คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #114 : ตอนพิเศษ มังกรโบยบิน
เสียงจ้อกแจ้กจอแจในร้านรวง มักเป็นของคู่กันบนแผ่นดินที่ได้มาซึ่งการแย่งชิง
ไม่เว้นแม้กระทั่งร้านหมั่นโถวตรงย่านร้านตลาดที่ยังคงเอะอะกันได้
ท่ามกลางความวุ่นวายขนาดย่อมๆ มีคนสองคนที่ดูเตะตายิ่งกว่าใครๆ พูดง่ายๆก็คือดูแค่หน้าก็รู้ได้แล้วว่าแตกต่างกับคนอื่นๆอย่างเห็นได้ชัด
หนึ่งคนตัวผอมอีกคนตัวใหญ่
สองรวมเป็นหนึ่งยืนกันแลดูกลมกลืนอย่างน่าประหลาด
กระบี่ที่สะพายอยู่ด้านหลังถึงแม้จะไม่ใช่ของดีเลิศประเสริฐสีอะไรนัก
แต่ส่วนต่างของมูลค่าก็ย่อมถูกกดทับลงได้ด้วยฝีมือของผู้ใช้
ซึ่งเป็นหลักบรรทัดฐานปกติในยุทธจักร
“พวกข้ามาตามหาคนที่มีชื่อว่าชิวหลง”
คนตัวผอมกล่าว สาดส่องสายตาไปมาในร้านที่ตอนนี้เงียบกริบหลังจากได้ยินคำพูดของคนผู้นี้
เมื่อหลายปีก่อนรายชื่อยอดฝีมือล้วนหยุดอยู่กับที่ไม่เพิ่มหรือลดลง
แต่แล้วอยู่ๆในคืนวันที่ชาวยุทธเรียกว่าเมฆาสีเลือด
อยู่ๆก็ดันมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งถีบตัวขึ้นมาอยู่ในจุดที่ไม่น่าจะยืนอยู่ได้ ทั้งท่วงท่าและลมปราณเลื่องชื่อกลายเป็นจุดเด่นได้ไม่ยาก
หลังจากวันนั้นยอดฝีมือในยุทธภพกลับต้องเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งคน
เมฆาพิศดาร ชิวหลง
จนต่อมาพวกอยากลองของก็เริ่มเข้ามาลองดีกับชิวหลงมากขึ้น
เนื่องจากเป็นคนเดียวในรายชื่อยอดฝีมือที่มีอายุน้อยที่สุด
นั้นหมายความว่าประสบการณ์ย่อมน้อยตามไปด้วย แต่ว่าตลอดเวลาหลายปีตั้งแต่วันที่ชิวหลงสร้างชื่อ
ไม่เคยมีใครอ้างตนได้เลยว่ากำชัยเหนือชิวหลงได้ ซ้ำร้ายบางรายยังหาตัวชิวหลงไม่เจอด้วยซ้ำไป
จนใครต่อใครต่างพากันยกย่องเรื่องกลบตัวตัวว่าบางทีอาจจะเหนือกว่าเซียนดาวตกไปแล้วก็ได้
“จอมยุทธ์ทั้งสอง
เชิญนั่งก่อนเถอะ” แต่แล้วจู่ๆคนที่แต่งตัวเหมือนกับคนของร้านก็เดินพรวดออกมา
ไม่ใช่ว่าเขาใจกล้าหน้าด้าน แต่เป็นเพราะถ้าเกิดเขาไม่ทำแบบนี้ คนอื่นๆก็คงจะไม่ทำ
และถ้าขืนปล่อยให้สองคนนี้ยืนทนโท่กลางร้านต่อไป
ถ้าไม่อาละวาดเหมือนรายก่อนๆ
ก็คงจะมีเรื่องกับคนอื่นๆในร้านเป็นแน่
“พวกข้าต้องการข่าวสาร”
คำตอบไร้เยื่อไยพร้อมกับแววตาอันแสนเย็นชาถูกส่งมาทันที
“ไม่ได้ต้องการมานั่งอยู่ในร้านรวงเยี่ยงนี้”
