คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : รักคือ????
ฤดูหนาว
ขณะเดินผ่านสวนสาธารณะแห่งหนึ่งในย่านเมืองกรุง
เขาอดแปลกใจไม่ได้ที่เห็นชายชรานอนขดตัวอยู่ใต้ต้นไม้
คงเป็นเพราะความหนาวที่ทำให้ลุงคนนั้น
นำหนังสือพิมพ์มาคลุมตัวไว้แทนผ้าห่ม
ดูแล้วน่าเวทนาเหลือเกิน เขาจึงตัดสินใจ
ถอดเสื้อกันหนาวให้ลุงคนนั้นไว้ใช้
ลุงรู้สึกตัว ลุกขึ้นมายกมือไหว้พร้อมกับน้ำตาที่เอ่อล้นเต็มรอบดวงตา
เขายกมือไหว้ลุงตอบ กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า
"ไม่ต้องไหว้หรอกครับลุง อีกไม่นานจะเช้าแล้ว
ขอให้ลุงพบแต่สิ่งดีๆในวันใหม่นะครับ"
การที่เขาได้ให้เสื้อแก่ลุงไปนั้น
ทำให้เขาได้รับความหนาวจากลมที่พัดผ่านมายังตัวเขา
แต่...กลับรู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างไม่มีเหตุผล
ในยามราตรีที่มืดมิด บนท้องถนนที่ไร้ผู้คนพลุกพล่าน
ไม่มีดาวดวงไหน เป็นใจส่องแสงนำทาง มีเพียงแสงไฟ
จากข้างทางเท่านั้นที่เป็นตัวนำทางให้เดินต่อไป
เขาเลือกที่จะเดินต่อไปเรื่อยๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ย้อนไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว
ณ โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง
"เจี๊ยบๆ คุณปภานัน จิราพัชร คุณเจี๊ยบ เจี๊ยบ...ไอ้เจี๊ยบโว้ย! ซ้อมหรีด"
"จ้าคุณแม่...หนิงแกนี่นะดุยิ่งกว่าแม่เราอีกว่ะ"
"แกมัวมองอะไรอยู่ได้วะ อย่าบอกนะว่ามองนายขี้เก๊กนั่นน่ะ"
"บ้าเหรอหนิง...ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย คนอย่างนายเต้น่ะ
เจี๊ยบไม่สนหรอก"
"แล้วทำไมแกต้องหน้าแดงด้วยวะ เออ
นี่!
แกรู้ไหม เต้น่ะมันปฏิเสธรุ่นพี่ ม.6ไปด้วยแหละ"
"เหรอ...คนไหน?"
"ฮั่นแน่!...ไหนบอกว่าไม่สนไง"
"ก็เพื่อนร่วมห้องนิ่แก ถามไว้ประดับสมองจะได้เอาไปล้อนายเต้ได้"
"ชิๆ ฉันไม่เชื่อแกหรอก คือ...พี่ม.6 คนนี้แกก็รู้จัก พี่พลอยไงล่ะ
เป็นรองประธานนักเรียนและดาวโรงเรียนอันดับหนึ่งของโรงเรียนไง
เพราะมีพี่เขาอยู่แกถึงได้เป็นดาวโรงเรียนคนที่สองรองจากพี่เขาไง
สรุปว่าพี่เขาสวยกว่าแกนั่นเอง 55555"
พลอย มีชื่อเต็มว่า นางสาวกุลนาถ กิตติพัฒนาการ
หน้าคมอย่างผู้หญิงไทย เป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อม
ไม่ว่าทางด้านไหน มีนิสัยอ่อนหวาน เข้ากับผู้คนง่าย
ได้รับคัดเลือกเป็นดาวอันดับหนึ่ง จากการประกวด
ดาว เดือนของโรงเรียน แต่ข้อเสียคือ มั่นใจตัวเองเกินไป
"โอ้วโห!...อย่างพี่พลอยโดนปฏิเสธด้วยเหรอเนี่ย??"
