ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ที่ตรงนี้ยังมีฉัน...ในวันฟ้าใหม่

    ลำดับตอนที่ #6 : 4 ปี ต่อมา

    • อัปเดตล่าสุด 21 ต.ค. 49


    สี่ปีต่อมา

    บ้านป๊อป

    เนื่องจากป๊อปเป็นลูกคนจีน พ่อแม่ป๊อปจึงรักและหวง

    ลูกชายอย่างป๊อปมากเพราะทั้งบ้าน ป๊อปเป็นลูกชายเพียงคนเดียว

    นอกนั้น เป็นน้องสาวอีกสองคน อายุไล่เลี่ยกัน


    "อาป๊อปอ่ะ เพื่อนลื้อเป็นไงบ้างฮะ คนที่สูงๆหล่อๆ

    เป็นนักเรียนนายร้อย ม๊าไม่ได้เจอมาปีหนึ่งแล้วน้า

    เจอครั้งล่าสุดก็เมื่อวันครบรอบวันตายของหนูเจี๊ยบ

    ตอนนี้อาเต้เป็นไงบ้างก็ไม่รู้" คุณกิมลั้งมีนิสัยชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน

    อยากรู้ไปทุกเรื่อง เรื่องไหนที่ไม่รู้จะบ่นทั้งวัน

    กลัวตกข่าวเอาไปคุยกับเพื่อนๆไม่ได้ โดยเฉพาะข่าวของเจี๊ยบ

    เป็นข่าวดังหน้าหนึ่งอยู่อาทิตย์หนึ่งเพราะพ่อและแม่ของเจี๊ยบ

    ต่างเป็นที่รู้จักของวงสังคมไฮโซ แต่สักพักข่าวก็เงียบหายไป 

    นักข่าวไปเล่นข่าวอื่นแทน ตอนแรกพวกเราคิดว่าจะจับตัวคนร้ายได้

    เพราะมีคนเห็นหลายคน แต่นี่ผ่านมา 4 ปีแล้ว เพิ่งครบปีที่4

    เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2548 คดียังไม่คืบหน้าไปถึงไหน

    ตอนนี้เต้ขึ้นเหล่าตำรวจแล้ว

    ย้อนไป3 ปีที่แล้ว  ช่วงสิ้นเดือนเมษาฯ

    เต้โทรมาบอกด้วยความดีใจกับสิ่งที่มันทำสำเร็จ

    คือการสอบเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหาร

    โดยมันสอบติด 3 เหล่าจากทั้ง 4 เหล่า

    มันเลือกเหล่าตำรวจตามความฝันของมัน

    ส่วนไอ้วินหรือ นายพนธกร ได้สอบเข้าคณะแพทย์สมความตั้งใจ

    รวมทั้งหนิงด้วย ตอนแรกหนิงไม่อยากเรียนคณะนี้

    เพราะทำใจไม่ได้กับเรื่องเจี๊ยบ แต่ด้วยความที่เพื่อนในห้อง

    ต่างยุยงส่งเสริมให้หนิงเรียน หนิงเลยยอมลงคณะนี้เป็นอันดับแรก

    ในช่วงสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ไม่รู้เพราะความบังเอิญ

    ความโชคดีหรือความซวยของไอ้วิน ที่ต้องมาเรียนที่เดียวกับหนิง

    ไม่แน่นะทั้งสองอาจเป็นแฟนกันก็ได้

    ส่วนผมป๊อป สุดหล่อของห้อง ได้เรียนตามความฝัน

    ที่ตัวเองต้องการ และโชคดีมากที่จุ๊บแจงสอบติดที่เดียวกัน

    คือ คณะนิติศาสตร์  ของมหาวิทยาลัยรัฐบาลชื่อดังแห่งหนึ่ง 

    เพื่อนๆในห้องบางคนสอบติดบ้างไม่ติดบ้าง

    คนไม่ติดก็ไปเรียนเอกชนไม่ก็มหาวิทยาลัยเปิด

    ตอนนี้พวกเราทุกคนอยู่ ปี 3 ยกเว้น เต้ ที่อยู่ปี 1

    ที่เต้ต้องอยู่ปี 1 เพราะ มันสอบติดเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร

