คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #79 : ตอนที่ 77 ก้าวในที่ลับ
“ใครว่าฉันตามเธอกันล่ะเฟียร์ ฉันก็แค่อยู่เฉยๆไม่ได้ไปรังควานกิจวัตรประจำวันของเธอซักหน่อย อีกอย่างเธอก็ดันรู้ความลับของเพื่อนฉันไปแล้ว จะให้ปล่อยเธอเดินไปไหนมาไหนมันก็ออกจะเสี่ยงไปหน่อยจริงไหม” อารันยิ้มบางที่มุมปาก ชื่อเฟียร์ที่เขาเรียกนั้นเป็นชื่อที่เขาตั้งใหม่ให้เธอเองเสร็จสรรพ ซึ่งมีที่มาจากชื่อเดิมของหญิงสาว โดยเอาคำหน้ามาย่นย่อให้ง่ายขึ้นต่อการเรียก
จากเฟียน่าเปลี่ยนเป็นเฟียร์
ความคิดอันล้ำเลิศที่เจ้าตัวคนคิดได้แต่หัวเราะชอบใจหลังจากตั้งเสร็จ
“บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกฉันด้วยชื่อแบบนั้น....” น้ำเสียงของเฟียน่ากดลงต่ำเสียจนน่ากลัว ทว่ามันกลับไร้ผลโดยสิ้นเชิงเมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่ฟังน้ำเสียงและท่าทางแบบนั้นมาตลอดหลายวัน
ใช่แล้ว เป็นเวลาหลายวัน
หลังจากพบกันครั้งแรกในห้องสมุดของวันแรก เฟียน่าคิดว่าเพื่อนร่วมชั้นคนนี้มักเข้ามาตีซี้กับเธอมากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่เธอเองก็คิดว่าไม่ใช่เรื่องที่ต้องใคร่ครวญขบคิดอะไรมากนัก เพราะการมีคนแบบอารันมาคุยกับเธอทุกวันก็ช่วยแก้เบื่อได้เป็นอย่างดี เนื่องจากแต่เดิมในหมู่เพื่อนผู้หญิงด้วยกัน คนที่ดูจะพูดจากับเธอรู้เรื่องก็มีแต่ซายากะ ทำให้การที่อารันเข้ามาแทรกแซงชีวิตประจำวันของเธอก็ใช่ว่าจะแย่ไปซะหมด
ถึงโดยรวมจะเป็นในลักษณะค่อนข้างปลงก็ตาม
จนมาวันหนึ่ง อยู่ๆอารันก็มาบอกความลับของโนอาห์ให้เธอฟัง ในเรื่องที่ว่าแท้จริงแล้วชายผู้นั้นมาจากอีกโลกหนึ่ง ซึ่งในตอนแรกเธอก็ไม่ได้เชื่อเสียทีเดียว ซ้ำยังหลงคิดไปด้วยอาจจะเป็นมุขใหม่ที่พ่อค้าคนนี้สรรหามาให้เธอปวดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่เมื่อสังเกตจากท่าทางที่จริงจังจนผิดสังเกต กับคำอธิบายที่ค่อนข้างเชื่อถือได้ เธอจึงเชื่อและยินดีที่จะร่วมมือกับอารันในการปกปิดสถานะของโนอาห์อีกแรง
ถ้าพวกโนอาห์เปรียบได้กับด้านสว่าง
ก้าวเดินของเฟียน่าก็เปรียบดั่งกับด้านมืดหรืออีกมุมหนึ่งของกระดาน
แน่นอนว่าเธอและอารันได้ร่วมกันขยับไปหลายก้าวแล้วด้วยกัน
“เอาเถอะน่า ก็ทำเป็นเหมือนฉันไม่มีตัวตนไปก็แล้วกัน” ชายหัวเขียวโบกมือหย็อยๆอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่ ในขณะที่เฟียน่าได้แต่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยให้กับข้ออ้างพิศดารของผู้ชายคนนี้