อีกคนกล่าวเสริมทันที
ซึ่งนั้นแทบจะเป็นชนวนให้บรรยากาศเริ่มมาคุขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะที่คนของร้านได้แต่ยืนสั่นงกๆทำอะไรไม่ถูก
ก้มหน้านิ่งคล้ายกับว่ากำลังปิดบังอะไรบางอย่าง
“คนของข้าเสียมารยาทเข้าแล้ว
คงต้องขอให้ท่านทั้งสองอย่าถือโทษโกรธเคืองกันเลย” ท่ามกลางความตึงเครียดก็ยังมีสิ่งผิดแผกอยู่เสมอ
เสียงแหลมเล็กฟังยังไงก็ไม่ใช่บุรุษเพศช่วยให้บรรยากาศผ่อนคลานลงอย่างน่าเหลือเชื่อ
พร้อมกับการปรากฏตัวของเจ้าของเสียงซึ่งเดินออกมาจากด้านหลังร้าน
หญิงสาวที่อาจจะเรียกได้ว่าสะกดทุกผู้คนในบริเวณให้นิ่งเงียบโดยไม่ต้องเอ่ยปาก
เพียงเพราะรูปโฉมหรือ ก็ยังนับว่ามีคนที่งามกว่านางอยู่มาก
จะบอกว่าท่วงทีสง่าชวนมอง นั้นก็ยังไม่ใช่อีก แต่คงเป็นทุกอย่างที่นางมีมันลงตัวในระดับที่พอดิบพอดีอยู่แล้ว
ใบหน้าหวานพองาม ผมสีดำขลับรวบเป็นมวยบางส่วน ที่เหลือปล่อยยาวสบายจนเกือบถึงกลางหลัง
ริมฝีปากเล็กๆแย้มรอยยิ้มเล็กน้อย เสื้อผ้าแม้จะดูดีมีราคากว่าคนอื่นๆในร้าน
แต่ก็ยังห่างไกลกับคำว่าร่ำรวยมากนัก มือข้างซ้ายถือพัดคลี่ไปมาเสริมให้ชวนมองขึ้นอีกมากโข
เปรียบเทียบว่าเป็นดอกไม้ท่ามกลางดงเสือสิงห์กระทิงแรดก็ไม่ผิดเท่าไหร่นัก
“ถ...เถ้าแก่”
คนของร้านที่ยังยืนสั่นอยู่ที่เดิมสะดุ้งเล็กน้อย
ก้มหน้าหันไปทางหญิงสาวผู้มาใหม่
จนคนภายนอกมองว่านั้นอาจจะเป็นท่าทีของการสำนึกผิดก็เป็นได้
“นึกว่าใครที่ไหน ที่แท้ก็แม่นางเฟิ่งเย่ว์นี้เอง
ไม่นึกเลยว่าจะได้พบเจอแม่นาง...ในสถานที่แบบนี้” ชายร่างสูงเป็นฝ่ายกล่าวขึ้นก่อน
แต่นั้นก็แทบจะทำให้ใครต่อใครถึงกับอดกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ได้
ด้านวิทยายุทธ์พูดได้เต็มปากว่ายังต้องยกให้เจ็ดยอดฝีมือ
แต่ถ้าเป็นเรื่องข่าวคราวความเป็นไปในยุทธภพแล้ว
ชาวยุทธ์ทุกคนต้องนึกถึงเฟิ่งเย่ว์เป็นคนแรก
พื้นเพนางแต่เดิมมาจากตระกูลพ่อค้า
จนกระทั่งบิดามารดาได้เสียชีวิตลง
มรดกทั้งหมดของตระกูลก็แทบจะอยู่ในกรรมสิทธิ์ของเฟิ่งเย่ว์โดยที่ไม่ต้องลงแรง
ทว่าแทนที่นางจะดำเนินกิจการที่สืบทอดมาเหมือนดังเดิม
อยู่ๆไม่รู้ด้วยเพราะสาเหตุอะไร
เฟิ่งเย่ว์ก็ได้ผลักดันตัวเองเข้ามาในสังคมชาวยุทธ์
ซึ่งไม่ใช่ในฐานะของผู้ฝึกยุทธ์
