ละครเรื่องนี้ชื่อว่า แม่
เรื่องสั้นวันแม่
ผู้เข้าชมรวม
493
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เมื่อฉันยังเป็นเด็ก ฉันเคยได้ยินเรื่องเมืองฟ้าอมร นครของชาวสวรรค์ เขาว่าคนที่นั่นไม่รู้จักความยากจนเพราะเงินทองหล่นลงมาจากฟ้า ทุกคนในเมืองล้วนแต่งตัวสวยงามเหมือนนางฟ้าและเทวดาเดินดิน มีอาหารทิพย์ที่กินเท่าไรไม่เคยหมด มีบ้านหลังโตเท่าปราสาท ไม่ว่าวันหรือคืนล้วนมีแต่ความสุข มีแต่เสียงหัวเราะดังอยู่ไม่ขาด มันดูเป็นความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง แต่กระนั้นฉันก็ฝันถึงมันอยู่เสมอ เพราะที่นี่มันแร้นแค้นจับใจ
จนกระทั่งวันหนึ่งมีคนในหมู่บ้านกลับมาจากข้างนอก เขาสวมเสื้อผ้าตัวสวยและห้อยสร้อยทองเส้นโต เขาเป็นขอทานในเมืองฟ้า เขาว่างานนี้แสนจะสบาย ใส่เสื้อขาดๆ ทำตัวสกปรกก็มีเงินใช้ คนเมืองนั้นมีเหลือกินมากมาย มีมากพอจะแบ่งให้คนจนอย่างเรามาสร้างตัวด้วยซ้ำ เขาเข้าไปทำงานนี้ได้ไม่ถึงครึ่งปีก็มีเงินพอจะซื้อของดีๆมาฝากคนในครอบครัว ฉันฟังเขาอย่างตั้งใจพลางวาดฝันถึงชีวิตแสนสุขอย่างที่เขาเล่า ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจจากบ้านมา ไปหาเมืองฟ้าที่เคยฝันถึง
เราเดินทางไปเมืองฟ้าโดยรถบรรทุก ฉันนั่งเบียดเสียดกับคนอื่นๆหลายสิบคนอยู่ข้างใน ทุกๆคนในนี้ล้วนเหมือนกับฉัน เราหวังถึงอนาคตที่ไม่รู้จักความหิวโหย มีเงินทองใช้สอยไม่ขาดมือ และมีความสุขเหมือนคนอื่นเขา แม้จะต้องซ่อนตัวเบียดกันจนกลายเป็นคนอัดกระป๋องก็ยอม โชคดีที่รถผ่านด่านตรวจต่างๆมาได้ ฉันจึงได้มาเหยียบเมืองของเทวดาอย่างที่เคยฝันเอาไว้
โชคดีที่ฉันติดรถมากับคนในหมู่บ้านที่ทำงานนี้ เขาจึงพาฉันไปฝากตัวกับเจ้านาย เจ้านายของเราเป็นหญิงวัยกลางคน เธออ้วนและตัดผมสั้นย้อมสีแดง เธอมองฉันเหมือนประเมินสินค้า พอมองจนพอใจก็สั่งให้คนในหมู่บ้านพาฉันไปนอน กำชับว่าพรุ่งนี้ฉันต้องไปทำงานแต่เช้า อย่าตื่นสายไม่งั้นจะตัดเงินเสีย
ฉันทำตามที่เธอสั่งไว้เป็นอย่างดี เพราะเมื่อตะวันของวันใหม่ขึ้นพ้นจากฟ้า ฉันจึงรีบตื่นและสวมเสื้อผ้าโทรมๆอันเป็นเหมือนเครื่องแบบของขอทานไปหาเจ้านายในทันที เธอมองฉันและยิ้มอย่างพอใจ