    ตอนมันอยู่ ม.5กำลังขึ้น ม.6 ที่นั่นรับเด็กอายุไม่เกิน 18 ปี

    หากใครสอบติดเข้ามาจะต้องเรียนพื้นฐาน

    เหมือนเด็กมัธยมปลายทั่วไป 3 ปี จากที่เต้ควรอยู่ ม.6

    กลายเป็นว่าต้องไปเป็นนักเรียน ม.4ของที่นั่น

    ทำให้มันอยู่แค่ ปี 1 พวกเราเจอกันครั้งล่าสุดคือ

    วันที่ 14 กันยายน 2548 วันครบรอบของเจี๊ยบ

    เต้บอกให้พวกเรามางานรับกระบี่สั้นกับแหวนรุ่นใน

    วันที่ 13 คุลาคม 2548 ของมันให้ได้ พวกเราเลยนัดเจอกัน

    ที่บ้านวินเพราะบ้านมันมีรถตู้หลายคัน  


    "คุณพ่อคุณแม่ครับ/คะ สวัสดีครับ/ค่ะ"
    พวกเรายกมือไหว้เคารพพ่อแม่เต้พร้อมกัน



    "หวัดดีจ๊ะ ไหว้พระเถอะลูก นี่ลูกๆมานครปฐมยังไงกันเนี่ย? ?"
    คุณวิชุดาถามด้วยสีหน้าปลาบปลื้มใจ
    ที่เห็นเพื่อนสมัยมัธยมปลายของลูกมาร่วมงาน


    "อ๋อ..นั่งรถตู้มาของบ้านวินมาน่ะครับคุณแม่"วินตอบคุณวิชุดา

    เพราะป๊อปมัวแต่หันไปหลีสาวๆที่ยืนคอยพี่ชาย

    น้องชายตัวเองสวมแหวนรุ่น


    "เต้ละครับคุณพ่อ"วินถามหาเพื่อนรักทันทีเมื่อมาถึงแล้วไม่เห็น


    "นู่นไงเจ้าเต้น่ะ กำลังถวายคำสัตย์ปฏิญาณตน
    อยู่หน้าลานศรียานนท์น่ะ เดี๋ยวจะมีการเดินสวนสนาม
    เดินลอดซุ้มแหวนกับกระบี่เป็นอันเสร็จพิธีน่ะ"

    คุณกฤตภาสบอกเพื่อนเต้ทุกคนที่กำลังมองหาเพื่อนรักกันอยู่
     



    "ข้าพเจ้า จักจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
    และรัฐธรรมนูญ

    ข้าพเจ้า จักยอมเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อระงับทุกข์
    และบำรุงสุขให้แก่ประชาชน ตามหน้าที่ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร

    ข้าพเจ้า จักปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
    และยึดศีลธรรมเป็นหลักประจำใจ


    ข้าพเจ้า จักยึดมั่นในระเบียบวินัย และรักษาไว้ซึ่ง
    ระเบียบแบบแผนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ


    ข้าพเจ้า จักเชื่อฟังคำสั่งของผู้บังคับบัญชา

    และจะปกครองผู้ใต้บังคับบัญชา ด้วยความเที่ยงธรรม
    อย่างเคร่งครัด"


    คุณกฤตภาสหันไปมองลูกชายอย่างภาคภูมิใจ
    ที่จะได้จบออกมารับใช้ชาติเหมือนอย่างพ่อ 

    หลังจบพิธีปฏิญาณตนเสร็จ คุณกฤตภาสจึงหันมาคุย
    กับเพื่อนของลูกชายอย่างเป็นกันเอง

    "อีกสักพักหลังจากลอดซุ้มกระบี่ พิธีก็ใกล้เสร็จแล้วล่ะ
    พวกเราจะได้ถ่ายรูปพร้อมกัน อาว่า มากันพร้อมหน้าอย่างนี้
    ต้องฉลองใหญ่แล้วนะเนี่ย !!555"

    คุณกฤตภาสพูดอย่างสนุกสนานเฮฮาเป็นที่ชอบใจของทุกคน

    ที่จะได้กินฟรี!