แต่เป็นแหล่งข่าวที่พร้อมขายถ้าอีกฝ่ายมีค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อ
ธุรกิจที่ว่าแม้จะฟังดูอยู่ยากในสังคมที่ค่อนข้างไร้กฏเกณฑ์
แต่การที่กิจการด้านนี้ของนางคงอยู่มาได้ร่วมสามปีก็เป็นตัวการันตีชั้นดีว่าผู้หญิงคนนี้มีของดีซ่อนไว้กับตัวมากแค่ไหน
ข่าวที่ได้มาจากสายของนางถึงแม้จะไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นท์
แต่ก็ไม่เคยเลยที่จะผิดพลาดร้อยเปอร์เซ็นท์
นั้นทำให้พรรคต่างๆรวมถึงสำนักบางสำนักให้ความเชื่อถือนางเป็นอย่างยิ่ง
อีกทั้งยังได้รับการคุ้มครองอย่างลับๆจากพรรคหรือสำนักที่ไม่ประสงค์จะออกนามอยู่อีกมากนัก
“ท่านกล่าวหนักเกินไปแล้ว
สาเหตุที่พวกท่านถ่อมาถึงที่นี่ทุกคนย่อมรู้แจ้งเป็นอย่างดีตั้งแต่แรก” เฟิ่งเย่ว์ตอบกลับอย่างสงวนที ซึ่งนั้นก็สามารถเรียกรอยยิ้มจากจอมยุทธ์พเนจรทั้งสองได้เป็นอย่างดี
พวกเขาไม่ใช่คนโง่ที่จะไม่หาข้อมูลมาบ้างว่าที่ไหนเหนือตรงไหนใต้
การจะหาตัวคนที่พวกเขาอยากเจอ แน่นอนว่าต้องมีแหล่งข่าวที่เชื่อใจได้ในระดับหนึ่ง
ยิ่งเฉพาะคนผู้นั้นดันไปมาที่ไหนไร้ร่องรอยจนพวกหวังสร้างชื่อเสียงทางลัดหลายคนปล่อยวางไปก็ไม่น้อย
“ไม่ทราบว่าคำตอบของแม่นางก็คือ...” จอมยุทธ์พเนจรเอ่ยถาม
ทันใดนั้นเองคนทั้งสองต่างรับรู้ได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง
สิ่งผิดปกติที่มีชื่อเรียกว่าจิตสังหาร
“ทางนั้น!!” ผู้มาเยือนร่างสูงหันหน้าไปทางข้างนอกร้าน
ชี้ไปยังหลังคาในทิศสิบสองนาฬิกา ถึงจะไม่รู้ว่าเจ้าของจิตสังหารเป็นใคร
แต่การที่ปล่อยให้พวกเขาจับร่องรอยได้ก็แสดงว่าไม่เก่งกาจซักเท่าไหร่
อีกทั้งมีความเป็นไปได้ที่มันผู้นั้นจะมีเป้าหมายแอบแฝงสุดอย่างคาด
ทางที่ดีจึงควรตัดไฟเสียแต่ต้นลม
“ขออภัยที่พวกข้ามารบกวน”
หนึ่งในจอมยุทธ์เร่โค้งคำนับเฟิ่งเยว์อย่างรีบร้อน
เช่นเดียวกับอีกหนึ่งที่เร่งรีบไม่แพ้กัน
อาศัยเวลาเพียงไม่นานคนทั้งสองก็เดินหายไปกับฝูงชนตามท้องถนนจนหมดสิ้น
แต่ยังมีคนผู้หนึ่งที่ยังก้มหน้าตัวสั่นเทาอยู่ไม่หาย
“เจ้าเองก็เลิกเล่นตลกได้แล้ว” เฟิ่วเย่ว์หันไปมองคนของร้านที่ออกไปกล่าวต้อนรับจอมยุทธ์ทั้งสองด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย
ผิดกับกิริยาที่แสดงออกเมื่อครู่นี้ลิบลับ
“ทำไงได้ล่ะเถ้าแก่...”