“อ๊ะ เอานี่ไป” เธอดึงแขนเด็กชายตัวเล็กๆคนหนึ่งออกมาจากกลุ่มเด็ก และส่งมือเด็กให้ฉัน “คนล่ะสงสารพวกแม่กับเด็กอ่อนนัก นั่งแปปเดียวก็ได้เงินมาเป็นร้อยแล้ว”
ฉันพยักหน้าอย่างว่าง่าย ก่อนดึงมือเด็กชายตัวมอมแมมมายืนข้างๆ
“โชคดีที่คราวนี้ได้ของดีมา” หญิงวัยกลางคนยิ้ม เธออุ้มเด็กทารกคนหนึ่งจากเปลใกล้ตัว ก่อนส่งให้ฉันรับไปอุ้มและกำชับส่งท้าย “เล่นให้ดีล่ะ ทำหน้าเศร้าเข้าๆไว้ คนจะได้สงสาร”
ฉันมองเด็กทั้งสองสลับกัน คนหนึ่งนอนนิ่งในอ้อมกอด คนหนึ่งกุมมือยืนมองฉันตาแป๋ว
และเริ่มเล่นเป็น “แม่” ตั้งแต่บัดนั้น
---
เราสามคนถูกคนดูแลพามาส่งยังสะพานลอยแห่งหนึ่ง มันอยู่ติดใกล้กับสถานที่เจ้านายเรียกว่า “ห้าง” มันเป็นห้างชื่อดังในเมืองฟ้า ดังนั้นจึงมีผู้คนสัญจรไปมาไม่ขาดสายตั้งแต่เช้าจรดเย็น ฉันนั่งอุ้มเด็กทารกไว้ในอ้อมกอด เด็กคนนี้ไม่เคยตื่น เธอหลับอยู่ตลอดเวลาจนอดไม่ได้ที่จะคิดว่าเป็นศพ แต่กระนั้นลมหายใจเบาๆของทารกก็ย้ำให้ฉันรู้ถึงชีวิตน้อยๆในอ้อมกอด ส่วนเด็กชายมอมแมมอีกคนเป็นคนถือกระป๋องพลาสติกคอยรับเงินจากคนใจบุญ
เรานั่งขอทานตั้งแต่เช้า ฉันทำทีเป็นกล่อมเด็กน้อยในอ้อมกอดอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่เด็กชายอีกคนนั้นโตกว่า อาจจะประมาณ 4 ขวบเพราะชอบมองคนที่ผ่านไปมาอย่างสนใจเหมือนไม่เคยเห็น ฉันจึงไม่ค่อยสนใจเขาเท่าไรนัก มีบ้างที่ปล่อยให้ออกไปเดินเล่น แต่ไม่ไกลจากจุดที่นั่ง ไม่งั้นคนดูแลจะเอาเรื่องไปฟ้องเจ้านายได้
พอห้างปิด คนก็เริ่มน้อย คนดูแลจึงมารับเรากลับบ้าน ฉันเอาเงินที่ขอทานได้ให้กับเจ้านาย เธอจะแบ่งมาให้ฉันส่วนหนึ่ง มันไม่มากนักสำหรับคนที่นี่ แต่เมื่อกลับบ้านหมู่บ้าน เงินจำนวนนี้พอใช้ไปได้หนึ่งเดือนทีเดียว ดังนั้นฉันจึงเก็บออมเงินเอาไว้อย่างดี รอวันที่ได้กลับบ้านในชุดโก้หรูอย่างใจจดใจจ่อ
เจ้านายมักชมว่าฉันเล่นได้ดีกว่าคนอื่นๆ มาอยู่ได้ไม่นานก็สร้างรายได้ให้กลุ่มเป็นจำนวนมหาศาล มันทำให้ฉันลำพองใจ คิดว่างานขอทานมันไม่ยากอะไร แค่ตีหน้าน่าเวทนากับเด็กสองคน ก็ขอความเมตตาคนเมืองฟ้ากินจนไม่รู้จักหมดสิ้น จนกระทั่งวันหนึ่ง ฉันนั่งขอทานอยู่ที่เดิม สองมือยังคงกอดเด็กทารกเอาไว้ และข้างกายก็มีเด็กชายมอมแมมอยู่เช่นเคย
