ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Miracle Earth พิภพปาฏิหาริย์ : ปฐมบทแห่งราชันย์

    ลำดับตอนที่ #48 : ตอนที่ 46 ลางบอกเหตุจากคนทำความสะอาด

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.73K
      96
      29 มี.ค. 64

                       “แสดงว่าคุณกวินรู้หรือคะว่าความจริงมันคืออะไรกันแน่” ซายากะที่นั่งเงียบมานานกล่าวขึ้นมาทันควัน  ริมฝีปากเหยียดตรงเหมือนกำลังกดดันชายตรงหน้า ซึ่งดูเหมือนจะเปล่าประโยชน์โดยสิ้นเชิง

     

                “ถ้ารู้ถึงขนาดนั้นฉันจะมาเป็นภารโรงอยู่แบบนี้ได้ไงล่ะจริงไหม ฮ่ะๆๆ” ชายผมดำแซมพูดกลั้วหัวเราะขึ้นอย่างอารมณ์ ทางด้านโนอาห์ที่รอฟังอะไรดีๆก็ได้แต่สบถออกมาเบาๆ ในขณะที่ซายากะชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะเบาๆอยู่เงียบๆ

     

                “อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ถึงตอนนั้นค่อยมาว่ากันอีกทีว่าจะทำยังไงต่อ บางทีวันพรุ่งนี้อาจจะมีข่าวดีอะไรบางอย่างส่งมาถึงที่นี้ก็ได้” กวินพูดต่อราวกับเป็นความหวังเฮือกสุดท้ายที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดในเวลานี้ โนอาห์เองมองในอีกมุมหนึ่งใช่ว่าจะเคลื่อนไหวอะไรได้มากเท่าไหร่ อีกทั้งสถานการณ์แบบนี้แค่เขาคนเดียวอาจจะเสี่ยงเกินไป

     

                ตัวเขาเสี่ยงคนเดียวยังไม่เท่าไหร่ ถ้าเกิดต้องดึงคนรอบข้างมาเสี่ยงด้วยเห็นทีจะขำไม่ออก

     

                หลังจากนั้นบทสนทนาก็ออกไปทางเรื่อยเปื่อยมากกว่าจริงจัง มีทั้งเรื่องราวระหว่างเรียนที่ส่วนมากซายากะเป็นคนพูดถึงถึงวีรกรรมของโนอาห์ ซึ่งมีไม่น้อยกว่าห้าวีรกรรมที่ถึงกับทำให้ภารโรงถือคันเบ็ดผู้นี้หัวเราะออกมาได้ ที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าคือโนอาห์ก็ดันหัวเราะกลมกลืนไปกับกวินด้วยซะอย่างนั้น รวมถึงถามสารทุกข์สุกดิบกันนิดหน่อย จนเวลาก็ได้ล่วงเลยผ่านไปตามลำดับ จวนเจียนใกล้จะถึงช่วงที่ห้ามให้นักเรียนออกมาข้างนอกหออยู่มะรอมมะร่อ

     

                “โนอาห์คะ...” ซายากะทักโนอาห์เบาๆ เพื่อที่จะเตือนเวลาคนตรงหน้าว่าต้องกลับเข้าหอได้แล้ว ช

     

                “อ๊ะ! ผ่านมานานถึงขนาดนี้แล้วเหรอเนี้ย แย่จังนะที่ได้เจอกันอีกทีก็ได้คุยกันแค่นิดเดียวเอง หวังว่าวันหลังจะได้เจอกันใหม่ อ้อ!...ถ้านายยังตกปลาแบบนี้ต่อไป อย่าหวังเลยว่าจะได้เหยื่อ ฉันขอเตือนด้วยความหวังดี” โนอาห์ลุกพรวดก้มหน้ามองยิ้มๆให้กับคันเบ็ดไร้เส้นเอ็นของกวิน แต่เจ้าตัวเอาแต่หัวเราะขำไม่สนใจคำพูดของเขาเลยซะนี่

     

                “ไว้เจอกันใหม่นะคะ” หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในบริเวณนั้นโค้งหัวกล่าวลาตามมารยาท

     

                “อื้ม เดินกลับหอระวังๆหน่อยล่ะ แล้วก็อย่าแอบไปที่ลับตาคนขึ้นมาเชียวล่ะ ฉันขี้เกียจต้องมาเป็นพยานในเรื่อ....” ไม่ทันที่กวินจะได้พูดจบประโยค ซายากะก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน

     

                “ฝันดีนะคะ!!” เธอก้มหัวอย่างร้อนรนเหมือนกำลังรีบร้อนใจกับอะไรบางอย่าง และไม่ทันที่โนอาห์จะได้เอ่ยถาม สาวเจ้าก็เดินจ้ำอ้าวไปไกลลิบนู่นแล้ว

     

                ผู้หญิงนี่เดินเร็วแบบนี้กันทุกคนเลยหรือไง

     