“เอาเถอะน่า ก็ทำเป็นเหมือนฉันไม่มีตัวตนไปก็แล้วกัน” ชายหัวเขียวโบกมือหย็อยๆอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่ ในขณะที่เฟียน่าได้แต่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยให้กับข้ออ้างพิศดารของผู้ชายคนนี้
“ถ้างั้นนายก็ช่วยออกไปจากตรงนี้ได้ซักที” เฟียน่าตอบกลับทันควัน
“ก็บอกแล้วไงว่าเพื่อจับตาดูเธอ” อารันยิ้มเล็กน้อย
“นั้นมันก็แค่ข้ออ้าง” หญิงสาวผมสั้นสีดำประบ่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นมัวอย่างเห็นได้ชัด สิ่งที่อารันกล่าวมาล้วนเป็นเหตุผลที่เขายกเพื่อที่จะได้เข้ามาสร้างความวุ่นวายให้กับชีวิตของเธอเล่นๆ
“แต่เรายังต้องทำงานร่วมกัน” อารันพยายามเฉไฉไปเรื่อย แม้ว่าใบหน้าจะเริ่มกระตุกๆเป็นจังหวะแล้วก็ตาม
“ฉันจำได้ว่านายบอกว่าจะให้ฉันทำงานตัวคนเดียว” เฟียน่ายังคงไม่ยอมลดราวาศอกง่ายๆ มือดันกรอบแว่นขึ้นเล็กน้อยแสดงท่าทีข่มขวัญฝ่ายตรงข้ามที่ตอนนี้กำลังถอนหายใจออกมาเบาๆ
“เอาเป็นว่ายกนี้ฉันแพ้” อารันยกมือป้อยๆไปมาแทนการยกธงขาว ที่ผ่านมาเมื่อซักครู่เป็นหนึ่งในกิจวัตรที่เขาและเธอมักทำกันเป็นประจำระหว่างที่นั่งอยู่ด้วยกัน ในคราวแรกมันก็แรกเริ่มมาจากการโต้คารมกันไปมาตามปกติ จนต่อมาได้กลายเป็นการแข่งขันชนิดหนึ่งซึ่งมีการเก็บแต้มแพ้ชนะอย่างเป็นทางการเสียตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบได้
ตามสถิติแล้ว เฟียน่าชนะสิบสี่ เสมอหนึ่ง แพ้สิบสาม
ในขณะที่อารันชนะสิบสาม เสมอหนึ่ง แพ้สิบสี่
เรียกได้ว่าเฟียน่าได้นำหน้าอารันไปอยู่หนึ่งก้าว
“เรื่องที่นายให้ฉันไปเตรียมการให้ เรียบร้อยแล้วนะ” เฟียน่าเปลี่ยนประเด็นในทันควัน หลังจากพบว่าเธอเป็นฝ่ายชนะในการโต้เถียงเมื่อซักครู่
“งั้นเหรอ คงใกล้มาถึงแล้วสินะ” อารันพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน มันจะดีกว่านี้มากถ้าสิ่งที่เขาคิดเอาไว้มันจะมีโอกาสของความเป็นไปได้มากกว่าค่าที่หามาได้ในปัจจุบัน
“เหลืออีกกี่วัน” เฟียน่าถามขึ้น แม้ว่าเธอจะรู้รายละเอียดของเรื่องราวไม่น้อยไปกว่าพวกโนอาห์ แต่เพราะการได้พูดคุยกับอารันมานาน ทำให้เธอรับรู้ได้ว่าชีวิตย่อมไม่มีความแน่นอนอีกต่อไปถ้าเรื่องที่ว่ามีความเกี่ยวข้องกับอารัน
หรือว่าบุรุษเจ้าของปัญหาทั้งหมดมวลนามว่าโนอาห์
ดังนั้นเวลามันอาจจะคลาดเคลื่อนผิดไปจากตอนแรกก็ย่อมที่จะเป็นไปได้
“ไม่เกินหกวัน” อารันกล่าวตอบหญิงสาวในทันที