มันคงจะเป็นเหมือนกับทุกวัน หากทารกในอ้อมกอดเริ่มนิ่งไป ฉันเขย่าตัวเธออยู่หลายครั้งถึงจะรู้ดีว่าเด็กคนนี้ไม่มีวันส่งเสียงให้ได้ยิน แต่ว่าเมื่อเอามืออังตรงจมูก ฉันก็ต้องตกใจ เธอไม่หายใจเสียแล้ว ฉันหน้าเสีย ไม่รู้จะทำเช่นไร จึงวิ่งไปหาคนดูแลที่อยู่ไม่ไกลจากจุดขอทาน
“อ้าว ตายแล้วเหรอ” คนดูแลหนุ่มพูดเมื่อเห็นฉันวิ่งมาหา เขาเกาหัวพลางมองศพเด็กทารกเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
“ตาย?” ฉันถาม ในใจนึกสงสัย ถึงแม้เธอไม่เคยตื่น ไม่เคยร้องไห้โยเย แล้วจะตายได้ยังไงกัน
“สงสัยเช้านี้ไอ้ไก่เผลอให้ยานอนหลับเยอะไปแหงๆ กลับไปต้องโดนเจ๊ว่าแน่ๆ ทำเครื่องมือหากินเสียหมด ปะๆ งั้นวันนี้กลับกัน เดี๋ยวคนจะผิดสังเกตไปแจ้งพวกตำรวจมาจับอีก” ชายหนุ่มตัวผอมโกร่งว่า เขาดึงมือฉันและกระชากให้เดินไปจากตรงนั้นไวๆจนฉันแทบเรียกเด็กชายมอมแมมไม่ทัน
เมื่อกลับไปถึงบ้าน หัวหน้าสาววัยกลางคนโมโหเมื่อเห็นฉันกอดศพทารกแทนที่จะเป็นเด็กที่มีชีวิต เธอหันไปด่าคนที่ดูแลเด็กเสียยกใหญ่ เมื่อด่าจนสาแก่ใจแล้วเธอก็กระชากเด็กทารกไปจากอกฉัน ฉันตกใจและร้องถามเธอ
“กูจะเอามันไปทิ้ง” สาวใหญ่ตอบอย่างโมโห “มึงเอามันไปทิ้งให้ไกลๆเลย อย่าให้ตำรวจสาวมาถึงเราเด็ดขาด” เธอสั่งลูกน้องคนที่ถูกด่า ก่อนจะโยนเด็กทารกลงพื้นเหมือนกับขยะชิ้นหนึ่ง
“จะมองอะไรกันนักหนา กลับไปทำงานไปไอ้พวกไม่ได้เรื่อง” เมื่อเจ้านายประกาศกร้าวเช่นนั้น คนอื่นๆจึงค่อยๆกลับไปทำงานตามเดิม ทิ้งไว้แต่ฉันซึ่งยืนมองทารกบนพื้นไม่วางตา
และน้ำตาก็ไหลออกมาเหมือนกันฝน
----
หลังจากนั้นไม่นานนัก ฉันกับเด็กชายมอมแมมก็กลับไปขอทานตามเดิม เราเปลี่ยนมานั่งขอทานตรงสะพานลอยที่ไกลออกไปจากที่เดิม เพราะกลัวคนจะจำเราได้ ฉันอยู่กับเด็กชายตัวเล็กคนเดิม ในใจรู้สึกโหวงๆเพราะบัดนี้ฉันไม่ได้อุ้มใครไว้ใกล้ใจอีกแล้ว วันเวลาจึงผ่านไปอย่างเชื่องช้า ฉันได้แต่มองผู้คนที่เดินผ่านมาอย่างเหม่อลอยสลับกับดูเด็กชายไม่ให้ซน
สะพานลอยนี้มักมีพวกนักดนตรีมาเล่นเปิดหมวกกันอยู่บ่อยๆ บ้างเป็นเด็ก บ้างเป็นผู้ใหญ่ วันนี้มีเด็กคนหนึ่งมาเล่น น่าจะเป็นพวกเรียนหนังสือเพราะเขาใส่เสื้อขาวกับกางเกงขายาวสีดำและบนเสื้อนั้นติดเข็มกลัดที่ดูคล้ายตราอะไรสักอย่าง เด็กหนุ่มคนนั้นถือกีตาร์และ เขาบรรเลงเพลงได้ไพเราะ คนเดินผ่านไปผ่านมาจึงให้เงินกับเขาไม่ขาดสาย
