คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1 จดหมายสีชมพู
พักเที่ยง ณ
โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในตัวเมืองหลวง
“แกนั่นใช่พี่เรียวที่เรียนอยู่ชั้นม.5
ห้องA หรือเปล่า”
“กริ๊ด พี่เรียวขอถ่ายรูปด้วยได้หรือเปล่าค่ะ”
ผมเดินตามระเบียงที่มีแต่สาวๆ
สวยๆ ค่อยตามกริ๊ด ตามจีบ และตามขอถ่ายรูป ผมชื่อว่าเรียว อายุสิบเจ็ดปี อยู่ไฮสคูลปีสองหรือม.5
ที่เข้าใจกัน ผมถ่ายรูปและพุดคุยกับพวกเธอเพื่อไม่ให้คะแนนยอดนิยมของผมตกและด้วยที่โรงเรียนไม่ได้มีแค่ผมที่หน้าตาหล่อเพียงคนเดียวเพราะฉะนั่นจะต้องเก็บคะแนนไว้เยอะๆ
กว่าจะพ้นพวกเธอได้ก็ใช้เวลาอยู่เหมือนกัน ผมเลยรีบเดินยังโรงอาหารเพราะผมกลัวจะหมดพักเที่ยง
“โห ท่านเรียวขอรับว่าเดินมาถึงก็หมดพักเที่ยงกันพอดี”
พอผมมาถึงเพื่อนผมที่นั่งค่อยผมพูดขึ้นมาด้วยอารมณ์ที่บอกไม่ได้มันอารมณ์ดีหรือว่ามันหงุดหงิด
“ก็ช่วยไม่ได้นี่ กว่าข้าจะพ้นสาวๆ มาได้”
“เออ ไอ้รูปหล่อ รีบกินข้าวเถอะเดี๋ยวจะไม่ได้กิน”
เพื่อนผมรีบดันหลังผมเพื่อที่จะไปซื้อข้าว
เจ้านี้ชื่อว่ายูไดมันเป็นเพื่อนคนเดียวของผมที่รู้จักกันตอนเข้าเรียนม.ปลายและเป็นเพื่อนสนิทของผมด้วย
เพราะไม่ค่อยมีใครอยากจะคบกับผมหรอกเรื่องอะไรน่ะหรอก็เพราะผมหล่อไงละ
ผมเป็นเด็กกำพร้าไม่มีทั้งพ่อไม่มีทั้งแม่
พ่อกับแม่ของผมหายสาบสูญไปเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว
สิ่งที่ผมมีคือมรดกของพ่อกับแม่ที่เยอะพอที่จะทำให้ผมจบปริญญาได้สบายๆ เลยทีเดียว
ขณะที่ผมกำลังซื้อข้าวกินอยู่นั้นก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับซองจดหมายสีชมพูหวาน
“พะ พี่เรียวค่ะ ช่วยรับด้วยค่ะ”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่ตะกุกตะกัก
แถมยังตื่นเต้นอีกด้วย ผมเอื้อมมือไปจับซองจดหมายสีชมพูนั้นเมื่อผมรับมาเธอผู้นั้นก็หายราวกับผี
“เรียว อย่าบอกจะว่าจดหมายสารภาพรัก”
“สงสังจะใช่ ทั้งสีชมพูตามฉบับคนญี่ปุ่นแล้วเธอคนนั้นยังมาให้ด้วยท่าทางตื่นเต้นอีกฉันก็เลยฟันธงได้เลยว่าจดหมายสารภาพรัก”
“แล้ววันนี้ได้กี่ฉบับแล้วละ”
ยูไดถามผมขณะที่ถือจานข้าวไปนั่งที่โต๊ะ
“ฉบับที่เก้า”
“แล้วเปิดอ่านรึยังละ”
