คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : การแสดงออกทางศิลปะ
อาณาจักรโรมันที่กว้างใหญ่ไพศาล มีศูนย์กลางอารยธรรมอยู่บริเวณแหลม อิตาลีซึ่งเคยถูกพวกอีทรัสถาน(Etruscan) ครอบครองอยู่แต่เดิม ซึ่งเชื่อว่าคงจะให้อิทธิพลต่อศิลปกรรมและสถาปัตยกรรรมของโรมัน แต่อิทธิพลส่วนใหญ่โรมันรับเอามาจากกรีก โดยเฉพระความคิดก้าวหน้าทั้งหลายที่เป็นปรัชญา วิทยาสตร์ หรือศิลปะ โรมันก็ต้องหยิบยืมมาจากกรีกเฮเลนนิสติค (Hellenistic) แทบสิ้น แต่ถ้าเปรียบเทียบความสามารถในการสร้างสรรค์(Creativity) และสุนทรีย์ภาพ (Assthtic) กับศิลปะกรีกแล้ว โรมันไม่สามารถจะเทียบเคียงได้เลย แต่ศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมของโรมันสร้างขึ้นเพื่อสนองระบบการปกครองประเทศ และเน้นประโยชน์ใช้สอยในการใช้อาญาจักรของตน
ทัศนศิลป์ สถาปัตยกรรมของโรมันมีลักษณะพิเศษคือ ความใหญ่โต แข็งแรง ทนทานและเป็นประโยชน์ใช้สอยเพื่อสาธารณะ เช่น สถานที่อาบน้ำ โรงละคร ประตูชัยและประตูเมือง เป็นต้น ส่วนประติมากรรมนั้นมีลักษณะเป็นธรรมชาตินิยม(Naturalism)เป็นรูปปั้นของนักปกครองหรือเป็นประติมากรรมที่เป็นอนุสรณ์ความดีของบุคคลที่ล่วงลับไปแล้ว ในบางครั้งก็เน้นถึงประโยชน์ใช้สอยด้วย สถาปัตยกรรมที่เป็นวัดและโบสถ์ของโรมันมักจะมีทั้งรูปทรงสี่เหลี่ยมและทรงกลมและมีขนาดค่อนข้างเล็กเพราะพิธีกรรมทางศาสนามักจะเกิดขึ้นในลักษณะของคนกลุ่มเล็กมากกว่าที่เป็นสาธารณชน วัดจะมีขนาดเล็กประมาณครึ่งหนึ่งของวิหารพาธนอน (Pathcnon) ของกรีก แต่จะมีฐานสูงและเสาส่วนใหญ่ก็สร้างให้เป็นส่วนหนึ่งของผนังวัดด้วย สถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงของโรมันในสมัยต่อมาก็คือ Colloseum ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ ออกแบบให้เป็นอัฒจันทร์วงกลมมีที่นั่งโดยรอบเป็นชั้นๆ ลักษณะเช่นเดียวกับสนามแข่งขันกีฬาในปัจจุบันมีเทคนิคการก่อสร้างแบบใช้ประตู้โค้ง (Arch) ส่วนอาคารที่ชื่อแพนเธนอน (Pantheon) ซึ่งมีลักษณะด้นหน้าหรือเหมือนวิหารพาเธนอนของกรีกแต่ภายในโดม
ก่อตั้งที่สองของกรุงโรม นักประพันธ์ในสมัยต่อมาเช่นสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ สมัยสตวรรษที่ 18 แม้แต่เชอร์ชิล ก็ใช้ภาษาโดยเลียนแบบคิเคโร