"อืม...นายเต้มีดีไรไม่รู้ แม้แต่พี่พลอยยังมาชอบ รวมทั้งแกด้วย"
"เฮ่ย! ก็บอกว่าไม่ใช่ๆสิ ไม่ได้ชอบ หนิง...แกเรียกฉันให้ไปซ้อมหรีด
แล้วซ้อมกันที่ไหนล่ะจะได้ไปถูก"
"เออๆลืมไปเลย เขาเรียกไปซ้อมหน้าสแตนเชียร์เลย
ให้น้องๆดูกัน เป็นการข่มขวัญคู่ต่อสู้ด้วย"
"หน้าสแตนเชียร์!!!"เจี๊ยบตกใจกับสิ่งที่ได้ยินจากปากเพื่อนสาว
ที่ตั้งแสตนเชียร์เป็นที่โล่งแจ้ง ใครเดินผ่านไปมาเห็นหมด
"อืม...รีบไปเหอะ ป่านนี้พวกจุ๊บแจงรอนานแล้วล่ะ"
ชื่อจริงของหนิงคือวรกมล(วอ-ระ-กะ-มน) จตุรเทพ
ชื่อนั้นเหมาะสมกับนิสัยจริงๆ เพราะชื่อของหนิงแปลว่า
ผู้มีใจประเสริฐ หนิงเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่ตั้งแต่สมัย ม.ต้น
ตอนแรกนั้นหนิงจะไปสอบเข้าเรียนที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
แต่ด้วยความรัก และหวงเพื่อน ต้องคอยเป็นไม้กันหมาให้
ผู้ชายที่เข้ามารุมล้อมจีบเพื่อนเธอ ทำให้หนิงตัดสินใจเรียนที่เดิม
ความฝันของหนิงคือเป็นแพทย์รักษาคนไข้
แต่จริงๆแล้วฝันอยากเจอคุณหมอหล่อๆมากกว่า
"น้องๆคร้าบบบบ....ตั้งใจซ้อมเชียร์กันหน่อยสิครับ
พี่คอแห้งหมดแล้วนะครับ วันนี้พวกพี่จะให้หรีดมาซ้อมพร้อม
กับพวกน้องๆเลย ช่วยๆสีเรากันหน่อยนะครับ"
"เฮ่ยไอ้เต้...วันนี้หรีดจะมาซ้อมพร้อมพวกเราเหรอวะ"
เสียงของไอ้วินหรือนาย พนธกร เจริญชัยภักดี
ความฝันของมันคืออยากเป็นทันตแพทย์ แต่...
ชีวิตประจำวันของมันนี่สิ ตรงข้ามกับความฝันเลย
ถึงชั่วโมงเรียนทีไหร่ หลับทุกที
ไม่เคยจะรู้เรื่องราวอะไรกับใครเขามั่งเลย
น่าแปลกที่มันสอบได้คะแนนดีตลอด
ไม่เคยตกสักวิชา หรือว่าจะจริง คนหัวดีไม่ต้องอ่านอะไรมาก
ก็ทำได้ ส่วนผมเป็นคนหัวปานกลางมากกว่า
อาศัยความขยันตั้งใจเรียนเลยทำให้ได้คะแนนดีตลอด
ความฝันของผมคือ เป็นตำรวจ ตอนนี้ผมกำลังเตรียมตัวอ่านหนังสือ
เพื่อเตรียมสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร
"คุณชายวินคร้าบบบ วันนี้ชั่วโมงโฮมรูม
เพื่อนทั้งห้องเขาคุยอะไรกัน คุณชายช่วยฟังหน่อยได้ไหมคร้าบบ
เอาแต่นอนอยู่ได้นะมึงน่ะ ประเดี๋ยวพ่อเตะให้เลย"
"หรีด....พร้อม!"เสียงจุ๊บแจงหัวหน้าหรีดตะโกนถามเพื่อนๆ
"พร้อม!!"
"ไก่ย่าง 3..4"
"ไก่ย่างถูกเผา ไก่ย่างถูกเผา มันจะถูกไม้เสียบ ๆ
เสียบตูดซ้าย เสียบตูดขวา ร้อนจริงๆ ร้อนจริงๆ ร้อนจริงๆ"
"อัญเชิญบทเพลงพระราชนิพนธ์ "ยิ้มสู้ " 3
.4
"
"โลกจะสุขสบายนั้นเป็นได้หลายทาง
ต้องหลบสิ่งกีดขวางหนทางให้พ้นไป
จะสบความสุขสันต์สำคัญที่ใจ
สุขและทุกข์อย่างไรเพราะใจตนเอง
ฝ่าลู่ทางชีวิตต้องคิดเฝ้าย้อมใจ
โลกมืดมนเพียงใดหัวใจอย่าคร้ามเกรง
ตั้งหน้าชื่นเอาไว้ย้อมใจด้วยเพลง
ไยนึกกลัวหวาดเกรงยิ้มสู้
คนเป็นคนจะจนหรือมี
ร้ายหรือดีคงมีหวังอยู่
ยามปวงมารมาพาลลบหลู่
ยิ้มละมัยใจสู้หมู่มวลเภทภัย
ใฝ่กระทำความดีให้มีจิตโสภา
สร้างแต่ความเมตตาหาความสุขสันต์ไป
จะสบความสุขสันต์สำคัญที่ใจ
เฝ้าแต่ยิ้มสู้ไปแล้วใจชื่นบาน "
"แม้พวกเราจะเหนื่อยแค่ไหน หากพวกเรายิ้มสู้กับทุกอย่าง
ไม่ว่าจะมีอุปสรรคสักแค่ไหน พวกเราก็จะผ่านพ้นมันไปได้
ที่พี่เลือกเพลงนี้เพราะเป็น บทเพลงพระราชนิพนธ์ของพ่อหลวงเรา
พี่อยากให้น้องทุกคนจำไว้อย่างหนึ่งนะคะ
ทุกอย่างจะสำเร็จไปด้วยดีหากพวกเราร่วมมือร่วมใจกัน
อย่างวันนี้...น้องๆร่วมกันร้องเพลง "ยิ้มสู้ "
พี่เห็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่น้องๆแสดงออกมานั้น
พี่อยากจะร้องไห้เพราะ เป็นเพลงให้กำลังใจกับทุกคนได้ดีมากๆ
พี่ขอขอบคุณเพื่อนๆ น้องๆและหรีดของเราที่เสียสละ
กับการซ้อมเชียร์ในครั้งนี้ แล้วเจอกันในวันรุ่งขึ้นนะคะ
เอาล่ะ...กลับบ้านได้ " เสียงจุ๊บแจงหัวหน้าหรีดพูดขึ้น
"โหยๆๆนี่จุ๊บแจงเพิ่งเห็นเธอพูดเป็นคนก็วันนี้แหละ"
"นายป๊อป! นายช่วยไปไกลๆฉันเลย ไปๆๆ นายบ้านี่
เดี๋ยวแม่แจ้งข้อหาดูหมิ่นหรอก ชิ้วๆๆ"
"555...จ้า...แม่ทนายสาวคราบนางมารร้ายในอนาคต
ใครได้เป็นลูกความเธอนะ ชีวิตล่มจมแน่ๆเลย 555"
" นายป๊อป!!!!!!! แน่จริงอย่าหนีสิ มาๆๆๆ นิสัยอย่างนาย
ก็ไม่ได้เป็นหรอก อัยการน่ะ อย่างดีนะก็ได้แค่..."