“ยัง ขี้เกียจอ่าน”
ว่าแล้วผมก็เอาจดหมายยัดเข้ากระเป๋ากางเกงนักเรียนเพื่อจะเอาไปอ่านที่บ้านเพื่อสะสมว่าแต่ละวันแต่ละเดือนผมได้มาแล้วกี่ฉบับไม่เพียงแค่จดหมายบางครั้งผมก้ได้ของขวัญจากพวกเธอ
อันที่จริงผมมีผู้ชายมาชอบผมด้วยนะแต่ผมปฎิเสธไปหมดเพราะผมชอบผู้หญิงมากกว่า
“แกมันก็เป็นซะแบบนี้ ได้จดหมายกี่ฉบับก็ไม่เคยอ่านแม้กระทั่งแชทก็ไม่ค่อยจะตอบ
เล่นตัว มันถึงได้ไม่มีแฟนซะที”
เจ้ายูไดพูดพร้อมกับยัดข้าวเข้าปากตัวเองด้วยท่าทีที่หมั่นไส้ในความหล่อเลือกได้ของผม
“ใครจะยอมมีแฟน ถ้าฉันมีแฟนมีหวังแฟนคลับของฉันได้ลดลงน่ะซิ”
“ก็เพราะแกคิดแบบนี้ไงละ
แกรู้ไหมว่าแกทำร้ายผู้หญิงพวกนี้มาเท่าไรแล้วแกไม่รู้บ้างเลยรึไง
ระวังเถอะแกจะได้รับบทลงโทษ”
“บทลงโทษยังไงวะ แบบว่าฉันไม่มีทางเจอรักจริงหรือฉันไม่มีทางมีความรักได้งี้หรอ”
“เออ สาธุขอให้แกเจออย่างปากแกพูดก็แล้วกัน”
เจ้ายูไดกินข้าวอย่างรวดเร็วเหมือนกับว่ามันอยากจะรีบกินแล้วก็รีบหนีผมไป เมื่อผมทานข้าวเสร็จก็ได้เวลาเข้าเรียน
ซึ่งผมเองก็ไม่ได้เปิดซองจดหมายอ่านเลย ตั้งเก้าฉบับใครมันจะอ่านไหวละ
ไหนจะแชทที่ทักมามากจนผมต้องเปิดการแจ้งเตือนเลยทีเดียว ผมเดินเข้าห้องเรียนมาพร้อมกับเจ้ายูไดแน่นอนว่าผู้หญิงในห้องต่างพากันมองมายังผมทั้งนั้น
แถมพากันซุบซิบว่าผมหล่ออย่างนั้นอย่างนี้ เรียนดี หรือ เขามาแล้วๆ ผมไม่รู้ว่าทำไมผู้หญิงใฝนห้องของผมถึงยังเขินผมนะ
ทั้งๆที่พวกเธอโชดดีขนาดไหนที่ได้อยู่ห้องเดียวกับผม พอถึงเวลาเรียน ผมโครตจะเบื่อกับการมานั่งเรียนในห้องสี่เหลี่ยมนี่จริงๆ
ผมจะเบื่อเป็นสองเท่าเมื่อจะต้องมานั่งเรียนวิชาภาษาไทยนี่แหละ
ไอ้ผมเองก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจะต้องมาเรียนวิชาภาษาไทยด้วยทั้งที่เป็นภาษาบ้านเราเองแท้ๆ
กว่าจะหมดคาบก็เล่นจะหลับอยู่เหมือนกัน เมื่อครูเดินออกจากห้องเจ้ายูไดก็สะกิดผม
“เฮ้ย เรียววันนี้ไปคาราโอเกะกันเถอะ เห็นว่ามีร้านเปิดใหม่ด้วย
เดี๋ยวนี้หาร้านแบบนี้ยากแล้วด้วย”
“หลังเลิกเรียนนี่หรอ”
“ใช่แล้วละ”
“โอย กว่าจะได้ไปต้องรอให้จบอีกสองคาบ แถมยังเป็นวิชาเคมีอีกด้วย ฉันละอยากโดดชะมัด”
“เอาน่าทนไปก่อน จะได้ไปปล่อยกันให้เต็มที่ไง”
