ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Miracle Earth พิภพปาฏิหาริย์ : ปฐมบทแห่งราชันย์

    ลำดับตอนที่ #82 : ตอนที่ 80 สำรวจ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.12K
      61
      18 เม.ย. 64

     

                     บ่อยครั้งที่คนเรามักจะประสบกับชะตากรรมที่สุดแสนจะลำบาก แต่ต่อให้เป็นมรสุมกรรโชกกลางมหาสมุทร ก็ยังคงมีแสงสว่างริบหรี่แทรกระหว่างทางอยู่ร่ำไป ดังนั้นแล้วหากไม่ว่ามนุษย์เราจะประสบเรื่องเลวร้ายมามากขนาดไหน ก็ขอให้จงยึดมั่นอยู่ในใจว่าสายตาของเผ่าพันธ์เล็กกระจ้อยร่อยนี้เปี่ยมไปด้วยพลังที่ไม่อาจประเมินค่าได้โดยอาศัยเวลาเพียงชั่วครู่

     

                โนอาห์เองก็เฉกเช่นเดียวกัน

     

                เขามีวิธีดึงปัญหาให้มากองสุมอยู่กับตัว

     

                เขาก็ย่อมมีหนทางที่จะดึงสิ่งดีๆให้เข้ามาในชีวิตเช่นกัน

     

                “เวลาจะหาจริงๆนี่มันยากกว่าที่คิดไว้อีกแฮะ” โนอาห์บ่นพึมพำเบาๆพอได้ยินแค่เขาคนเดียว ในตอนนี้เขากำลังเดินด้อมๆมองๆในปราสาทอวาลอนส่วนที่อ้างว้างไร้ซึ่งผู้คน และเป็นเรื่องดีแล้วที่ไม่มีใครเดินผ่าน มิเช่นนั้นโนอาห์คงถูกกล่าวหาว่าเป็นโจรเสียด้วยซ้ำ

     

                แต่จุดประสงค์ของโนอาห์ไม่ได้คับแคบขนาดนั้น

     

                หลังจากที่ได้รับฟังข่าวสารจากเซเรน่า ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ทำให้เขาเร่งแผนการส่วนนี้ให้ขึ้นไปทุกขณะ รวมถึงอาการแปลกๆที่เขาทำไปในหลายวันที่ผ่านมาส่วนนึงก็เป็นเพราะต้องการหักเหประเด็นความสนใจของคนที่อยู่รอบข้างให้ไปจดจ่อกับเรื่องราวเหล่านั้น มากกว่าจะตั้งข้อสงสัยอื่นให้ตัวเขาเองต้องมานั่งแก้ในภายหลัง เพราะฉะนั้นการที่โนอาห์ปลีกตัวมาอยู่คนเดียวเช่นนี้ คนอื่นๆคงคิดว่าเขาไปหาที่ทำงานเงียบๆอยู่คนเดียว

     

                ถึงแม้จะมีบางคนที่ล่วงรู้ความจริงนั้นก็ตาม

     

                สาเหตุที่โนอาห์มาทำตัวน่าสงสัยย่อมมีอยู่สาเหตุเดียว

     

                เขากำลังหากลไกลับของปราสาทแห่งนี้อยู่

     

                ยุทธจักรสอนเขาหลายๆอย่าง รวมไปถึงความเชื่อฝังหัวที่ว่าเคหะสถานขนาดใหญ่ ย่อมเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไร้ซึ่งเส้นทางลับแลรอให้ใครซักคนมาค้นหา ในจุดนี้โนอาห์เองก็ได้ตั้งแง่สงสัยเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่ได้เข้เหยียบย่ำอาณาบริเวณโรงเรียนแห่งนี้เป็นครั้งแรก นั้นจึงเป็นเหตุให้เขาต้องสอดส่ายสายตาไปทั่วทุกบริเวณในวันแรกที่มาเข้าเรียน เพียงเพื่อหวังว่าสายตาของตนจะไปพบเห็นอะไรที่มันสะดุดตาเข้าให้

     