"แค่อะไร?? ไหนบอกมาซิแม่ทนายสาว"
ป๊อปหรือนาย ธรรมปพน เกริกเกรียงไกร
ส่งเสียงยียวนกวนประสาทถามจุ๊บแจง
อย่างสนุกสนานท่ามกลางเสียงหัวเราะของเพื่อนๆ
ป๊อปกับจุ๊บแจงมักเรียกเสียงหัวเราะให้กับเพื่อนได้ทุกเวลา
จุ๊บแจงเป็นคนหน้าตาน่ารัก มีน้ำใจ แต่ปากร้าย...
ป๊อป หน้าตาธรรมดา สูง ขาวมีเชื้อสายจีน นิสัยฉลาดแกมโกง
แต่รักเพื่อนมาก
"ก็ได้แค่....แค่....เดินตามฉันต้อยๆสิ 55555
เป็นเลขาให้ฉันไง 5555" เสียงของจุ๊บแจงนั้นแสดงความสะใจเป็นอย่างมากทีเดียว
"เธอๆๆๆ เธอนี่มัน....ฝากไว้ก่อนเหอะ!!"
"รีบๆมาเอาคืนด้วยนะ นายป๊อป 555555 กลับบ้านกันเหอะเพื่อนๆ"
"แจง...เอาอีกแล้วนะไปกัดกับนายป๊อปอีกแล้ว"
"โธ่!เจี๊ยบ...เรานึกว่าเจี๊ยบจะชินแล้วนะอีกอย่างเรา
ไม่ใช่สุนัขนะจะได้ไปกัดกับนายป๊อปได้น่ะ เอาน่า..นะๆๆ
ไปกินไอติมกันดีกว่า"
"เลี้ยงเปล่า???"เจี๊ยบถามจุ๊บแจงอย่างล้อๆ
"เฮ้อ....เบื่อกับคนขี้งกอย่างเธอจริงๆ เลี้ยงก็ได้ แต่...
ขอลอกการบ้านหน่อยนะ..."
"น่าเกลียดๆ ไม่ต้องมาเลี้ยงแล้ว กลับบ้านดีกว่า หนิง...กลับบ้าน!"
"เจี๊ยบอ้า...นะๆๆๆ ขอลอกวิชาเดียวเอง เลข
แกก็รู้นี่หน่าว่าฉันไม่ชอบเลข"
เจี๊ยบมองหน้าจุ๊บแจงหรือนางสาว ชนสรณ์ เวทไวยวงศ์
อย่างอดขำไม่ได้ จุ๊บแจงใฝ่ฝันอยากเป็นทนายช่วยเหลือชาวบ้าน
เรื่องเรียนเก่งเกือบทุกวิชา ยกเว้น คณิตศาสตร์
จะว่าไปแล้ว วิชานี้ห้องเราไม่มีใครชอบสักคน
จะว่ายากก็ไม่เชิงแต่อาจารย์มากกว่าที่ทำให้ไม่อยากเรียนกัน
พวกผู้ชายอยากได้อาจารย์สาวสวยๆ
ผู้หญิงอย่างเราอยากได้อาจารย์หนุ่มหล่อ เฮ้อ......
มีแต่อาจารย์แก่ๆเลยไม่อยากเรียนกันไปหมด
"พรุ่งนี้!มาให้มันเช้าๆล่ะ"
"กรี๊ดๆๆ รักเจี๊ยบที่สุดเลย จุ๊บๆๆ ไปแล้วนะจ๊ะหนิง"
"เจี๊ยบๆ กลับบ้านกลับใครอ่ะ"
"นายเต้! นายมีตาไม่เห็นรึไงว่าเจี๊ยบกลับบ้านพร้อมฉัน"
"ตาน่ะมี...แต่มีไว้มองเจี๊ยบคนเดียว มีไรม่ะ??น้องทีวีจอแบน"
"ไอ้ๆๆ...เต้ไอ้ปากสุนัข ไอ้ขี้เก๊ก แค่หล่อนิดเดียวทำมาหลงตัวเอง
ชาตินี้ขอให้นายไร้แฟนไปตลอดชาติ สาธุ!!"
