ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Miracle Earth พิภพปาฏิหาริย์ : ปฐมบทแห่งราชันย์

    ลำดับตอนที่ #95 : ตอนที่ 93 ก้าวสุดท้าย ลี้หลบพ้นผ่าน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.79K
      53
      13 มิ.ย. 64

     

     

                แต่เทพยดาในที่นี้กลับแตกต่างออกไปจากคราครั้งก่อนอย่างเห็นได้ชัด

     

                เทพยดาที่มีด้วยกันถึงแปดคน

     

                  นานมากแล้วที่ไอช่าไม่ได้เผชิญกับปัญหายิ่งใหญ่ระดับสั่นคลอนได้ทั้งทวีป ความหย่อนยานในการระมัดระวังภัยก็มีส่วนที่ทำให้เรื่องทุกอย่างมันบานปลายมาได้ถึงขั้นนี้ ตลอดระยะเวลาหลายร้อยปีที่ดินแดนแห่งนี้อุดมไปด้วยความผาสุข จะมีก็แค่ปัญหาเล็กน้อยเท่านั้นที่เกิดขึ้นประปราย แต่ก็ไม่ได้นำพามาซึ่งความลำบากอย่างเช่นในตอนนี้

     

                ความลำบากที่กำลังส่งผลให้ใครต่อใครพากันสิ้นหวัง

     

                “รายงาน! ตอนนี้หน่วยที่สามได้ถอยร่นลงมาแล้ว ทางนั้นแจ้งมาว่าขอกำลังสนับสนุนด่วน” ทหารคนส่งสาสน์คนหนึ่งพุ่งเข้ามาในกระโจมขนาดใหญ่ด้วยความเร่งรีบ เนื้อตัวมอมแมมเต็มไปด้วยบาดแผล แต่ดูเหมือนว่าเขาจะยังยืนไหวโดยอาศัยความรู้สึกบางอย่างเป็นแรงเกื้อหนุน

     

                ถูกต้องแล้ว ในกระโจมที่เปรียบประหนึ่งฐานที่มั่นแห่งสุดท้ายภายในแดนเหนือ

     

                “ให้ตายเถอะ! ไม่รู้หรือไงว่าเราไม่เหลือกองทัพที่จะส่งไปได้แล้ว ไอ้พวกปิศาจก็ดันแห่มาไม่รู้จักจบสิ้นซะที แต่เอาเถอะ!! เบลก้า นำกองทัพออกไปต้านข้าศึก หลักเลี่ยงการปะทะให้ได้มากที่สุด รักษาชีวิตทหารของเราเอาไว้ให้ได้!!” นายทหารชั้นผู้ใหญ่นายหนึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงตะเบ็งจนแทบจะกลายเป็นตะโกน ออกคำสั่งให้ลูกน้องของตนออกไปจัดการ โดยที่ตนก็ยังคิดไม่ตกว่าจะทำยังไงกับแผนที่ตรงหน้า

     

                ย้อนไปตอนเมื่อวาน กองทัพปิศาจไม่ทราบแหล่งที่มาได้เข้าผสานกันโจมตีกองทัพของพวกเขาจากทุกทิศทาง จนในที่สุดด้วยตัวเลือกที่เหลือน้อยเต็มทน พวกเขาจึงตัดสินใจแบ่งกำลังออกเป็นสองฟากฝั่ง เปรียบดั่งกำแพงที่จะขวางกั้นพวกปิศาจไม่ให้รุกคืบต่อไปได้ โดยกองทัพที่มาจากไอช่านำโดยแม่ทัพมนตราทั้งสองรับผิดชอบด้านชายแดนที่ติดต่อกับภาคกลางของทวีป ในขณะที่กองทัพทางแดนเหนือรับหน้าที่จัดวางกองกำลังป้องกันไม่ให้พวกมันรุกคืบขึ้นตอนเหนือได้

     

                แต่อำนาจของมนุษย์ธรรมดาไฉนเลยจะเทียบเคียงได้กับสัตว์ประหลาด ยิ่งในสภาวการณ์ที่ซึ่งไม่มีแม้กระทั่งกองหนุนส่งมาเนื่องจากเวลานั้นมันกระชั้นชิดเกินไป และยิ่งสิ้นหวังขั้นหนักเมื่อทหารทุกคนในค่ายทางตอนเหนือต่างรู้ดีว่าอีกไม่นายฐานที่มั่นเพียงแห่งเดียวที่คอยป้องกันกองทัพอสุรกายพวกนั้นเอาไว้กำลังจะแตกลงในไม่ช้า

     

                    “ถ้าท่านมีหนทางอื่นใดที่ช่วยให้พวกเรารอดจากวันนี้ไปได้ ก็ขอให้พูดออกมาตรงๆอย่าอ้อมค้อมเลยเถอะท่านเซโน่” ทหารระดับแม่ทัพคนเดิมหันไปบอกชายอีกคนที่ยืนอยู่เงียบๆที่มุมหนึ่งของแผนที่ สภาพของอาจารย์วัยกลางคนก็ใช่ว่าจะสู้ดีไปกว่าพวกเขาเท่าไหร่นัก อีกทั้งระยะเวลาเพียงหนึ่งวันย่อมไม่อาจรื้อฟื้นมานาให้ทันการสำหรับการสู้ศึก และถ้าขืนออกไปในสภาพแบบนี้ผลสุดท้ายก็ไม่แคล้วที่จะกลายเป็นตัวถ่วง