เจ้ายูไดยักคิ้วให้กับผมส่วนผมเองก็ได้แต่มองหน้ามันก่อนที่จะทำความเคารพแล้วได้เวลาเรียนวิชาเคมีต่อไป
เวลาต่อมา
กว่าจะเรียนเสร็จและกว่าคุณครูอันเป็นที่รักจะปล่อยเล่นเอาง่วงกันไปตามๆ
กัน ผมเดินลงมายังด้านล่างโดยที่มีพวกสาวๆ พากันรออยู่เพื่อลากลับบ้านใครบ้านมัน
พากันขอถ่ายรูปหรือขอไปอัพเดทข่าวสารในโซเซียลต่างๆ นี่ขนาดผมเป็นแต่นักเรียนธรรมดาของโรงเรียนนะถ้าผมเป็นดาราหรือไอดอลเนี่ยไม่ถึงกับสลบเมื่อเห็นผมเลยหรอ
ผมยืนคอยเจ้ายูไดอยู่ด้านล่างและคอยโบกมือให้กับสาวๆ ที่เดินผ่านผมไป
“โทษทีวะเรียว พอดีครูเขาเรียกใช้”
เจ้ายูไดวิ่งหน้าตั้งลงมาด้านล่าง
“เออ ช่างมันเถอะ รีบไปร้านคาราโอเกะดีกว่าฉันอยากปลดปล่อยเต็มแก่
และเพื่อจะได้เห็นสาวๆ โรงเรียนอื่นด้วย”
“สมองแกก็มีแค่นี้หรือวะ”
ผมยักไหล่แล้วเอาแขนไปโอบไหล่ของมัน
ผมนั่งรถเก๋งของเจ้ายูไดเพราะผมไม่มีรถเอาง่ายๆ ก็คือผมอยากจะเก็บเงินไว้ใช้เมื่อมันจำเป็น
ผมไม่อยากจะใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย เพราะเงินของพ่อและแม่จะต้องมีวันหมดซักวันหนึ่ง
เจ้ายูได ผมลืมบอกไปว่าทำไมเจ้านี่ถึงได้คบกับผมได้ อันที่จริงเจ้าหมอนี่ก็เสน่ห์แรงเหมือนกันมันเองก็หล่อแถมยังรวยอีกต่างหากมันอายุมากกว่าผมหนึ่งปีมันถึงขับรถได้ผมถามว่าทำไมถึงอายุมากกว่าผม
ผมบอกว่ามันไม่ยอมเรียนต่อปีหนึ่งเพราะมันติดเที่ยวในหนึ่งปีนั่นมันไปเที่ยวต่างประเทศเกือบจะทั่วโลกแล้ว
แต่ที่มันไม่มีสาวคนไหนมาสนใจก็เพราะมันไม่มีคารมณ์เลยนะซิผู้หญิงจะต้องคารมณ์เป็นต่อรูปหล่อถึงมีชัยไงละ
เมื่อผมมาถึงร้านคาราโอเกะที่เปิดใหม่ในห้างสรรพสินค้า
“ที่นี่เปิดใหม่ดูท่าทางจะมีคนเยอะนะ”
เจ้ายูไดที่กำลังจ่ายเงินค่าห้องคาราโอเกะพูดขึ้น
“นั้นซิ แถมโรงเรียนอื่นก็มากันเยอะอีกด้วย”
เจ้ายูไดจ่ายเงินเสร็จก็เดินนำหน้าผมไปยังห้องที่จ่ายตังค์
ขณะที่ผมกำลังเดินอยู่นั้นอยู่ๆ ก็มีอะไรบางอย่างวิ่งมาชนที่หลังของผม
โครม!!!!
เล่นเอาผมล้มลงไปจุ๊บกับพื้นอันเป็นที่รักทันที
หน้าหล่อๆ ของผมหวังว่าจะไม่มีแฟนคลับผมอยู่แถวนี้นะ
ใครกันที่บังอาจมาลอยทำร้ายความหล่อของผมกัน ขณะที่ผมกำลังจะหันไปต่อว่าเจ้าคนชนนั้น
“เดินยังไง มะ...........”