บทประพันธ์ที่เด่นและมีคุณค่าทางวรรณศิลป์อีกเรื่องหนึ่งในสมัยคิเคโรคือ งานนิพนธ์ทางประวัติศาสตร์ของจูเลียส ซีซาร์ เจ้าของคำพูดห้วนห้วน ๆอันลือชื่อว่า “ ข้ามา ข้าเห็น ข้าชนะ “ ( I came ,I saw , I conquered ) ที่จริงชาวกรีกเป็นพวกแรกที่เขียนประวัติศาสตร์อย่างนักวิชาการ คือ มีการอ้างเหตุผลและหลักฐานประกอบบันทึกเหตุการณ์ และนักประวัติศาสตร์ชาวโรมันได้เจริญรอยตามแนวทางของนักประวัติศาสตร์ชาวกรีก แต่ได้พัฒนาความเข้าใจทางประวัติศาสตร์ได้ลึกซึ้งกว่าชาวกรีก จูเลียส ซีซาร์นั้นเป็นผู้ทำประวัติศาสตร์เองและเขียนเอง สำนวนโวหารซื่อ ชัดเจน สุจริต เข้มแข็ง ดำเนินรวดเร็วสมเป็นนักรบ พระองค์เขียนงานชื่อนี้เพื่อชี้แจ้งการปฏิบัติงานของพระองค์เอง แต่ทำด้วยความฉลาดรอบคอบ ไม่เข้ากับพระองค์เองจนเหลือเชื่อ ไม่อวดพระองค์และเดินเรื่องอย่างสมจริง
จักรวรรดิโรมันในสมัยออกุสตุสซีซาร์ มีความมั่นคงทางสังคมการเมืองและปัญญาอันเป็นปัจจัยที่เอื้อต่อความเจริญทางวรรณคดี ถือเป็นครึ่งหลังของยุคทองวรรณคดีลาติน งานเขียนในสมัยนี้ส่วนใหญ่เป็นร้อยกรอง กวีที่เด่นที่สุดคือ เวอร์จิล ( Virgil ปี 70 43 ก่อนคริสต์กาล ) ซึ่งเป็นกวีที่อยู่ในอุปถัมภ์ของเมเซกัส (Maesenas) เสนาบดีคนสำคัญของจักรพรรดิออกุสตุส เวอร์ติสมีความสามารถในการเขียนโครงกลอนเลียนแบบการพรรณนาเกี่ยวกับชีวิตชนบทตามแบบกรีก แต่ใช้ประสบการณ์ของเขาเองเกี่ยวกับชีวิตชาวนาของชาวโรมันเป็นภูมิหลัง งานชิ้นสำคัญของเวอร์จิลได้แก่ มหากาพย์เรื่อง เอเนียก (Eanead) ซึ่งเขียนโดยใช้มหากาพย์ของโฮเมอร์เป็นแบบ เขาเขียนมหากาพย์เรื่องนี้เพื่อเทิดทูนเกียรติยศของจักรพรรดิออกุสตุส และยกย่องชนชาติของตนว่าเป็นชนชาติที่มีต้นตระกูลเป็นผู้กล้าแห่งทรอยในอดีต และเทพเจ้าได้กำหนดไว้แต่นานแล้วว่ากรุงโรมจะมีอนาคตอันรุ่งโรจน์เมื่อถึงเวลาอันควร
ในสมัยออกุสตุสนี้กวียิ่งใหญ่เป็นที่สองรองจากเวอร์จิล ได้แก่ ฮอรัส (Horaceปี 65 8 ก่อนคริสต์กาล) ซึ่งอยู่ในอุปถัมภ์ของเมเซนัสเช่นเดียวกับเวอร์จิล เป็นผู้มีชื่อเสียงในการประพันธ์แบบลิริกและวรรณกรรมเสียดสี นอกจากนี้ฮอรัสยังนิยมเขียนเรื่องเกี่ยวกับชีวิตชาวนาอันเป็นเรื่องที่โปรดปรานของจักรพรรดิออกุสตัส ผู้ทรงปรารถนาจะให้การเกษตรเป็นรากฐานของสังคมโรมันอย่างเป็นในอดีต