หนิงพูดพร้อมยกมือพนมขึ้นหัว
เจี๊ยบมองดูเต้กับหนิงปะทะคารมแล้วรู้สึกขำดี
เพราะทุกอย่างที่สองคนนี้พูดมาก็ตรงกับตัวทั้งสองหมด
เต้เป็นคนหล่อ สูง ขาว นิสัยดี มีน้ำใจ รักเพื่อน
ไม่ว่าเต้จะไปอยู่ที่ไหน มักมีคนมองเสมอ
แต่น่าแปลกที่เต้ไม่ชอบใครสักคน บางมุมดูขรึมๆ ขี้อาย
ทำให้เต้กลายเป็นคนขี้เก๊กในสายตาเพื่อน ส่วนหนิงนั้น
ตัวเล็ก จอแบนอย่างที่เต้ว่านั่นแหละ ไม่ยอมคบกับใคร
ถ้าเพื่อนรักยังไม่มีคู่....สงสัยจะรอสร้างบ้านคานทอง
กันสองคนแน่ๆเลยเรา
"เต้..วันนี้ไม่ไปซ้อมบาสเหรอ"เจี๊ยบหันไปถามเต้
ด้วยความสงสัยเพราะเต้เป็นนักบาสของโรงเรียน มีซ้อมทุกวัน
"ไม่มีซ้อมน่ะเจี๊ยบ วันนี้เต้ว่าง ตอนแรกเต้จะชวนเจี๊ยบ
ไปกินไอติมกันที่หน้าโรงเรียนน่ะ"เต้พูดแล้วมองดูหนิงอย่างยียวน
"แต่แต้ ไม่ไปดีกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้เต้จะมาโรงเรียนไม่ได้
เพราะโดนสุนัขกัด ไปนะครับเจี๊ยบ กลับบ้านดีๆนะครับเต้เป็นห่วง
แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะครับนางฟ้าของเต้"
"แหวะ!พูดออกมาได้ นางฟ้าของเต้ เพื่อนฉันไปเป็นของนายตอนไหนกันห๊ะ เจี๊ยบ!กลับบ้าน อย่าไปหลงคารมพวกปากเสียแถวนี้"
เต้เดินตามหลังเจี๊ยบกับหนิง ไปจนถึงป้ายรถเมล์
รอจนเจี๊ยบกับหนิงขึ้นรถไป แล้วเต้ค่อยเดินกลับบ้าน
ในความรู้สึกของเต้ เขาไม่คิดจะมองผู้หญิง
รักผู้หญิงคนไหนได้อีกถ้าคนๆนั้นไม่ใช่เจี๊ยบ
เต้จำวันที่เจอกับเจี๊ยบครั้งแรกได้เป็นอย่างดี
เขาไม่รู้ว่าจะไปไหนหลังจากเลิกเรียน
เนื่องจากเปิดเทอมเป็นวันแรกเลยตัดสินใจเดินกลับบ้าน
เมื่อมาถึงป้ายรถเมล์ เต้ได้ยินเสียงผู้หญิงคุยกันท่าทางออกรส
จำได้ว่าเป็นเพื่อนร่วมห้องของเขานั่นเอง
ผู้หญิงตัวเตี้ยกว่าเพื่อนออกปากถามเพื่อนสาวตัวเอง
ด้วยความสงสัย ดูจากท่าทางเธอแล้ว
คงอยากรู้เหตุผลของเพื่อนมากทีเดียว
"ทำไมไม่ให้ที่บ้านเอารถมารับ-ส่ง แกก็รวยนี่หว่า
แต่แกกับเลือกนั่งรถเมล์ ฉันล่ะไม่เข้าใจลูกคุณหนูอย่างแกจริงๆเล้ย?"
เด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารัก แก้มอมชมพู มีเหงื่อบนใบหน้าเล็กน้อย
ผมยาวประบ่า ผูกโบว์สีขาวดูแล้วรับกับใบหน้าหวานๆ
ของเธอเสียเหลือเกิน หันมายิ้มให้เพื่อน "เราไม่ชอบอะไรที่มันหรูหรา
ไม่รู้สิหนิง เราไม่อยากให้ใครมองว่าเราเป็นคุณหนู
ทำอะไรไม่เป็น เราชอบที่จะเป็นแบบนี้
ยึดหลักตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง
อยู่อย่างมีกิน มีใช้ก็พอแล้วไม่เห็นต้องขวนขวาย
อะไรให้มันมากมาย หนิงเคยได้ยินไม่ใช่เหรอ?
ยิ่งสูงยิ่งหนาว อีกอย่างที่บ้านก็คง
ไม่มีใครมาสนใจอะไรสักเท่าไหร่หรอกแกก็รู้ใม่ใช่เหรอ?"
อ้อ...คนตัวเตี้ยคนนั้นชื่อหนิง แล้วคนหน้าหวานๆล่ะชื่ออะไร??
