ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Miracle Earth พิภพปาฏิหาริย์ : ปฐมบทแห่งราชันย์

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1 ยอดยุทธ์จากต่างโลก(Rewrite)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 27.12K
      700
      26 ธ.ค. 63

     

                ไม่นานก่อนหน้านี้ ในโลกอีกใบอันกว้างใหญ่ ใจกลางพงไพรที่ปกติควรจะเงียบสงัด อย่างมากก็แค่มีเสียงนกร้องยามบินผ่านหรือเสียงแมลงตัวเล็กตัวน้อย แต่ในวันนี้กลับมีเสียงกระทบพื้นหญ้าดังสวบสาบ ภาพการไล่ล่าปรากฏให้เห็นในสถานที่ที่ไม่ควรจะมีการปะทะเกิดขึ้น

              ฝ่ายผู้ไล่ตามมีจำนวนราวๆเจ็ดถึงแปดคน แต่ละคนร่างกายสูงใหญ่ สวมอาภรณ์ชั้นเลิศที่ทอจากผ้าไหมชั้นดี สีหน้าแต่ละคนจริงจังสุดประมาณจนไม่รู้จะจริงจังกว่านี้ได้อีกหรือไม่ พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นถึงยอดฝีมือในระดับที่ไม่ต่ำต้อยของยุทธภพ สังเกตได้จากเสียงฝ่าเท้าที่เงียบเสียจนไม่ได้ยิน แสดงให้เห็นถึงวิชาตัวเบาอันสูงส่งของคนกลุ่มนั้นได้เป็นอย่างดี

                เพียงแต่ต่อให้พวกเขาจะเร่งฝีเท้าขึ้นมากเพียงไร ก็ไม่ได้เฉียดกรายเข้าใกล้คนที่โจนทะยานอยู่ด้านหน้าเลยแม้แต่น้อย หากวิชาตัวเบาของฝ่ายผู้ไล่ล่าแทบจะไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า วิชาตัวเบาของบุรุษที่เป็นฝ่ายถูกไล่ตามก็คือเท้าแทบไม่ได้แตะพื้นเสียด้วยซ้ำ

                คนผู้นั้นเป็นชายหนุ่มรูปร่างสันทัด อายุอานามไม่เกินเลขยี่สิบปี แต่วิชาตัวเบาหรือท่าเท้าที่เขาใช้ออกมาในตอนนี้กลับโดดเด่นสวนทางกับอายุ เสื้อผ้าสีฟ้าที่สามารถพบเห็นได้ทั่วตามท้องถนน ทว่าเมื่อสวมอยู่บนตัวของเขาแล้ว น้อยคนนักที่จะกล้าพูดว่าด้อยราคา

                “พวกพี่ชายทั้งหลาย! ข้าว่าพวกท่านอย่าเสียเวลาไล่ตามข้าอีกเลย ถือซะว่าให้เลิกแล้วต่อกันจะได้หรือไม่!!” ชายหนุ่มตะโกนโดยไม่หันมามองด้านหลัง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง นัยต์ตาสีดำสนิทราวกับความมืดมิดยามราตรี ใบหน้าถือได้ว่าหล่อเหลาไม่แพ้ใคร เมื่อประกอบกับสีหน้าท่าทางที่แสดงออกถึงความขี้เล่นของเจ้าตัวแล้ว ต่อให้โยนไปกลางตลาดก็ยังเป็นที่สะดุดตา

                หรือแม้แต่โยนไปท่ามกลางผู้ฝึกวรยุทธ์ก็นับว่าเป็นมังกรเหนือผู้คน!!

                ผู้ฝึกวรยุทธ์หรือเรียกสั้นๆง่ายๆในยุคสมัยนี้ว่าจอมยุทธ์ คนกลุ่มหนึ่งที่ฝึกฝนวิชาพิศดารยากจะทำความเข้าใจได้เพียงผิวเผิน ไม่มีระบุไว้แน่ชัดว่าวิทยายุทธ์เหล่านี้มีต้นกำเนิดมาจากแหล่งใด หรือผู้ใดเป็นคนต้นคิดขึ้นมา รู้แค่ว่าพอนานวันเข้าวรยุทธ์ก็ได้หลอมรวมแทบจะเป็นส่วนหนึ่งกับสังคม สำนักมากมายผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดแทบจะทุกหัวมุมในแผ่นดิน ยอดฝีมือมีชื่อสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองจนสะท้านไปทั้งใต้หล้า วรยุทธ์มีค่าดึงดูดให้ผู้แสวงโชคไปเสาะแสวงหา เรื่องราวเหล่านี้แต่งเติมให้ยุทธภพมีสีสันขึ้นไม่น้อย