                “ก็....ตามนั้น ขอตัวก่อนนะ ขืนปล่อยยัยนั่นไปคนเดียวจะไปก่อเรื่องที่ไหนก็ไม่รู้” โนอาห์เกาหัวแกรกๆหันมาพูดกับกวินที่กำลังผงกหัวยิ้มๆไม่พูดอะไร โนอาห์เอ่ยคำอาลาอีกสองสามคนจึงรีบวิ่งตามซายากะไปทันที

     

                และในที่สุดโนอาห์ก็ไล่กวดซายากะทันจนได้

     

                โนอาห์คิดว่าด้านความเร็วซายากะดูเหมือนจะมากกว่าเซเรน่าซะอีก

     

                “คิดว่ายังไงบ้างคะ” เจ้าหล่อนเอ่ยถามขึ้นมาไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

     

                “แปลก....แปลกมาก” โนอาห์ที่รู้ว่าเธอกำลังพูดถึงอะไรก็ทวนเสียงขึ้นมาช้าๆ ภารโรงที่ชื่อกวินดูแปลกเกินไป แต่นั้นมันก็เป็นหัวข้อที่เขายอมรับได้เพราะว่าหลังจากใช้ชีวิตที่โรงเรียนนี้มาได้ซักระยะ ก็ทำให้คนต่างโลกผู้นี้ได้ทราบว่าโรงเรียนแห่งนี้แทบจะไม่มีคนปกติอาศัยอยู่เลย

     

                บางทีภารโรงธรรมดาๆอาจจะพิเศษกว่าปกติก็ได้ใครจะรู้

     

                “ตรงไหนเหรอคะที่ว่าแปลกน่ะ” หญิงสาวถามถึงความคิดเห็นของโนอาห์ ถึงแม้ว่าเธอเองจะพอมีข้อสันนิษฐานไว้ในใจอยู่บ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่กล้าฟันธงอะไรมากนัก

     

                “ฉันเดินมาแถวนี้บ่อย เลยรู้ดีเลยล่ะ....” โนอาห์พูดขึ้นพร้อมกับเดินไปข้างหน้าช้าๆ ซายากะเองที่ได้ยินประโยคนี้ออกจากปากชายหนุ่ม ก็ยินดีที่จะรับฟังอยู่เงียบๆไม่ขัดจังหวะแต่อย่างใด

     

                “บ่อน้ำนั้น มันมีปลาอยู่ซะที่ไหนกัน” โนอาห์รำพึงรำพันขึ้นมาเบาๆ

     

                และทั้งสองต่างก็เก็บงำความคิดของตนเอาไว้จนกระทั่งเดินถึงทางถึงหอโดยสวัสดิภาพ

     

     

                ดูเหมือนภารโรงของโรงเรียนอวาลอนนอกจากจะเป็นนักตกปลาได้แล้ว

     

                ยังสามารถเป็นนักพยากรณ์หรือหมอดูได้อีกต่างหาก

     

                โนอาห์คิดเช่นนั้นหลังจากทราบข่าวจากเซเรน่าเมื่อช่วงเช้าว่าในอีกไม่กี่วันทางราชสำนักจะส่งกองทัพใหญ่เคลื่อนพลไปดินแดนทางตอนเหนือ แต่สิ่งที่สร้างความตกตะลึงให้กับคนในห้องไม่ใช่ว่าเรื่องการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของทางไอช่า แต่เป็นคนที่จะได้บรรจุลงไปในกองทัพต่างหากที่ทำให้พวกเขาสนใจ

     

                รุ่นพี่ปีสามถึงปีสี่เกือบทั้งหมดถูกจัดไว้ในกองกำลังพิเศษจากทางโรงเรียนอวาลอนที่ได้รับการขอความช่วยเหลือมาเป็นพิเศษจากทางราชสำนัก โดยบรรดาอาจารย์ต่างพากันเห็นชอบเช่นเดียวกับสภานักเรียน ทำให้นอกจากจะมีรุ่นพี่ปีสามและปีสี่ที่ต้องติดสอยห้อยตามไปด้วยแล้ว ยังมีบรรดาอาจารย์บางส่วนต้องเดินทางไปพร้อมๆกันด้วย

     

                และที่น่าตกตะลึงคือการเคลื่อนพลครั้งนี้มีแม่ทัพมนตราถึงสองคนที่จะเป็นผู้บัญชาทัพในส่วนของกองกำลังทหาร แต่ทางด้านกองกำลังพิเศษจากทางโรงเรียนสิทธิ์ขาดจะไม่ขึ้นตรงกับทางส่วนกลางไม่ว่าจะในกรณีใดๆ นั้นหมายความว่ากองกำลังพิเศษนี้มีรุ่นพี่จากสภานักเรียนแทบทั้งหมดต้องพร้อมใจกันเดินทางไปพร้อมกัน ในตำแหน่งสำคัญเหลือไว้เพียงประธานของหอซูซาคุและเก็นบุเท่านั้นที่ยังคงประจำการอยู่ที่โรงเรียนเพื่อที่จะเป็นกำลังเสริมและรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