เมื่อครั้งกาลก่อน ในสมัยที่แผ่นดินไอช่ายังเต็มไปด้วยศึกสงครามและการเข่นฆ่าล้างบางไม่แตกต่างไปจากซูหมิงเฉกเช่นวันนี้ สัตว์วิเศษ วีรชนผู้กล้า ทรราชย์ ยังคงอยู่กันเกลื่อนกล่านไปทั่วทุกตารางนิ้ว จนกระทั่งคนผู้หนึ่งได้ทำการรวบรวมแผ่นดินทั้งหมดให้เป็นปึกแผ่นอีกครั้ง คนที่ซึ่งก่อตั้งราชวงศ์คัลเดียและสถาปนาอาณาจักรอัลเทร่าให้รุ่งโรจน์จวบจนทุกวันนี้
ด้วยการช่วยเหลือของปวงชน
และความสามารถของวีรชน
นับแต่นั้นทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นระบบการปกครองที่อิงจากส่วนกลางซึ่งก็คือเมืองอัลเทร่าเป็นสำคัญ แต่ก็ไม่กดดันเจ้าเมืองต่างๆมากเกินไปจนก่อให้เกิดความไม่พอใจและก่อกบฏในเวลาต่อมา และส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือการสร้างความสงบสุขให้กับอาณาประชาราษฎร์โดยยึดหลักกฏหมายเป็นสำคัญ
ด้วยเหตุผลเช่นนี้แล้ว ผู้ปกครองสูงสุดย่อมมีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง
อันดับสองก็ต้องเป็นเหล่าข้าราชบริพารทั้งหลาย
ถ้าทแกล้วทหารกล้าเป็นดังคมดาบที่คอยโจมตีและโล่ที่คอยป้องกันอาณาจักรจากราชภัยภายนอก ขุนนางฝ่ายพลเรือนก็เปรียบดั่งผู้ธำรงไว้ซึ่งกฎหมาย คอยป้องกันบ้านเมืองจากภายในให้สงบร่มเย็น ดังนั้นจักรพรรดิองค์แรกแห่งอัลเทร่าเลยดำเนินการให้มีการประชุมขุนนางฝ่ายทหารและพลเรือนแทบทุกสัปดาห์
โดยเฉพาะในเวลาแบบนี้ประชุมทุกวันเลยก็ยังได้
ทุกคนต่างคิดเช่นนั้นแต่ไม่กล้าพูดออกมา
แต่ก็ใช่ว่าจะมีการประชุมขุนนางเป็นการฉุกเฉินในเวลาแบบนี้
พระราชวังคัลเดียอันใหญ่โตที่ปกติควรจะสงบเงียบเชียบ มาในตอนนี้ซึ่งเป็นช่วงเวลาเย็น กลับมีเสียงเร่งฝีเท้าของขุนนางคนสำคัญดังขึ้นเป็นจังหวะชวนให้ทหารรักษาการณ์ลอบหวั่นวิตกอยู่ในใจ มีไม่บ่อยนักที่เวลเบอร์แห่งสวานีเซียร์จะมีอาการเร่งรีบได้ถึงเพียงนั้น แม้ว่าจะไม่แสดงออกมาทางใบหน้าโดยตรงก็ตาม
ถึงอย่างไรพวกเขาก็ได้แต่เฝ้ามองอยู่ห่างๆ
จนกระทั่งขุนนางชั้นสูงผู้นั้นย่างก้าวเข้าท้องพระโรงในวังแห่งนี้
“ท่านไม่มีสิทธิ์อะไรมากล่าวอ้างเช่นนั้น เกลนดอน โดยเฉพาะยามที่ไม่มีหลักฐานเป็นรูปเป็นร่าง” เวลเบอร์ตอบกลับทันควัน
“ท่านก็อย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนกับงานใหญ่ ข้ารู้นะว่าลูกสาวของท่านเข้าเรียนในปีนี้ และดูเหมือนจะเป็นสหายคนสนิทของคนที่เรากำลังพูดถึงเสียด้วยสิ” เกลนดอนหัวเราะในลำคอเบาๆ
“แล้วถ้าว่ากันด้วยเรื่องของหลักฐาน มีหรือที่พวกเราจะไม่มี” วาจาสมอ้างที่ถึงกับทำให้เวลเบอร์ต้องหรี่ตามอง
แสดงว่าคนที่เห็นด้วยในตอนนี้ย่อมมีมากกว่าหนึ่ง
ความคิดเห็น