อยู่ๆเขาก็หยุดกึกไป ก่อนจะค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา
ถอดผ้าโพกหัวจนผมสีดำโผล่มาปรกหน้า ดวงตาสีดำคมกริบทอดมองไปทางท้องถนนด้วยความรู้สึกนึกขันอยู่ไม่หาย
ริมฝีปากยังคงยิ้มอยู่เล็กๆ เนื่องจากพึ่งผ่านการกลั้นขำมาอย่างหนัก
“ใครใช้ให้เจ้าพวกนั้นหลงสะเออะเข้ามาแถวนี้โดยไม่รู้อะไร
อุตส่าห์ได้มาเจอตัวจริงแล้วแท้ๆ ยังทำตัวใช้ไม่ได้ เดี๋ยวนี้พวกที่มาตามหาตัวข้านับวันฝีมือยิ่งตกต่ำขึ้นทุกวัน”
ชายที่ควรจะเป็นลูกจ้างกลับทำตัวเหมือนมิตรสหาย
ก่อนที่เขาจะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ปรายตามองไปยังคนอื่นๆในร้านที่ยังคงนั่งนิ่ง
“เอ้า! ไม่ต้องมาทำตัวเกร็งเหมือนข้าแล้ว รีบๆกินรีบๆไปซะที” น้ำเสียงหัวเราะร่วนเริ่มต้นมาจากบุรุษผมดำ
ก่อนที่จะตามมาเรื่อยๆซึ่งมีต้นตอมาจากชาวยุทธ์อื่นๆที่หัวเราะร่วมด้วยกันอย่างครื้นเครง
“แสดงว่ามื้อนี้ท่านจอมยุทธ์ชิวจะจ่าย”
ผู้ห้าวหาญรายหนึ่งแทรกเสียงขึ้นมาท่ามกลางเสียงหัวเราะ
หลังจากนั้นเสียงเชียร์ที่มีเนื้อหาเดียวกันก็เริ่มดังก้องไปเรื่อยๆ
ในขณะที่เถ้าแก่ของร้านได้แต่ยืนมองอยู่เงียบๆ
เนื่องจากชินชากับเหตุการณ์นี้จนสมองตายด้านมานานปีแล้ว
“จ่ายกับบิดาเจ้าน่ะสิ!
คราวที่แล้วก็ยังลงบิลไว้เลยไม่ใช่หรือไง
นึกว่าข้าไม่รู้เหรอว่าที่พวกเจ้ามาที่นี้บ่อยๆมันเป็นเพราะสาเหตุอะไร....”
คนที่ดูเหมือนจะถูกกลุ้มรุมทางคำพูดตะโกนตอบกลับ
และนั้นเองก็เป็นอุบัติแรกในบทสนทนาที่ดูเหมือนจะร่ายยาวเหมือนอย่างทุกที
เมื่อเฟิ่งเย่ว์เห็นว่าคนที่โต้ตอบกลับทุกคนในร้านอย่างสนุกปากตรงดิ่งเข้าร่วมวงด้วยแล้ว
ตั้งแต่ไหนแต่ไร
คนผู้นี้ก็ยังมีนิสัยเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน
เป็นชิวหลงแบบไหน
ก็ยังเป็นชิวหลงแบบนั้นอยู่เหมือนเดิม
ถูกต้องแล้ว
ชายผู้นั้นก็คือคนที่มีนามว่าชิวหลงอย่างไม่ต้องสงสัย
น่าเสียดายที่คนต่างถิ่นทุกคนย่อมมากันในรูปแบบเดียวกันจนน่าเบื่อหน่าย
จนไม่ทันล่วงรู้แม้แต่นิดว่าเส้นผมบังภูเขามาตั้งแต่ต้น แท้จริงชิวหลงไร้ที่อยู่หลักแหล่งก็จริง
แต่ส่วนมากถ้าจะหาที่พักระยะยาวก็ต้องเป็นในหมู่บ้านแห่งนี้เท่านั้น
และนั้นจึงทำให้ชาวยุทธ์ทุกคนที่สัญจรไปมาบ่อยๆในละแวกนี้
รวมถึงชาวบ้านทุกล้วนคุ้นเคยกับชิวหลงเป็นอย่างดี
ข้อมูลเบื้องลึกที่น้อยคนนักจะรับรู้ได้ก็ยังคงมีอยู่
ไม่นับพรรคหรือสำนักใหญ่ๆ
ไม่ก็บรรดายอดฝีมือที่มีสัมพันธ์อันดีกับเฟิ่งเย่ว์และชิวหลงเป็นทุนเดิมย่อมรู้กันดี