ดูเหมือนมีปัญหากับทางบ้านเลย ช่างเถอะ
พรุ่งนี้คงรู้ชื่อแหละ จำได้ว่าเรียนห้องเดียวกัน
เปิดเทอมวันแรกก็เจอนางฟ้าตัวน้อยๆซะแล้ว
เต้ยืนส่งยิ้มให้หญิงสาวทั้งสองคนขณะขึ้นรถเมล์
"เจี๊ยบๆ แกดูคนนั้นดิ่ ฉันจำได้ว่าเป็นเพื่อนห้องเรานะ
มาส่งยิ้มให้ทำไมกันตลกเป็นบ้า" หนิงหันไปบอกเพื่อนเมื่อเหลือบไปเห็นเต้ยืนส่งยิ้มให้
"ไหนๆ สงสัยนายคนนั้นคงส่งยิ้มให้แกแน่เลยหนิง 5555"
เจี๊ยบขำกับท่าทางของเพื่อนรักที่งอนกับคำพูดของตนเอง
เต้นึกถึงวันที่ได้เจอกับเจี๊ยบครั้งแรกอย่างมีความสุข
ผ่านมาหนึ่งปียิ่งได้รู้จัก ก็ยิ่งค้นพบว่าผู้หญิงคนนี้น่ารัก
เหมาะสมกับฉายาที่เพื่อนทั้งห้องตั้งให้จริงๆ "นางฟ้า"
เมื่อไหร่นางฟ้าจะมองลงมาหาคนอย่างเราบ้างนะ
"แม่ครับ กลับมาแล้วครับ กลิ่มหอมจัง ทำอะไรทานครับแม่?"
"แกงส้ม แล้วก็น้ำพริกปลาทูจ๊ะ รีบไปอาบน้ำทำการบ้านแล้ว
ลงมาทานกัน เออ...จริงสิลูก พ่อโทรมาบอกแม่ว่าวันนี้กลับดึก
ไม่ต้องรอให้ทานกันไปก่อน รีบๆทำการบ้านแล้วลงมานะจ๊ะ
เดี๋ยวแม่ดูข่าวรอ"
"ครับผม!!"เต้ส่งเสียงดังฟังชัดพร้อมทำท่าวันธยาหัตถ์
แล้วรีบวิ่งขึ้นไปอาบน้ำทำการบ้าน
บ้านเต้ มีด้วยกัน 3 คน 2 ตัว คือ คุณพ่อ คุณแม่ เต้
และน้องหมาอีก2ตัว ชื่อ ชินจังกับกูลิโกะ
เวลาเต้มีปัญหา เต้เลือกที่จะคุยกับผู้เป็นแม่มากกว่าพ่อ
เพราะพ่อจะถนัดไปทางด้านฝีมือมากกว่า
ครอบครัวนี้จึงเต็มไปด้วยความอบอุ่น
หลังจากที่แม่กับเต้ทานข้าวเสร็จ เต้นำจานไปล้าง
แล้วมาหาแม่ที่ห้องนั่งเล่น
"แม่ครับ...คำว่ารักในความหมายของแม่ หมายถึงอะไรเหรอครับ?"
"หืมม" คุณวิชุดาหันมามองลูกชายด้วยความอ่อนโยนพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม
"อยู่แค่ ม.5 มีความรักแล้วเหรอเนี่ย ว่าไงจ๊ะ?"
"ไม่ใช่อย่างนั้นครับแม่ แต่เต้แค่อยากรู้ว่าทำไม
พ่อกับแม่ถึงเข้าใจกัน เต้ไม่ค่อยได้เห็นพ่อกับแม่
ทะเลาะกันเลยน่ะครับ เลยอยากรู้ว่า
ความรักของแม่คืออะไรแค่นั้นเอง ไม่ได้ไปรักใครสักหน่อย"
เต้ไม่กล้าบอกความจริงกับแม่เพราะกลัวแม่จะเอามาล้อ
"พูดปดกับผู้ใหญ่ไม่ดีนะลูก เอาเถอะ สมัยนี้เด็กโตไว
แม่เองมีลูกชายเพียงคนเดียวเลยเลี้ยงให้ช่วยตัวเอง
เสียส่วนใหญ่ แม่น่ะเลี้ยงเต้เหมือนเพื่อนและเหมือนลูก
ควบคู่กันไป เพราะแม่อยากให้เต้ โตเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มภาคภูมิ"
"ครับแม่ แล้วตกลงความรักของแม่คืออะไรเหรอครับ?"
เต้รีบถามคุณวิชุดา เพราะกลัวว่าจะถามเรื่องคนที่เต้แอบชอบ
ไม่ว่าเป็นเรื่องอะไรแม่มักจะรู้ทันเต้ไปหมด ทำให้บางทีเต้
ไม่อยากโกหก เพราะโกหกทีไหร่แม่จับได้ทุกที
ไม่ใช่ว่าเต้โกหกไม่เป็นแต่เต้ไม่กล้าโกหกกับแม่มากกว่า
"แน้..ใจร้อนจริงนะเรา ถามย้ำแบบนี้ เจอคนที่ชอบแล้วงั้นสิ
ว่าไงพ่อตัวดี?"