    "เฮ่ยๆ นั่นไงไอ้เต้ แม่งโครตเท่ห์เลยว่ะ"วินตะโกนให้เพื่อนๆดู


    "ไหนๆ ไอ้เต้อยู่ไหน"เพื่อนๆต่างแย่งกันถามวินที่กำลัง
    ชี้มือให้ทุกคนดูจุดที่เต้ยืนอยู่


    "นั่นไงๆ เห็นแล้ว ใส่ชุดสีขาวโอ้วว หล่อล่ำมากๆค่ะ
    พี่เต้ของดิฉัน"ป๊อปพูดพร้อมกับทำท่าผู้หญิง
    เรียกเสียงฮาจากเพื่อนๆได้เป็นอย่างดี
     

    "น่านับถือพวกนักเรียนนายร้อยกันจังเลยเนอะ แดดร้อนขนาดนี้
    ยังยืนนิ่ง เป็นระเบียบเรียบร้อยกันทุกคน" จุ๊บแจงหันไปพูด
    กับหนิงด้วยความชื่นชมถึงความมีระเบียบวินัยของเด็กที่นี่


    "คุณอาคะ ทำไมถึงต้องมีการให้เดินลอดซุ้มแล้วสวมแหวน
    ด้วยล่ะคะ?"
    หนิงถามคุณกฤตภาสด้วยความสงสัยเกี่ยวกับพิธีการของงานนี้  


    "อ๋อๆ มันที่มาน่ะลูก  การที่นักเรียนรุ่นพี่จะสวมแหวนและ

    ให้รุ่นน้องเดินลอดแหวนนั้นเพราะวันนั้นจะเป็นวันแรก

    ที่นักเรียนได้แต่งเครื่องแบบชุดพิเศษและเป็นวันที่

    นักเรียนนายร้อยตำรวจชั้นปี่ที่หนึ่งได้รับการยอมรับว่า

    เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจอย่างเต็มตัว

    ส่วนประเพณีการ รับกระบี่สั้นและสวมแหวนรุ่นเป็น

    ประเพณีที่สืบทอดต่อกันมาเป็นเวลาช้านานเก่าแก่ที่สุด

    และยังคงความศักดิ์สิทธิ์ อีกอย่างนะลูก

    ทางโรงเรียนสอนให้รักกัน

    นักเรียนนายร้อยรุ่นพี่ จะถ่ายทอดสิ่งต่างๆให้กับรุ่นน้องโดย

    การสั่งสอนสิ่งที่คนเหนือคน จะต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า

    เมื่อจบจากดินแดนแห่งนี้ไป เราคือคนที่จะต้อง

    พิทักษ์รับใช้ประชาชน ดำรงไว้ซึ่งความสันติสุขของสังคม......

    ประเพณีอันนี้จะมีขึ้นในวันที่ 13 ตุลาคม ของทุกปี

    ซึ่งเป็นวันก่อตั้ง กรมตำรวจ  กระบี่สั้นหมายถึงสัญลักษณ์

    ของนักเรียนนายร้อยตำรวจ  ว่ากันว่ากระบี่จะยาวที่สุดเมื่อ

    จบครบสี่ปีและจะได้รับพระราชทานจาก

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ"


    คุณกฤตภาสบอกเพื่อนลูกชายให้เข้าใจกับพิธีการต่างๆ

    โดยส่วนใหญ่ถ้าไม่ได้เป็นนักเรียนของที่นี่มาก่อน

    จะไม่มีใครรู้ประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับพิธีเหล่านี้


    "วันก่อตั้งกรมตำรวจ คุณอาพอจะทราบไหมคะว่าใครเป็นผู้ก่อตั้ง?"

