ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    วุ่นYaoiรัก เมื่อผมกลายเป็นหญิง (รีไรท์ใหม่ฮะ)

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2 ฟองเบียร์และสามพี่น้อง

    • อัปเดตล่าสุด 2 พ.ค. 63


    ตอนที่ 2 ฟองเบียร์และสามพี่น้อง 






         ผมอยู่ที่ไหน ผมไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนเพราะรอบๆ ของผมมันแห้งแร้งไปหมดพื้นดินแตกดูเหมือนกับว่าฝนไม่เคยตกมาหลายปี กิ่งไม้ที่แห้งจนมันจะกลายเป็นฝุ่นได้เลยทีเดียวแถมยังมีลมพัดฝุ่นในกระจายไปทั่วมองอะไรไม่ชัดนักผมก็ลืมตาได้ไม่เต็มที่เพราะกลัวฝุ่นพวกนี้จะเข้าตาแล้วเจ็บ ผมเดินไปเรื่อยๆ หวังว่าจะได้เจอกับผู้คนหรือบ้านเรือนสักหลังถึงแม้ว่ามันจะไม่วี่แววก็ตาม


         “มีใครอยู่แถวนี้ไหมครับ!”


         ผมตะโกนเรียกผู้คนเผื่อจะมีใครอยู่แถวนี้บ้าง แปลกที่ผมไม่หิวน้ำเลยไม่แม้กระทั่งเหนื่อยทั้งๆ ที่ผมเดินมานานพอสมควรแล้ว เมื่อผมเดินมาได้สักพัก็เจอกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากผมเท่าไร ผมดีใจมากรีบวิ่งไปหาผู้หญิงคนนั้นทันที


         “คุณครับคุณ”


         ผมเรียกผู้หญิงคนนั้นและดูเหมือนจะเป็นผลสำเร็จเธอหันมาหาผม ผู้หญิงที่หันมาหาสีผมน้ำตาลเข้ม ผมเป็นลอนสวยดวงตาของเธอน้ำตาลแดงๆ ใบหน้าของเธอน่ารักมากเหมือนตุ๊กตาเลย


         “คุณ รู้ไหมว่าที่ที่ไหน”


         ผมถามเธอแต่ดูเหมือนเธอจะไม่สนใจคำที่ผมพูดเลยนอกจากจ้องหน้าของผมอย่างเดียว


         “คุณครับ”


         “นี่น่ะหรือคือฉัน”


         ผมไม่เข้าใจที่เธอพูดเลยซะนิดเดียว ว่าเธอพูดอะไรออกมา จากนั้นเธอก็เอาแต่พูดอะไรออกมาก็ไม่รู้เหมือนพึมพำกับตัวเอง


         “มันถึงเวลาของฉันแล้ว มันช่างสั้นซะจริงๆ อันที่จริงแล้วนี่มันคือร่างของฉัน ส่วนร่างของนายคือฉัน เอาละฉันจะต้องไปแล้วหวังว่าเธอจะสามารถใช้ร่างของฉันได้นะย่ะ”


         เธอพูดเหมือนกับประชดแล้วก็เดินหายเข้าไปในกลุ่มฝุ่นโดยที่ผมยังไม่เข้าใจสิ่งที่เธอพูด ผมพยายามจะเดินตามเธอแต่ มีพายุลูกใหญ่หมุนมาหาผม ผมตกใจมากและจะกำลังจะหันหลังวิ่งหนี ทว่ามันไม่ทันพายุฝุ่นลูกใหญ่ก็ซัดเข้ามาที่ตัวของผมก่อนที่ดูดผมขึ้นไปด้านบน ผมโวยวายว่าตายแน่ๆ สติของผมก็ดับวูบไป




         ผมหลับตาขึ้นมาก่อนที่หลับตาอีกครั้งเพราะแสงมันแสบตาไปมากผมกะพริบตาถี่เพื่อที่จะได้ปรับลูกตาให้เข้าแสง ที่นี่ถ้าผมจำไม่ผิดมันคือโรงพยาบาล โรงพยาบาลที่เอาคนกำลังจะตายมารักษาผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่าผมจะมีโอกาสได้ใช้บริการด้วย ผมยันร่างขึ้นก่อนที่จะเอามือถูที่ใบหน้า หิวน้ำชะมัดทำไมร่างกายมันถึงไม่มีเรี่ยวแรงเลยวะ ผมพยายามลุกจากเตียงแล้วเดินช้าๆ โดยไม่ลืมสายน้ำเกลือไปที่ตู้เย็นแล้วเปิดหาน้ำดื่มผมเทน้ำลงแก้ว โอย ไม่ทงไม่เทมันแล้วกระดกเลยดีกว่าเร็วดี ผมดื่มไม่ดื่มน้ำเยอะเหมือนกับไม่ได้กินน้ำมาหลายเดือน ปวดหัวชะมัดหรือผมจะเป็นลมแล้วหัวฟาดพื้นกันนะเพราะว่าผมเหมือนไม่เป็นอะไรแถมยังเดินได้ด้วย ผมว่าผมไปล้างหน้าซะหน่อยดีกว่าเผื่อมันจะช่วยได้ ว่าแล้วผมก็เดินเข้าห้องน้ำแล้วเปิดก๊อกน้ำเพื่อที่จะล้างหน้าพอผมเงยหน้าขึ้นก็ต้องเจอกับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเหมือนกับผู้หญิงที่อยู่ในความฝันมาก ผมสีน้ำตาลเข้มกับดวงตาสีน้ำตาลแดงๆ ใบหน้าเหมือนกับตุ๊กตาแต่ติดที่ว่าหัวของเธอพันผ้ากลอสไว้ แล้วทำไมเธอถึงมาอยู่นี่ละแล้วยังอยู่ในกระจกอีกด้วยผมยกมือเพื่อที่จะทักทายแต่ดูเหมือนเธอกับผมจะใจตรงกันนะยกพร้อมกันเลย แต่ว่าเธออยู่ในกระจกนะ

         หรือว่าจะเป็นผี!

    ไม่ซิกระจกมักจะสะท้อนร่างของผู้ส่องเสมอ งั้นกระจกก็ต้องส่องหน้าของผมซิ ใบหน้าหล่ออย่างกับเทพบุตร คิ้วเรียวสวยดวงตาที่มีเสนห์หาใดเปรียบ แล้วทำไมในกระจกถึงได้ส่องร่างของผู้หญิงคนนี้ขึ้นมาละ ผมจับที่ใบหน้ามันก็จับที่ใบหน้าน่ารักในกระจกก็จับ ผมเหมือนสติหลุด ผมเผลอเลื่อนมือมาจับนมที่ไม่ใหญ่มากแต่นุ่มดี เดี๋ยวซิ ไม่จริงใช่ไหม ฝันอยู่หรือเปล่า ผมลองหยิกแขนตัวเอง แล้วปรากฏว่ามัน เจ็บ! นี่อย่าบอกนะว่า...........


         ผมกลายเป็นผู้หญิง!


         อ้ากกกกกกกกกกกก ไม่จริงไม่จริงใช่ไหม ผมมองกระจกอีกทีก่อนที่หลับตาลงแล้วหายใจเข้าออกพุทโธ พุทโธ


         “ไอ้เรียว ไอ้เรียว ทำใจให้ร่มๆ ไว้ แกไม่ได้เป็นผู้หญิงแกไม่ได้เป็นผู้หญิง”


         แต่ทำไมเสียงมันถึงหวานวะ! ผมค่อยๆ ลืมตาอย่างช้าๆ ช้าๆ แล้วก็ ยังเป็นผู้หญิงคนนั้นอยู่ ไม่จริงใช่ไหมครับไม่จริงใช่ไหมทำไมผมถึงได้มาอยู่ในร่างนี้ได้ทำไมผมถึงได้มาสิงสถิตในร่างที่มีนม ผมจับใบหน้าสำรวจร่างกายอันบอบบางและขาวเนียนนั้น ถ้าผมเป็นผู้หญิงละก็ตรงนั้นผม ก็จะต้อง


         ขอเวลานอก.....


         มันไม่มี มันไม่มี น้องชายอันเป็นที่รักของผมมันไม่มี ผมไม่อยากจะเชื่อ ใครมันทำอะไรกับร่างของผมแล้วทำไมผมถึงได้มาอยู่ในร่างนี้ด้วย ผมรีบออกมาจากห้องน้ำแล้วมายังเตียงโรงพยาบาลมันเกิดอะไรขึ้นทำไมผมมาอยู่ในร่างนี้ โอยยิ่งคิดยิ่งปวดหัวโว๊ย ในขระที่ผมกำลังจะสติแตก เสียงประตูห้องพยาบาลก็เปิดขึ้นก่อนจะมีร่างของชายหญิงเดินเข้ามา เธอมองเห็นผมที่นั่งอยู่ที่เตียงด้วยใบหน้าที่ตกใจอย่างมาก


         “ฟองเบียร์ ลูกรักของแม่พื้นแล้ว”


         ผมสะดุ้งเมื่อผู้หญิงที่เข้ามาด้านในห้องเดินเข้ามากอดผม แถมยังมีผู้ชายอีกคนแต่ดูเหมือนอายุจะมากว่าผู้หญิงที่กอดผมอยู่ ดูเหมือนทั้งคู่จะมีฐานะดีนะเนี่ย มองจากเครื่องประดับ กระเป๋าที่ถือ และนาฬิกาข้อมือของผู้ชาย หญิงชายคู่นี้กอดผมจนผมหายใจไม่ออก สองคนนี้เป็นใครแล้วทำไมเข้ามากอดละหญิงวัยกลางปล่อยกอดแต่ผู้ชายไม่ปล่อยเอาแต่กอดผมและลูบหัวผม