                และทั้งชายที่ถูกไล่ล่าและกลุ่มคนที่ตามล่าล้วนแล้วแต่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ด้วยกันทั้งสิ้น

                “เจ้าลูกเต่าบัดซบ!! บังอาจขโมยสมบัติประจำประจำตระกูลของข้าแล้วยังมีหน้ามาเล่นลิ้น วันนี้ถ้าข้าลบชื่อของเจ้าออกไปจากยุทธภพไม่ได้อย่าเรียกข้าว่าคน ชิวหลง!!” ชายวัยกลางคนที่เหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มตะโกนกลับมาด้วยลมปราณ ใบหน้าโกรธเกรี้ยวจนเปลี่ยนสี ภายในใจคิดแต่ว่าจะต้องจับชายที่ชื่อชิวหลงมาฉีกเป็นชิ้นๆให้จงได้

                แต่เขาเองก็ไม่ใช่คนโง่ แม้ในยามที่โทสะเข้าครอบงำจิตใจถึงขีดสุด สติปัญญาอันพึงมีก็ยังคงอยู่เหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยนไปไหน เขาขยับมือส่งสัญญาณให้แยกออกเป็นสามกลุ่ม จุดประสงค์มีเพียงหนึ่งคือล้อมกรอบชิวหลงไม่ให้หลบหนีไปไหนได้อีก

                น่าเสียดายที่ชิวหลงเหมือนมีตาหลัง เขารู้เห็นทุกการกระทำของฝ่ายที่ไล่ตามมา แต่กลับไม่มีทีท่าจะไปขัดขวาง ในทางตรงกันข้ามยิ่งอยากให้คนพวกนั้นเข้ามาหาเขาไวๆด้วยซ้ำ

                มัดรวมทุกปัญหาแล้วจัดการแก้ไขในคราวเดียว เป็นปรัชญาที่เขายึดมั่นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว!!

                ความปรารถนาของทั้งสองฝ่ายในที่สุดก็เป็นจริง ชิวหลงโดนล้อมจากทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ทุกอย่างราวกับจะเป็นไปตามที่ชายวัยกลางคนคาดการณ์เอาไว้ แต่สีหน้าของเขาหาได้มีร่องรอยของความดีใจ นั่นเพราะว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงกลางไม่ใช่บุคคลสามัญที่อาศัยจำนวนคนเข้าข่มก็จะพลิกเป็นฝ่ายได้เปรียบ

                “สกุลหลางของท่านตกต่ำถึงขนาดต้องใช้คนมากกลุ้มรุมคนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ข้าว่าถ้ายุทธภพได้ยินเรื่องนี้เข้า เกียรติประวัติอันยาวนานที่ของพวกท่านมิต้องกลายเป็นเถ้าถ่านหรอกหรือ?” ชิวหลงสอดส่ายสายตาไปมาอย่างซุกซน ดูๆไปแล้วกลับไม่เหมือนคนที่กำลังตกอยู่ในวงล้อมเลยซักนิด

                หากแต่เป็นคนที่สามารถออกไปจากตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ย่อมได้

                “ฮึ! คนอย่างเจ้าถ้าไม่ใช่ยอดฝีมือที่ข้าคัดมา มีหรือจะไล่ตามเจ้ามาได้ถึงเพียงนี้ หยุดพูดมากแล้วรีบมอบคัมภีร์คืนมาซะ บางทีข้าอาจจะปล่อยให้เจ้าได้มีลมหายใจต่อไป” ผู้นำสกุลหลางตอบกลับทันควัน ชายหนุ่มตรงหน้าฝีมือไม่ได้อยู่ในระดับชนชั้นสามัญหรือกระทั่งยอดฝีมือทั่วไป แม้ในตอนที่กำลังสนทนากันอยู่เขาก็ยังลอบโคจรพลังวัตรอยู่ตลอดเวลา