    จุ๊บแจงที่มาร่วมวงสนทนารู้สึกสนใจกับประวัติความเป็นมาของที่นี่

    จึงถามคุณกฤตภาสด้วยความอยากรู้


    "5555 อาก็พอรู้บ้างแต่ไม่ถึงกับรู้หมดหรอกนะหนูแจง

    แต่พอเล่าให้ฟังได้"คุณกฤตภาสหัวเราะชอบใจ

    กับความช่างสงสัยของเพื่อนลูกชาย ด้วยความเอ็นดูจึงอธิบาย

    ให้กับเพื่อนลูกชายตนเท่าที่คุณกฤตภาสรู้มา


    "พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณา

    โปรดเกล้าฯ ให้รวมกิจการตำรวจนครบาล  ตำรวจภูธร

    และหน่วยงานตำรวจต่างๆ ในสมัยนั้นเข้าด้วยกัน

    และจัดตั้งเป็นหน่วยงานเดียวขึ้นมาใหม่น่ะ

    เรียกว่า กรมตำรวจ มีอธิบดีกรมตำรวจเป็นหัวหน้า

    จากนั้นเป็นต้นมา วันที่ 13 ตุลาคม ของทุกปีจึงถือเป็น

    วันตำรวจ ต่อมาแม้จะมีพระราชกฤษฎีกา

    ลงวันที่ 17 ตุลาคม 2543

    ให้จัดตั้งสักงานตำรวจแห่งชาติขึ้นแทนกรมตำรวจ

    แต่ทุกฝ่ายยังคงยึดเอาวันที่ 13นี้เป็น วันตำรวจอยู่เหมือนเดิม"



    "ดูยิ่งใหญ่จังเลยนะคะ คุณอา"จุ๊บแจงพูดด้วยความตื้นเต้น

    กับข้อมูลใหม่ที่ได้รับมา ก่อนจะหันไปสนใจกับพิธีการต่างๆ

    ของทางโรงเรียนนายร้อยตำรวจจัดขึ้น

     


     

    "อาป๊อปๆ"คุณกิมลั้งตะโกนเรียกเสียงดังจนป๊อปสะดุ้งตื่นจากภวังค์


    "ลื้อนี่มัวคิดอะไรอยู่ว้า ม๊าถามตั้งนานแล้วเนี่ย

    เรียกหลายครั้งแล้วว่าเพื่อนลื้อเป็นไงมั่ง คนที่หล่อๆ

    เป็นนายร้อยน่ะ ว่าไง มีแฟนยัง?"  ป๊อปมองหน้าม๊าตัวเอง

    อีกครั้งก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความรู้ทันว่า

    ม๊าของตนนั้นชอบคนในเครื่องแบบ ยิ่งถ้ามีลูกเขย

    เป็นนักเรียนนายร้อยแล้วล่ะก็ ม๊าสามารถเอาไปแข่ง

    กับลูกสาวคนเล็กของข้างบ้านได้ เพราะรายนั้น

    มีแฟนเป็นนักเรียนแพทย์ เวลาเพื่อนม๊ามานั่งเล่นไพ่นกกระจอกกัน

    มักจะชอบคุยโอ้อวดว่าที่ลูกเขยของตัวเองกันยกใหญ่

    ทำให้ม๊าของตนนั้นอยากมีลูกเขยที่เด่นกว่าใครๆจะได้ไม่โดนถามว่า

    ลูกเขยลื้อจบอะไรมา หล่อมั้ย??นี่แหละคือสิ่งที่ม๊าเขาทนไม่ได้

    ที่ต้องแพ้คนอื่น



    "ม๊า..จะเอาไอ้เต้มาเป็นว่าที่ลูกเขยรึไงถึงถามแต่มัน

    ลูกชายตัวเองเรียนหนักแทบตาย ม๊าไม่เห็นถามเลยว่าเป็นไงบ้าง"