ผมต้องรีบกลืนคำพูดทันทีเมื่อคนที่ชนผมเธอก็ล้มนั่งอยู่กับพื้น
เป็นหญิงสาวผมสีดำตรงสวย ดวงตากลมโตปากนิดจมูกหน่อยผิวขาวรูปร่างได้สัดส่วน
เว้าเป็นเว้า โค้งเป็นโค้ง นูนเป็นนูน พูดได้คำเดียวว่าน่ารักโครตแถมเซ็กซี่ด้วย
“ขะ ขะขอโทษค่ะ”
เธอพูดด้วยอาการหน้าแดงท่าทางจะอาย
ยิ่งหน้าแดงมันเพิ่มความน่ารักเข้าไปอีก เล่นเอาผมกลายร่างเป็นสุภาพบุรุษลุกขึ้นแล้วไปประคองเธอขึ้นมาก่อนที่จะมีเพื่อนของเธอวิ่งมาดูทันที
“น้ำผึ้งเป็นอะไรไหม!”
เพื่อนของผู้หญิงคนนี้ก็จัดได้ว่าสวยเลยทีเดียวแต่ติดที่ว่าตาของเธอออกจะเรียวมากกว่า
ชื่อน้ำผึ้งด้วยท่าทางจะหวานน่าดู เออ ผมหมายถึงนิสัยนะครับ เธอหันมาหาผมก่อนที่จะยกมือไหว้ผม
“ขอโทษนะคะ ขอโทษจริงๆ”
ขอโทษอย่างเดียวจะไม่ว่าเลยนะ
แต่ติดที่ว่าเธอจะไหว้ทำไม ผมรู้ว่ามันเป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทยแต่การที่คนอายุเท่ากันมาไหว้นี่มันทำให้ดูแก่ยังไงไม่รู้
ผมก็เลยยกไหว้กลับซิ ไม่ยอม
“มะ มะ ไม่เป็นไรครับ”
“ขอบคุณค่ะ พอดีน้ำผึ้งวิ่งเล่นกับเพื่อนก็เลย......”
เธอดูหน้าแดงหนักเข้าไปอีก
และดูเหมือนว่าเธอจะกลัวว่าผมจะต่อว่าเธอ ก็บอกว่าไม่เป็นไรไง
“ช่างมันเถอะครับ งั้นผมขอตัวไปหาเพื่อนก่อนนะครับ”
ผมโบกมือให้กับเธอแล้วเดินเข้าไปที่ห้องคาราโอเกะที่เจ้ายูไดนั่งรออยู่
และดูเหมือนมันจะเห็นเหตุการณ์เมื่อกี้ด้วย
“เป็นไงถูกใจไหม หน้าตาน่ารักดีซะด้วย”
“นั้นซิดูเหมือนจะไม่ได้อยู่โรงเรียนเราด้วย น่าเสียดายแฮะ”
“เหอะ อย่าบอกนะว่าแกชอบใจผู้หญิงคนนั้นเข้า”
ผมยักไหล่ให้ยูไดเพราะผมเบื่อคนรู้ทันโดยเฉพาะเจ้ายูไดนี่แหละ
ผมหยิบหนังสือเพลงเพื่อจะหารหัสเพลงในแต่ละเพลงเพื่อที่จะร้อง อยู่ๆเจ้ายูไดก็ถามผมขึ้นมา
“เออ เรียวได้ข่าวว่าแกเรียนกีตาร์ใช่ไหม”
“อะ อืม มันก็ไม่มีอะไรมากนักหรอก เพราะฉันก็เล่นกีตาร์เป็นอยู่แล้วนี่”
“นั้นซิแกเล่นเป็นอยู่แล้วทำไมต้องไปเรียนให้เสียเงินด้วยหรือว่าแกเรียนดนตรีอันอื่นเพิ่มด้วย”
“ไม่เลยเพราะฉันเล่นเก่งเกือบทุกอย่างอยู่แล้ว
การที่ฉันไปเรียนกีตาร์ก็แค่อยากจะหาความรู้เพิ่มเติมแล้วก็พัฒนาการเล่นด้วย”
“งั้นหรอ”
เจ้ายูไดไม่พูดอะไรต่อนอกจากจะคว้าไมค์มาร้องเพลงที่ผมเลือกก็เท่านั้น