                ยอดฝีมือในยุทธภพมีมากมายพอๆกับใบหน้าในป่าใหญ่ บ้างมาจากสำนักมีชื่อ บ้างอาศัยตัวคนเดียวสะท้านใต้หล้า ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเมื่อมียอดฝีมือมากๆเข้า ในที่สุดจึงได้มีการจัดเรียงรายชื่อกันเองในหมู่ชาวยุทธ์ คนกลุ่มนี้มีชื่อเรียกรวมๆว่าเจ็ดยอดฝีมือ หรือก็คือยอดฝีมืออันเป็นที่ยอมรับแห่งยุคสมัย

                ในบรรดาเจ็ดยอดฝีมือน่าแปลกที่มีแค่สายน้ำพิสุทธ์ ลู่ชิง กับราชันยาจก เจิ้งไฉ เท่านั้นที่มาจากสำนักหรือกลุ่มขั้วอำนาจในยุทธภพ ส่วนคนที่เหลือล้วนเป็นยอดฝีมือโดดเดี่ยวไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร แต่อันที่จริงแล้วต้องบอกว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่อยากมีข้อผูกมัดด้วยเหตุผลบางประการจะถูกเสียกว่า

                ยอดฝีมือทั้งเจ็ดเรื่องความสามารถล้วนเป็นที่ยอมรับ ซึ่งประกอบไปด้วย ลู่ชิง สายน้ำพิสุทธ์ เจิ้งไฉ ราชันยาจก หลิ่งเหวิน เซียนดาวตก ซีหมอหวัง มือวิเศษคืนชีวิต ชิงเซียว ดรุณีหิมะ หลางเฉิน หมาป่าราตรี และสุดท้าย จอมปราชญ์ หลี่เจิ้งหมิน

                ทว่านอกเหนือจากยอดฝีมือแห่งยุคทั้งเจ็ดคนที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ก็ใช่ว่ามองไปทั่วหล้าจะไม่เจอผู้มากความสามารถคนอื่นๆอีก และชิวหลงเองก็เป็นหนึ่งในคนจำพวกนั้น ที่สำคัญยังพิเศษกว่าใครจนแทบจะทัดเทียมกับเจ็ดยอดฝีมือ ว่ากันว่าถ้าเจ้าตัวไม่ใช่คนเหลวไหลรักสนุกไปวันๆ บางทีอันดับยอดฝีมือยุทธภพอาจจะต้องถึงคราวสับเปลี่ยนอีกครั้ง

                แต่ถ้าพูดถึงเรื่องวรยุทธ์แล้ว ชิวหลงไม่นับว่าเป็นหนึ่งในใต้หล้า หรือถ้าเรื่องสติปัญญาก็ไม่ใช่เช่นเดียวกัน แต่กระนั้นยุทธภพก็พร้อมใจกันตั้งฉายาเมฆาพิสดารให้เขา เพราะชิวหลงเปรียบเหมือนก้อนเมฆที่ลอยไปไหนมาไหนได้ทุกแห่งหน หรือกระทั่งสามารถพบเจอได้ทุกที่เหมือนเป็นเรื่องธรรมชาติ ที่เหนือล้ำกว่าสิ่งอื่นใดก็คือการกระทำของเจ้าตัวที่ยากจะคาดเดาได้ แต่ภายใต้ความบ้าบิ่นนั้นกลับมีกลอุบายอันแยบยลซ่อนไว้อยู่

                หรือก็คือคนผู้นี้เป็นหนึ่งในบุคคลที่ไม่สมควรไปตอแยมากที่สุดก็ว่าได้...

                “ข้ากลับเห็นว่าพวกท่านนั้นเป็นฝ่ายผิด สมบัติประจำตระกูลแท้ๆแต่กลับรักษาไว้ไม่ได้ แล้วแบบนี้จะมากล่าวโทษข้าได้อย่างไร” ชิวหลงแบมือ สีหน้าเหมือนเป็นเจ้าทุกข์มากกว่าผู้กระทำความผิด เหตุผลไร้สาระขนาดนี้ยกยังยกมาได้ ทอดมองไปทั่วแผ่นดินคงมีแค่เขาเพียงผู้เดียว

                ผู้นำสกุลหลางเห็นบรรยากาศการสนทนาเริ่มจะหาความจริงจังไม่ได้ก็เริ่มสุดจะทานทน เขาเองก็หาใช่เด็กหัดเดินหรือมือใหม่ที่พึ่งมาโลดแล่นในยุทธภพ เรื่องราวเฉียดตายหรือเจอมาก็มาก หากพูดคุยกันดีๆแล้วยังไม่ได้ผล ก็คงจะต้องลงเอยด้วยการใช้กำลังเท่านั้น