"ไม่เชิงหรอกครับแม่ แต่รู้สึกดีกับผู้หญิงคนนี้มากกว่า
ผู้หญิงคนไหนที่เคยเข้ามาชอบเต้เท่านั้นเอง"
"มากกว่าแม่ด้วยรึเปล่า??" แม่ถามด้วยรอยยิ้มแล้วขำกับท่าทีลูกชาย
"โธ่..แม่คร้าบบ จะมีใครที่เต้จะรู้สึกดีมากกว่าแม่ได้ล่ะครับ
แต่คนนี้แค่รองจากพ่อและแม่เท่านั้นเอง "
"แล้วไปเจอที่ไหนเหรอ? ปกติเราไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้
วันๆแม่เห็นเอาแต่เล่นบาส เตะบอลกับเพื่อน หรือไม่ก็เล่นคอมพิวเตอร์"
"คือ...เพื่อนในห้องน่ะครับ เต้รู้สึกดีกับเขาตอน
เข้ามาอยู่ ม.4ใหม่ๆน่ะครับแม่ เขาเป็นผู้หญิงที่น่ารัก
น่าถนุถนอมเวลาอยู่ใกล้แล้วรู้สึกมีความสุขอย่างบอก
ไม่ถูกเหมือนกันครับแม่ เต้ไม่แน่ใจว่าอย่างนี้เรียกว่ารักรึเปล่า
แต่ทุกครั้งที่เห็นหน้า ใจของเต้จะเต้นแรงทำอะไรไม่ค่อยถูก
เมื่อเห็นเขาถูกอาจารย์ดุก็อยากจะเข้าไปปกป้องแทนเขาน่ะครับ
กับผู้หญิงคนอื่นเต้รู้สึกเฉยๆไม่เคยเกิดอาการแบบนี้มาก่อน
แปลกจังเลยนะครับ"
"แม่ชักอยากรู้จังผู้หญิงคนนี้แล้วสิ คนที่ทำให้ลูกของแม่
มีอาการแบบนี้ แสดงว่าต้องเป็นผู้หญิงที่น่ารักมากๆเลยใช่มั้ยจ๊ะ"
"555 แม่น่ารักกว่าครับ"คำพูดของเต้ทำให้คุณวิชุดาหันมา
มองค้อนลูกชายตัวเองแล้วส่ายหน้าด้วยความระอากับ
ความกะล่อนของพ่อคนนี้
"แม่ยังไม่บอกเต้เลยนะครับว่า ความรักของแม่เป็นแบบไหน??"
"ความรักในแบบของแม่น่ะเหรอ...
มาเราออกไปคุยกันที่สนามหญ้าหลังบ้านกันเถอะ
จะได้เดินไปดูแปลงผักที่แม่ปลูกไว้ด้วย "
"ครับ"
เมื่อคุณวิชุดาเดินมาถึงแปลงผักได้สั่งให้เต้รดน้ำต้นไม้พรวนดิน
ผักจะได้สวยงาม ส่วนคุณวิชุดาได้เดินไปนั่งที่ซุ้มไม้เรือนไทย
หลังใหญ่ตั้งไว้กลางสวน บริเวณรอบๆสวนแปลงผักนั้นคุณวิชุดา
ได้จัดแต่งอย่างสวยงาม น้ำตกจำลองขนาดกลางวางไว้อยู่ริมกำแพง
มีปลาแหวกว่ายอยู่ในบ่อน้ำตก หลากสีหลายพันธุ์ ตุ๊กตาหินจัด
วางอย่างสวยงาม และยังมีบรรดาต้นไม้ ดอกไม้นานาชนิด
ประดับอยู่ทั่วบริเวณเต็มสวน เช่นดอกมะลิ จำปีและจำปา
เวลาบานสะพรั่งกลิ่นของมันหอมน่าชื่นใจ
ด้วยความที่คุณวิชุดาเป็นคนไม่อยู่นิ่ง จึงหาของมาประดับสวน
อย่างสวยงามเพื่อเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของครอบครัว
ขณะที่เต้กำลังพรวนดินอยู่นั้น คุณวิชุดาจึงเอ่ยปากถาม
ลูกชายตัวเองถึงความหมายของคำว่ารัก
"เต้ เคยได้ยินประโยคนี้ไหม? Love..like fine sand.
Grasp it and it will quickly slip through you to fill
the spaces in your hands.r fingers. Cup it gently and
it will fill the voids of your soul - - as sand seeks.