เมื่อร้องเพลงกันแล้วก้แวะทานหาอะไรทานในห้างก่อนที่เจ้ายูไดจะขับรถมาส่งผมถึงบ้าน
ซึ่งบ้านก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรก็แค่อยู่กันได้ประมาณสามถึงสี่คนก็เท่านั้นเพราะก่อนที่ผมอยู่คนเดียวก็เคยมีพ่อกับแม่อยู่ด้วย
อะ อะ อย่าหาว่าผมเป็นคนน่าสงสารนะชีวิตของผมยังสามารถลัลล้าได้อีกเยอะ
ผมจัดแจงอาบน้ำแล้วก็มานั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วก็เปิดอินเตอร์เน็ตเพื่อที่เข้าโซเซียลเช็ดเรื่องราวต่างๆ
ผมเปิดอะไรไปเรื่อยๆ แล้วผมก็ต้องมาสะดุดกับเว็บไซต์หนึ่งที่เขียนว่าผมลืมตาขึ้นมาผมก็กลายเป็นผู้หญิง
ตลกผู้ชายอะไรจะกลายเป็นหญิงง่ายขนาดนั้น ก็มีแต่ในการ์ตูนกับนิยายเท่านั่นแหละ
แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่าอะไรมันมาดลใจให้ผมคลิกเข้าไปอ่านแต่เมื่อคลิกแล้วก็อ่านซะหน่อย
ใจความมีดังนี้
สวัสดีครับ
หรือค่ะดีละ อันนี้ผมเองก็ไม่สามารถบอกได้ถ้าคุณได้เข้ามาอ่านแล้วก็กรุณาอ่านด้วยเพราะว่าเนื้อหาของผมไม่ได้ยาวอะไรมากนักหรอก
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อผมถูกรถชนผมไม่รู้ว่ามันแรงขนาดไหนแต่เล่นเอาผมหมดสติผมไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน
ผมไม่รู้ว่าใครมาเล่นตลกกับผมเพราะเมื่อผมลืมตาตื่นขึ้นมาก็แทบช็อก ผมมาอยู่ร่างกายของใครไม่รู้และที่ทำให้ผมไม่อยากจะเชื่อนั้นก็คือผมมาอยู่ในร่างของผู้หญิง
ผมไม่รู้ว่าเธอเป็นใครแล้วทำไมผมถึงมาอยู่ในร่างกายของเธอ เมื่อผมได้พบกับพ่อแม่ของเธอหรือร่างที่ผมเข้ามาสิงอยู่
ผมถึงรู้ว่าเธอชื่อ ลิซ่า เธอเป็นลูกครึ่งไทยอเมริกา
ผมไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้เลย หมอก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเกิดจากอะไร
ผมพยายามบอกกับหญิงที่เป็นแม่ของลิซ่า
ว่าผมไม่ใช่เธอแต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่เชื่อที่ผมพูดเขาหาว่าผมเสียสติ
ไม่นานนักผมพยายามแสดงละครเป็นเธอ
และผมพยายามพูดภาษาอังกฤษให้ได้ ส่วนทางพ่อแม่ของเธอคงคิดไปว่าเธอคงได้รับผลกระทบจากการถูกรถชนทำให้คำลืมภาษาอังกฤษอันที่จริงมันอาจจะเป็นเพียงแค่ความคิดที่ดูไม่มีเหตุผลแต่มันก็ทำให้มันรู้สึกโล่งใจอยู่บ้าง