     

                เซเรน่าเล่าว่าเป็นเพราะการตัดสินใจของคนเพียงคนเดียว

     

                นั้นจึงหมายความว่าคาบเรียนบางคาบจะถูกปล่อยให้เป็นความว่าง แต่นั้นก็ไม่ทำให้พวกเขาดีใจแต่อย่างใดแม้จะว่าเป็นพวกติดเล่นมากกว่าติดเรียนอย่างพวกไรอันก็ตาม เพราะเมื่อใดที่โรงเรียนอวาลอนเริ่มมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ครั้งนี้ ย่อมเป็นลางบอกเหตุได้เป็นอย่างดีเหนือการทำนายใดๆของนักพยากรณ์ตามท้องถนนที่ช่วงนี้ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด

     

                ดินแดนแห่งนี้อาจจะไม่สงบอีกต่อไปแล้วก็เป็นได้

     

                เชื้อเพลิงได้ถูกเตรียมเอาไว้เรียบร้อย ขาดก็แค่ไฟเท่านั้น

     

                ไฟที่จะลุกไหม้ไปทั่วทั้งแผ่นดินไอช่า

     

                สงครามได้อุบัติขึ้นแล้ว

     

                      “พอพวกรุ่นพี่ไม่อยู่โรงเรียนนี้ก็เงียบเหงาเป็นบ้า”

     

              เสียงสบถจากปากของไรอันซึ่งคนที่รักสนุกเป็นอันดับต้นๆในชั้นปีลอยกระทบแว่วโสตประสาทของเพื่อนร่วมชั้นทุกคนในห้องนั่งเล่น นับตั้งแต่ตอนที่ทางเบื้องบนส่งกองทัพออกไปก็กินเวลาสามวันเข้าไปแล้ว แต่ข่าวคราวที่ได้รับมาจากแนวหน้าไม่มีอะไรมากไปกว่าความคืบหน้าในการเดินทาง

     

                และผลพวงที่ตามมาเห็นจะหนักสุดก็เป็นนักเรียนในโรงเรียนอวาลอน ปราสาทสีขาวที่เคยคึกคักพลันเงียบเหงาลงอย่างน่าประหลาดถึงจะมีใครบางคนพยายามทำให้มันมีสีสันก็ตาม นอกจากนี้เวลาเรียนยังถูกบั่นทอนลงเนื่องจากอาจารย์คนสำคัญหลายซึ่งแต่เดิมรับหน้าที่สอนวิชาต่างๆพากันยกโขยงออกไปแทบจะหมดโรงเรียน เหลือก็เพียงอาจารย์ประจำหอทั้งสี่และอาจารย์รุ่นเกือบจะปลดเกษียนอีกไม่กี่ท่านเท่านั้นที่ยังคงปักหลักอยู่ในโรงเรียน ทำให้ช่วงนี้พวกนักเรียนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่ในหอตัวเองมากกว่าห้องเรียนเสียอีก

     

                ไม่แปลกที่จะมีใครซักคนบ่นออกมา

     

                “ผมนึกว่าคนอย่างคุณจะชอบซะอีกนะครับ กับการที่ไม่ต้องมานั่งเรียนเนี้ย” นิกซ์ที่นั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลตอบกลับด้วยรอยยิ้มฝืนๆ เรียกเสียงหัวเราะจากคนรอบข้างได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว

     

                “บ๊ะ! ไอ้ไม่ต้องไปเข้าเรียนเกือบทั้งวันนี่จะว่าดีมันก็ดีอยู่หรอก แต่พอนานๆเข้าชักเริ่มเซ็งขึ้นมายังไงก็บอกไม่ถูก แล้วไม่ต้องทำหน้าเหมือนอ่านใจฉันได้เลยนะนิกซ์ บอกไว้ก่อนเลยว่าตราบใดที่นายยังเดาความคิดของเจ้าโนอาห์มันไม่ออก อย่าหวังเลยว่าจะมาเล่นกับฉัน” ไรอันพูดขึ้นด้วยเสียงที่เปี่ยมล้นซึ่งความมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง มีไม่กี่คนที่หัวเราะเบาๆไม่ให้คนพูดมากได้ยิน เนื่องจากคนพวกนี้รู้ๆกันดีว่าชายผมสองสีรายนี้เคยพลาดท่าให้กับชายผมดำมาแล้วหนึ่งครั้ง

     

                แล้วยังมีหน้ามาโมเมว่าตัวเองเหนือกว่า

     

                คงเป็นตลกจำอวดในสไตล์ของไรอันกระมัง

     