ความหมายของมันก็คือ ความรักก็เหมือนเม็ดทราย
เมื่อใดที่รีบคว้ามันไว้ เม็ดทรายนั้นจะไหลออกทางร่องนิ้ว
แต่เมื่อค่อยๆ ประคองมันไว้ มันก็จะอยู่ในมือของลูก
และถ้าลูกรู้จักทะนุถนอม ความรักมันก็อยู่ในทุกช่องว่าง
ในหัวใจเช่นเดียวกับเม็ดทรายที่อยู่ในกำมือของลูกยังไงล่ะ
"ไม่เคยครับแม่"หลังจากที่ได้ยินคำตอบของลูกชาย
คุณวิชุดายิ้มออกมาอย่างเข้าใจและคิดจะอบรมสั่งสอนเต้
เรื่องผู้หญิง คุณวิชุดาไม่อยากเข้าข้างลูก
แต่ในสายตาของคนเป็นแม่ ลูกต้องดีที่สุดเสมอ
ในความคิดของคุณวิชุดาคือ เต้เป็นเด็กที่จัดว่าหน้าตาดีคนหนึ่ง
มีผู้หญิงมาติดหลายคน บางคนแม่ไม่ชอบแต่ยังดี
ที่ลูกชายไม่ได้รู้สึกอะไรด้วย คุณวิชุดาเลยโล่งใจ
ไหนๆวันนี้เจ้าลูกตัวดีมาถามเรื่องความรัก
เห็นทีต้องพูดให้รู้จักการให้เกียรติผู้หญิงสักหน่อย
เดี๋ยวไปทำลูกใครเขาท้องล่ะยุ่งแน่ๆ
หลังจากที่คุณวิชุดาคิดได้ จึงรีบพูดกับเต้ต่อ
"แม่กับพ่อรักกันด้วยความเข้าใจ เคารพซึ่งกันและกัน
รักเพราะรู้สึกว่ารัก ไม่ใช่รักอย่างฉาบฉวย
เต้จำไว้อย่างหนึ่งนะลูก เราเป็นผู้ชายเวลาไปรักใคร
หรือคิดจะคบใคร ควรให้เกียรติคนๆนั้น
อย่าคบเล่นๆ เพราะไม่มีผู้หญิงคนไหน
คิดจะเป็นของเล่นให้กับผู้ชายอย่างแน่นอน
และถ้าวันหนึ่งเต้พบกับผู้หญิงที่คิดว่าใช่ของเต้แล้ว
ลองพามาพบแม่ทีสิ แม่อยากเห็น จำไว้อีกข้อนะเต้
บทสรุปของความรักทั้งหมดคือ
ไม่มีใครเกิดมาสมบูรณ์แบบ
รักเขาในแบบที่เขาเป็นนะลูก
ที่แม่กับพ่ออยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ เพราะเราสองคนไม่สมบูรณ์แบบ
ต่างคอยเติมเต็มให้กันและกัน เรารักกันด้วยความเข้าใจ
ครอบครัวเราถึงอบอุ่นอย่างทุกวันนี้ไงล่ะลูก"
เต้ได้ยินคุณวิชุดาพูดออกมาอย่างนั้นก็ยิ้มรับด้วยความเข้าใจ
กับสิ่งที่คุณแม่ต้องการจะสื่อถึง "ครับแม่ ขอบคุณครับ
เต้ทำพวกนี้เสร็จหมดแล้วถ้าไงเต้ขอไปอ่านหนังสือ
เตรียมตัวสอบก่อนนะครับ แล้วเต้จะพาคนๆนั้นมาพบครับ
ถ้าเต้คิดว่าเขาใช่คนที่เต้จะรักตลอดไป"
"อย่าเพิ่งไปลูก แม่มีอะไรอยากถามหน่อยหนึ่งจ๊ะ"
"อะไรครับแม่?"
"สอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารเมื่อไหร่เหรอลูก"
"ต้นเดือนเมษาฯครับแม่ แต่วันไหนเดี๋ยวดูอีกที
มีอะไรรึเปล่าครับ?"
"ไหนมานั่งคุยกับแม่ก่อนซิลูก"คุณวิชุดากวักมือเรียกลูกชายตัวดี
ให้มานั่งคุยกันก่อนจะขึ้นไปอ่านหนังสือ
"แม่ก็เป็นห่วงน่ะสิ เห็นเราขยันแบบนี้ก็ดี
แต่แม่ไม่อยากให้เราคาดหวังอะไรให้มันมากมาย
ได้ก็ได้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะลูก อย่าไปจริงจังกับมันมากนัก
แม่รู้ว่าเต้ใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก เพราะเห็นพ่อเป็นตำรวจ
จบมาจากรั้วสามพราน แต่ไม่ใช่ว่าเต้จะต้องทำตามพ่อนะลูก
เต้ถามตัวเองดีรึยังว่าโตขึ้นเต้อยากทำงานอาชีพอะไร
บางครั้งอุดมการณ์กับความเป็นจริงมักจะขัดกันเสมอ
ไหนบอกแม่มาสิลูก ว่าเต้อยากเข้าเรียนที่นี่จริงรึเปล่า?"