เช่นเดียวกับชาวยุทธ์ในหมู่นี้ด้วยเช่นกัน
ว่าการทำงานเจ็ดในสิบส่วนกิจการข่าวกรองของเฟิ่งเย่ว์นั้น
ล้วนมาจากการทำงานของตัวชิวหลงเพียงคนเดียว
อันที่จริงเฟิ่งเย่ว์ในตอนแรกก็ไม่มีความคิดที่จะมาปูแผ้วทางกิจการขายข่าวสาร
แต่ว่าเมื่อสี่ปีก่อน เธอได้รู้จักกับชายผู้หนึ่ง
จะว่าด้วยเหตุบังเอิญหรืออะไรก็แล้วแต่
คนผู้นั้นคำพูดคำจาบางทีไร้แก่นสารจนจับใจความไม่ได้
การกระทำไม่เหมือนที่คนทั่วไปพึงกระทำ แต่แล้วนางกลับต้องจับพลัดจับผลูให้มาเริ่มกิจกาจที่ว่านี้ด้วยข้อเสนอแนะของคนผู้นั้น
ซึ่งเฟิ่งเย่ว์ก็เห็นว่ามันเป็นน่าสนุกและท้าทายจึงตอบตกลง
ผู้ชายที่นางได้คุยด้วยในวันนั้นก็คือชิวหลง
หลังจากนั้นกิจการสายรองของเธอก็ได้เริ่มต้นขึ้น
ฉากหน้าขายหมั่นโถว
ฉากหลังค้าข่าวสาร แน่นอนว่าช่วงแรกย่อมไม่ราบรื่นอย่างที่คิด
แม้ตัวชิวหลงจะสามารถขุดคุ้ยข้อมูลระดับที่ว่าน้อยคนจะล่วงรู้ขึ้นมาได้ซักเท่าไหร่
ตราบใดที่เฟิ่งเยว์ยังไม่ได้การรู้จักที่ดีพอก็เห็นทีจะไปไม่รอด
แต่แล้ววันหนึ่งชิวหลงก็ได้เสนอความคิดหนึ่งขึ้นมา ซึ่งนางไม่เห็นช่องทางที่น่าจะเป็นไปได้
แต่ก็ยังเลือกที่จะลองเสี่ยงตามคำชักชวนนั้น
และนั้นเป็นจุดเริ่มต้นเหตุการณ์วันคืนเมฆาสีเลือด
ที่สามารถสร้างชื่อให้ทั้งเฟิ่งเย่ว์และชิวหลงได้ในเวลาพร้อมๆกัน
จนในที่สุดกิจการที่เธอและชิวหลงได้วาดฝันไว้เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง
ตั้งแต่นั้นจอมยุทธ์หนุ่มก็ได้ออกตัวว่าจะขอมายุ่งเกี่ยวเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น
ขอให้นางดำเนินกิจการตามแนวทางของตัวเองไปได้เลย
ถึงกระนั้นครั้งใดที่ชิวหลงกลับมายังหมู่บ้านแห่งนี้
ก็ต้องมีข่าวคราวติดมือมาด้วยเป็นทุกครั้งไป
“เจ้าพวกนี้นี่ใช้ไม่ได้จริงๆ
คราวหลังเจ้าเองก็อย่าไปใจอ่อนอีกเข้าใจไหม
เกิดขาดทุนขึ้นมาข้าไม่ช่วยหรอกนะบอกไว้ก่อน” ชิวหลงที่เดินกลับมาหาเฟิ่งเย่ว์กระซิบแสร้งทำเป็นเสียงเครียด
ประกอบกับใบหน้าสุดแสนที่จะจริงจังทำให้สามารถเรียกรอยยิ้มมาจากเฟิ่งเย่ว์ได้อย่างไม่ยากเย็น
“คราวนี้เจ้าส่งพวกนั้นไปถึงไหน”
นางไม่ตอบคำถามหยอกเย้า แต่กลับปัดไปอีกทาง เพราะเธอรู้ดีว่าการที่จอมยุทธ์พเนจรสองคนนั้นตีจากไป
สาเหตุที่แท้จริงคงมาจากผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆเธออย่างแน่นอน
“รู้ตัวเร็วหน่อยก็คงไปโผล่ๆเขตหุบเขาปิศาจ
แต่ถ้าช้าไปอีกนิด...รับรองว่าสนุกแน่นอนงานนี้” ชายหนุ่มแสยะยิ้มขึ้นที่มุมปาก
สีหน้าชวนให้มองเป็นผู้ร้ายมากกว่าคนดี