                และหลังจากวันที่เขาได้หนังสือไร้ชื่อมาจากห้องสมุด

     

                      ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ชายผู้นี้ถนัดและเชี่ยวชาญเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

     

                “โอ๊ะ!...” ชายผมดำอุทานขึ้นมาเบาๆ หลังจากพบเห็นแสงสว่างเล็กๆที่ปลายสุดทางบันได บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าการเดินทางของเขาใกล้จะมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว

     

                และก็เป็นดังที่โนอาห์ตั้งเป้าหมายเอาไว้ในคราแรก

     

                ดูเหมือนวันนี้เขาจะดวงดีจริงๆ

     

                “ก็ยังดีที่ไม่มีตัวอะไรโผล่มาตุ้งแช่ล่ะนะ” โนอาห์ยิ้มฝืดๆ กวาดสายตามองดูพื้นที่โดยรอบให้ชัดเจนอีกครั้ง ความกว้างแลความยาวไม่แตกต่างไปจากขนาดของห้องเรียนที่ใหญ่ที่สุดในปราสาทอวาลอนมากนัก ตกแต่งด้วยธีมมืดมนเช่นเดียวกับบันไดทางเดินที่เขาพึ่งผ่านมา ตรงกลางห้องมีโต๊ะกลมตั้งเด่นเป็นสง่า นอกจากนี้ยังมีประตูอีกเจ็ดบานซึ่งมีลวดลายและลักษณะที่ไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง

     

                ดวงดีที่ไม่เจอสิ่งที่น่าขนหัวลุกเข้าให้  

     

     

     

     ก็ยิ่งทำให้โนอาห์เชื่อมั่นฝังใจว่าโรงเรียนแห่งนี้ต้องมีสถานที่อย่างว่าอยู่แน่นอน

     

                “ไหนดูซิว่าสิ่งที่บันทึกอยู่ในนี้มันจะเชื่อถือได้ซักแค่ไหนเชียว” โนอาห์ยิ้มกรุ้มกริ่มพลางหยิบหนังสือไร้ชื่อที่ซ่อนเอาไว้ใต้เสื้อขึ้นมาพลิกเปิดดู เพราะถึงแม้ว่าเขาจะมีความจำดีเลิศขนาดไหน ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่โนอาห์จะจำข้อความได้ทุกบรรทัดจวบจนทุกตัวอักษร

     

                อันที่จริงก็เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจขึ้นไปอีกระดับ

     

                หนังสือไร้ชื่อเล่มนี้มองผิวเผินก็เหมือนกับชีวประวัติผสมประวัติศาสตร์ปนเปกันไป แต่นั้นก็เป็นเพียงแค่ฉากนอกเท่านั้น โนอาห์ไม่เคยเห็นคัมภีร์ยุทธ์เล่มไหนในโลกของเขาที่ไม่มีสิ่งใดแอบซ่อนอยู่ และนั้นก็เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยฝึกปรือให้ชายผู้นี้เป็นคนย้ำอ่านย้ำมองอย่างเหลือคาด

     

                จนกระทั่งบังเอิญไปค้นพบสิ่งๆหนึ่งเข้าในหนังสือไร้ชื่อ

     

                ปราสาทอวาลอนหลังนี้ถูกสร้างขึ้นโดยเวทมนตร์ ข้อนี้ไม่ว่าใครต่อใครย่อมรู้กันทั่ว เพียงแต่ก่อนหน้านั้นผู้ก่อตั้งซึ่งก็คือเมอร์ลินได้ซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้ซ้อนทับกับปราสาทสีขาวอีกชั้น แต่ก็ยังถือว่าเป็นจุดที่หลายๆคนในโลกใบนี้รู้กันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ทว่าพวกเขาเหล่านั้นกลับหาสิ่งที่ซ่อนเอาอยู่ไม่เจอเลยซักคนเดียว

     

                อาจจะได้กล่าวได้อย่างภาคภูมิใจ

     