ฉันถอนหายใจ วันนี้อาจไม่ได้เงินดีเพราะเด็กหนุ่มนักดนตรี แต่เมื่อมองไปยังเด็กชายมอมแมม เขาดูแปลกไปจากเดิม เด็กน้อยตัวดำจ้องไปยังเด็กหนุ่มคนนั้นอยู่นานผิดวิสัยเด็ก เขาดูตื่นเต้นเมื่อนักดนตรีเปลี่ยนมาเล่นเพลงใหม่ ตาของเด็กชายเป็นประกายทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเพลง
“ชอบเหรอ” ฉันถาม และนั่นเป็นครั้งแรกที่เราได้คุยกัน เด็กชายมอมแมมสะดุ้งมองฉันอย่างกลัวๆ แต่ก็พยักหน้าด้วยความใสซื่อตามประสาเด็ก
“งั้นก็ไปสิ อย่าไปไกลนักนะ” ฉันบอก เด็กน้อยยิ้มร่าก่อนวิ่งไปดูนักดนตรี และยืนมองอยู่ครูหนึ่ง ดูเหมือนเด็กหนุ่มนักดนตรีจะชอบเด็ก เขาหยุดเล่นและกวักมือให้เด็กชายเข้าไปใกล้ ชี้ชวนให้ลองจับกีตาร์ดู เด็กนั้นก็จับๆลูบๆเจ้าเครื่องดนตรีอย่างสนอกสนใจ หนุ่มในชุดขาวพยายามจะสอนให้เด็กน้อย แต่ไม่นานนักก็หมดความสนใจ เจ้าตัวเล็กนึกสนุกวิ่งอ้อมไปหลังเขา และหยิกไปหนึ่งที
“โอ้ย มาหยิกตูดกันทำไม” เด็กหนุ่มร้องเสียงหลง “มานี่เลย มาให้หยิกคืนซะดีๆ”
เด็กชายมอมแมมร้องกรี๊ดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนวิ่งหนีเด็กหนุ่มที่ไล่ตามมาติดๆ ทั้งสองหัวเราะพลางไล่จับไปพลาง จนเด็กน้อยวิ่งมาหาฉัน นักดนตรีจึงเลิกไล่และกลับไปดีดกีตาร์ตามเดิม
เด็กชายมอมแมมหอบฮักๆ ยิ้มพลางชะเง้อหน้าไปมองชายหนุ่มเป็นระยะ และหดหัวกลับเมื่อนักดนตรีมองเห็น มันเป็นยิ้มที่ฉันไม่เคยเห็นจากเด็กคนนี้ มันทำให้หัวใจที่เคยเศร้านั้นชุ่มชื้น ฉันมองยิ้มนั้นอย่างพินิจ ยิ่งมองหัวใจก็ยิ่งพองโต
เหมือนมีความสุข..
เหมือนแม่คนหนึ่งที่เห็นลูกยิ้ม
ฉันสะบัดหน้าหนีความคิดชั่วร้ายนั้น และข่มใจกลับไป.. ฉันไม่ใช่แม่ใคร ฉันแค่เล่นเป็น “แม่” ของเด็กทั้งสอง เพื่อหาเลี้ยงชีพในฐานะขอทาน ดังนั้นฉันจะรู้สึกใดๆกับเด็กทั้งสองไม่ได้ เพราะเป็นแค่เครื่องมือหากินก็เท่านั้น พังก็ทิ้ง พังก็หาใหม่มาแทน
แต่คิดคิด ฉันก็ยิ่งแปลกใจ เพราะมันผิดไปจากที่หวัง
ทำไมฉันถึงเศร้าเมื่อเด็กหญิงในอ้อมกอดจากไป และทำไมจึงดีใจเมื่อเด็กชายยิ้ม
ทำไมหนอ..ทำไมไม่คิดว่าเป็นแค่เครื่องมือ..