    ป๊อปแกล้งบ่นน้อยใจ ทำให้ม๊าต้องรีบเข้าไปโอ๋


    "อาป๊อปอ้า ลื้อก็รู้นี่หน่า ม๊าน่ะรักลื้อนะ แต่อาเต้น่ะอนาคตดี

    เป็นถึงนักเรียนนายร้อย ใครก็อยากได้มาเป็นลูกเขย 

    น้องสาวเราหน้าตาไม่ขี้เหร่สักหน่อย ลื้อลองติดต่อให้น้องลื้อสิ

    หนูเจี๊ยบอีตายไปตั้งนานแล้ว ม๊าเลยอยากให้อาเต้

    มีความสุขกับเค้าบ้าง ลื้อเป็นเพื่อนไม่อยากให้เพื่อนลื้อ

    มีความสุขรึไงกันวะห๊ะ"ม๊าพูดอย่างประจบลูกชายตัวเอง

    หวังจะให้ลูกชายช่วยเป็นพ่อสื่อให้   

    ป๊อปถอนหายใจยาวออกมาทันทีหลังจากฟังม๊าพูดจบ

    "ม๊าฟังอั๊วนะ อั๊วเป็นเพื่อนมัน ก็อยากเห็นมันมีความสุข

    เพราะอย่างนี้ไง อั๊วถึงปล่อยให้มันเป็นของมันแบบนี้

    ม๊าอย่าไปดูถูกความรักของเต้ที่มีต่อเจี๊ยบเชียว

    ถึงมันอายุยังน้อย แต่อั๊วะว่าคนอย่างเต้น่ะ

    เป็นคนที่น่านับถือและยกย่องมากๆ ความรักของมัน

    คือรักที่บริสทุธิ์ มันบอกกับอั๊วะว่า มันขอให้รักของมันกับเจี๊ยบ

    เป็นรักนิรันดร์เพราะงั้นม๊าปล่อยไปเถอะ

    อย่าให้รู้นะว่าไปยุให้อาหมวยเล็กชอบนายเต้

    ไม่งั้นม๊าจะอดออกไปอัพเดทข่าวสารบ้านเมืองกับคนแถวนี้อีก"    


    "เออๆ อ๊วะไม่ยุ่งก็ได้ ว่าแต่ลื้อเถอะเมื่อไหร่จะมีเมียสักทีว้า

    ม๊าน่ะอยากอุ้มหลานใจจะขาดแล้ว ต้องรอให้ม๊าตายก่อนรึไง

    ถึงจะมีน่ะ อาหนูแจงอีเป็นคนน่ารักนะ  อั๊วะเห็นลื้อจีบมาหลายปีแล้ว

    ยังไม่ติดเลย ลื้อนิ่ไม่ได้เรื่องเลย ไม่เหมือนป๊าลื้อ

    จีบม๊าไม่เท่าไหร่เราก็แต่งงานกันจนมีพวกลื้ออย่างที่เห็นนี่ไง

    ป๊าลื้อเก่งกว่าลื้ออีก ลื้อนี่ไม่ได้มีเชื้อสายบ้างเลยรึไงกันน้า

    เฮ้อ...กลุ้มใจๆ"คุณกิมลั้งบ่นออกมาอย่างขัดใจ

    ที่มีลูกชายไม่เหมือนสามีของตน    

    "โธ่..ม๊าไม่ต้องห่วงหรอกน่า อีกไม่นานอั๊วจะมีหลาน

    ให้ม๊าอุ้มเล่นอย่างแน่นอนเชื่ออั๊วะสิ"


    ป๊อปพูดกับม๊าอย่างมีแผนในใจ  อีกไม่นานเกินรอแน่

    หากคดีที่ศาลจำลองของทางคณะจัดทำให้

    ในวันรพี 7 สิงหาคมของทุกปีนั้น  ตัดสินว่าป๊อปชนะแล้วล่ะก็

    จุ๊บแจงต้องยอมเป็นแฟนด้วย แต่หากฝ่ายจุ๊บแจงชนะ
     

    ป๊อปต้องมาเป็นทาสรับใช้ให้เธอหนึ่งปีเต็มๆ

    ตอนแรกเพื่อนๆของป๊อปไม่เห็นด้วย แต่ป๊อปเห็นว่าข้อเสนอนั้น

    ทำให้เขามีแต่ได้กับได้ ถ้าเขาแพ้แค่เสียหน้า

    แต่เขาจะได้อยู่ใกล้ชิดกับจุ๊บแจงถึงหนึ่งปีเต็ม

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×