                ว่าตั้งแต่ก่อตั้งโรงเรียนแห่งนี้มา นอกจากจะไม่มีใครเจอตัวอาจารย์ใหญ่แล้ว

     

                แม้แต่สิ่งที่อาจารย์ใหญ่ซ่อนเอาไว้ก็ยังไม่เจอ

     

                “ตะวันออก....มังกร จิ้งจอก ปลา ปิศาจ” โนอาห์ท่องข้อความที่เปิดทิ้งเอาไว้ซ้ำไปซ้ำมาราวกับคนบ้า เขาใช้เวลาหลายวันในการหาสถานที่ซ่อนของกลไกลับ แน่นอนว่าคนอื่นๆที่คิดเหมือนกันกับเขาก็หาเจอเหมือนกัน แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาเหล่านั้นเจอทางตันนั้นก็มีเพียงประโยคสั้นๆชวนให้ผู้ฟังรู้สึกใจหาย

     

          “ตะวันออก....มังกร จิ้งจอก ปลา ปิศาจ” โนอาห์ท่องข้อความที่เปิดทิ้งเอาไว้ซ้ำไปซ้ำมาราวกับคนบ้า เขาใช้เวลาหลายวันในการหาสถานที่ซ่อนของกลไกลับ แน่นอนว่าคนอื่นๆที่คิดเหมือนกันกับเขาก็หาเจอเหมือนกัน แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาเหล่านั้นเจอทางตันนั้นก็มีเพียงประโยคสั้นๆชวนให้ผู้ฟังรู้สึกใจหาย

     

                ไม่มีใครซักคนที่สามารถหาทางเข้าเจอ

     

                จริงอยู่ที่ในบันทึกต่างๆยังอุตส่าห์ใจดีเหลือคำใบ้ทิ้งเอาไว้ ซึ่งก็คือสิ่งมีชีวิตทั้งสี่ที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะช่วยอะไรได้ แต่โนอาห์ที่รู้ว่าคนก่อตั้งโรงเรียนอวาลอนไม่ได้อาศัยแค่จ้าวมนตราเพียงคนเดียว แต่ใช้ถึงสี่ ดังนั้นมังกร จิ้งจอก ปลา และปิศาจจึงน่าจะเป็นสัตว์แทนตัวของพวกเขาเหล่านั้น

     

                        และมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเหมือนเดิม

     

                ไม่ว่าจะมีการใช้เวทมนตร์ที่ทรงอานุภาพแค่ไหน จำนวนคนที่มากมายเท่าใด หรือแม้กระทั่งอาศัยนักปราชญ์มากมายขนาดไหน ก็ไม่มีแม้ซักครั้งที่กลไกลับจะถูกเปิดเผยออก จนนานวันเข้าเรื่องเหล่านี้ก็คงเหลือเป็นตำนานเลื่อนลอย รอให้ผู้แสวงโชครายใหม่เข้ามาท้าทายก็เท่านั้น

     

                “หรือบางที...” โนอาห์หรี่ตาครุ่นคิดตวัดสายตามองพื้นที่โดยรอบอย่างละเอียดอีกครั้ง ทางที่เขาอยู่เป็นทางเดินสุดปลายของปราสาท เบื้องหน้าก็มีแต่ทางตันที่ตั้งรูปปั้นอัศวินไว้โก้ๆ

     

                ที่คนก่อนหน้านี้ไขปริศนากลไกลับนั้นไม่ออก

     

                คงจะเป็นเพราะความสามารถของพวกเขาไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนี้

     

                เวทมนตร์ไร้ธาตุ ระดับ 4 หนทางของนักบุญ

     

              เวทค้นหาที่อารันเคยใช้ถูกนำมาใช้อีกครั้ง แต่ถูกปรับเปลี่ยนเล็กน้อยโดยลมปราณมหาเมฆา ออร่าสีขาวจางๆลอยออกไปจากฝ่ามือทั้งสองข้างโนอาห์เสมือนหมอกควัน พวกมันลอยไปรอบๆตามวัตถุประสงค์ของผู้ใช้เวทที่ยามนี้กลับปกปิดไอเวทได้ดีเกินคาด