วันนั้นฉันจึงได้รู้
ว่าหัวใจของฉันคงไม่ได้เล่นละครเป็นแม่อีกต่อไป..
---
“เอ้ากินสิ” ฉันยื่นขนมให้เด็กชายมอมแมมกิน เรายังคงขอทานที่สะพานที่เดิม แต่มันไม่เหมือนเดิมในความรู้สึกของฉัน ฉันมักคอยมองหาเด็กชายอยู่เสมอเมื่อเขาไปไหนไกล ไม่ใช่เพราะกลัวผู้ดูแลจะลงโทษ แต่เพราะห่วงจึงมองหาอยู่เสมอ ฉันมักเอาอาหารดีๆให้เขากินก่อนแทนที่ตัวเองกินและทิ้งส่วนแบ่งเล็กๆไปให้ เด็กชายนับขนมมากินอย่างอย่างเอร็ดอร่อย ฉันได้แต่ยิ้มให้กับความน่ารักนั้น
ถึงแม้รายได้จากการขอทานจะไม่มากเหมือนเดิม แต่ฉันกลับเล่นเป็นแม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบหรือมันอาจกลายเป็นเรื่องจริงไปแล้ว ฉันเองก็ไม่อาจรู้ แต่ทุกครั้งที่เด็กชายตัวน้อยยิ้มให้ ใจฉันก็เป็นสุขยิ่งกว่าได้รับเงินปันส่วนจากเจ้านาย หรือมีคนหย่อนแบงก์สีแดงลงในกระป๋อง
เด็กชายกินขนมจนหมดถุง วันนี้ได้เงินมาน้อย ฉันจึงซื้อขนมจากร้านได้ไม่มาก บางครั้งก็มีคนใจบุญซื้อขนมมาให้เด็ก ซึ่งก็เป็นโชคดีของเด็กไป เด็กน้อยทำหน้ามุ่ยเมื่อไม่เห็นขนมในถุงพลาสติก เขากระตุกชายเสื้ออย่างเอาแต่ใจ และยื่นถุงเปล่าให้ฉันดู
“แม่ๆ” เด็กชายร้องเรียก “หนูอยากกินอีก”
ฉันตะลึงในคำพูดจากปากเขา และถามย้ำอีกครั้งหนึ่ง “ไหนพูดอีกซิ เมื่อกี้เรียกว่าอะไร”
“แม่” เด็กน้อยยิ้ม “แม่จ๋า”
ฉันนิ่ง เด็กคนนี้เรียกฉันว่าแม่ มันทำให้ฉันเห็นว่าฉันเล่นได้สมบทบาทขนาดไหน กระทั่งเด็กยังเชื่อว่าฉันเป็นแม่จริงๆ แต่ในใจฉันกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น.. ฉันพูดไม่ออกอยู่นาน และดึงตัวเด็กน้อยมากอดเอาไว้ ซุกหน้าลงซบไหล่เล็กๆนั่น เหมือนจะดื่มด่ำช่วงเวลานี้ไว้ให้นานแสนนาน
“อยู่นั่นไง” เสียงชายคนหนึ่งพูดขึ้น ฉันเงยหน้าขึ้นมอง ชายคนนั้นในชุดเครื่องแบบสีน้ำตาลเข้มเกือบและสวมหมวกหม้อตาล นั่นเป็นเครื่องแบบของตำรวจ ฉันหน้าซีดและรีบอุ้มเด็กไว้ก่อนจะรีบวิ่งหนีไปจากตรงนั้นโดยไม่สนใจกระป๋องเงินที่เผลอเตะทิ้งเอาไว้
“อย่าหนีนะ” ตำรวจร้อง เขาวิ่งไล่ตามฉัน วันนี้ผู้ดูแลคงไม่อยู่ดูต้นทาง ตำรวจจึงเห็นฉันได้ง่ายๆ ฉันวิ่งอย่างสุดกำลัง และมองหันกลับเป็นระยะ ตำรวจและเจ้าหน้าที่มูลนิธิที่คอยจัดการเรื่องเด็กขอทาน พวกนั้นจะตามจับพวกเราเหมือนหมาล่าเนื้อ และเมื่อถูกจับแล้วก็หมดสิทธิ์ที่จะเข้ามาเป็นขอทานอีก