                “ตั้งค่าย!!” ผู้นำสกุลหลางตะโกนเสียงก้องด้วยลมปราณ

    ไม่ต้องรอให้สิ้นเสียง ยอดฝีมือของสกุลหลางต่างพากันกระจายตำแหน่งไปยังจุดต่างๆในลักษณ์ของสัญลักษณ์แปดเปลี่ยม ทั้งหมดล้อมชิวหลงให้อยู่ในจุดศูนย์กลาง แต่ละตำแหน่งสอดประสานกันอย่างลงตัวสามารถลงมือช่วยเหนือหรือเกื้อหนุนโจมตีพร้อมกันได้ทุกเมื่อ ในตอนนี้จึงเหมือนกับว่าชิวหลงโดนขุมพลังแปดขุมที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่านั้นเข้ากดดันจากทั้งแปดทิศก็ไม่ปาน

    นี่คืออานุภาพของค่ายกลอันดับต้นๆในยุทธภพ ค่ายกลแปดประตูกุญแจทอง!!

    แต่เดิมค่ายกลแปดประตูกุญแจทองมีไว้เพื่อการทำศึกสงคราม ย้อนไปในสมัยที่สกุลหลางเคยเป็นถึงแม่ทัพบุกเบิกแผ่นดินของราชวงศ์ปัจจุบัน บรรพชนของเขาได้คิดค้นค่ายกลลือชื่อนี้ขึ้นมาจนสร้างชื่อเสียงให้กองทัพสกุลหลางจนแทบจะทัดเทียมฟ้า แต่เพราะปฐมฮ่องเต้ของราชวงศ์นี้มีความสัมพันธ์อันดีกับสกุลหลางในระดับที่หยั่งรากลึก ทำให้สกุลหลางยังคงรักษาชื่อเสียงและอำนาจไว้ได้เป็นระยะหลายสิบปี

    เสียอีก

                เหมือนยาวนานแต่ความจริงกลับสั้นยิ่งกว่ากระพริบตา ในที่สุดประสาทสัมผัสของชิวหลงก็เริ่มกลับมาอีกครั้ง ชายหนุ่มปรือตาขึ้นช้าๆหลังจากรู้สึกว่าแสงสีทองได้หายไปแล้วอย่างน่าทึ่ง ภาพแรกที่เขาได้เห็นหลังจากลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งกลับเป็นเรื่องที่ทำให้คนอย่างชิวหลงพาลคิดไปว่านี่คงเป็นความฝันตื่นหนึ่ง จนเมื่อได้กระพริบตาปริบๆตรวจสอบความจริงอยู่เป็นนาน จึงได้เข้าใจว่าถ้าสิ่งที่เขาเจอมันไม่ใช่ภาพหลอนหรือค่ายกลลวงตาอะไรซักอย่าง

                ก็คงต้องเป็นความจริง...แถมเป็นความจริงที่ค่อนข้างรับได้ยากอีกต่างหาก!!  

                ประการแรกสถานที่ตรงนี้ดูยังไงก็ไม่ใช่บริเวณที่เขาเคยนั่ง เอาแค่เวลาก่อนที่เขาจะเปิดคัมภีร์วณิพกพเนจรเป็นตอนกลางวัน แต่หลังจากลืมตาขึ้นมากลับเป็นตอนกลางคนก็ไม่ใช่เรื่องแล้ว ประการที่สองก็คือตรงหน้าเขายังมีชายหนุ่มอายุไล่เลี่ยกันนั่งอยู่ มือที่ถือไม้เสียบเนื้อหมูป่าชะงักค้างกลางอากาศ สีหน้ามีความฉงนตกใจไม่ต่างไปจากโนอาห์เลยแม้แต่น้อย

                “เจ้าเป็นใคร....” แทบจะเป็นครั้งแรกที่ชิวหลงคงสภาพสีหน้างุนงงได้นานเกินห้าวินาที แม้กระทั่งตอนที่เขาเอ่ยปากถาม คิ้วก็ยังคงขมวดเป็นปมอยู่

                และนั่นถือได้ว่าเป็นประโยคแรกของชิวหลงที่ได้พูดขึ้นในอิซซูมีล

                โลกที่จะเปลี่ยนชีวิตของชิวหลงไปตลอดกาล....

     

                


     

              

     

     

                

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×