         “แม่กลัวว่าลูกของแม่จะเป็นอะไรไป รู้ไหมว่าลูกหลับไปเกือบเดือนเลยนะ”


         เกือบเดือน โห มิน่าล่ะมันถึงได้หิวน้ำซะขนาดนั้น แต่เดียวก่อนนะเมื่อกี้เรียกตัวเองว่าแม่แล้วเรียกผมว่าลูกงั้นหรอ เฮ้ เล่นตลกอะไรกันอยู่เนี่ยไม่ขำนะ ผมรีบดันร่างผู้ชายออกแล้วมองทั้งคู่ที่ยังทำหน้าดีใจอยู่ แถมมีน้ำตาคลอ ส่วนคนที่เป็นแม่น้ำตาไหลออกมาแล้วละ


         “พวกคุณเป็นใคร”


         ผมถามสองคนนั้นและดูเหมือนคำถามของผมจะยิ่งใหญ่น่าดูก็พี่ท่านทั้งสองทำตาโตเหมือนกับเจอทองคำ


         “ฟองเบียร์ลูกแม่ลูกเป็นอะไรไปลูก”


         “หมอครับลูกผมเป็นอะไรไปครับ”


         ชายวัยกลางหันไปถามหมอที่เข้ามาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ รู้แค่เพียงว่าหญิงชายสองคนนี้จะตกใจกับสิ่งที่ผมถามออกไปมาก


         “หมอเองก็ไม่สามารถบอกได้ว่าลูกสาวคุณเป็นอะไรแต่ผลออกมาแล้วว่าลูกสาวคุณปลอดภัยสมองไม่น่าจะมีปัญหาอะไร หมอว่าเธออาจจะเพิ่งฟื้นขึ้นมาเธออาจจะมีความทรงจำบางส่วนขาดหายไปบ้างแต่หมอว่าอีกไม่นานคงกลับมาเป็นปกติ”


         ไม่จริงหรอก หมอโกหกมันจะเป็นปกติได้ไงก็ ผมเป็นชายแต่กลายเป็นหญิงแบบนี้ผมว่ามันกู่ไม่กลับแล้วละหมอ ถ้าหมอจะช่วยงั้นช่วยแปลงเพศให้ผมเลยซิ


         “งั้นหรอครับ”


         ชายวัยกลางทำหน้าครุ่นคิดก่อนที่หมอจะเดินเข้ามาหาผมส่วนผมหรอถอยหนีซิ ก็มันกลัวนี่หวาดีไม่ดีเอาเข็มมาจิ้มผมจะทำยังไง มันเจ็บนะ


         “ไม่ต้องกลัวหรอกนะหมอก็แค่ตรวจนิดหน่อยเท่านั้นเอง”


         ผมไม่ได้กลัวหมอแต่ที่ผมกลัวก็คือข้างหลังหมอซ่อนอะไรไว้ไม่ทราบอย่าบอกนะเข็มฉีดยา หมอเดินเข้ามาใกล้ก่อนที่จะ ว่าแล้ว ไอ้หมอมันจะซ่อนเข็มฉีดยาจริงๆ ด้วย ผมรีบปาหมอนใส่หน้าหมอทันที แล้วดึงสายน้ำเกลือ บอกตามตรงว่าเจ็บมาก เมื่อผมดึงเสร็จก็ผลักนางพยาบาลแล้ววิ่งหนีออกมาจากห้องเพื่อที่จะหนีแล้ววิ่งไปไหนสักที ผมตอนนี้คือคนสติแตกทำอะไรไม่ถูก ขณะที่ผมวิ่งอยู่นั้นผมรู้สึกว่าร่างกายมันล้าลงไปทุกทีก่อนที่ผมจะรู้สึกว่าตัวเองล้มลงแล้วมีนางพยาบาลมาก็มาทรับร่างเอาไว้ หลังจากนั้นผมก็เห็นเข็มฉีดยามาจิ้มที่แขนแล้วผมก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย





         เวลาต่อมา


         ผมรู้สึกสะลึมสะลือ ผมว่าผมโดนยาสลบนะ ผมหันไปทางซ้ายก็เจอหญิงที่เรียกตัวเองว่าแม่นั่งอยู่ที่โซฟาเธอเห็นผมลืมตาก็ลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับยื่นมือลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน ผมชอบนะกับการที่จะมีใครมาลูบหัวผมแบบนี้เพราะว่ามันรู้สึกอบอุ่น เอ ผ้ากลอสเอาออกแล้วหรอ


         “ว่าไงลูกหิวไหมแม่จะเอาอะไรมาให้กิน”


         เธอยิ้มให้กับผมก่อนที่เอาอาหารมาให้กับผม


         “คุณเป็นใครกัน”


         ผมถามเธออีกครั้ง เธอดูตกใจเล็กน้อยก่อนที่เก็บสีหน้านั่นแล้วยิ้มแทนแต่ทำไมมันช่างเป็นรอยยิ้มที่ฝืนเอามากๆ เธอเดินเข้ามาประคองผมในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนแลัวเอามือลูบหัวผมอย่างแผ่วเบา


         “แม่รู้ว่าลูกมีความทรงจำที่ขาดหายไป แม่เองก็ตกใจอยู่แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะยังไงฟองเบียร์ก็เป็นลูกแม่อยู่แล้ว”


         เธอพูดเสร็จก็ตักข้าวมาเข้าปากผม ผมเคี้ยวข้าวอย่างช้าๆ เพราะผมไม่มีแรงเลยผู้หญิงคนนี้คือแม่ของร่างหญิงที่ผมมาสิงอยู่ซินะ ผู้ชายคนนั้นก็คือพ่อ ผมรู้สึกว่าจะได้ยินชื่อเธอนะรู้สึกจะชื่อฟองเบียร์ใช่ปะ ช่างเป็นชื่อที่ผมไม่ค่อยจะได้ยินเท่าไร ชื่อประหลาดดี แม่ของฟองเบียร์ไม่พูดอะไรนอกจากจะตักข้าวยัดใส่ปากตลอดจนผมนั้นทั้งจุกทั้งอิ่ม เธอเก็บทุกอย่างเสร็จผมก็ยังอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่แบบนั้น


         “ฟองเบียร์ หมอบอกว่าลูกสามารถกลับบ้านได้แล้วนะจ๊ะ เมื่อวานหมอตรวจร่างกายดูหมดแล้วว่าลูกปลอดภัยทุกอย่าง เพียงแต่ว่าจะต้องมาตรวจร่างกายในวันที่หมอเขานัดไว้นะจ๊ะ”


         ผมเองก็ไม่ได้คัดค้าน เพราะผมเองก็ไม่มีเรี่ยวแรงพอจะอ้าปาก อันที่จริงมันก็สมควรออกจากโรงพยาบาลได้แล้วละเพราะหลับไปตั้งเกือบเดือน ผมไม่รู้จะทำยังไงต่อ เอาเป็นว่าพอมีเรี่ยวแรงพอผมจะบอกกับพ่อแม่ของผู้หญิงคนนี้ว่าผมไม่ใช่ฟองเบียร์แต่เป็นเรียวหนุ่มหล่อที่ใครเห็นก็หลงรัก ขณะที่ผมกำลังนอนเล่นในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนก็มีผู้ชายคนเมื่อวานนั้นก็คือพ่อของฟองเบียร์และก็มีใครอีกไม่รู้คนหนึ่งเป็นหญิงสาวสวยหน้าคล้ายๆ ฟองเบียร์อยู่ แต่เธอดูเป็นผู้หญิงมั่นๆ ผมของเธอเป็นสีส้มที่เกิดจากการย้อมสีตาที่เป็นสีเดียวกับฟองเบียร์เลยเข้าสีผมอยู่ไม่น้อย ยายนี้สวยดีแฮะ แต่ทำไมทำหน้าตึงๆ แบบนั้นนะ


         “อ้าวคุณค่ะ ฟองดาวมาหาพี่สาวด้วยหรอ”


         หญิงวัยกลางหันไปยังสองคนนั้นที่พึ่งจะเข้ามาฟองดาวหรอชื่อเพราะดี แล้วก็เป็นน้องสาวของยายนี่ด้วยทั้งสวยทั้งน่ารัก ทั้งพี่ทั้งน้องเลย แต่ติดที่หน้าเธอไม่สบอารมณ์เท่าไรเลยนี่ซิ


         “เชอะใครมันอยากจะมา ก็พ่อบังคับนะซิ ใครอยากจะมาเยี่ยมคนแบบนี้”


         เธอพูดพร้อมกับหรี่สายตามาทางผมดูท่าทางเธอจะไม่ชอบหน้าฟองเบียร์นะ ก็ดูพูดซะ


         “ฟองดาว ฟองเบียร์เป็นพี่สาวของลูกนะ แล้วพี่เขาเพิ่งฟื้นด้วยเพราะฉะนั้นลูกก็หัดพูดดีๆ กับพี่เขาบ้าง!”