เมื่อจักรพรรดิออกุสตุสสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ.14 สังคมโรมันยังคงมั่นคงและรุ่งเรืองวรรณคดีก็ยังคงเฟื่องฟูอยู่เช่นกัน นักเขียนทั้งในและนอกกรุงโรมได้ผลิตงานเขียนเป็นจำนวนมากทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง ในขณะที่งานเด่นของวรรณคดีละตินสมัยออกุสตุสเป็นบทประพันธ์ประเภทลิริกและมหากาพย์ วรรณคดีในศตวรรษที่ 2 นี้เด่นในด้านบทประพันธ์ประเภทเสียดสี (Satire) โดยเฉพาะงานของยูเวอนัล (Juvenal ค.ศ.55130) แม้วรรณคดีลาจินในศตวรรษที่ 2 นี้จะมีจำนวนไม่มากเท่ากับในสมัยของจักรพรรดิออกุสตุส แต่ก็เป็นสมัยที่วรรณคดีอันทรงคุณค่าและมีอิทธิพลต่องานเขียนในสมัยต่อมาจนนักศึกษาวรรณคดีขนานนามสมัยนี้ว่าเป็น “ยุคเงินแห่งวรรณคดีลาติน”
การละครของกรีกนั้นนับว่าเป็นมรดกล้ำค่าทางวัฒนธรรมชิ้นหนึ่งที่กรีกได้มอบไว้ให้แก่ชาวโลก และยังเป็นอิทธิพลสำคัญอย่างหนึ่งในวงการละครตราบจนกระทั่งทุกวันนี้
ละคร เป็นที่น่าเสียดายว่าโรมันแทบจะไม่ได้มรดกอันน่าภาคภูมิใจแก่วงการละครเลยลักษณะของการละครทั่วๆไปได้รับการถ่ายทอดมาจากกรีกเกือบทุกอย่าง นับตั้งแต่โครงสร้างทั่วไปของโรงละคร การใช้ฉาก เครื่องแต่งกาย การใช้หน้ากาก และแม้กระทั่งการแบ่งแยกประเภทของละคร ก็ยังรับเอาละครโศกนาฏกรรมและหัสนาฏกรรมของกรีกเข้ามาไว้เป็นแบบแผน สิ่งที่ผิดออกไปอย่างเห็นได้ชัดคือชาวโรมันเพิ่มความวิจิตรพิสดารต่างเข้ามาใช้ในการละคร โรงละครมีขนาดใหญ่โตมโหฬารและประดับประดาอย่างวิจิตรตระการตาเต็มที่ ลักษณะการจัดแสดงก็หันมาเน้นทางความหรูหราน่าตื่นใจของการจัดเสนอละครมากกว่าคุณภาพของบทละครเช่นชาวกรีก
การละครที่เป็นวรรณกรรมและการจัดแสดงเริ่มแยกออกจากกันโดยเด็ดขาดบทละครของพวกที่มีความรู้ตามแบบแผนถูกเขียนขึ้นเพื่อใช้อ่าน ไม่ใช่เพื่อนำมาแสดงเพราะการแสดงละครถูกเหยียดหยามว่าเป็นสิ่งต่ำช้า โรงละครใช้เป็นการแสดงประเภทไมม์(MiMc)และเพนโทไมม์(Pntomimc)ซึ่งเป็นการร่ายรำและแสดงท่าทางประกอบเสียงดนตรีโดยมากไม่ใช้บทพูด นักเขียนบทละครโรมันรุ่นหลังจึงเขียนละครสำหรับอ่านกันในหมู่เพื่อนฝูงและผู้สนใจมากกว่าจะเขียนเพื่อแสดงแก่สาธารณชนในโรงละคร ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากขนาดมาจากขนาดอันใหญ่โตของโรงละครไม่เหมาะสำหรับการแสดงละครแท้ๆอีกต่อไป
การเสดงละครกลายเป็นสิ่งที่ถูกดูหมิ่นดูแคลน อันเนื่องมาจากความไร้ศีลธรรมของสิ่งที่นำมาแสดงและความเสื่อมของศิลปินผู้แสดง สถานภาพของนักแสดงอยู่ต่ำมาก ประกอบไปด้วยพวกทาส หรือโสเภณีที่เกณฑ์มาแสดง ความสนใจของการแสดงในระยะหลัง หันไปสู่ความโหดเหี้ยม การทารุณกรรม การนองเลือด และการแสดงทางเพศอย่างโจ่งแจ้ง อันเป็นเหตุให้เกิดการต่อต้านการแสดงละครอยู่เนื่องๆ ยิ่งเมื่อคริสต์ศาสนาได้แผ่อิทธิพลอยู่ในอาณาจักรโรมันด้วยแล้ว