                “จะว่าไปพอพูดถึงโนอาห์ก็ดันนึกขึ้นมาได้ ช่วงนี้เจ้านั่นมันหายหัวไปไหนของมัน” เดรคที่กำลังนั่งเล่นหมากรุกกับราเชลหันมาถามเพื่อนๆในห้องก่อนที่จะหันหน้ากลับมามองกระดานด้วยความตื่นตระหนก เนื่องจากตอนนี้ควีนของตนถูกชายหน้าจืดตรงหน้ากินไปแล้วเรียบร้อย

     

                “นั่นน่ะสินิกซ์ ปกตินายตัวติดกับหมอนั่นแทบตลอดเวลาเลยไม่ใช่เหรอ แต่มาคิดๆดูอารันมันก็ไม่ค่อยโผล่หน้ามาช่วงนี้เหมือนกันนะ หรือว่า....” ไรอันทำตาเบิกกว้างด้วยความตกใจกับความคิดของตนเอง และมาด้วยเสียงหัวเราะของดรากูนที่เบรกอารมณ์ตกใจได้เป็นอย่างดี

     

                “จะอะไรซะอีกล่ะ ให้ตายสิ.....หมอนั่นมันมีดีอะไรนักนะถึงได้โชคดีเอาปานนั้น” ดรากูนพูดกลั้วหัวเราะ

     

                “เดี๋ยวหัดพูดจาอะไรสองแง่สองง่ามจังนะแกเนี้ย เฮ้ย!...แล้วว่าไง ไม่ต้องทำหน้าบอกบุญไม่รับอย่างนั้นก็ได้ ไหนบอกมาซิว่าตกลงแล้วเจ้าพวกนั้นมันหายไปไหน” ไรอันส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยหน่ายหลังจากพบว่าสหายของตนเริ่มจะติดนิสัยใครบางคนมากขึ้นทุก ก่อนที่จะหันไปหานิกซ์ซึ่งน่าจะไขข้องใจให้เขามากที่สุด

     

                “เรื่องนั้นมันก็...” นิกซ์ชะงักไปชั่วครู่นึกอยู่ในใจว่าจะพูดออกไปดีหรือไม่

     

                แต่แล้วเพียงพริบตาหลังจากนั้นเขาก็ตัดสินใจได้ในทันทีว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป

     

                เสียงเปิดประตูห้องนั่งดังขึ้นดึงดูดความสนใจของทุกคนในห้องให้หันไปมองผู้มาเยือนกลุ่มใหม่ได้อย่างไม่ยากเย็น อันประกอบไปด้วยหัวหน้าชั้นปีของพวกเขาที่ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ยังน่ารักเหมือนเดิม ตามมาด้วยบุรุษผู้อ้างตัวเป็นพ่อค้าแต่ดันใช้เวทมนตร์ได้ดีกว่าจอมเวทย์บางคนเสียอีก และสุดท้ายคนที่พวกเขาพูดถึงเมื่อซักครู่นี้ ชายที่ไม่มีอะไรนอกจากสร้างเสียงหัวเราะและปัญหาไปวันๆ

     

                โนอาห์คนเดิมเพิ่มเติมคือมันทำหน้าเหมือนวิ่งหนีอะไรมา

     

                “สวัสดีนะพวก! แต่ไหงทำหน้าเหมือนโดนผีหลอกกันหมดเลยล่ะ” โนอาห์กล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มแม้ว่าจะยังหอบอยู่เล็กน้อย

     

                “มัวแต่เล่นอยู่ได้ รู้บ้างไหมเนี้ยว่าเรื่องนี้มันสำคัญแค่ไหน รีบๆเดินไปได้แล้ว” เซเรน่าผลักโนอาห์จากข้างหลังให้เดินต่อจนเจ้าตัวได้แต่หันมายิ้มเจื่อนๆให้กับเพื่อนคนอื่นๆ และหันมายิ้มแยกเขี้ยวให้กับหญิงสาวที่อยู่ข้างหลัง

     

                ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็จำใจเดินทะลุห้องนั่งเล่นชั้นปีหนึ่งไปพร้อมกับทำปากขมุบขมิบ

     

                ทั้งห้องเหมือนกำลังตกอยู่ในมนต์สะกด ทุกคนนั่งนิ่งไม่พูดไม่จาราวกับว่าเป็นใบ้กันไปซะหมด ก่อนที่ใครบางคนจะได้สติและค่อยๆถามอารันที่ยังคงยืนยิ้มอยู่แถวๆนั้น จงใจเดินให้ช้าลงเหมือนกำลังรอให้ใครซักคนถามอยู่

     

                “อารัน เมื่อกี้นี้...” เดรคเผยอปากถามขึ้นช้าๆ ดวงตายังคงจับจ้องไปในทิศทางที่โนอาห์และเซเรน่าเดินผ่านไป

     

                “พอดีว่ามาทำหน้าที่ธุรการนิดหน่อยน่ะ” ชายผมเขียวกล่าวยิ้มๆอย่างอมภูมิ จนนิกซ์ที่นั่งเงียบอยู่นานเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นมาแทน