         แม่ของทั้งสองตะโกนด่าฟองดาวแบบเต็มเสียง ขนาดผมยังสะดุ้งเลย ส่วนฟองดาวถึงกับตาโตด้วยความตกใจ


         “อะไรๆ ก็พี่ฟองเบียร์ตลอดแล้วหนูละแม่ถ้าหนูมานอนแบบนี้บ้างแม่จะห่วงหนูบ้างไหมค่ะ พี่แบบนี้หนูไม่อยากจะมีหรอกนะ พี่ประสาอะไรแย่งได้แม้กระทั่งแฟนน้องตัวเอง”


         ว่าแล้วเธอก่อนเปิดประตูออกจากห้องไปปล่อยให้พ่อกับแม่ของเธอมองด้วยสายตาโมโหและปนความห่วงใย ถ้าเมื่อกี้ผมฟังไม่ผิดแย่งแฟนน้องงั้นหรอ โหแรง เป็นพี่ประสาอะไรแย่งได้แม้กระทั่งแฟนน้องสาวท่าทางยายฟองเบียร์จะแรงมากๆ แน่ ผมคิดแบบนั้นนะ หญิงวัยกลางเอาง่ายๆ ผมเรียกเธอว่าแม่ก็แล้วกันมันจะได้ง่ายๆ แม่เดินมาลูบหัวผมแล้วพูด


         “อย่าไปถือสาน้องเลยนะลูก เดียวกลับบ้านไปก็ต้องเจอน้องอยู่ดีปานนี้พี่ๆ ของลูกจะเป็นไงบ้างก็ไม่รู้เพราะแม่มาเฝ้าลูกอยู่ที่นี่แทบจะไม่ได้กลับบ้านเลย พี่ๆ ของลูกคงน้อยใจแล้วละมั้ง”


         ยังมีพี่อีกหรอกเนี่ย แล้วพี่ชายหรือพี่สาวละ เอาเป็นว่าไปถึงก็คงจะรู้เอง หลังจากนั้นแม่ก็เอากระเป๋าใบหนึ่งมาให้ผมท่าทางจะเป็นเสื้อผ้า ผมก็เดินเข้าห้องน้ำไปเพื่อที่จะเปลี่ยนผ้า พอผมเปิดกระเป๋าออกมาดู


         “นี่มัน ..... อะไรวะ”


         ผมเจออะไรไม่รู้มันนูนสองข้างมีสายเหมือนสายเดี่ยวมีตะขอด้วยถ้าจำไม่ผิดมันเป็น มันเป็น มันเป็น ยกทรง!! อ้ากกก นี่ผมจะต้องใส่เจ้านี่ด้วยหรอกผมรีบค้นกระเป๋าอีกที โอย ชั้นในก็ชั้นในผู้หญิง ผมรีบค้นกระเป๋าแล้วเอาเสื้อผ้าขึ้นมาดูโชคดีที่เสื้อเป็นเสื้อยืดสีขาวมาลายน่ารักอยู่เล็กน้อย แล้วกางเกงละ ผมหยิบออกมามันเป็นกางเกงลูกไม้สีชมพูหวาน มายาวถึงประมาณเข่าได้ละมั้งมันช่างเป็นกางเกงที่แปลก กางเกง..... กางเกงไม่มีเป้า มันคือกระโปรง! โอยนี่ผมไม่คิดไม่ฝันว่าจะมาแต่งแบบนี้เลยนะเนี่ย หมดกันศักดิ์ศรีลูกผู้ชายต้องมาใส่กระโปรงสีชมพูลูกไม้สวยซะด้วย ผมอยากจะตายมันเสียซะตรงนี้เลยนะเนี่ย


         “ฟองเบียร์เสร็จรึยังลูก”


         ผมสะดุ้งเล็กน้อยเพราะแม่มาเคาะประตูแล้วถามผมที่อยู่ในห้องน้ำ


         “ยังครับ... เอิ่ม ยังค่ะ”


         โอย กระด้างปากโวย ทำไมผมจะต้องมาพูดคำว่าค่ะ ด้วยเนี่ย เอาว่ะเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่า เออ แล้วยกทรงมันใส่ยังไงละเนี่ย ใส่ๆ มันไปเถอะ แต่มันก็ช่างหนักใจจริงๆ ที่จะต้องมาถอดเสื้อผ้าแล้วมันไม่ใช่ร่างของผมแถมยังเป็นร่างกายผู้หญิงอีกด้วย หนักใจโวย ผมสูดลมหายใจลึกๆ หวังว่าเจ้าของร่างคงไม่ด่าเอานะ


         ขอเวลาสักนิด


         อ้ากกก กว่าจะใส่ได้แต่ละชิ้นเล่นกินเวลาไปนานเลยผมมามองที่กระจกอีกทีเพื่อตรวจความเรียบร้อยจะว่าไปยายฟองเบียร์แต่งตัวแล้วน่ารักไม่หยอกเลยนะเนี่ย ผมออกมาจากห้องน้ำโดยพ่อกับแม่นั่งค่อยอยู่ ขอโทษนะที่แต่งตัวช้าไปหน่อย แม่เดินเข้ามาหาแล้วถือใส่อะไรบ้างอย่างมาให้


         “นี่จ๊ะลูก รองเท้าจ๊ะ”


         ที่แท้ก็เป็นรองเท้านี่เอง ผมเปิดถุงและคว้ารองเท้าขึ้นมานั่นแหละยิ่งเพิ่มความช็อกให้กับผมเป็นสองเท่าก็รองเท้ามันเป็นรองเท้าส้นสูงสีชมพูเข้ากับกระโปรง โอย นี่ผมเป็นอะไรกับสีชมพูเนี่ย สีชมพูช่างเป็นสีที่นำความซวยมาให้กับผมเหลือเกินนะ แต่ถ้าใครชอบสีนี้ก็อย่าโกรธผมนะ


         “ฟองเบียร์รีบใส่รองเท้าซิลูกจะได้ไปกัน”


         ผมพยักหน้าแทนนะ เพราะไม่อยากพูดคำว่าค่ะ มันกระด้างปากนี่ ผมใส่รองเท้าที่ผมแทบอยากจะปาทิ้งพอผมใส่รองเท้าเสร็จก็ต้องพยายามทรงตัวผมไม่เคยสวมรองเท้าส้นสูงที่นี่ขนาดไม่สูงมากนะ พอผมยืนขึ้น ก้าวเท้าได้เพียงก้าวเดียวเท่านั้น

         พื้นโรงพยาบาลสะอาดดี


         “ฟองเบียร์! เป็นอะไรมากไหมลูก หรือเป็นเพราะไม่ได้ใส่นานเกินไป”


         แม่หันมาหาพร้อมประคองผมให้ลุกขึ้น พอลุกมาได้ผมก็โยกเยกไปตามแรงโน้นถ่วงของโลก และรองเท้าที่จะพลิกแลไม่พลิกแลอยู่


         “สงสัยคงจะเป็นแบบนั้นละมั่งคะ”


         สุดท้ายคงต้องพูดคำค่ะออกไป ไม่ค่ะ ก็คะ เอาเถอะ ผมเดินตามพ่อแม่ของฟองเบียร์ออกไปข้างนอก ซึ่งมันเป็นโรงพยาบาลแถวบ้านผมนี่หวา งั้นแสดงว่าผมต้องอยู่โรงพยาบาลนี่นะซิ ร่างของผมจะต้องอยู่นี่แน่ๆ ขณะที่ผมเดินไปและคิดเรื่องร่างของผมอยู่นั้นสิ่งที่ผมไม่อยากให้เกิดก็เกิดเรื่องอะไรนะหรอก็คือขาผมพลิกนะซิ


         เอ๋ โรงพยาบาลใช้น้ำยาถูพื้นอะไรนะ หอมจังเลย


         “โอ๊ย เจ็บ!”


         “ฟองเบียร์เป็นไงบ้างลูก”


         แม่กับพ่อเห็นผมล้มลงไปก็ตกใจโดยเฉพาะพ่อนั่นแหละรีบพยุงผมขึ้นแต่ดูเหมือนจะพยุงผมไม่ขึ้นก็เพราะแก่แล้วนะซิ พ่อมองหาใครซะคนที่อยู่แถวนั้นและดูเหมือนจะเจอซะด้วย


         “พ่อหนุ่ม พ่อหนุ่มช่วยลุงหน่อยซิช่วยมาอุ้มลูกสาวให้ลุงหน่อย”


         ทำไมพ่อยายนี้มันถึงง่ายแบบนี้วะ ให้คนอื่นมาอุ้มลูกสาวตัวเอง ชายคนนั้นก็ดูเหมือนจะมีน้ำใจซะเหลือเกินพี่ท่านเดินเข้ามาใกล้ แล้วล้มตัวลงถาม


         “เป็นไงบ้างครับ”


         เสียงหล่อๆ แบบนี้มันคุ้นๆ แฮะ มันเหมือนกับเสียงของยูได ผมเงยหน้ามองชายหนุ่มที่จะมาอุ้มผมพอผมเงยหน้ามองชายมาด้วยผม ชายที่มีใบหน้าหล่อน้อยกว่าผม แต่ไม่มีวันที่ผมจะจำมันไม่ได้ ยูได


         “ผมขอโทษนะครับ”


         ว่าแล้วเจ้ายูไดก็อุ้มผมขึ้น คงสงสัยทำไมผมถึงไม่โวยวายว่าผมคือเรียว เอาง่ายๆ ผมอายมันนั่นแหละกลัวว่ามันจะล้อผม แต่เอาเถอะผมจะต้องบอกมันว่าผมคือเรียว มันอุ้มผมมายังเก้าอี้แถวนั้น ส่วนพ่อก็รีบไปหารถเข็นส่วนแม่ไปหาหมอเพื่อที่จะจ่ายยา และนี่ก็เป็นเวลาที่ดี


         “ยูได นี่ฉันเอง”