     

                ตัวถ่วงที่พยายามคิดหาหนทางเอาตัวรอดอย่างสุดความสามารถ

     

                เซโน่นิ่งเงียบไม่ตอบคำถาม เขาจ้องเขม็งไปยังแผนที่ตรงหน้าอย่างไม่วางตา การมาของกองทัพปิศาจยังคงเป็นปริศนา แต่มีความเป็นไปได้มากกว่าแปดส่วนที่พวกมันจะเกี่ยวข้องกับข่ายมนตร์ที่พวกเขาพึ่งทำลายลงไป ซึ่งในตอนนี้ถ้าเป็นไปได้เซโน่ก็อยากให้ข่ายมนตร์เจ้าปัญหานั้นอยู่มากกว่ากองทัพอมนุษย์เสียอีก

     

                ด้วยปริมาณที่มากเกินไป และดูเหมือนพวกมันจะตัวเป้งตามติดมาไม่น้อย ทำให้สถานการณ์ยิ่งย่ำแย่ลงกว่าเดิม เพราะเมื่อเขาประเมินดูจากสายตาก็พอเดาได้ว่าพวกมันเป็นปิศาจที่น่าจะสูญพันธ์ไปตั้งนานแล้ว การที่กลับมาเดินเหินรุกรานดินแดนของพวกเขาอยู่ในตอนนี้นับว่าเป็นเรื่องผิดปกติ และด้วยหลักฐานที่ว่าแม่ทัพมนตราผู้เกรียงไกรทั้งสองยังไม่อาจสยบกองทัพปิศาจได้ในเวลาอันสั้น แสดงว่าพวกมันต้องเตรียมลูกเล่นหรืออะไรบางอย่างมารับมือพวกเขาอยู่นานแล้ว

     

                ในตอนนี้เขาได้ส่งนักเรียนมือดีสองคนออกไปช่วยรับศึกตั้งนานแล้ว

     

                แต่อาศัยกำลังเพียงสองคนย่อมดูแลไม่ทั่วถึงอย่างแน่นอน

     

                “ในตอนนี้เรามีจุดเฝ้าระวังสามด้านที่เสี่ยงต่อการถูกตีแตก แต่สองในสามตอนนี้ได้มีจอมเวทฝีมือดีไปคุมเชิงอยู่แล้ว ก็คงเหลือเพียงด้านเดียว...ที่ยังมีปัญหา” เซโน่เอ่ยด้วยน้ำเสียงแช่มช้า พลางชี้ไปยังจุดสามจุดบนแผนที่ ในจังหวะนี้ต่อให้ประธานนักเรียนทั้งสองร้ายกาจไปกว่านี้ ก็ไม่อาจแยกร่างมาป้องกันดูแลเขตทั้งสามได้ทัน

     

                “น่าบัดซบที่ตอนนี้พวกเราก็ขยับไปไหนไม่ได้...” แม่ทัพผู้หนึ่งกัดฟันแน่น กำลังคนในค่ายใหญ่ตอนนี้ร่อยหรอจนแทบไม่เหลืออะไร กองกำลังหลักก็ได้ส่งออกไปป้องกันจุดยุทธศาสตร์กันจนหมดแล้ว และถ้าหากกองทัพในค่ายนี้เคลื่อนย้ายออกไป สิ่งที่จะตามมาก็คือช่องโหว่ให้อีกฝ่ายฉกฉวยเอาได้

     

                ทุกอย่างล้วนมีต้นเหตุมาจากเหตุการณ์ในวันนั้น

     

                วันที่เซโน่ได้พบกับจิ้งจอกสีขาวตัวหนึ่ง

     

                ซึ่งในตอนนี้เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันหายไปไหน

     

                “รายงานข่าวด่วน!!  ตอนนี้กองทัพของเราทางชายป่าได้แตกพ่ายแล้ว!!” ทหารราบคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในกระโจมด้วยท่าทีเร่งรีบ ข่าวสารที่แทบจะทำให้เซโน่และแม่ทัพในกระโจมแทบจะอ้าปากค้าง เพราะตรงบริเวณชายป่าเป็นจุดเดียวที่มีการป้องกันหละหลวมมากที่สุด และถ้าพวกปิศาจรุกจากตรงจุดนั้นมาได้ พวกมันย่อมผสานการโจมตีหน้าหลังเข้ากระหนาบกองทัพทิศอื่นจนไม่เหลือ

     

                “แต่!! ตอนนี้พวกศัตรูกำลังได้รับความเสียหายอย่างหนัก คาดว่าอีกไม่นานคงต้องถอนออกไปทั้งกองทัพ” เสียงรายงานประโยคหลังเริ่มทำให้พวกเขาใจชื้นขึ้นมาได้ บางคนถึงกับยิ้มแก้มปริด้วยความยินดีปรีดา ในขณะที่เซโน่เองยังคงสงสัยว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