     

                “พวกรุ่นพี่ส่วนมากไม่อยู่ งานบางส่วนมันก็ขาดคนดูแลจนต้องดึงพวกปีหนึ่งปีสองไปช่วยนั้นแหละครับ แล้วทีนี้พวกผมก็ช่วยงานคุณเซเรน่าออกบ่อยอยู่แล้ว เลยไม่มีปัญหาอะไร เอาเป็นว่าคนที่หายหน้าหายตาไปในช่วงนี้แทบทั้งหมดก็มาช่วยงานที่สภานักเรียนกันหมดนั้นแหละครับ” นิกซ์อธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หลายๆคนที่ฟังอยู่ก็พยักหน้าหงึกๆคล้อยตามว่าเริ่มเข้าใจบ้างแล้ว

     

                พอมานึกๆดูแล้วคนที่หายตัวไปในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ก็ไม่ใช่แค่โนอาห์กับอารัน ยังมีเลชานกับไอล์ที่ไม่รู้ไปมุดอยู่ที่ไหน จนมาตอนนี้ก็เริ่มรู้แล้วว่าสองคนนั้นคงเป็นหนึ่งในบุคคลที่ได้รับเลือกให้ไปช่วยงานแทนพวกตนซึ่งดูยังไงก็ไม่น่าทำได้ แล้วเผลอๆอาจจะรวมถึงพวกสาวๆทั้งหมดที่ปกติก็เจอหน้าค่าตากันไม่ค่อยบ่อยนัก จนช่วงหลังมานี้แทบจะไม่ได้เจอเลยซักคนเดียว

     

                “แล้วทำไมนายยังมานั่งอยู่กับพวกฉันล่ะนิกซ์ ไม่ใช่ว่าต้องไปกับเจ้าพวกนั้นหรอกเหรอ” ราเชลเลิกคิ้วถามขึ้น แต่คนที่ตอบกลับเป็นอารันแทนเจ้าตัวซึ่งกำลังจะง้างปากเตรียมตอบอยู่รำไร

     

                “มีเหตุขัดข้องบางอย่างน่ะนะ อ้อ! เดี๋ยวนายตามพวกฉันมาด้วยล่ะ พอดีว่าต้องใช้คนเพิ่ม” อารันพูดขึ้นยืนอยู่ที่เดิมไม่เดินจากไปไหน จนดูเหมือนจะลืมธุระสำคัญที่ทำให้เจ้าตัวต้องมาที่นี้ไปซะแล้ว

     

                ไรอันนิ่งเงียบซักพักหลังจากเข้าใจแล้วว่าทำไมดรากูนมันถึงพูดแบบนั้น

     

                ถึงเจ้าตัวจะทำหน้าเหมือนผ่านสมรภูมิมาก็ตามที

     

                “งั้นเอาเป็นว่าข้ามหัวข้อนี้กันไปก่อน นายได้ทำงานกับสภานักเรียนทั้งที รู้ข่าวคราวอะไรจากแนวหน้าบ้างหรือเปล่า” เดรคถามเสียงเครียด ถึงเรื่องเมื่อซักครู่จะควรค่าพอแก่การนำเป็นหัวข้อสำคัญสำหรับการนินทาเพื่อนฝูง แต่ตอนนี้สถานการณ์ทางตอนเหนือนั้นสำคัญกว่ามาก อีกทั้งข่าวสารที่พวกเขาพอจะหามาได้เองก็ไม่ค่อยจะได้เรื่องได้ราวอะไรเท่าไหร่ สอบถามโดยตรงจากคนที่น่าจะรู้เรื่องเห็นทีจะได้เรื่องกว่า

     

                แล้วมันก็ได้เรื่องจริงๆ

     

                “ในตอนนี้มีการประทะกันบ้างประปรายแล้ว แต่ยังไม่ถือว่าเป็นศึกใหญ่อะไรมาก” อารันตอบกลับไปในทันที

     

                “เดี๋ยวนะ ไม่ใช่ว่าตอนนี้กองทัพที่ส่งไปยังเดินทางไม่ถึงไม่ใช่เหรอ แล้วแบบนี้จะไปมีการปะทะได้ยังไง...หรือว่า!!”  เดรคแย้งขึ้นมาตามข้อมูลที่ตนมี ก่อนที่จะทำหน้าเหมือนนึกอะไรบางอย่างออกแล้วตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจ

     

                “ใช่แล้ว นั้นมันก็แค่ข่าวลวง คงไม่มีแม่ทัพคนไหนปล่อยข่าวจริงๆออกไปหรอกนะ บางทีกลลวงแบบนี้ก็ได้ผลเป็นอย่างดีเหมือนกัน ถ้าดูจากที่เกิดการปะทะขึ้นบ้างแล้ว” ชายหัวเขียวพูดยิ้มๆ หวนนึกในใจว่าบางทีข่าวสารที่ทางพวกตนได้รับมาอาจจะมีสิทธิ์เป็นข่าวลวงได้เหมือนกัน