         เจ้ายูไดทำตาโตก่อนที่จะมองผมอย่างตกใจ


         “คุณรู้จักชื่อผมได้ยังไง”


         “ก็ฉันเองไงยูได ฉันเอง เรียวไง”


         ผมพยายามบอกมัน แต่ดูเหมือนมันจะไม่เชื่อเท่าไรเพราะมันเอาแต่ส่ายหน้าแล้วก็มองผมอย่างกับว่าอย่ามาตลก


         “เธอเป็นบ้าอะไรอย่ามาตลกนะเพื่อนฉันยังนอนอยู่เลยเขายังไม่ได้สติ ฟังนะเธอจะมาเล่นตลกหาเงินละก็ ฉันไม่ชอบ แค่นี้นะฉันจะไปหาเพื่อนของฉัน”


         ว่าแล้วมันก็เดินหนี มันไม่ฟังผมเลยผมพยายามจะเดินตามตามแต่ขาเจ้ากรรมดันมาเจ็บซะได้ ผมได้แค่เรียกมันและมันก็ไม่เห็นจะหันกลับมาเลย เจ้ายูไดทำไมแกถึงไม่เชื่อฉันนะ ผมอยู่ที่นี่จริงๆ หรือ ผมอยู่ที่นี่แล้วอยู่ห้องไหนละเนี่ยผมอยู่ห้องไหนละ โธ่เว้ย พ่อเอารถเข็นมาให้กับแล้วแม่ก็เดินมาหาในระยะประชิดกัน


         “อ้าว ฟองเบียร์ผู้ชายคนนั้นละ”


         พ่อถามผมที่กำลังจะขึ้นรถเข็น ผมไม่อยากจะพูดเลยเพราะจะต้องพูดคำว่าค่ะ


         “ไม่รู้ค่ะเห็นอุ้มเสร็จก็เดินออกไปเลย”


         ผมพูดเสร็จพ่อกับแม่มองหน้าผมแปลกๆ เหมือนกับว่าผมทำอะไรผิดปกติ


         “ฟองเบียร์นี่ลูกยังจำอะไรไม่ได้อีกหรือลูก”


         จำ จำอะไร ทำไมผมจะต้องมาจำด้วยก็ผมไม่ใช่ฟองเบียร์นี่นาจะได้มาจำอะไรต่อให้เอาอะไรมาให้จำผมก็จำไม่ได้อยู่ดี ก็เพราะผมไม่ใช่ฟองเบียร์ ผมอยากจะพูดออกไปก็กลัวหาว่าบ้าหรือไม่ก็โดนกล่าวหาว่าผีสิงอีก พ่อก็เดินไปหาแม่ของฟองเบียร์


         “คุณอย่าเพิ่งไปเร่งรัดลูกซิ หมอเองก็บอกแล้วว่าลูกจะขาดความทรงจำบางช่วงไป”


         ผมทำอะไรผิดหรอผมไม่รู้เลยว่าฟองเบียร์มีนิสัยแบบไหน ผมไม่รู้ว่าเธอพูดกับพ่อแม่เธออย่างไง ก็ผมไม่ใช่ฟองเบียร์ หลังจากนั้นพ่อก็พาไปหาหมออีกครั้งเพราะข้อเท้าผมเจ็บหมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมากข้อเท้าไม่ได้พลิกหรือแพลง รอสักระยะจะหายเลยให้ยาทาแก้ปวดมาเท่านั้น จากนั้นพ่อพามายังรถซึ่งทำให้ผมรู้ว่ายายฟองเบียร์รวยมากเพราะมันเป็นลีมูซีนสีดำเงางาม จอดเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าโรงพยาบาล ผมละอึ้งไปเลยผมไม่คิดว่าจะได้นั่งรถมีราคาแบบนี้ มันช่างโชดดีอะไรขนาดนี้ผมย้ายร่างของตัวเองไม่ซิย้ายร่างใครไม่รู้ที่ผมสิงอยู่เข้ารถลีมูซีนซึ่งข้างในมันหรูอะไรขนาดนี้ ผมนั่งอยู่ด้านหนึ่งพ่อกับแม่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง ผมนั่งอยู่แบบนั้นจนผมอดสงสัยไม่ได้เลยว่าฟองเบียร์แบบคนแบบไหนกันแน่


         “คุณคะ คือฉันเป็นคนแบบไหนกันหรอช่วยบอกหน่อยได้ไหม”


         พ่อกับแม่ของฟองเบียร์ถึงกับตกใจและเศร้าใจในเวลาเดียวกัน แม่ของฟองเบียร์น้ำตาคลอ นี่ผมทำผิดรึเปล่าก็ผมอยากรู้นี่นา พ่อของฟองเบียร์ลูบหลังและโอบไหล่เพื่อปลอบโยนแม่ของฟองเบียร์


         “ฟองเบียร์ พ่อเองก็ไม่อยากจะพูดอะไรให้ลูกเสียใจหรอกนะ ถ้าพ่อพูดไปแล้วลูกอย่าโกรธหรือโวยวายใส่พ่อเลยนะ”


         “อะ อืม”


         ผมพยักหน้าให้แล้วพ่อของฟองเบียร์ก็เริ่มบอกนิสัยและทุกอย่างที่เกี่ยวกับยายนี่ทั้งหมด พ่อเล่าทุกอย่างให้ผมฟังเล่นเอาผมอึ้งไปเลยไม่อยากจะเชื่อว่ายายนี้จะเป็นคนแบบนี้ ยายฟองเบียร์อายุได้สิบเจ็ดปีแล้ว และเรียนอยู่ที่โรงเรียนชื่อดังในตัวกรุงเทพ เธอถือว่าเรียนเก่งก็ได้เพราะเธอสามารถสอบเข้าโรงเรียนในต่างประเทศได้อย่างสบายแต่มีเหตุที่เธอไม่ยอมไปเรียนที่ต่างประเทศ อันนี้ผมก็ไม่รู้สาเหตุเพราะพ่อเธอไม่บอก ฟองเบียร์ติดนิสัยลูกคุณหนูจึงไม่เล่นกีฬาเท่าไรเล่นก็แค่ดนตรีและก็เล่นแค่งูๆ ปลาๆ เท่านั้น และนิสัยของเธอนี่ต่อให้ปรับปรุงละก็คงจะยากเพราะเธอคิดถึงแต่ตัวเอง เออ พูดยังไงดีละ แบบเธอ สวย เริ่ด เชิด หยิ่ง อะไรแบบเนี่ยแถมเธอยังเข้าไม่ได้กับพี่น้องของเธอด้วย มิน่าล่ะคนที่ชื่อฟองดาวที่เป็นน้องถึงได้มองผมเหมือนมองอึหมา แถมไม่ได้กลับพร้อมกันคงกลับก่อนแล้วละ ก็นะ ผมนั่งอยู่ในรถจนมาถึงบ้านของฟองเบียร์แล้วแค่รถผมว่ามันก็หรูพอแล้ว ยิ่งบ้านเธออย่าได้ถามเลย บ้านหรือวังก็ไม่รู้ รถลีมูนซีนมาจอดหน้าวัง เออ หน้าบ้านผมลงมาจากรถอย่างช้าๆ เพราะผมยังเจ็บข้อเท้าอยู่


         “ยังไม่ตายอีกรึเนี่ย”


         เสียงผู้ชายไม่คุ้นหูผมดังมาจากตัวบ้าน ผมรีบหันไปทันทีใครกันจะช่างปากปีจอจริงๆ เป็นชายร่างสูง รูปร่างได้สัดส่วนผมสีดำยาวที่ถูกรอบไว้ครึ่งศีรษะ ดวงตาเรียวสวยคมทั้งปากทั้งจมูกที่เข้ากับใบหน้าที่เรียวสวยนั้น ผู้ชายบ้าอะไรหน้าสวยซะ


         “โครมทำไมพูดแบบนั้นละลูกน้องเพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลนะ”


         “อันที่จริงพวกผมไม่อยากให้กลับมาด้วยซ้ำ”


         อันนี้ไม่ใช่ชายหน้าสวยแต่เป็นเสียงผู้ชายอีกคนหนึ่ง ที่เดินมาจากด้านหลังของชายผมดำ ชายอีกคนย้อมผมออกแดง ส่วนตาเป็นสีดำสนิท ใบหน้าออกกวนๆ เล็กน้อยรูปร่างสูงโปร่ง ชายคนนี้จัดว่าหล่อได้เลย แต่ผมหล่อกว่า


         “เปเปอร์ ก็อีกคนน้องกำลังเจ็บนะ!”


         แม่กับพ่อต่างพากันพูดตะคอกใส่ชายสองคนนั้น ซึ่งดูเหมือนจะไม่สนใจในคำพูดของแม่ตัวเองซะด้วยแม่ดันผมให้เดินแต่ผมก็ต้องเดินต่อให้ขาเจ็บยังไงก็ต้องเดิน


         “อ๋อ ขาเจ็บซะด้วย”


         ชายที่ชื่อว่าโครมพูดแล้วเดินมาทางผมกับแม่ส่วนพ่อเองก็เดินไปไหนแล้วก็ไม่รู้ โครมเดินมาแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน


         “แม่ครับให้ผมช่วยนะ ผมเป็นพี่จะต้องช่วยเหลือน้องซิครับ”


         แม่มองโครมอย่างยิ้มๆ เออ แม่ครับทำไมแม่เป็นคนเชื่ออะไรง่ายๆ แบบนี้ละเมื่อกี้มันยังปากปีจออยู่เลยมันแสดงละครอยู่นะแม่ อย่าไปเชื่อ! ผมมองหน้าเจ้าโครมที่ยิ้มอย่างอ่อนโยนแต่สายตามันเจ้าเลห์ฉิบ


         “ได้จ้ะงั้นช่วยพยุงน้องไปนั่งที่โซฟาหน่อยนะแม่จะให้คนรับใช้ไปจัดห้องให้น้อง”


         ออ แม่ ทำไมแม่ถึงเชื่อง่ายขนาดนี้ครับ อ่านลูกตัวเองไม่ออกหรือครับ ในขณะที่ผมกำลังนินทาแม่ฟองเบียร์อยู่ในใจมีแรงมากระชากทำให้ขาของผมต้องก้าวโดยไปทันระวัง


         “โอ๊ย!”