แต่สิ่งที่ทำให้ผมสงสัยก็คือเธอถูกรถตรงกับวันที่ผมโดน
ผมไม่รู้ร่างของผมอยู่ที่ไหน ผมไม่รู้จะอย่างไร ผมไม่เคยต่างอยู่ต่างประเทศ
ผมอยากหาร่างของผมแต่ทุกอย่างมันหมดหวัง ผมต้องอยู่โรงพยาบาลจนกว่าผมจะหาย
สุดท้ายผมก็มาอยู่บ้านหรือครอบครัวของลิซ่า
ผมเริ่มพูดภาษาอังกฤษได้บ้างแล้วเพราะผมอยู่โรงพยาบาลและแม่ของลิซ่าพยายามสอนภาษาให้กับผมซึ่งผมก็สามารถใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวของเธอได้ถึงแม้ว่าผมจะไม่สามารถเป็นตัวเธอได้
เขาบอกว่าลิซ่าเป็นเด็กหัวดื้อ ไม่เอาการเอางาน
แต่เมื่อผมมาอยู่ร่างของเธอเขาก็บอกต่างๆ กันว่าเธอเปลี่ยนไปเยอะนั้นก็คือผม
นี่ก็ผ่านไปได้สองปีแล้วผมอยู่กับครอบครัวของเธอ ผมสามารถพูดคุยภาษาอังกฤษ
และยังใช้ชีวิตของผู้อื่นได้
ผมพูดตามตรงเลยนะว่าการที่จะเปลี่ยนมาใช้ชีวิตเป็นผู้หญิงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยผมจะต้องเจอกับเรื่องวันนั้นของผู้หญิงเจอทั้งเรื่องการใส่เสื้อผ้าของผู้หญิงเพราะผู้หญิงมีสรีระที่แตกต่างกับผู้ชายอย่างมาก
ในระหว่างที่ผมอยู่ในร่างของลิซ่าผมยังคงตามหาร่างของตัวเอง และ
พยายามติดต่อบ้านของตัวเองให้ได้ ผมเป็นคนจน ที่อยู่ไม่เป็นที่
ไม่รู้ว่าครอบครัวของผมไปอยู่ทีไหน ผมอยากเจอแม่ อยากเจอพ่อ
และแล้วความพยายามของผมก็สำเร็จก็คือผมสามารถหาร่างของผมเจอแล้วผมสามารถหาครอบครัวของผมเจอแล้วผมรีบหาข้อมูลและผมก็รีบไปยังข้อมูลนั้นทันทีแต่เมื่อผมไม่ถึงผมแทบอยากจะตะโกนเรียกพ่อกับแม่แต่ก็ไม่สามารถเรียกได้เพราะเป็นลิซ่า
ผมเดินเข้าไปหาพ่อกับแม่ของผมแล้วก็ถามถึงผม พ่อกับแม่พาผมไปที่ที่หนึ่ง
นั้นก็คือวัด ผมอยากจะร้องไห้ ผมอยากจะวิ่งหนีออกจากที่แห่งนั้น
ผมอยากจะตะโกนออกไปดังๆ ว่าไม่จริง ผมตายแล้ว ผมตายแล้วหรือ
พ่อกับแม่ของผมพาผมมาหาร่างของผม ร่างที่ถูกฝั่งไว้ใต้ดิน
“อันที่จริงแม่เองก็อยากจะเผาแต่ก็ไม่มีเงินพอ แม่ก็ได้แค่ฝั่งเท่านั้น”
แม่ผมพูดทั้งน้ำตาผมลุกขึ้นแล้วเช็ดน้ำตาให้กับแม่
ผมไม่รู้ว่าผมไม่ได้เจอหน้าแม่นานแค่ไหนแล้วรวมถึงพ่อด้วย
ผมรีบหากระดาษและจดบัญชีธนาคารของผมเพื่อให้แม่ไปถอน
“นี่ค่ะรหัส นี่เป็นรหัสธนาคารซึ่งเขาเก็บเงินไว้ให้กับคุณแม่