ความรังเกียจเดียดฉันท์ในการละครก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นทุกที่ การแสดงในละครของโรมันต้องประสบภาวะยุ่งยากเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆในคริสต์ศตวรรษที่ 5 นักแสดงไมม์ถูกเนรเทศออกจากจักรวรรดิโรมันและในศตวรรษที่ 6 จักรพรรดิจัสติเนียนแห่งจักรวรรดิโรมันตะวันออกได้ประกาศห้ามการแสดงในโรงละคร หลักฐานการแสดงในโรงละครครั้งสุดท้ายมีปรากฏใน ค.ศ. 533 และนับจากนั้นก็ไม่มีการแสดงละครที่มีการรับรองเป็นทางการอีกเลยนับเป็นเวลาศตวรรษ
ดนตรี ชาวโรมันได้ให้ความสำคัญแก่ดนตรีไม่น้อยไปกว่าชาวกรีกในสมัยที่อาณาจักรโรมันกำลังรุ่งเรื่องอยู่นั้น นักปราชญ์ทางดนตรียึดทฤษฏีดนตรีของกรีกเป็นหลัก แล้วนำมาผสมผสานกับทัศนะแบบเฮเลนิสติน เช่น โพลตินุส( Plotinus 205- 270 A.D ) และศิษย์ของเขาคนหนึ่งชื่อ พอร์ฟีรี( Porphyry 233 304 A.D.)ได้เผยแพร่สั่งสอนทฤษฏีแบบเพลโตนิคใหม่ ( Neo-Platonic)โพลตินุสได้ย้ำถึงอำนาจที่ดนตรีมีต่อจิตใจและจรรยาธรรมของมนุษย์ มีอำนาจในการชำระล้างจิตใจให้บริสุทธิ์ พาใจให้พบความสวยงามและความดีงาม และในทางตรงกันข้าม ดนตรีอาจมีอำนาจทำลายหากใช้ไปในทางที่ผิด ดังนั้นจึงได้มีความพยายามที่จะอนุรักษ์และกวดขันดนตรีที่ใช้ประกอบพิธีศาสนาและที่บรรเลงสำหรับการทหาร
ในสมัยหลังๆการดรตรีได้เสื่อมลงมาก เพราะถูกนำไปบรรเลงประกอบในโอกาสและสถานที่ซึ่งไม่เหมาะสม และการจัดการบรรเลงดนตรีแบบมโหฬารก็ไม่เป็นที่สบอารมณ์หมู่นักปราชญ์ทางดนตรีประเภทอนุรักษ์นิยมเท่าใดนัก เช่น การจัดแสดงดนตรีวงมหึมา ( monster concert ) ในสมัยของคารินัส (Carinus 284 A.D.) ได้มีการบรรเลงดนตรีที่ประกอบด้วยทรัมเป็ต 100 ชิ้น แตร 100 ชิ้น ( horn ซึ่งเป็นแตรอีกชนิดหนึ่ง ) และเครื่องดนตรีอื่นๆอีก 200 ชิ้น ถ้าจะกล่าวถึงชีวิตของนักดนตรีในสมัยนั้นก็จะพูดได้ว่าคึกคักมาก สมาคมสำหรับนักดนตรีมืออาชีพได้รับจัดตั้งกันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสต์ศักราช มีบทบาทในการเรียกร้องสิทธิ์ให้แก่สมาชิกในรุ่นหลังๆ เมื่อออกุสตุส ( Augustus) ได้ขึ้นครองราชย์ ประกาศตนเป็นผู้นำทางทหาร ศาสนา และของรัฐก็ได้ตั้งสมาคมสำหรับดนตรีที่บรรเลงเพลงประกอบพิธีทางศาสนา และสำหรับงานของราชการด้วย นักแต่งเพลงผู้มีฝีมือก็ได้รับการอุปถัมภ์จากจักรพรรดิ เช่น ที่จักรพรรดิเนโรถึงกับประทานวังให้แก่ มีนีเครเตส (Menecrates ) นักแต่งเพลงผู้มีชื่อคนหนึ่งของสมัยนั้น
ความคิดเห็น