         ผมร้องออกมาอย่างห้ามไม่ได้เพราะขาที่ก้าวมันคือขาที่ขาที่ข้อเท้าผมเจ็บอยู่ ผมมองคนที่ดึงผมนั้นก็คือโครมไอ้ตัวหน้าไหว้หลังหลอกมันเป็นกระชากผมเอง


         “โทษที ไม่ได้ตั้งใจ”


         โกรธหน้าสวยมาก คำนี้เหมาะมากเลย มันดึงผมแบบไม่ให้ผมตั้งตัวมันโยนผมลงบนโซฟา มันเจ็บนะโว๊ย ไอ้บ้านี่ ผมนั่งบนโซฟาแล้วก็มีไอ้คนที่ชื่อว่าเปเปอร์มานั่งลงข้างๆ ผมแถมมันนั่งลงมาทีมันยังไม่วายที่จะกระแทกตัวผมอีกด้วย มีหวังผมได้เข้าโรงพยาบาลรอบสองแน่


         “ไงจ๊ะ น้องรักของพี่เป็นไงบ้าง เห็นว่าโดนรถชน มันหน้าจะตายไปแล้วนะเนี่ย”


         ผมมองมันอย่างหมั่นไส้ไม่ได้หมั่นไส้หน้ามันนะ ปากมันต่างหากละไม่รู้ว่าปากสองคนนี่มันทำด้วยอะไร ยายฟองเบียร์ไปทำอะไรให้กันนะ ถึงได้แกล้งกันแบบนี้ เปเปอร์อ้าแขนมาโอบไหล่ผม แต่ผมเอาออกพอเอาออกมันก็มาโอบอีก น่ารำคาญ


         “พี่เปเปอร์คนนี้ได้ยินว่าน้องรักมีความจำบางอย่างขาดหายไปใช่ไหม”


         ไม่บางหรอกทุกอย่างเลยละ ก็เพราะฉันไม่ใช่ฟองเบียร์


         “พี่จะช่วยเพิ่มเติมให้เอาไหม แกจำเรื่องที่แกทำให้ฉันกับแฟนที่คบกันมาสองปีเลิกกัน จำได้รึเปล่า วันนั้นวันที่แกเอาภาพที่แกไปตัดต่อว่าฉันมีอะไนกับผู้หญิงอื่นไปให้แฟนฉันดูรู้ไหมแฟนที่ฉันรักจริงหวังแต่งมาบอกเลิกกับฉัน”


         เปเปอร์กัดฟันพูดใส่ผมส่วนผมนะหรอก หันมามองเปเปอร์ด้วยความเมื่อผมได้ยินประโยคเมื่อครู่ ยายนี้มันทำถึงขนาดนี้เลยหรอ เป็นผมเองก็คงแค้นเหมือนกันอันนี้แกล้งกันระหว่างพี่น้องหรือเปล่าในขณะที่ผมยังอึ้งเรื่องเปเปอร์ยังไม่หายโครมก็เอาแขนมาโอบไหล่ผมอีก


         “ส่วนของพี่ละจำได้ไหม ฟองเบียร์”


         โครมมองผมแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบแต่แฝงไปด้วยความแค้นผมมองหน้าโครม ผมไม่ได้กลัวนะแต่ลุ้นต่างหากละว่ายายนี้ทำอะไรไปอีกบ้างถึงแม้ว่าคนที่ผมจะอยู่ในร่างของเธอก็ตาม


         “งั้นพี่จะเล่าให้ฟังนะ วันนั้นเป็นวันที่พี่จะได้ศึกษาต่ออังกฤษด้วยตัวของพี่เอง พี่ดีใจมากแต่แกกลับเปลี่ยนเอกสารเป็นตัวแกเองทั้งๆ ที่แกไม่ได้ทำอะไรเลย รู้ไหมว่าวันนั้นต้องเป็นวันที่พี่ต้องได้ฉลองแต่กลับเป็นแกที่ได้ฉลองและถูกยอมรับในคนครอบครัว ทุกคนต่างยกทุกอย่างให้กับแก ทั้งๆ ที่พี่ต่างหากที่เป็นคนได้และทำให้พี่เสียโอกาส”


         ยายนี้ดับอนาคตพี่ชายเลยหรอ มิน่าล่ะพ่อถึงได้บอกว่าฟองเบียร์จะได้ไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศแต่กลับไม่ไปก็เพราะเธอไม่ได้ชิงทุนด้วยตัวเองหรือเธอไม่เก่งอังกฤษกันแน่ ผมโดนพี่ชายของยายฟองบียร์แนบข้าง พอพ่อกับแม่เดินผ่านมาก็ทำท่าทางห่วงใยผมถามนู้นถามนี้ ว่าไงเป็นไงบ้าง อยากได้อะไรไหม นี่ละนะคนรวยแสร้งได้ทุกเรื่องแม่เดินเข้ามาหาผมแล้วให้เปเปอร์กับโครมพาขึ้นห้อง ประทานโทษมันพาขึ้นห้องแต่มันกับบิดข้อมือผมซะเจ็บแต่ผมร้องไม่ออกก็เพราะว่ามันเจ็บจนร้องไม่ออกต่างหาก


         ผมถูกไอ้บ้าสองคนนี้พาขึ้นห้อง เออ แม่บอกให้พาเข้าห้องต้องบอกแบบนี้ซิเนอะจะได้ไม่เข้าใจผิด เมื่อมาถึงห้องผมแทบจะบ้าตายอีกรอบทำไมห้องมันถึงได้หวานปานน้ำผึ้งเดือนห้าแบบนี้ เมื่อผมถูกให้ปล่อยไว้ในห้อง ผมรีบถูข้อมือทันทีก็มันเจ็บนี้หวา ผมสำรวจห้องส่วนข้อเท้าก็เจ็บขึ้นด้วยเพราะไอ้บ้าสองคนนั้น ผมมองห้องสีตกแต่งไปด้วยสีชมพูทั้งเตียงทั้งตู้ ผนังห้อง โคมไฟ แสงไฟ ผ้าม่าน ทุกอย่างเป็นสีชมพู เอาเถอะมันคือห้องของผู้หญิงนี่เนอะจะให้ทำไงได้ละ ผมเดินมาที่เตียงแล้วทิ้งตัวเองลงบนเตียงก่อนที่คิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น ผมว่าเรื่องนี้ผมเคยเจอที่ไหนนะ ผมพยายามนึกจนผมจำได้แล้วว่าเน็ตไงละผมจำเว็บนั่นได้ เว็บลิซ่า ผมรีบมองหาคอมพิวเตอร์ซึ่งตั้งอยู่ตรงปลายห้องแถมมันยังเป็นสีชมพูด้วย ผมเดินไปที่คอมแล้วเปิดเข้าเน็ตทันที โชคที่ไม่มีการเข้ารหัสไม่งั้นผมคงไม่ได้ใช้ ผมไม่รีรอรีบหาเว็บนั้นและก็เจอมันผมพยายามหาอีเมลและต่างๆ ที่จะสามารถคุยกับเขาคนนี้ได้แต่ไม่มีอะไรเลยเมื่อกับว่าเขาแค่จะมาบอกเล่าแล้วไม่ต้องการให้ใครมาติดต่อก็เพียงแค่เข้ามาอ่านก็พอแล้ว นี่ผมจะทำยังไงดีผมจะต้องอยู่ในร่างนี้ ร่างเด็กมีปัญหารึไงและผมยังไม่รู้เลยว่ายายนี้อยู่โรงเรียนจะเป็นยังไง แค่ที่บ้านก็แทบจะหามิตรไม่ได้เลย อยากเล่นกีตาร์แก้เซ็งชะมัด แต่ปัญหาของผมไม่ได้อยู่ที่นั้นหรอกปัญหาของผมอยู่ที่ว่าร่างของผมอยู่ห้องไหนกันแน่ ผมต้องรอให้หายดีก่อนแล้วค่อยออกไปตามหาก็ได้


         ก็อก ก็อก ก็อก


         ผมหันไปทางประตูแล้วเดินไปเปิดโอย ข้อเท้ายิ่งเจ็บๆ อยู่ พอผมเปิดประตูก็เจอกับผู้หญิงคนหนึ่งพอเธอเห็นผมก็ถอยหลังแล้วพูดเหมือนกลัวผม


         “คือหนูไม่ได้มาขว้างการพักผ่อนนะคะ คือคุณผู้หญิงให้มาตามคุณหนูลงไปทานข้าวค่ะ และให้พยุงคุณหนูลงไปด้วย แต่ถ้าคุณหนูไม่ลงไปก็ได้นะคะ จะให้หนูยกมาให้ก็ได้ค่ะ”