     

                เขาก็เพียงแค่ใช้เทคนิคเดียวกับโคจรลมปราณก็เท่านั้น

     

                ด้วยเหตุนี้ถ้าโนอาห์ไม่ลงมืออย่างสุดกำลังความสามารถเข้าจริงๆ

     

                คงยากที่จะมีคนตรวจจับร่องรอยการร่ายเวทของเจ้าตัวได้

     

             

     “คุณโนอาห์จะบอกว่า....การที่คุณอุตส่าห์ลำบากลำบนไปค้นหากลไกลับในโรงเรียน แต่ดันไม่เจออะไรที่พอจะช่วยพวกเราด้วย ถูกไหมครับ” นิกซ์เกาหัวแกรกๆ ทำสีหน้าปั้นยาก หลังจากได้ฟังสิ่งที่โนอาห์เล่าในห้องพักว่าช่วงเวลาที่เขาได้หายไปนั้น ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาบ้าง

     

                ปรากฏว่ากลับไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันซักเท่าไหร่

     

                “ซะที่ไหนกันล่ะเจ้าเปี๊ยกนี้ เพราะจริงๆแล้วฉันก็ไม่ได้บอกไปหมดทุกอย่างล่ะนะ” ชายต่างโลกยิ้มกรุ้มกริ่ม ชูนิ้วชี้ส่ายไปมาพลางกลั้วหัวเราะ ชวนให้คนฟังอย่างนิกซ์ต้องเลิกคิ้ว

     

                ในใจของนิกซ์หวังเพียงว่าเรื่องที่โนอาห์ไม่ได้บอกจะมีประโยชน์มากพอ

     

                โนอาห์เดินทางไปเสาะหากลไกลับในปราสาทอวาลอนเป็นเวลาร่วมหลายชั่วโมง กว่าเขาจะกลับก็กินเวลาไปเกือบหัวค่ำ ทว่าทุกสิ่งกลับไปเป็นตามที่โนอาห์คาดไว้ เพราะไม่มีใครคิดไปถึงได้เลยว่าโนอาห์นั้นแท้จริงแล้วกำลังกระทำการสิ่งใดอยู่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นส่วนหนึ่งต้องขอบคุณตำแหน่งของเซเรน่าและบทบาทในสภานักเรียนของโนอาห์ ที่ทำให้ระหว่างทางกลับหอสามารถแวะไปเอาเอกสารนิดหน่อย ก่อนจะกลับมานั่งสุมหัวอยู่ที่ห้องพักในหอของชั้นปีหนึ่ง

     

                “แต่นึกไม่ถึงเลยนะว่าทางเดินลับที่ไม่มีใครค้นพบตั้งแต่ยุคสมัยก่อตั้งโรงเรียน ดันมาถูกคนที่ไม่รู้ประสีประสาพบเข้าซะได้” อารันที่นั่งฟังอยู่บนเตียงเอ่ยขึ้น ถึงในใจจะอดชื่นชมไม่ได้ว่าเพื่อนต่างภพของเขาคนนี้มีดีมากกว่าที่เขาคิด

     

                ทั้งความสามารถด้านการต่อสู้ สติปัญญา ไหวพริบในการแก้ปัญหา ทุกสิ่งอย่างถึงจะไม่โดดเด่นจนถึงขีดสุดซักทาง แต่ว่าเพราะข้อดีเพียงจุดเดียวของเจ้าตัวกลับทำให้ช่วยเติมเต็มตัวตนของชายผู้นี้ได้เป็นอย่างดี ทั้งโนอาห์และอารันต่างก็ยอมรับโดยพร้อมเพรียงว่าโนอาห์นั้นไม่สามารถคาดคะเนหรือกะเกณฑ์ก้าวเดินได้ยอดเยี่ยมดั่งเช่นอารัน ในขณะที่อารันเองก็ยอมรับเช่นกันว่าในเรื่องของการทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้กลายเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ เขาเทียบไม่ติดแม้แต่น้อย

     