ฉันวิ่ง และวิ่ง โดยไม่รู้ว่าทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร รู้แค่ว่าต้องหนีไม่งั้นชีวิตฉันคงจบสิ้นอยู่ที่นี่ แต่ไม่ทันไรพวกตำรวจและเจ้าหน้าที่ก็วิ่งไล่ตามฉันได้ทัน และขวางฉันเอาไว้ไม่ให้หนี เมื่อหมดหนทาง ฉันจึงกอดเด็กชายเอาไว้แน่น และด่าว่าคนพวกนั้นอย่างหยาบคาย
“ใจเย็นๆ ไม่มีใครทำอะไรเธอหรอก” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ฉัน ฉันตะโกนด่าเขาเหมือนกับแม่หมาที่เห่าขู่ศัตรู ฉันกอดเด็กไว้แน่นกว่าเดิม ยิ่งชายคนนั้นใกล้เข้ามาเท่าไรฉันก็ยิ่งถอย จนเจ้าหน้าที่อีกคนที่ดักอยู่ด้านหลังขับตัวฉันเอาไว้ ฉันผงะด้วยความตกใจ เป็นจังหวะให้ชายที่ไล่ต้อนฉันดึงเด็กไปจากตัว เด็กชายมอมแมมร้องไห้จ้า สองมือเล็กๆพยายามยื่นมาหาฉัน
“แม่จ๋า แม่” เด็กตะโกนน้ำตาอาบน้ำ “แม่”
ฉันพยายามสลัดให้หลุดจากพันธนาการแต่ไม่เป็นผล จึงทำได้แต่กรีดร้องเหมือนคนบ้า ร้องเรียกหาลูกปลอมๆของฉันจนแสบคอ ฉันหันไปหาเจ้าหน้าที่ พยายามอ้อนวอนด้วยสายตา ปากก็พึมพำขอร้อง ขอร้องอย่าเอาลูกของฉันไป แต่ไม่เป็นผล กระทั่งน้ำตาที่ไหลมาจากใจจริงๆพวกเขาก็ไม่เห็นค่า ตำรวจและเจ้าหน้าที่แยกฉันกับเด็กออกจากกัน และนั่นอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้พบกัน..
ฉันถูกนำตัวไปโรงพัก มีคนบอกว่าฉันถูกตั้งข้อหาลักพาตัวเด็กและหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ดังนั้นพวกเขาจะส่งตัวฉันกลับไปยังที่เดิม ฉันร้องไห้ด้วยความเสียใจ ไม่ใช่เพราะสูญเสียอาชีพทำกินไป แต่เสียใจเพราะฉันจะไม่มีวันเจอเด็กชายคนนั้นไปตลอดกาล
พวกเจ้าหน้าที่พาฉันและคนอื่นๆมาส่งยังชายแดนของสองประเทศ ฉันพยายามมองหาเด็กชายมอมแมมของฉัน เผื่อว่าเขาจะติดมากับขบวนนี้ แต่ก็พบเพียงความผิดหวัง ฉันเดินก้มหน้ามองพื้น คิดอยู่ในใจ ฉันคงรู้สึกกับบทบาทของแม่ปลอมๆมากไปเสียแล้ว ตอนนี้จึงได้แต่เสียใจและห่วงหาเด็กทั้งสองอยู่ไม่คลาย
‘หรือที่จริงแล้วอาจไม่ใช่..’ ฉันคิด และหันไปมองอีกฟากของหลังด่านตรวจคนเข้าเมือง และนึกถึงเสียงหัวเราะของเด็กชายมอมแมม และไออุ่นจากเด็กหญิงน้อยในอ้อมแขน
“ลาก่อน” ฉันพึมพำกับความทรงจำ “ลาก่อนนะลูก ขอให้โชคดี”
และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายและครั้งเดียว
ที่ฉันเล่นเป็น “แม่” ได้สมบทบาทยิ่งกว่าครั้งใดๆ..