         ผู้หญิงที่อยู่หน้าประตูพูดอย่างรวดเร็ว เอาไงดีขี้เกียจลงด้านล่างชะมัดแต่จะให้คนอื่นยกมาให้ก็ใช่ที่ เพราะผมไม่ใช่ฟองเบียร์ ผมก็เลยตัดสินใจลงไปด้านล่างเพื่อที่จะทานข้าวเย็น


         “งั้นเธอมาพยุงฉันทีนะ”


         ผมบอกผู้หญิงข้างหน้าแต่ดูเหมือนว่าเธอจะกล้าๆ กลัวๆ หรือว่ายายฟองเบียร์จะพวกชอบวีนแตกกันนะ แบบว่าเป็นคุณหนูใจร้ายอะไรประมาณนั้น ผมลงยังด้านล่างโดยมีพี่ชายโครมกับเปเปอร์และผู้หญิงคนที่มาโรงพยาบาลตอนนั้น นั้นก็คือฟองดาว ผมมายังโต๊ะอาหารแบบหมุนของคนจีนแหมคนรวยนี่มันดีจริงๆ กินแบบโต๊ะหมุนซะด้วย แต่จะดีกว่านี่ไหมถ้าบนโต๊ะกินข้าวไม่ใช่สีหน้าบึ้งตึงของพวกพี่น้องยายฟองเบียร์ ผมมองอาหารบนโต๊ะเห็นแล้วก็รู้สึกว่ามันอร่อยแต่คงไม่อร่อยเท่าไรแล้วละเพราะสายตาที่มองยังผมมันกะจะให้ผมลุกออกโต๊ะอาหารเลย


         “ชิ จะลงมาทำไมก็ไม่รู้อาหารไม่น่ากินขึ้นมา”


         ฟองดาวพูดพร้อมกับวางช้อมลงบนชามเสียงดังและก็ตามด้วยไอ้บ้าสองคนนั้น เล่นเอาผมไม่กล้ามองเลยละ ก็ผมไม่เคยถูกใครเมินใส่เลยเท่าที่จำได้มีแต่คนเขาอยากจะรู้จักกันทั้งนั้น ทั้งสามคนลุกขึ้นโดยพร้อมเพียง


         “อ้าว แกสามคนไม่กินรึไง”


         พ่อหันไปถามสามคนนั้นทันที


         “ไม่ละพ่อ พอดีนึกขึ้นได้ว่าพวกผมสามคนมีนัดกับเพื่อนไว้นะครับ”


         โครมบอกพ่อพร้อมกับชี้นิ้วไปทางฟองดาวและเปเปอร์ อันที่จริงบอกมาตามตรงเถอะว่าไม่อยากรวมโต๊ะกับผม ส่วนผมตอนนี้ก็ไม่อยากจะกินซะแล้วซิเห็นแบบนี้มันกลืนข้าวไม่ลงเลย ผมอยากจะรู้นักว่ายายฟองเบียร์เนี่ยมันร้ายขนาดนั้นเลยหรอถึงได้ไม่มีใครต้องการ เออ อันที่จริงใช้คำว่าไม่มีเลยจะดีกว่าเนอะ งั้นผมคงต้องพูดอะไรให้สามคนนั้นซะหน่อยดีกว่าไหม ไม่อยากรวมโต๊ะนักนี่


         “มีนัดกับเพื่อนหรือไม่อยากรวมโต๊ะด้วยกันแน่นะ”


         ผมพูดแบบลอยๆ ให้สามคนนั้นได้ยิน และก็เป็นผลสำเร็จสามคนนั้นหันหลังมามองกันเป็นตาเดียวเลยหึ หึ หึ ถึงผมจะรู้ว่านั้นเป็นการชักศัตรูเข้ามาตัวเองก็เถอะมันอยากลองนี่น่า


         “เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ ยายฟองเบียร์”


         เปเปอร์พูดลอดไรฟัน


         “เปล่า”


         ผมส่ายหน้าปฏิเสธทันที ยิ่งทำให้สามคนนั้นเดือดขึ้นมา สงสัยผมพูดอะไรเจ้าสามคนนั้นก็คงจะเดือดดาลไปหมดเลย ยายฟองเบียร์ฉันละนับถือเธอจริงๆ ทั้งสามรู้สึกจะเปลี่ยนใจมานั่งรวมโต๊ะอีกรอบ ยิ่งทำให้พ่อและแม่ทำอะไรไม่ถูกคงจะรู้ละมั้งว่าลูกของพวกเขาเป็นยังไง ทั้งสามนั่งโต๊ะแล้วก็ลงมือกินข้าวส่วนผมนะหรอกเหมือนเดิมไม่อยากกินข้าวเลย มันไม่คุ้นเคยและก็ยังโดนสายตาเจ้าสามคนนั้นมองมายังกับว่าอยากฆ่าผมให้ตาย โลกนี่มันอะไรกัน จากหนุ่มฮอทที่สาวๆ หมายปองแม้กระทั่งชายด้วยกันก็หมายตาไว้ แต่พอกลายเป็นหญิงไม่ซิต้องบอกว่าเมื่อมาอยู่ในร่างผู้หญิงมีแต่คนเหม็นขี้หน้าอันที่จริงยายนี้น่ารักนะ อันนี้ชมจากใจจริงของผมเลย


         “ฟองเบียร์เป็นอะไรไปลูกไม่หิวข้าวหรอ”


         แม่จับไหล่ผมก่อนที่ถามแบบห่วงใย ผมชอบจังที่จะมีใครสักคนมารักและค่อยห่วงใยผมแบบนี้ผมไม่ได้สัมผัสกับความรักแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ


         “ก็ผมไม่หิวนี่ครับ ก็คุณให้ผมกินเมื่อตอนเที่ยงนี่เองแถมให้กินเยอะซะด้วย”


         พอผมพูดเสร็จทุกคนมองผมกันเป็นตาเดียว ผมทำอะไรผิดอีกละ เมื่อกี้ก็แค่ตอบแม่ไปว่าก็ผมไม่หิวนี่ครับเท่านั้นเอง

         ก็ผมไม่หิวนี่ครับ

         ก็ผมไม่หิวนี่ครับ.......... งานเข้า! ผมลืมไม่สนิมว่าตัวเองอยู่ในร่างผู้หญิง ดันไม่พูดผมกับครับอ้ากก อย่ามองผมด้วยสายตาเหมือนผีสิงซิผมไม่ชอบนะ


         “งะ งั้นหรอกลูก ไม่เป็นไรแม่เข้าใจ”


         เข้าใจอะไรแม่ เข้าใจว่าผมไม่หิวหรือเข้าใจว่าผมเพี้ยน หรือเข้าใจว่าผมถูกผีสิง ก็ดูแม่พูดกับใบหน้าแม่ซิมันช่างกล่ำกลืนเหลือเกิน ส่วนสามคนนั้นก็ได้แค่หัวเราะเท่านั้นคงคิดว่าผมเพี้ยนไปจริงๆ ซะละมั้ง สุดท้ายผมก็ถูกให้ไปนั่งอยู่ในสวนหรือสนามดีละ มันกว้างมากเลย ตอนนี้ข้อเท้าของผมมันยังเจ็บอยู่ถึงแม้ว่าจะเจ็บไม่มากแต่เป็นอุปสรรคในการเดินอยู่ไม่น้อย นี่ถ้าผมอยู่ในร่างเดิมก็คงไม่เท่าไรก็ร่างผู้หญิงมันบอบบางนี่น่าโดนนิดโดนหน่อยก็เจ็บแล้ว ผมนั่งรับลมอยู่แบบนั้นมันทำให้สงบมาก ผมคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นมันทั้งหมด ตกลงมันเกิดขึ้นได้ยัง ผมจำได้แค่ว่าผมเห็นยายฟองเบียร์ในฝัน แล้วตื่นขึ้นมาผมก็กลายมาเป็นคุณเธอ ผมอยากกลับร่างอันหล่อเหลาของตัวเองเหลือเกิน โอ๊ย อยากได้กีตาร์สักตัวมาเล่นแก้เซ็งชะมัด ไอ้ขาเจ้ากรรมก็ดันมาเจ็บอีก ผมละอยากร้องไห้ ผมหวังว่าพรุ่งนี้ขาคงจะดีขึ้นนะ ผมมองพระอาทิตย์ตกยามเย็นมันช่างโรแมนติกมากและตอนนี้ผมบอกตามตรงว่ามันทำให้ผมอยากจะร้องไห้ เพราะไอ้สามคนนั้นมันเดินมาทางนี่แล้วด้วย ผมยิ่งไปอยากเดินอยู่


         ผมจะลุกหนีสามคนนั้นแต่พวกมันเป็นนินจารึไงแปบเดียวพวกมันก็เดินมาถึงแถมยังกดไหล่ผมให้นั่งอยู่กับคนที่กดก็คือฟองดาว ผู้หญิงบ้าอะไรแรงเยอะโคตร


         “พี่นั่งก่อนซิคะ พวกเราอุตส่าห์มานั่งเป็นเพื่อนเลยนะ”


         ฟองดาวพูดกระซิบข้างหูผมเล่นเอาขนลุก ขอบใจนะที่จะมานั่งเป็นเพื่อนอันที่จริงไม่ต้องหรอกเกรงใจสุดๆ เจ้าสามคนมองมาทางผมด้วยสายตาสมเพช ผมทำอะไรให้อีกละเนี่ย


         “ความทรงจำหายไม่พอยังเพี้ยนอีกด้วย”


         โครมพูดพร้อมกับเดินมาข้างหน้าผม แล้วก้มตัวลงมองที่หน้าผม ส่วนผมหันหน้าหนีแต่ถูกเปเปอร์จับหัวให้หันหน้ามาปะทะอีก ตอนนี้ผมถูกไอ้พวกสามคนล้อมอย่างกับว่าผมเป็นพระอาทิตย์แล้วมีดาวเคราะห์อยู่รอบๆ


         “โธ่ พี่โครมพี่ฟองเบียร์เป็นน้องสาวพี่นะคะให้กำลังใจกับบ้างซิ”


         “นั้นนะซิครับพี่โครม เปเปอร์ว่าพวกเรามาปลอบขวัญน้องสาวของเราและพี่สาวของฟองดาวหน่อยก็ได้นะครับ”


         เจ้าสามคนนั้นมองหน้ากันอย่างรู้ไต่ ไม่ทราบว่าจะทำอะไรไอ้กระผมหรอก รอให้ผมกลับไปเป็นเรียวก่อนได้ไหมจะทำอะไรยายฟองเบียร์ก็เชิญ ขณะที่ผมกำลังคิดว่าสามคนนี้จะทำอะไรผม ร่างของผมก็ลอยขึ้น ผมถูกเปเปอร์อุ้มครับ อ้ากกกกก ผมโดนอุ้มเกิดชาตินี่ผมมีปนด้อยแล้ว ผมโดนผู้ชายอุ้ม


         “เฮ้ย! จะทำอะไรวะ!”