เต้ใช้เวลาคิดอยู่สักพักก่อนจะตอบผู้เป็นแม่
"เต้คิดว่าเต้รักมันครับแม่ เต้อยากเป็นตำรวจ
ไม่ใช่เพราะว่าการเป็นนักเรียนนายร้อยแล้วดูเท่ห์
แต่เป็นเพราะเต้อยากตอบแทนคุณแผ่นดินที่อยู่มา"
"ตอบแทนคุณแผ่นดินงั้นเหรอ?" คุณวิชุดาย้อนถามลูกด้วย
สีหน้าแปลกใจเล็กน้อย "อาชีพไหนๆก็ทำได้ทั้งนั้นแหละลูก
ถ้าเราทำอาชีพที่สุจริตไม่ไปปล้นฆ่าหรือเบียดเบียนใครเขา"
เต้แห็นแม่ทำสีหน้าไม่เข้าใจ จึงอธิบายต่อไป
"ครับแม่อาชีพไหนๆก็ทำได้ แต่สำหรับเต้
เต้คิดว่าการเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์นั้นต้องมีความเสียสละ
ความอดทนเป็นอย่างสูง เต้อยากจับคนไม่ดีในสังคม
ถึงแม้จะจับไม่หมดแต่ยังดีกว่าเต้ไม่ได้จับพวกมัน
ทุกวันนี้เต้เห็นพวกคนชั่วค้ายาบ้ากันอย่างเปิดเผย
แต่ไม่มีใครจับมันได้ ทำให้เยาวชนหลงมัวเมากับสิ่งพวกนี้
เต้บอกตามตรงนะครับ เต้ไม่ชอบครับแม่
ทำให้เต้คิดอยากจะปราบพวกนี้ให้หมดไปจากสังคมครับ"
เต้เว้นจังหวะพูดให้คุณวิชุดาคิดตามกับสิ่งที่เต้พูด
"แม่ครับ พระองค์ท่านทรงเหน็ดเหนื่อยมาทั้งชีวิต
เพื่อให้ประชาชนชาวไทยอย่างเราอยู่อย่างสุขสบาย
เต้เป็นเพียงประชาชนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่มีอำนาจบารมีอะไร
แต่สิ่งที่เต้เห็นคือพระองค์ท่านทรงเสียสละความสุขของท่าน
เพื่อคนส่วนรวม ดูอย่างตอนน้ำท่วมสิครับ
พระองค์ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้ดำเนินการผันน้ำ
จากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้าที่ดินส่วนพระองค์บริเวณทุ่งมะขามหย่อง
สถานที่ตั้งอนุสาวรีย์สมเด็จพระศรีสุริโยทัย พื้นที่พันกว่าไร่
กับทุ่งภูเขาทอง สถานที่ตั้งอนุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
พื้นที่กว่าสองพันไร่ เนื่องจากท่านทรงเห็นพสกนิกร
ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาน้ำท่วมสูง
จึงมีพระบรมราชานุญาตให้ผันน้ำเข้าที่ดินส่วนพระองค์
เพื่อให้บรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน
อีกทั้งเป็นการลดระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา
ที่ไหลบ่าเข้ากรุงเทพฯ เนื่องจากพื้นที่ทั้ง 2 แห่ง
สามารถกักเก็บน้ำได้หลายล้านลูกบาศก์เมตร
ดังนั้น เต้ขอเป็นอีกหนึ่งในจำนวนหกสิบสามล้านคน
ของประเทศไทย เสียสละแบบท่าน
ช่วยเหลือประชาชนผู้ตกทุกข์
ได้ยากได้ไหมครับแม่ "
หลังได้ยินลูกชายพูดเช่นนั้น คุณวิชุดาได้ดึงเต้เข้ามากอด
อย่างภูมิใจที่มีลูกชายเป็นคนดี
ไม่เสียแรงคอยเฝ้าถนุถนอมอบรมบ่มนิสัยให้ลูกเป็นคนดี
"เต้ แม่ภูมิใจในตัวลูกมากๆเลยรู้ไหม จริงอย่างที่เต้ว่า
พระองค์ท่านทรงเสียสละความสุขตลอดชีวิตของท่าน
คอยจัดการแก้ปัญหาทุกอย่างเพื่อให้ประชาชนของท่าน
อยู่อย่างมีความสุข เต้ไปอ่านหนังสือเถอะลูก
แต่อย่าดึกมากนักพรุ่งนี้ต้องไปเรียนอีก
และอย่าลืมที่เต้บอกแม่นะเรื่องเด็กคนนั้น ถ้าคิดว่าใช่
พามาพบแม่ด้วยนะ แม่อยากรู้จัก"
เต้ฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันครบสามสอบสองซี่ได้
"ครับแม่ เต้ไม่ลืมหรอก แม่จะเข้าบ้านยังครับได้ไปพร้อมกัน"
"ยังจ๊ะ แม่ขอนั่งรับลมเย็นๆสักพักค่อยเข้าไป"
"'ถ้างั้นเต้ไปก่อนนะครับ"
คุณวิชุดามองตามแผ่นหลังลูกชายที่เดินเข้าบ้านไป
ทำให้นึกถึงเด็กชายตัวเล็กๆ ผอมแกร่นคนหนึ่งวิ่งเล่น
รอบสวนนี้อย่างสนุกสนาน ไม่น่าเชื่อว่าโตขึ้นมาจะกลายเป็น
หนุ่มหล่อ สูงใหญ่ หุ่นนักกีฬา โตป่านนี้แล้วเหรอลูกเรา
เวลาเดินไปเร็วจริง
ความคิดเห็น