เขายกให้แม่ทั้งหมดค่ะ”
“ของลูกแม่จริงๆหรอ”
“ค่ะ ลิซ่ามาก็เพราะเรื่องนี่ แม่ค่ะลิซ่าขอมาเยี่ยมได้ไหมค่ะเพื่อเขา”
“ได้จ๊ะ”
แม่ดึงผมเข้าไปกอดผมร้องไห้เพราะผู้หญิงร้องไห้ก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไรเลยว่าไหม
ผมละอิจฉาผู้หญิงก็ตรงนี้แหละร้องไห้ได้แต่ดูไม่อ่อนแอ
นี่ก็ผ่านไปนานเท่าไรแล้วผมก็ไม่รู้
รู้แค่เพียงว่าทุกวันนี้ผมใช่ชีวิตเป็นลิซ่าและไปเยี่ยมพ่อแม่ของผมด้วย
ผมใช้ชีวิตในแบบผู้หญิงถึงแม้ว่าวิญญาณจะชายก็ตาม เอาเป็นว่าผมจะใช้ชีวิตแบบนี้ไปเรื่อยจนกว่ามันจะทนไม่ไหวก็แล้วกัน
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง
หรือถ้าคุณไม่เชื่อผมเองก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะยังไงซะเรื่องแบบนี้มันก็ไม่สามารถบังคับให้เชื่อได้ง่ายๆอบู่แล้ว
ผมขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน
และหวังว่าท่านคงไม่ได้เป็นแบบผมนะ
ผมเลื่อนหน้าจอเขามีรูปยืนยันอีกด้วย
ผมไล่อ่านคอมเม้นทันทีต่างก็บอกว่ามันน่าเหลือเชื่อ บางก็ว่าสร้างเรื่อง
ผมไม่อยากจะอ่านต่อเพราะหลังๆ ชาวคอมเม้นเริ่มทะเลาะกันเอง ผมปิดหน้าต่างเว็บเพราะตอนนี้ก็ดึกแล้วเรื่องนี้สำหรับผม
ผมเฉยๆ กับมันนะ เพราะโซเซียลมันเป็นอะไรที่ยากจะเชื่อใจได้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกด้านหนึ่งเขาคือใคร
ผมปิดคอมพิวเตอร์แล้วโยนตัวเองไปยังเตียงนอนอันแสนรักหวังว่าวันพรุ่งนี้คงไม่มีเรื่องอะไรให้ปวดหัวนะ
วันรุ่งขึ้น
“พี่เรียววันนี้ก็หล่อ”
“ใช่คนอะไรไม่รู้มองตรงไหนก็น่ารัก”
เสียงต่างๆ
ดังเข้ามาในหัวผมมันช่างเป็นคำพูดที่น่ารักเสียจริงๆ ผมเดินเข้าห้องเรียนของผมโดยตรงไปยังเจ้ายูไดที่ก้มหน้าลงอยู่กับโต๊ะ
“เฮ้ย แกเป็นไรวะ ยูได”
ยูไดเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม
“อ้าว เรียวเองหรอก”
“ก็เออน่ะซิคิดว่าใครละ แล้วเป็นอะไรไปเนี่ย ฟิวขาดรึไง”
“เปล่าหรอกเมื่อคืนไม่ได้นอนเลยนะซิ”
“อ้าว ทำไมวะ”
เจ้ายูไดเปลี่ยนจากท่าก้มหน้ากับโต๊ะมาเป็นท่าพิงเก้าอี้แทน
“แกจำแฟนเก่าฉันได้ไหม”
“เออ ไบย่าแฟนเก่าแกนั้นหรอก”
“อืม เมื่อคืนโทรมาขอคบกันใหม่ ฉันบอกว่าไม่ เธอก็ไม่ยอม พอปิดเครื่องหนี