         ผมดิ้นแล้วมองหน้าเปเปอร์ ที่มองหน้าผมอยู่


         “รับขวัญน้องสาวยังไงละ”


         ว่าแล้วเปเปอร์ก็อุ้มผมไปไหนไม่รู้ รู้เพียงว่าผมดิ้นอยู่แบบนั้น จะรับขวัญผมหรอก ไม่ต้องพาไปไหนหรอกแค่เอาเงินใส่ซองแล้วยืนให้เท่านั้นก็พอแล้ว แต่ขอเป็นแบงค์สีเทานะและก็หลายๆ ใบด้วย ขณะที่ผมคิดถึงเงินอยู่เปเปอร์ก็มาหยุดอยู่ตรงสระน้ำที่มีบัวขึ้นซะสวย


         “เอาจริงหรอก เปเปอร์พี่ว่ามันคงไม่ดีเท่าไรหรอกนะ”


         ไอ้พี่โครมครับปากพี่บอกว่าไม่ดีหน้าพี่บอกว่าเอาเลย ทำเลย มันย้อนแย้งอย่างชัดเจนเลยนะ


         “ว้าวจะให้พี่ฟองเบียร์ไปเก็บดอกบัวให้ฟองดาวหรือคะ แหมฟองดาวอยากได้อยู่เหมือนกัน”


         ดีใจอะไรกันคุณน้องสาวจะให้ไปเก็บดอกบัวทำไมต้องให้อุ้มมาด้วยละไม่เข้าใจไอ้สามคนนี่เลยนะเนี่ย


         “แต่ถ้ายายฟองเบียร์ไม่จมน้ำตามก่อนนะ”


         นั้นซิเนอะ ถ้ายายฟองเบียร์ไม่จมน้ำตาย สงสัยยายฟองเบียร์จะว่ายน้ำไม่เป็น น่าสงสารยายฟองเบียร์จริงๆ ฟองเบียร์ว่ายน้ำไม่เป็นหรอแล้วผมมาอยู่ในร่างของฟองเบียร์ด้วย อ้าก กะจะฆ่ากันเลยหรอก ไม่เอานะ ผมรีบดิ้นกะจะให้หลุดแล้วมันหลุด ใช่มันหลุดเพราะไอ้เปเปอร์มันโยนผมลงสระบัว ตายแน่ๆ ผมต้องตายแน่ๆ เพราะยายฟองเบียร์ว่ายน้ำไม่เป็นสงสัยพวกมันคงอยากจะเห็นผมตะกายเหมือนลูกหมาตกน้ำแน่ๆ


         แต่เดี๋ยวก่อนนะถ้าว่ายน้ำไม่ไปเป็นก็ต้องตายงั้นก็ดีเลยคนอยากตายอยู่แล้วผมจะได้กลับร่างเดิมของตัวเอง ผมก็ปล่อยร่างกายลงสู่ด้านล่างของพื้นน้ำผมนิ่งอยู่แบบนั้น ผมเริ่มหายใจไม่ออก มันหายใจไม่ออก มันหายใจไม่ออก


         ว้ากกก ไม่ไหวแล้วผมไม่ไหวแล้วโอยจะตายทั้งที่ทำไมมันทรมารแบบนี้ 0 + 0


         สุดท้ายผมก็ตัดสินใจว่ายน้ำขึ้นมา กว่าจะมาถึงผิวน้ำได้ระยะทางมันช่างไกลเสียเหลือเกิน พอผมมาถึงผิวน้ำก็รีบหายใจเข้าไปเอื้อกใหญ่โอย ทรมารมาก ผมว่ายน้ำขึ้นฝั่งแล้ว จ๊ะเอ๋ กับเท้าของสามคนที่ยืนมองผมอยู่ด้วยสายตาเหวอๆ คนหน้าตาดีเวลาเหวอนี่น่าม่องเหมือนกันนะ แล้วมันใช่เวลามาชมคนไหมเรียว ผมเกาะฝั่งระเบียงไม้อยู่เจ้าเปเปอร์ก้มตัวลงมองผม


         “เป็นไปได้ไง แกว่ายน้ำไม่เป็นนะ”


         “ไอ้บ้า ใครที่ไหนจะว่ายน้ำไม่เป็นเวลาใกล้ตายละห๊ะ!”


         ผมตะคอกใส่หน้าเจ้าเปเปอร์ฉันไม่สนหรอกโวยเพราะแกไม่ใช่พี่ชายฉัน ก่อนที่ผมจะขึ้นผมว่ายน้ำไปเก็บคว้าดอกบัวดอกที่สวยที่สุด (ในเวลานั้น) มาดอกหนึ่งแล้วว่ายกลับมาผมขึ้นฝั่งแล้วเดินเข้าไปหาฟองดาวแล้วยืนดอกบัวให้


         “อยากได้ไม่ใช่หรอกเอาไปซิ ดอกนี่สวยดีนะ”


         ผมพูดรอดตามไรฟัน ก่อนที่จะเดินไปถึงแม้ว่าขามันยังเจ็บอยู่แต่รู้สึกว่าความโมโหมันทำให้หายไปปลิดทิ้งเลย ผมเข้าวัง เออ เข้าบ้านด้วยสภาพเปียกไปทิ้งตัวก็เล่นโยนกันเลยนี่หวา พ่อที่นั่งอยู่แถวนั้นเห็นผมก็วิ่งเข้ามาหาส่วนสามคนนั้นก็เดินเข้าบ้านมาด้วยเพราะกลัวว่าผมจะฟ้องละมั้ง ประทานโทษนะฉันไม่ใช่พวกขี้ฟ้อง


         “ฟองเบียร์ลูกไปโดนอะไรมาก”


         พ่อเดินมาถึงตัวผมแล้วเอาแต่จับนู้นจับนี่ ถ้าไม่ติดว่าผู้ชายคนนี้คือพ่อของฟองเบียร์ละก็ผมว่าคงเป็นพวกเฒ่าหัวงูแหง พ่อหันหาสามคนนั้นที่อยู่ด้านหลังของผมด้วยสายตาที่ดูโกรธเอามากๆ


         “พวกลูกใช่ไหมที่รังแก พ่อรู้นะว่าว่าพวกลูกเป็นคนทำ ฟองเบียร์ว่ายน้ำไม่เป็นแกก็รู้ใช่ไหมก็เลยนะทำให้ฟองเบียร์จมน้ำ”


         พ่อตะโกนด่าเสียงดังทำให้สามคนนั้นสะดุ้งโดยเฉพาะฟองดาวที่เกาะแขนโครมแน่น สายตาของทั้งสามมองผมด้วยสายตาที่ดูรังเกียจผมเอามากๆ ผมว่าถ้าผมไม่ทำอะไรมีหวังคืนนี้คงไม่ได้นอน ผมรีบไปเกาะแขนพ่อและเขย่าเบาๆ


         “มีอะไรรึลูกฟองเบียร์”


         พ่อหันมาทางผมแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างจากเมื้อกี้มาก พ่ออย่ารักลูกลำเอียงซิ ปัดโธ่


         “คือพ่อ พ่อจะว่าพวกพี่ๆ และน้องก็ไม่ถูกนะคะ พ่อน่าจะฟังทางผม เฮ้ย! ทางหนูบ้าง อันที่จริงพวกพี่ๆ และน้องไม่ได้ทำอะไรฟองเบียร์เลยค่ะตรงกันข้ามพวกพี่ๆ และน้องสอนฟองเบียร์ว่ายน้ำต่างหากละค่ะ เขาวางกฎว่าถ้าสามารถว่ายไปเอาดอกบัวดอกหนึ่งได้ก็จะสามารถว่ายน้ำเก่งได้ไงคะ ดอกบัวดอกนั้นก็คือดอกที่ฟองดาวถือไง”


         ผมชี้นิ้วไปทางฟองดาวเพื่อที่จะให้เห็นว่ามีดอกบัวอยู่จริง พอพ่อหันไปเห็นทำหน้าถอดสีทันที


         “จริงรึเนี่ย โครม เปเปอร์ ฟองดาว พ่อขอโทษนะพ่อไม่น่าใจร้อนเลย”


         เจ้าสามคนนั้นมองมาทางพ่อก่อนที่ฟองดาวจะเดินเข้ามาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงหวานๆ


         “ไม่เป็นไรหรอกค่ะพ่อ พวกหนูเข้าใจว่าพ่อเป็นห่วงพี่ฟองเบียร์ ก็เพราะพี่ฟองเบียร์เพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลมาและพรุ่งนี้จะต้องไปโรงเรียนโดยที่ไม่ได้หยุดพักหนูเข้าใจดีค่ะ”


         แหม น้ำเสียงแม่คุณช่างหวานหยดหยอดเสียเหลือเกินนะที่พูดกับผมละเหมือนน้ำเสียงจะเปลี่ยนไปคนละทางเลย พอพ่อขอตัวไปทำงานส่วนผมก็กะจะขึ้นห้องเพราะตอนนี้อยากอาบน้ำสุดๆ เลย โคลนเหม็นฉิบขณะที่ผมกำลังจะขึ้นห้องก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น


         “ทำไมต้องช่วยด้วย”


         มันเป็นเสียงของโครม เสียงก็หล่ออยู่หรอกนะถ้าน้ำเสียงของพี่ท่านไปพูดออกตามไรฟัน ผมหันหน้าไปประชันกับเจ้าสามคนนั้น


         “ไม่ได้ช่วย ก็เพียงแค่มันน่าเบื่อก็เท่านั้น ฉันไม่อยากจะมาฟังพวกแกสามคนทะเลาะกับลุงเขาหรอกนะ ไม่ซิ ทะเลาะกับพ่อหรอกนะ และอีกอย่างฉันไม่ใช่ฟองเบียร์ เพราะฉะนั้นจะแกล้งอะไรก็ขอให้ฉันกลับร่างเดิมก่อนได้ไหม”


         ผมพูดเสร็จก็เดินขึ้นห้องทันทีปล่อยให้สามคนนั้นงงกับคำพูดของผม เอาเถอะน่าจะเข้าใจคำพูดของผมบ้างนะ เมื่อกี้ผมได้ยินอะไรนะโรงเรียนอะไรนี่แหละ เอาเถอะผมไม่ได้ติดใจอะไรเพราะตอนนี้ผมอยากอาบน้ำ!!!!


         เมื่อผมมาถึงห้องผมก็เตรียมตัวอาบน้ำ ผมคว้าผ้าเช็ดตัวสีชมพูแล้วเดินเข้าห้องน้ำ ขนาดห้องน้ำก็ยังเป็นสีชมพูด้วย โอย อยากจะบ้า ผมถอดเสื้อผ้าออกหมดทุกชิ้นก่อนมาจ๊ะเอ๋ร่างหญิงสาวที่อยู่ในสภาพอับล่อแหลม


         “ว้ากกกก ขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมไม่ได้ตั้งใจจะแอบมองคุณนะ”


         ผมร้องสั่นห้องน้ำหวังว่าเธอคงไม่ว่าผมนะ ก็มันไม่ได้ตั้งใจนี้ แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าจำผู้หญิงคนเมื้อกี้ไม่ผิดมันคือยายฟองเบียร์ไม่ใช่หรอก ผมหันหลังไปอีกที กระจก เฮ้ย โล่งใจไปอีกผมลืมไปว่าผมอยู่ในร่างของผู้หญิง โอยอยากจะบ้าตายให้ได้ ผมมองร่างที่สะท้อนอยู่ในกระจก ผมบอกตามตรงว่าร่างของฟองเบียร์นี่เยี่ยมเลย ตรง……………. (ละไว้) เอาเป็นว่าผมขอลงแช่อ่างอาบน้ำก็แล้วกันนะ


         เป็นอ่างอาบน้ำก่อนที่จะนอนลงแช่ สบายสุดๆ ผ่อนคลายลงไปเยอะ ผมนอนแช่อ่างอาบน้ำแล้วก็คิดว่าจะหาทางกลับร่างตัวเองยังไงและตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าร่างตัวเองอยู่ห้องไหน ผมขอภาวนาว่าอย่าให้ร่างของผมถูกย้ายไปที่อื่นเลย ผมคิดไปคิดมา ผมเริ่มคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็คือเรื่องของฟองเบียร์ ผมรู้แล้วว่าครอบครัวของฟองเบียร์เป็นแบบไหนถึงแม้ว่าจะไม่รู้มากก็ตาม อยู่ไปก็รู้เอง เรื่องที่ผมคิดอยู่ก็คือเรื่องการเรียนหรือโรงเรียนของฟองเบียร์นั้นแหละผมไม่รู้เรื่องนี้เลย ผมกลัวว่ามันจะหนักกว่าที่บ้านอีกนะ ผมแช่อยู่แบบนั้นจนกระทั้งเวลาล่วงเลยไป


         เวลาต่อมา


         ขณะที่ผมกำลังกินข้าวอยู่นั้น มือไม้ผมสั่น ช้อนล่วงจากมือเมื่อผมได้ยินว่า


         “ว่าไงนะไปโรงเรียนพรุ่งนี้!”


         ผมตะโกนออกโดยไม่แย่แสว่าใครจะมองยังไงก็เรื่องที่ผมไม่อยากให้เกิดมันเกิดขึ้นแล้ว ผมจะต้องไปโรงเรียนจริงหรอแล้วจะต้องใส่กระโปรงจริงหรอ ผมขออย่าได้เป็นกระโปรงจีบรอบแบบญี่ปุ่นเลยนะ


         “ใช่จ๊ะลูกเพราะลูกหยุดมาเป็นเดือนแล้ว เดี๋ยวจะเรียนไม่ทันเพื่อนเอานะ”


         ผมฉลาดผมครับแม่ ผมเก่งพอ ผมถึงกับกินข้าวไม่ลงเมื่อนึกถึงเรื่องของวันพรุ่งนี้ สุดท้ายผมก็ได้แค่พูดคำว่า


         “ค่ะ”


         นี่ผมต้องใช่คำว่า ค่ะ คะ ไปอีกนานไหมครับ ใครมันกลั่นแกล้งเรียวหนุ่มหล่อคนนี้ได้ เมื่อแยกย้ายกันเสร็จผมก็เริ่มสงสัยอยู่อีกเรื่องก็คือผมอยู่โรงเรียนเดียวกับสามคนนั้นรึเปล่าผมเลยเดินไปถามแม่ทันที


         “แม่ครับ เฮ้ย แม่ค่ะ”


         เกือบตะครุบไม่ทันแล้วไหมล่ะ


         “มีอะไรหรือลูก”


         แม่หันมาหาผมก่อนที่จะยิ้มให้


         “คือหนูอยู่โรงเรียนเดียวกันรึเปล่าค่ะ”


         ผมถามแม่ซึ่งนั้นผมก็รู้ดีว่ามันทำให้แม่เสียใจเพราะแม่คิดว่าฟองเบียร์ความจำเสื่อม ผมขอโทษก็ผมอยากรู้นี่


         “ไม่หรอกจ้ะ ลูกอยู่อีกโรงเรียนส่วนสามคนนั้นอยู่อีกคนละโรงเรียน คือแม่อยากให้พวกลูกๆ แยกกันเรียนมันจะได้มีประสบการณ์แตกต่างกันไป”


         “อืม”


         ผมพยักหน้าแล้วก็มองแม่อีกที ส่วนแม่ก็เอาแต่ยิ้มให้ผมเองก็ไม่รู้จะพูดยังไงก็กะว่าจะขอตัวไปทำใจซะหน่อยแต่ถูกแม่พูดอะไรออกมาก่อน


         “นิสัยลูกเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ ตั้งแต่ลืมตามา”


         “เปลี่ยนไปหรอก”


         ผมมองแม่อย่าง งงๆ เพราะแม่พูดพร้อมกับทำสีหน้าดีใจและเสียใจปนกันตกลงเอาแบบไหนแม่ ผมก็เลยขอตัวไปนอน ไม่ซิทำใจดีกว่าเพราะพรุ่งนี้ไอ้กระผมจะเจออะไรบ้างก็ไม่รู้ ผมขึ้นห้องนอน เฮ้อ อยากเปลี่ยนห้องเป็นสีอื่นชะมัด ผมพลิกซ้ายพลิกขวาแล้วผมรู้สึกง่วงก่อนที่เปลือกตาจะหลับลง







    ใครที่รอไรท์ ไรท์ไม่รู้จะขอโทษยังไงนะคะ ใครที่ตามคงโกรธและไม่ให้อภัย ไรท์ไม่ว่าค่ะ เพราะหลังจากเหตุการณ์ที่โดนเพื่อนขโยนนิยายไปในตอนนั้นมันเกิดความรู้สึกการโดนหักหลังและเกิดสภาวะช็อกทางจิตใจ กลายเป็นว่าไรท์ไม่สามารถเขียนนิยายเรื่องนี้ได้เลย ปลายนิ้วมือไม่ขยับ และเพื่อนคนนั่้นได้กลับมากระทำซ้ำกับไรท์อีกเมื่อไม่นานมานี่  ทั้งๆ ที่ไรท์ให้อภัยไปแล้ว 

    สุดท้ายเหตุการณ์ล่าสุดได้ปลดจิตใจของไรท์ค่ะ 

    มันเลยทำให้ไรท์สามารถกลับมาเขียนนิยายเรื่องนี้ได้อีก และได้ทำการปัดฝุ่นใหม่ทั้งหมด 


    ใครที่ยังรอยังตาม ไรท์ขอโทษนะ ไรท์กลับมาแล้วนะ ขอโทษนะจ๊ะที่รัก


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×