                เสียแต่ว่าในยามปกติความสามารถเหล่านั้นมักถูกความขี้เล่นบดบังเอาซะมิด

     

                ไม่งั้นเรื่องสนุกๆคงได้เกิดขึ้นตั้งแต่แรกๆที่เกิดเรื่องขึ้น

     

                “แหงล่ะ ห้องนั้นเหมือนไม่ได้ให้คนทั่วไปเข้าไปได้อยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะความบังเอิญที่ฉันดันหลุดกรอบจากคนที่สร้างข่ายเวทป้องกันห้องแห่งนั้นเอาไว้ ก็คงเป็นสิ่งที่ใครบางคนคำนวณเอาไว้แล้วว่าต้องมีคนแบบฉัน คนที่ไม่ได้มีพลังเหมือนกับคนบนโลกนี้....มาเปิดกลไกลนั้นเข้าซักวัน” โนอาห์เอามือกุมคางราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางสิ่ง เขาเชื่อว่ากลไกที่ว่าลับนักหนา ต่อให้เป็นจอมยุทธชั้นเลวที่สุดในยุทธจักรก็ย่อมสามารถเปิดได้เช่นกัน ตราบใดที่คนๆนั้นฝึกฝนลมปราณมาก่อนหน้านั้นแล้ว

     

                เพราะสิ่งที่เขาทำ คนอื่นๆในยุทธจักรก็สามารถทำได้เช่นกัน

     

                ขึ้นอยู่กับว่าใครจะทำได้ดีกว่าหรือด้อยกว่า

     

     

                      ขึ้นอยู่กับว่าใครจะทำได้ดีกว่าหรือด้อยกว่า

     

                ถ้าเวทมนตร์เปรียบดั่งกับมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาล ทั้งความลึกและอาณาเขตมีมากซะจนทั้งชีวิตของคนๆหนึ่งก็ไม่สามารถเดินทางไปได้ทุกที่ ลมปราณก็เสมือนท้องนภากาศ เราสามารถพบเห็นได้อยู่ทุกที่จากพื้นดิน แต่หาใช่ว่าจะล่วงรู้ถึงทุกสิ่งอย่างในฟากฟ้าเบื้องบน

     

                ถ้าเวทมนตร์มีเทคนิคหรือวิธีการใช้มากมาย ลมปราณก็มีเทคนิคเหล่านั้นเช่นกัน อีกทั้งยังดูสะดวกกว่าเวทมนตร์มากนัก เพราะลมปราณประเภทเดียวสามารถทำได้หลากหลายยากลึกสุดหยั่ง เพราะทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่ความสามารถของผู้ฝึกยุทธ์คนนั้น เช่น การโคจรลมปราณเพื่อฟื้นฟูร่างกายหรือสภาพบาดแผล ซึ่งในยุทธจักรมีหนึ่งในเจ็ดยอดฝีมือท่านหนึ่ง มีฉายาว่า หมอหมื่นเซียน ว่ากันว่ายอดฝีมือผู้นี้ทำได้กระทั่งชุบชีวิตคนที่ใกล้ตายให้กลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง ด้วยเทคนิคง่ายๆอย่างการโคจรลมปราณ

     

                นอกจากนั้นยังมีทั้งการส่งต่อลมปราณจากตัวเราไปยังตัวกลางอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น อากาศ สิ่งมีชีวิต หรือแม้กระทั่งสิ่งของทั่วๆไป ซึ่งในที่นี้เทคนิคที่โนอาห์ถนัดที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้นการโคจรลมปราณเพื่อเพิ่มพูนพลังวัตรภายในร่าง และยังชำนาญไปถึงขอบขั้นแค่ขยับตัวก็สามารถเคลื่อนย้ายพลังวัตรภายในร่างหมุนเวียนไปมาได้ราวกับพลิกฝ่ามือ และการถ่ายทอดลมปราณจากสิ่งหนึ่งไปอีกสิ่งหนึ่ง ดังที่โนอาห์ได้แสดงให้เห็นหลายครั้งหลายคราด้วยกันตั้งแต่เหยียบย่ำเข้ามาในโลกแห่งนี้