     

                “ถ้างั้นสถานการณ์โดยรวมล่ะเป็นยังไง” ราเชลถามขึ้นมาบ้าง ถึงแม้ว่าจะมีการปะทะแต่ใช่ว่าจะตัดสินผลชี้ขาดอะไรได้มากมาย อีกทั้งฟังจากน้ำเสียงของพ่อค้าที่ผันตัวมาเป็นจอมเวทย์ตรงหน้าก็แทบจะเดาได้ว่ามันยังมีอะไรซ่อนอยู่อีก

     

                อารันถอนหายใจเบาๆหลังจากได้ยินประโยคนั้น พร้อมกับยิ้มเจื่อนไม่ตอบคำถามของราเชลแต่อย่างใด แต่คนที่สนิทกับอารันมานานต่างพากันรู้ดีว่ายามใดที่ชายคนนี้ไม่พูดเอาแต่ยิ้ม และโดยเฉพาะรอยยิ้มที่ดูแสร้งทำแบบนี้แล้ว

     

                มันต้องไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน

     

                

     

     

       ดีหรือร้ายใครเล่าจะตัดสินได้

     

              นอกเสียจากคนที่อยู่ในเหตุการณ์เอง

     

                บริเวณที่ราบแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของไอช่าด้านตะวันตกที่ไม่มีหิมะปกคลุมเหมือนอย่างเช่นทางตะวันออก มีกระโจมเรียงรายนับร้อยนับพันถูกสร้างขึ้นจนแทบจะแออัด ผู้คนจำนวนมากทั้งสวมเสื้อเกราะอย่างดีและไม่สวมเสื้อเกราะเดินกันขวักไขว่เหมือนกำลังลาดตระเวนในค่าย เสียงดังเป็นระยะๆมาจากการถ่ายทอดข่าวสารหรือออกคำสั่งให้กับคนในบังคับบัญชา

     

                ที่นี้ค่ายใหญ่สำหรับตั้งทัพหลวงจากมหานครมนตราซึ่งถูกจัดตั้งขึ้นมาสดๆร้อนๆ

     

                ทันทีที่มาถึงชายแดนทางตอนเหนือ แม่ทัพนายกองมีบัญชาลงให้ตั้งค่ายในบริเวณนี้รวมถึงจัดทัพออกไปลาดตระเวนและหาข่าวคราวเบื้องต้น นายทหารระดับสูงส่วนหนึ่งแยกย้ายกันไปตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ในขณะที่อีกส่วนก็มารวมตัวกันอยู่ในกระโจมเช่นเดียวกับบุคลากรของโรงเรียนอวาลอนหลายคนที่ได้รับสิทธิพิเศษให้มาเข้าร่วมวางแผนหารือในกระโจมแห่งนี้เช่นเดียวกับนายทหารระดับสูง

     

                “จากตรงนี้ไปดูเหมือนว่าจะเป็นอาณาเขตของฝ่ายศัตรู ไม่ทราบว่าทางเราจะทำยังไงต่อดี” แม่ทัพวัยกลางคนในเสื้อเกราะชั้นดีเอ่ยขึ้นหลังจากจ้องมองแผนที่ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะกลางกระโจมได้ซักพัก

     

                “เราจะปักหลักอยู่ที่นี่จนกว่าเสบียงจะมาถึง” เสียงแหลมเล็กเหมือนเสียงของเด็กดังขึ้นจากบริเวณหัวโต๊ะ ซึ่งถ้าหันไปมองจะพบกับเด็กอายุราวสิบสองถึงสิบสามปียืนอยู่พลางกวาดสายตาไปบนแผนที่พร้อมกับหาวหวอดๆเป็นระยะๆ เด็กคนนั้นมีนัยต์ตาสีม่วงสดใสรับกับเรือนผมสีเดียวกันที่ยาวถึงบ่าจนดูไม่เหมือนเด็ก เสื้อผ้าที่ใส่ชี้ชัดได้เป็นอย่างดีว่าไม่ใช่คนธรรมดา รวมถึงเข็มกลัดตราราชวงศ์คัลเดียที่ปักอยู่บนขอบเสื้อก็ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเด็กคนนี้ก็เป็นทหารเช่นเดียวกับคนอื่นๆในกระโจมแห่งนี้

     

                “เมื่อซักครู่เราได้รับรายงานมาว่ากองลาดตระเวนที่เจ็ดได้ปะทะกับข้าศึก....” นายทหารระดับสูงอีกคนในห้องกล่าวขึ้น แต่ไม่ทันจะจบประโยคก็โดนขัดขึ้นเสียก่อน

     

