คุสออเรอุสใน ค.ศ.180 ได้ครอบครองดินแดนดาเซีย เทรซ คัมปาโดเซีย และ อาระเบีย
ด้วยอาณาเขตที่กว้างใหญ่ไพศาลนับจากการขยายตัวใน264 ปี ก่อนคริสต์ศักราช จนถึง ค.ศ.180 โรมันค่อยๆขยายตัวจากอาณาจักรมาเป็นจักรวรรดิที่มีความยิ่งใหญ่ ไม่มีจักรวรรดิอื่นใดมาเทียบเคียง และมีอำนาจมากที่สุดในโลก สามารถครอบครองดินแดนต่างๆรอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน จนได้รับสมญานามว่าเป็น “ เจ้าแห่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ” และโพลีบิอุสยอมรับว่าโลกที่โรมันปกครองเป็นรัฐโลก
หลังจากสิ้นสมัยจักรพรรดิมาร์คุส ออเรลีอุส ใน ค.ศ.180 จักรวรรดิโรมันค่อยๆเสื่อมทีละเล็กทีละน้อย ทั้งจากการรุกรานของพวกอนารยชน ความเสื่อมทางเศรษฐกิจ สังคม และปัญหาความแตกแยกภายในทางการเมือง การสืบทอดตำแหน่งรัชทายาท ระบบทางการปกครอง แต่ว่าในบางช่วงจักรพรรดิบางองค์สามารถรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลางได้ เช่น สมัยจักรพรรดิดิโอคลีเซียน แต่ก็ดูเหมือนว่าจักรวรรดิแบ่งเป็น2ภาค คือ ภาคตะวันตก และ ภาคตะวันออก และพระองค์ได้แต่งตั้งตำแหน่งออกุสตุส (จักรพรรดิผู้ช่วย) ให้ดูแลภาคตะวันตกส่วนภาคตะวันออกพระองค์ดูแลเอง ครั้นสิ้นสมัยของพระองค์เกิดการแย่งอำนาจ จนกระทั่งมาถึงสมัยจักรพรรดิคอนสแตนตินทรงปกครองใน ค.ศ.313 พระองค์สามารถรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลางได้อีกครั้ง พระองค์ทรงปรับปรุงเมืองไบแซมติอุม และ เปลี่ยนชื่อเป็นคอนสแตนติโนเปิล แล้วยกฐานะให้เป็นศูนย์กลางของภาคตะวันออกเมื่อสิ้นสมัยจักรพรรดิคอนสแตนติน
ความคิดเห็น