     

             

     

    นอกจากนั้นยังมีทั้งการส่งต่อลมปราณจากตัวเราไปยังตัวกลางอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น อากาศ สิ่งมีชีวิต หรือแม้กระทั่งสิ่งของทั่วๆไป ซึ่งในที่นี้เทคนิคที่โนอาห์ถนัดที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้นการโคจรลมปราณเพื่อเพิ่มพูนพลังวัตรภายในร่าง และยังชำนาญไปถึงขอบขั้นแค่ขยับตัวก็สามารถเคลื่อนย้ายพลังวัตรภายในร่างหมุนเวียนไปมาได้ราวกับพลิกฝ่ามือ และการถ่ายทอดลมปราณจากสิ่งหนึ่งไปอีกสิ่งหนึ่ง ดังที่โนอาห์ได้แสดงให้เห็นหลายครั้งหลายคราด้วยกันตั้งแต่เหยียบย่ำเข้ามาในโลกแห่งนี้

     

                “เอาเป็นว่าอย่างแรก ยังจำภาพวาดที่ฉันเล่าให้ฟังได้ไหม” โนอาห์เปิดประเด็นวกกลับเข้าสู่เนื้อหาหลัก เพราะใช่ว่าเวลาจะมารอคอยพวกเขาไปซะหมด

     

                ไม่งั้นแล้วฝ่ายที่จะเพลี่ยงพล้ำ

     

                คงเป็นตัวโนอาห์หรือชิวหลงเอง

     

                “เห็นพวกผมเป็นคนความจำเสื่อมหรือไงครับ” นิกซ์ยิ้มแหยๆ ทางด้านอารันยักไหล่หนึ่งที ในขณะที่โนอาห์คนพูดนั้นได้แต่สบถออกมาเบาๆ เนื่องจากไม่มีใครรับมุขของเขาเลยซักคนเดียว

     

                “ในภาพวาดพวกนั้น มีเจ้านี้ปรากฏอยู่ด้วยน่ะสิ” โนอาห์ปรับโทนเสียงให้จริงจังขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะโบกมือกลางอากาศ พลันไม้เท้าสยบมังกรที่แสนคุ้นเคยก็ได้ปรากฏขึ้นมาบนมือเจ้าของอีกครั้ง

     

                ทั้งห้องพลันเงียบลงในบันดล

     

                ประหนึ่งมีใครบางคนมาปิดปากพวกเขาเอาไว้

     

                “นายคงไม่ได้ตาฝาด...” อารันพึมพำขึ้นมาเบาๆ

     

                “คุณมั่นใจนะครับว่าตอนนั้นไม่ได้ฝันไป...” นิกซ์ตีสีหน้าอึ้ง ทั้งร่างด้านชาไปชั่วครู่

     

                “แน่กว่านี้ก็คงเป็นตอนที่ฉันตาย” โนอาห์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

     

                ความจริงที่ทั้งอารันและนิกซ์ได้รับรู้เมื่อซักครู่ ถ้าอ้างอิงจากข้อมูลที่โนอาห์ได้บอกพวกเขาเมื่อก่อนหน้า ถ้าภาพวาดพวกนั้นเป็นบันทึกเหตุการณ์ฉบับย่อในวันที่สิ่งมีชีวิตจากต่างมิติเข้ามารุกรานโลกใบนี้จริงๆแล้วล่ะก็ การไม้เท้าสยบมังกรไปโผล่ในภาพวาดเหล่านั้น ย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่เอาไว้พูดคุยกันในย่านตลาดอย่างแน่นอน

     

                โดยเฉพาะพวกเขาทั้งหมดในห้องนี้

     

                ที่ได้รู้ว่าความเป็นมาของไม้เท้าสยบมังกรนั้นดำมืดมาตั้งแต่ต้น

     