                “พวกท่านไม่ต้องกังวลไป มีคนๆหนึ่งอาสาออกไปจัดการแทนแล้วเรียบร้อย ถ้าโชคดีเราอาจจับเชลยมาได้ซักคนสองคน” เสียงเล็กๆจากเด็กคนเดิมดังขึ้นอีกครั้ง แววตาสีม่วงส่องประกายวาววับราวกับเด็กเจอของเล่นที่ถูกใจ

     

                “หน่วยลาดตระเวนที่สองรายงานมาเมื่อไม่นานมานี้ว่าตรวจพบเวทเขตแดน จากรายงานเบื้องต้นไม่มีทหารคนใดที่สามารถผ่านเขตแดนนั้นไปได้” ชายชราคนหนึ่งในกระโจมเอ่ยขึ้นมา

     

                “เขตแดนนั้นข้าว่าคงเป็นสาเหตุที่ทำให้อาณาเขตทางตอนเหนือของเราถูกตัดขาดจากโลกภายนอก เห็นทีพวกเราจะมาถึงทางตัน” นายทัพอีกคนถอนหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน

     

                แต่แล้วเสียงตอบรับกลับเป็นเสียงหัวเราะจากเด็กชายที่อยู่หัวโต๊ะ สร้างความตื่นตระหนกใจให้กับแม่ทัพในกระโจมไม่น้อยว่าเหตุใดคนๆนี้ถึงได้หัวเราะออกมาได้ ก่อนที่คนจากทางโรงเรียนอวาลอนซึ่งได้มอบหมายให้มาร่วมประชุมครั้งนี้ในฐานะตัวแทนกลับพูดกลั้วหัวเราะขึ้นมาเบาๆไม่ได้มีสีหน้าเคร่งเครียดเช่นเดียวกับนายทหารคนอื่นๆ

     

                ตัวแทนที่มีนามว่า เซโน่ ออราเคิล

     

                “ดูท่าว่าพวกท่านทั้งหลายจะจับดาบกันนานเกินไปจนลืมแล้วว่าพวกเราต้องตามพวกท่านมาถึงนี่ ใช่ไหม....ท่านราฟ แม่ทัพมนตราคนลำดับที่สี่ของอาณาจักรอัลเทร่า” เซโน่แย้มรอยยิ้มเน้นหนักที่ประโยคสุดท้ายเป็นพิเศษ ทำให้คนที่กำลังถูกเรียกหันมามองที่เขาก่อนจะฉีกยิ้มกว้างเหมือนเด็กทั่วไป

     

                จากปากคำของทหารที่เฝ้าอยู่หน้ากระโจมได้ให้การเป็นเสียงเดียวกันว่า

     

                นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาการประชุมครั้งนี้ก็มีแต่เสียงหัวเราะของคนคนสองคนดังลั่นไปทั่วทั้งบริเวณ

     

     

     

     โนอาห์ได้ฟังเช่นนั้นเป็นต้องหรี่ตามอง ในเมื่อพวกนางตั้งใจปิดบังตัวตนเขาก็ไม่ว่าอะไร ดูจากกิริยาท่าทางต่อให้มาจากทวีปอีเดนจริง ฐานะของเมเดียที่นั่นคงไม่ธรรมดา ในส่วนของเซเรียนอสนั้น เขาจำไม่ผิดว่าเคยมีข่าวที่มีปิศาจตนหนึ่งปรากฏตัวในทวีปอีเดน คาดว่าคงเป็นเจ้านี่ไม่ผิดแน่

                “พวกผมเป็นนักเรียนของโรงเรียนอวาลอน แน่นอนว่าที่มาที่นี่ก็เพราะต้องการช่วยเพื่อนคนหนึ่งที่เดินทางมาที่นี่ก่อน” โนอาห์เล่ารวบรัดตัดตอน 

                เซเรียนอสเอ่ยขัดคอในทันที “การโจมตีเมืองยามาไทพึ่งผ่านไปเพียงวันเดียว ต่อให้เจ้ามาจากเมืองอัลเทร่าก็ย่อมต้องกินเวลาไปหลายวัน ดังนั้นการที่พวกเจ้าปรากฏตัวได้เร็วเช่นนี้....ฮึ น่าสนใจไม่น้อยเลยจริงๆ”

                เซเรียนอสพอจะคาดเดาได้ไม่ยากว่าพวกโนอาห์ต้องอาศัยเวทมนตร์ในการเดินทางอย่างแน่นอน แต่ดูๆไปแล้วเซเรน่าก็ไม่น่าจะเก่งกาจถึงเพียงนี้ ในส่วนของโนอาห์ มนุษย์คนนี้ร้ายกาจก็จริง แต่แนวทางของเขากลับไม่ใช่จอมเวทไปเสียทีเดียว ดังนั้นจึงตัดทิ้งไปโดยปริยาย 

                นั่นย่อมหมายความว่าต้องมีคนอื่นอยู่อีก เพียงแต่พลัดหลงกันก็เท่านั้น

                “แล้วเช่นนั้น...เจ้ามั่นใจกี่ส่วนว่าเพื่อนของเจ้าจะมาถึงเมืองนี้แล้ว?” เมเดียถามด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก 

                เซเรน่าตอบอย่างมั่นใจ “เพื่อนของพวกเราเป็นคน..เอ่อ ค่อนข้างสำคัญในยามาไท เลยมีใบวาร์ปกลับเมืองเป็นกรณีพิเศษติดตัวไว้น่ะค่ะ แต่ก็...”