     

                หรือว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนนั้นกับเหตุการณ์ในตอนนี้จะเชื่อมโยงกัน

     

                “พวกเราเป็นคนทำให้มันถอยร่นได้งั้นเหรอ” เซโน่ถาม

     

                “ไม่ใช่...เป็นคนอื่น” ทหารส่งสาสน์ส่ายหัวน้อยๆ ดูเหมือนว่าเขาเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อในข่าวสารที่ได้รับมา

     

                “คนเพียงผู้เดียว....” เพียงเท่านั้นทุกสรรพสิ่งในกระโจมแห่งนี้ก็ได้เงียบดับลง

     

                มีเพียงเซโน่เท่านั้นที่เริ่มปะติดปะต่อได้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น

     

                สงครามไม่เคยทำให้ผู้ใดมีความสุข ถึงมีก็คงจะเน้นหนักไปทางด้านทุกข์มากกว่า ยิ่งในระหว่างการศึกด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง ในตอนนี้บริเวณชายป่าใกล้กับค่ายใหญ่ที่ของพวกเซโน่เรียงรายไปด้วยซากศพทั้งจากมนุษย์และสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ กลิ่นคาวเลือดตลอดจนเศษซากอาวุธมีให้เห็นกลาดเกลื่อนไปทั่วบริเวณ

     

                ในยามที่พวกปิศาจกำลังจะได้ชัย

     

                พวกมันกลับถูกแทรกแซงโดยคนผู้หนึ่งเสียก่อน

     

                “มันมีแค่คนเดียว พวกเราอย่าไปกลัว!!” ถึงจะเป็นปิศาจ แต่ภาษาก็ยังพอที่พวกมนุษย์ในไอช่าจะเข้าใจ มนุษย์ป่าตัวหนึ่งคำรามก้อง ปลุกเลือดนักสู้ให้กับพรรคพวกคนอื่นๆที่ยืนอยู่ข้างๆตนนับร้อยนับพันให้มีกำลังใจมากขึ้น

     

                 

     

              “มันมีแค่คนเดียว พวกเราอย่าไปกลัว!!” ถึงจะเป็นปิศาจ แต่ภาษาก็ยังพอที่พวกมนุษย์ในไอช่าจะเข้าใจ มนุษย์ป่าตัวหนึ่งคำรามก้อง ปลุกเลือดนักสู้ให้กับพรรคพวกคนอื่นๆที่ยืนอยู่ข้างๆตนนับร้อยนับพันให้มีกำลังใจมากขึ้น

     

                ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามมีเพียงกำลังทหารไม่ถึงร้อยคน กับชายเพียงคนเดียวที่ยืนนำหน้าทหารกลุ่มนั้นราวกับเป็นหัวหน้ากลุ่ม คนที่อาจหาญโผล่เข้ามาระหว่างการต่อสู้สร้างความประหลาดให้กับทั้งสองฝ่าย รูปร่างดูไม่สูงเท่าไหร่นัก หมวกทรงสูงชนิดที่ว่าหาได้ยากยิ่งในสมัยปัจจุบัน แต่เสื้อผ้ากลับยิ่งช่วยขับเน้นความแปลกตาเข้าไปอีกขั้น เสื้อคลุมยาวสีขาวสวมทับเสื้อสีม่วง ลักษณะโดดเด่นที่มองเห็นแวบเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าเขาคนนี้เป็นจอมเวทประเภทไหน

     

                กลุ่มจอมเวทที่แต่งกายแบบนี้ในไอช่ามีเพียงจำพวกเดียว

     

                องเมียวจิ

     

                “คนเดียวที่ไหนกันขอรับ เห็นๆอยู่ว่าข้างหลังกระผมก็ยังมีอีกเป็นสิบ” ชายผู้นั้นหัวเราะตอบกลับอย่างไม่เกรงกลัว นัยต์ตาสีแดงเรียวยาวราวกับจิ้งจอกกลิ้งกลอกไปมาด้วยความนึกสนุก ผมสีดำสั้นถูกรวบไว้เข้ากับหมวกทรงสูง เหลือเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ปล่อยให้เป็นปอยผมมาทางด้านหน้า โบกพัดที่ทำจากไม้ไผ่สีดำตัดทองฉลุลายอย่างดีในมือไปทางกองทัพปิศาจด้วยความร่าเริง

     

                ในขณะที่กองทัพของแดนเหนือพลันหน้าซีดเหมือนโดนลมหนาว

     

                แต่ดูเหมือนว่าสัญชาติญาณปิศาจของพวกมันจะไม่อยากยืนต่อล้อต่อเถียงกับชายปริศนาผู้นี้ซักเท่าไหร่นัก พวกมันกรูกันเข้ามาจนเกิดเป็นคลื่นยักษ์เมื่อมองจากมุมสูง ชายผมดำฉีกยิ้มราวกับรอเวลานี้มาเนิ่นนาน พัดในมือคลี่พัดไปทางด้านหน้า

     

                อาคมดาวหกแฉก คมหอกสายลม

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×