                “โต๊ะที่ไม่มีเก้าอี้ ประตูที่เปิดไม่ได้ ภาพวาดที่มีไม้เท้าสยบมังกร....เห็นทีการไปของนายในครั้งนี้ นอกจากจะไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่แล้ว เหมือนจะเป็นกลายสร้างปัญหามาเพิ่มมากกว่าล่ะมั้ง” อารันยิ้มบาง โนอาห์เองก็ได้แต่ฉีกยิ้มกว้างให้กับเพื่อนของเขาพอเป็นพิธี

     

                “แต่ถ้าเราจับต้นชนปลายให้ดีๆ ถึงจะใช้เวลามากหน่อย ผมเชื่อว่ามันจะต้องมีเรื่องดีเกิดขึ้นกับพวกเราแน่ครับ” นิกซ์พยายามออกความเห็นไปในทางที่ดี ถึงเขาจะไม่ได้มีความคิดตื้นขืนประมาณว่าให้โนอาห์โชว์ตัวไม้เท้าสยบมังกร พร้อมกับนำทางใครต่อใครเข้าไปในห้องลับนั้นเพื่อดูกันให้เห็นจะๆก็ตาม

     

                ความเห็นที่อารันและโนอาห์ต่างพากันยิ้มเจื่อนอยู่ในใจ

     

                เพราะทั้งสองต่างรู้ดีว่าพวกเขาตอนนี้ไม่ได้มีเวลามากถึงขนาดนั้น

     

         เพราะทั้งสองต่างรู้ดีว่าพวกเขาตอนนี้ไม่ได้มีเวลามากถึงขนาดนั้น

     

                “แล้วยังมีปริศนาอย่างสุดท้ายหลงเหลืออยู่อีก...” โนอาห์ดีดนิ้วเป๊าะ หวังเปลี่ยนบทสทนาภายในบันดล

     

     

                ในขณะที่โนอาห์นั้นกลับยิ่งทวีความวิตก

     

                เพราะเขารู้ดีว่าคนที่อยู่ในจุดๆนั้นไม่ได้มีเพียงแค่หนึ่งเดียว

               

     

                   “ไม่ได้ผล” โนอาห์เลิกคิ้วอย่างขุ่นเคือง แต่เขาก็ไม่ได้คิดมาตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาจะทำสำเร็จเพียงเพราะอาศัยเวทมนตร์ค้นหาที่ถูกดัดแปลงมาแล้ว

     

                กระนั้นเองชายต่างโลกก็ยังเหลือเส้นทางอีกสายหนึ่ง

     

                ลมปราณมหาเมฆา

     

              โนอาห์แทบมือทั้งสองข้างติดชิดกับกำแพงปราสาท เจ้าตัวตั้งใจใช้ลมปราณที่แผ่ออกมาจากตนประหนึ่งเครื่องตรวจจับ ถึงแม้ลมปราณมหาเมฆาจะไม่ใช้ลมปราณสายตรวจจับหรือในลักษณะที่ใกล้เคียงกัน แต่มันก็ยังดีกว่าที่เขาไม่ได้ลองใช้สิ่งที่ตัวเองถนัดมากที่สุดในการช่วยหาหนทาง

     

                ทันใดนั้นเองโนอาห์กลับแสดงอาการดีใจผ่านสีหน้าอย่างเห็นได้ชัด นัยต์ตาคมเรียวตวัดมองไปทางกำแพงด้านหนึ่งที่จิตสัมผัสของเขารู้เห็นแน่ชัดว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติไปจากกำแพงด้านหนึ่ง ในใจกลับนึกไม่ถึงว่ากลไกที่จอมเวทมีชื่อทั้งหลายกลับหาไม่พบ เพราะว่ามันไม่ได้ถูกตั้งมาไว้สำหรับให้ตรวจเจอโดยใช้เวทมนตร์หรือกำลังคนตั้งแต่แรก

     

                อยู่ๆกำแพงส่วนหนึ่งที่มีขนาดเท่ากับประตูขนาดกลางก็ได้ยุบลงไปเบื้องหลัง ก่อนที่จะเคลื่อนที่ไปด้านบนจนเผยให้เห็นโถงทางเดินลงไปข้างล่าง แสงไฟสลัวๆจากคบไฟที่ประดับประดาไว้บริเวณทางเดินชี้ชัดได้อย่างดีว่าเขามาถูกทางแล้ว