ไม้นี้ยังใช้ได้ผลอยู่เสมอๆหากฝ่ายตรงข้ามยังมีฝีมือในระดับนี้
เทคนิคที่ชิวหลงทำก็แค่การแผ่จิตสังหาร
แต่ว่าแค่ปรับหลักการโดยลมปราณเฉพาะตัวจนสามารถกำหนดทิศทางเพื่อหลอกล่อคนที่เขาจะหลอกได้ตามใจนึก
จริงอยู่ที่เทคนิคย่อมไม่ได้ผลกับยอดฝีมือ
อย่างไรก็ตามถ้าเป็นยอดฝีมือจริงๆก็คงจะไม่มาหาเรื่องในระดับย่านตลาดอย่างนี้แน่นอน
ยิ่งเมื่อฝ่ายตรงข้ามอยู่ในระดับเท่าๆกันด้วยยิ่งแล้วใหญ่
“ไปครั้งนี้...เจ้าคิดว่าจะไปนานแค่ไหน”
เฟิ่งเย่ว์ถามแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
พัดในมือยังคงโบกไปมาอยู่เหมือนเดิม
ถึงในใจจะรู้ดีว่าคำตอบที่ได้คงไม่พ้นโยกโย้ไปมาจนไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวก็ตาม
แต่การถามเอาไว้
มันก็รู้สึกดีกว่าที่ไม่ได้พูดอะไรเลย
“คงนานกว่าครั้งอื่นๆ
เพราะจุดหมายคราวนี้เห็นทีจะเป็นของชิ้นใหญ่” ชิวหลงตอบกลับทันควัน
แต่นั้นก็แทบทำเอาฝ่ายหญิงชะงักงัน ไม่อยากจะเชื่อว่าชิวหลงจะไม่กวนประสาท
ทว่าประโยคที่ชายผู้นั้นพูดออกมากลับน่าตกใจยิ่งกว่าหลายเท่า
อย่างแรกชิวหลงไม่เคยบอกว่าไปนานหรือไปช้า
อย่างที่สอง
ชิวหลงไม่เคยมีจุดหมายในการเดินทางถ้าเธอจำไม่ผิด
บุรุษผู้นี้นับว่าแปลกอยู่อย่าง
ถึงจะเพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติที่ยอดฝีมือพึงมี
แต่สิ่งที่ฉุดรั้งให้ฝีมือของชิวหลงหยุดนิ่งอยู่กับที่ไม่ใช่เพราะความสามารถของเจ้าตัว
แต่เป็นแนวทางในการใช้ชีวิตที่ไร้ซึ่งหลักแหล่ง
ทุกอย่างในใจของเขาไม่มีจุดหมายชัดเจน แน่นอนว่านางได้เอ่ยเตือนไปหลายต่อหลายครั้ง
แต่คำตอบที่ได้มาก็มีเพียงรอยยิ้มก่อนจะเปลี่ยนเรื่องไปสนทนาเรื่องอื่น
แค่นี้เธอก็วางใจได้เสียที
“ไม่อยากจะนึกว่าตอนนี้เจ้าริอาจเป็นหัวขโมย”
นางพูด
กวาดสายตามองไปรอบๆร้านที่ยังคงเต็มไปด้วยความครื้นเครงเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน
“คัมภีร์วณิพกพเนจร”
ชิวหลงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จะว่าไปข้าก็ไม่ได้สนใจตัวคัมภีร์อะไรนั้นซักเท่าไหร่
ถึงมาคิดๆดูๆแล้วมันจะช่วยให้เจ้ามีข่าวน่าสนใจมาไว้ในมือก็เถอะ” เขาหันยิ้มให้กับเฟิ่งเย่ว์
นางนิ่งเงียบไปซักพักราวกับไตร่ตรองอะไรบางอย่าง
เฟิ่งเย่ว์รู้ดีว่าคัมภีร์วณิพกพเนจรมีที่มาอย่างไร
และรวมถึงสกุลที่ครอบครองมันอยู่ซึ่งก็คือสกุลหลาง
แม้ระดับฝีมือของสกุลหลางจะไม่ได้โดดเด่น แต่ด้านเส้นสายนับว่ามีอยู่ไม่น้อย
รวมถึงชื่อเสียงที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ
จึงทำให้สามารถรักษาคัมภีร์มีชื่อฉบับนี้ให้อยู่รอดปลอดภัยได้ แต่ว่านั้นก็นานมากแล้วที่ไม่มีใครกล้าอาจหาญไปปล้นชิงคัมภีร์วณิพกพเนจร
ซึ่งถ้าชิวหลงเป็นคนลงมือ
เฟิ่งเย่ว์ก็คิดว่าอาจจะมีหนทางในการชิงคัมภีร์มาก็เป็นได้
“แต่เจ้าก็ยังจะไป”
นางถามหยั่งเชิง “คราวนี้เทพยดาตนไหนมาดลบันดาลเจ้าอีกล่ะ
บอกไว้ก่อนนะว่าถ้ากลับมาไม่ทันเทศกาลหยวนเซียว รับรองว่าจะไม่มีคนมารับประกันความลับของเจ้าอีกต่อไป” เฟิ่งเย่ว์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง สะบัดพัดไปมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ในขณะที่ชิวหลงนั้นเริ่มหน้าเสียบ้างแล้ว แต่ก็กลับมายิ้มใหม่ได้อีกครั้งในบันดล
“เจ้าพูดแบบนี้มาเป็นรอบที่ร้อยแล้วไม่ใช่หรือไง
อีกอย่างข้าเคยผิดสัญญาที่ไหน ทำตัวดีๆอย่าสร้างเรื่องเหมือนเดิมก็พอแล้ว” เขายิ้ม ถึงในความเป็นจริงฝ่ายที่สร้างปัญหาจะเป็นตัวเขาเองมากกว่าก็ตาม
นางได้แต่ส่ายหน้าเอือมระอาให้กับอุปนิสัยของชิวหลงที่แก้ยังไงก็แก้ไม่หาย
ซึ่งเจ้าตัวดีตอนนี้ก็ดันเดินหน้าสลอนเข้าไปร่วมวงกับลูกค้าในร้านอีกครั้งแล้ว
ดูเหมือนจะมีเป็นกิจกรรมเล็กๆที่ผู้หญิงอย่างเธอไม่ค่อยอยากจะไปยุ่งเกี่ยวซักเท่าไหร่
นั้นจึงทำให้เฟิ่งเย่ว์ได้แต่มองจากมุมของคนภายนอกตลอดมา
และนางหวังก็ว่าจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป
จนไม่รู้อาจรู้ตัวเลยซักนิดว่าการเดินทางของชิวหลงครั้งนี้จะยาวนานกว่าที่เธอและเขาคิดมากนัก
จนกระทั่งเมื่อถึงวันที่ชายผู้นี้กลับมายังหมู่บ้านแห่งนี้อีกครั้ง
ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆที่ได้พูดคุยกันอีกครั้ง
เพราะท่าทีของชิวหลงดูรีบร้อนผิดปกติ
รวมถึงเรื่องราวที่เขาได้เล่ามาก็สุดทนที่จะทำให้นางตกใจไม่ได้
แต่มันก็ทำให้เธอตั้งใจฟังจนจบ ทั้งเรื่องผู้คนที่เขาได้ไปพบเจอ
รวมถึงดินแดนที่ห่างไกลจากคำว่าแผ่นดินที่นางอาศัยอยู่มากนัก
แต่กระนั้นเฟิ่งเย่ว์ก็ดีใจอยู่ไม่น้อย
เพราะว่าในที่สุด...ผู้ชายคนนี้ก็มีเป้าหมายที่เป็นของตัวเองได้ซักที
พูดคุยเล็กน้อย
อันที่จริงตอนนี้ผมตั้งใจจะลงเนื่องในโอกาสฉลองครบรอบหนึ่งร้อยตอนนั้นแหละครับ
แต่ว่าเนื่องด้วยเนื้อหาที่ค่อนข้างสปอยเล็กน้อย
ทำให้ไม่สามารถลงในช่วงเวลานั้นได้ ก็หวังว่าจะชอบกันนะครับ =w=b
หมายเหตุ : ประเพณีหยวนเซียว ก็คือประเพณีแขวนโคมไฟ เป็นงานเทศกาลที่ผมรู้สึกว่ามีความคึกคักดี
เลยอยากกล่าวถึงน่ะครับ
ความคิดเห็น