                ที่เธอหยุดพูดเพราะไม่อยากจะนึกต่อ ใบวาร์ปที่เซเรน่ากล่าวถึงมีมูลค่าสูงเพียงใดไม่ต้องบอกก็รู้ แต่ในตอนนี้ด้วยสภาวการณ์ที่ไม่ปกติของยามาไทก็ดี ทำให้เป็นไปได้มากว่าเวทมนตร์เคลื่อนย้ายอาจจะเกิดการขัดข้องขึ้นมาได้

                ขนาดเวทมนตร์ของคุณบาฮามุทยังเป็นซะอีแบบนี้เลยนี่!!

                “น้ำใจของพวกเจ้าช่างยิ่งใหญ่นัก” เมเดียเอ่ยชมจากใจจริง “แต่ว่าตอนนี้ที่นี่ออกจะไม่ปกติอยู่บ้าง ถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมาจะทำเยี่ยงไรเล่า”

                ประโยคหลังของเมเดียไม่ได้หมายถึงโนอาห์โดยตรง แต่ต้องการสื่อถึงสถานการณ์ในภาพรวม ด้วยความสามารถของโนอาห์นางไม่มีข้อกังขาแต่อย่างใด น้อยคนนักที่สามารถต่อกรกับเซเรียนอสได้อย่างสูสี แม้จะเป็นตัวเขาในสภาพที่ไม่สมบูรณ์ก็เถอะ 

                โนอาห์กับเซเรน่าใช่ว่าจะฟังความนัยนั้นไม่ออก

                “ถ้าเป็นผู้หญิงก๋ากั่นคนนี้คนเดียวล่ะก็ใช่ แต่ถ้าผมอยู่ด้วยก็คงพอจะทำอะไรได้ล่ะมั้ง” โนอาห์ตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจเป็นอย่าง ทำเอาเซเรน่าถลึงตามองจนแทบกินเลือดกินเนื้อเขาอยู่แล้ว

                “ที่สำคัญ....ประโยคนี้ผมต้องถามพวกคุณมากกว่า ว่าทำไมถึงวิ่งแจ้นมาที่ไอช่าเพียงเพราะเรื่องนี้ ออกจะใจบุญสุนทานไปมากเกินไปนะ”

                โนอาห์ถามได้จี้ตรงจุดยิ่งนัก แต่เมเดียเพียงระบายยิ้มถอนหายใจออกมา ในขณะที่เซเรียนอสเลิกคิ้วสนใจไม่น้อย หากไม่นับมนุษย์ผู้นี้ที่ทำเขาต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ เจ้านี่ออกจะกวนประสาทผู้คนได้ยิ่งหย่อนไม่แพ้จอมปราชญ์ผู้นั้นเลย

                “พวกเจ้าคงพอจะรู้แล้วใช่หรือไม่ว่าเหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในโลกตอนนี้ มีอะไรบางอย่างที่ไม่ปกติ?” เมเดียเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจังเป็นอย่างยิ่ง

                โนอาห์ตอบกลับทันควัน “ตอนนี้คิดได้แค่ว่ามีไอ้บ้าบางตัวมันคงหวังครองโลก เลยสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายโน่นนี่ไปทั่วไม่หยุดไม่หย่อน” แต่แล้วชั่วพริบตาต่อมาเจ้าตัวก็ปรับสีหน้าและน้ำเสียงมาจริงจังราวกับว่านี่คือสิ่งที่เขาจะสื่อจริงๆ

                “แต่การลงมือของเจ้าพวกนี้มีข้อสงสัยอยู่หลายจุด ที่ยามาไทนี่ยังไม่ต้องพูดถึง มันต้องโง่เง่าถึงขนาดไหนจึงกล้าลงมือโจมตีหัวใจของทวีปไอช่าในสภาพที่พร้อมรบสุดๆแบบนี้ จริงอยู่ที่การตัดทอนกำลังคนจะได้ผลในช่วงแรก แต่ตัวการมันคงไม่คิดหรอกนะว่าแค่นี้จะทำให้ปฏิบัติการใหญ่ของมันสำเร็จน่ะ”

                เมเดียเอ่ยต่ออย่างรู้ทัน “เช่นนั้นเจ้ากำลังจะหมายความว่า...ทั้งการโจมตีที่เมืองอัลเทร่าและเมืองยามาไทในตอนนี้ ไม่ใช่เป้าหมายจริงๆงั้นสิ?”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×