     

                “ให้มันได้อย่างนี้สิ” โนอาห์ยิ้มกระหย่องน้อยๆ หันซ้ายหันขวามองหาใครซักคนที่อาจจะมาตามมา ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปในทางเดินนั้นอย่างไม่กลัวเกรง

     

                ที่เหลือก็หวังเพียงแค่ว่า

     

                สุดสายของเส้นทางสายนี้จะนำพาสิ่งที่ต้องการเขามาให้ก็เท่านั้น

     

                 ลักษณะสภาพภายนอกของบันไดทางเดิน ถ้าให้คนอื่นแสดงความคิดเห็นคงจะออกมาในแนวทางเดียวกันที่ว่าให้ความรู้สึกคนละแบบกับสถาปัตยกรรมรูปแบบหลักของปราสาทอวาลอนอย่างสิ้นเชิง ในตอนแรกโนอาห์ขอไม่เชื่ออย่างเด็ดขาดว่าภายในปราสาทสีขาวที่ตกแต่งอย่างหรูหราและโอ่อ่าแห่งนี้ จะมีสภาพพื้นที่เช่นนี้ถูกปิดซ่อนเอาไว้

     

                แต่ก็อย่างว่า ห้องลับมันก็ต้องได้อารมณ์ประมาณนี้กันทั้งนั้น

     

                ยิ่งก้าวลงบันไดลึกไปมากเท่าใด ความอับชื้นก็ยิ่งแสดงออกมาได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น อาจจะแปลกไปบ้างตรงที่ทางเดินแห่งนี้ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของหยากไย่หรือสิ่งสกปรก โนอาห์คิดว่าคงเป็นผลมาจากเวทมนตร์อะไรซักอย่างที่มีการกำกับเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว ซึ่งคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงแต่อย่างใดถ้าคนที่กลไกลับนี้เป็นคนๆเดียวหรือคนกลุ่มเดียวกับที่เขาคิด

     

                “หวังว่าก้าวเดินครั้งนี้จะได้ผลดีมากกว่าเสียนะ...” โนอาห์รำพึงรำพันกับตัวเองเบาๆ อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องมาดั้นด้นค้นหากลไกลับในปราสาทที่ไม่รู้ว่าจะมีจริงหรือเปล่าแต่อย่างใด

     

                การลงทุนที่มีความเสี่ยงย่อมไม่ใช่สิ่งที่น่าพิสมัยสำหรับนักลงทุน

     

                น่ายินดีที่โนอาห์ไม่ใช่นักลงทุนจำพวกนั้น

     

                ตราบใดที่พวกเขามีแผนอยู่แค่แผนเดียวหรือสองแผนให้เลือกใช้ เป็นที่รู้กันดีว่าอาศัยอุบายเพียงแค่นั้นเพื่อหลุดพ้นบ่วงกรรมที่คล้องคอโนอาห์อยู่เป็นเรื่องยากซะยิ่งกว่ายาก ดังที่ได้พิสูจน์มาแล้วในไม่กี่วันที่ผ่านมา ต่อให้วางแผนไว้รัดกุมแค่ไหน ถ้าพวกเขามีปัญญาคิดได้ ฝ่ายตรงข้ามก็ต้องคิดได้เหมือนกันไม่แตกต่าง

     

                     ว่ากันในยามที่เราสับสนกับชีวิตตนเองมากที่สุด เมื่อนั้นการกระทำของบุคคลใดๆก็ตามย่อมไม่อาจนำพาตรรกะในรูปแบบปกติมาชี้วัดได้อีกต่อไป เว้นเสียแต่คนๆนั้นมักทำกระทำตัวไม่เป็นหลักเป็นแหล่ง ไร้ซึ่งกฏเกณฑ์มาผูกมัดตัวเขาเองตั้งแต่แรก

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×