พี่แกก็โทรมาเครื่องพ่อฉัน ไม่ก็เครื่องแม่ฉัน พอพากันปิดเครื่อง
ก้โทรเข้าเบอร์บ้านต่อ จะปิดเครื่องตลอดก็ไม่ได้เพราะพ่อต้องทำงานติดต่อกับลูกค้า
เล่นเอาหัวเสียไม่ได้นอนกันเลย”
“ทำใจวะ ไบย่าด้วย ร้ายจะตาย”
เจ้ายูไดถอนหายใจเอื้อกใหญ่
หลังจากนั้นก็เริ่มเรียนหนังสือในแต่ละวิชา
ขณะที่ผมเรียนอยู่นั้นผมก็ถูกครูใช้ให้ออกไปซื้ออุปกรณ์บางอย่างเพราะวันนี้มีการทดลองแต่มันขาดของชิ้นหนึ่งไปผมก็เลยออกไปซื้อให้ขณะที่ผมกำลังเดินตามระเบียงมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาหาผม
เธออยู่ในชั่วโมงว่างและดูเหมือนเธอจะรู้ว่าผมเดินมาก็เลยมาดัก ถ้าจำไม่ผิดเธอคือคนเมื่อวานที่ให้จดหมายซองสีชมพูนั้น
ตายละหวาผมยังไม่ได้อ่านจดหมายเธอเลย
“พะ พี่เรียวคะ คำตอบละคะ”
“คำตอบ?”
“ก็จดหมาย”
เธอจ้องเข้ามาในลูกตาของผมอย่างกับว่าผมทำอะไรผิด
“ก็จดหมายที่หนูให้พี่ไปอ่านคะ คือหนูอยากคบกับพี่
พี่ช่วยรับความรักของหนูได้ไหมคะ!”
เธอตะโกนซะดังกลัวคนอื่นเขาจะไม่ได้ยินรึไงไม่ทราบ
ผมอายเมื่อเธอพูดเสียงดังแถมคนแถวนั้นก็ออกมาดู ผมพูดตามตรงเลยนะว่าผมรู้สึกอายมาก
“ขอโทษนะที่ฉันรับความรู้สึกแบบนี้ของเธอไม่ได้”
“ทะ ทะทำไมละ”
“ก็ได้ไม่ได้รักเธอไงละ”
“อึก!”
ผมไม่รู้ว่าคำพูดนั้นรุนแรงไปรึเปล่ารู้แค่เพียงว่าเธอถึงกับน้ำตาไหลออกทันที
“ขอโทษนะ ช่วยหลีกทางหน่อยได้ไหมฉันรีบ”
เธอดูเหมือนจะนิ่งเงียบและไม่มีทีท่าจะหลีกให้
ส่วนผมก็ได้แค่เดินผ่านเธอไปเฉยๆ
และได้ยินเสียงเธอร้องไห้และมีเพื่อนเธอเข้ามาปลอบ
ผมไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องร้องไห้ด้วยก็แค่ไม่รักก็คือไม่รัก ถ้ารักก็คือรัก
ผมรู้ว่าผมพูดแรงเกินไปแต่จะดีกว่าไหมถ้าเราไม่ต้องไปให้ความหวังกับใคร ผมว่าการที่จะให้ความหวังกับใครมันจะทำให้เขาทรมารใจเปล่าๆ
ผมเดินออกมาจากโรงเรียนโดยยืนใบอนุญาติของครูที่ใช้ผมนั่นแหละ
เมื่อผมซื้อให้ครูเสร็จ ผมกำลังเดินข้ามถนนก่อนที่จะได้ยินเสียงบางอย่างที่เสียดถนนและแสบแก้วหู
ผมรู้สึกมีอะไรมากระแทกบริเวณสีข้างแล้วรู้สึกว่าหัวของผมลงกระแทกกับพื้น
ผมเป็นอะไรไปหรอก เสียงกริ๊ดดังอยู่รอบๆ ตัวของผม
ผมไม่รู้ว่าทำไมร่างกายมันถึงได้หนักแบบนี้แม้กระทั้งเปลือกตา
ความคิดเห็น