ผลงานอื่นๆ ของ Friday_13 ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Friday_13
"ถ้าหากจะมามุ่งสายนี้ก็ขอยินดีต้อนรับเลย"
(แจ้งลบ)เราดีใจมากเลยค่ะที่ได้อ่านเรื่องนี้ เพราะดีใจที่ได้เห็นว่าเธอเขียนได้ดีขึ้นกว่าเรื่องก่อนหน้านี้มากๆ เลยค่ะ เราชอบเรื่องนี้มากกว่าเรื่องพระเจ้าอีก ดีใจจริงๆ เลยค่ะ เธอเคยบ่นในสเตตัสว่าไม่ถนัดเรื่องสะท้อนสังคม แต่ดูเหมือนว่าเธอจะสามารถเขียนเรื่องสะท้อนสังคมได้ดีมากๆ เลยนะคะ ถ้าหากจะมามุ่งสายนี้ก็ขอยินดีต้อนรับเลย เรื่องนี้เป็นเรื่องทีดีมากจริงๆ ... อ่านเพิ่มเติม
เราดีใจมากเลยค่ะที่ได้อ่านเรื่องนี้ เพราะดีใจที่ได้เห็นว่าเธอเขียนได้ดีขึ้นกว่าเรื่องก่อนหน้านี้มากๆ เลยค่ะ เราชอบเรื่องนี้มากกว่าเรื่องพระเจ้าอีก ดีใจจริงๆ เลยค่ะ เธอเคยบ่นในสเตตัสว่าไม่ถนัดเรื่องสะท้อนสังคม แต่ดูเหมือนว่าเธอจะสามารถเขียนเรื่องสะท้อนสังคมได้ดีมากๆ เลยนะคะ ถ้าหากจะมามุ่งสายนี้ก็ขอยินดีต้อนรับเลย เรื่องนี้เป็นเรื่องทีดีมากจริงๆ เรามีความอินเกี่ยวกับเรื่องเด็กขอทานมากอยู่แล้วยิ่งมาเจอเรื่องนี้ยิ่งซึ้งเลยค่ะ มีการหาข้อมูลเบื้องหลังที่ดี ทั้งเกี่ยวกับการมอมยาเด็กขอทาน การใช้ลูกคนอื่น ฯลฯ อารมณ์ที่สื่อออกมาในเรื่องก็ทำได้ดีมากแล้ว เปิดเรื่องกับจบเรื่องก็ดีค่ะ หลายๆ ฉากหนักได้ที่แต่กระชับดีไม่เลี่ยนเกินไป ภาษาก็ลื่นขึ้นกว่าเรื่องก่อนๆ เรียกว่ามีภาษาที่อยู่ในระดับดีมากแล้ว และตีความโจทย์ได้สมบูรณ์ ไม่มีแม่ ไม่มีแม่อยู่ตรงไหนเลย แต่มันคือเรื่องของแม่ที่เหมาะกับเป็นเรื่องสั้นวันแม่จริงๆ อ่านงานนี้แล้วคิดว่า เธอควรอยู่ในระดับสนามใหญ่ๆ ได้แล้วล่ะเธอพร้อมแล้ว จะรออ่านผลงานต่อไปของเธอนะ และเรื่องนี้สมควรได้รางวัลอะ คุณกรรมการ เรารู้ว่าคุณอ่านบทวิจารณ์นี้อยู่ และเรารู้! ว่าคุณคิดเหมือนเรา ปล. เราเชื่อว่าความรักมันเกิดได้ในสภาพแบบนี้ ไม่ยากเลย มันเกิดได้ง่ายมากจริงๆ มันเกิดได้แบบแน่นอนเลยล่ะ เราไม่รู้ว่าเราเชื่อมาก่อนหน้าที่จะอ่าน หรือเธอทำให้เราเชื่อได้กันแน่ แต่การเขียนของเธอทำให้คนอ่านเชื่อได้ในเรื่องที่อาจเชื่อยากค่ะ ยินดีด้วยนะ อ่านน้อยลง
ร เรือในมหาสมุท | 12 ส.ค. 57
5
0
"ถ้าหากจะมามุ่งสายนี้ก็ขอยินดีต้อนรับเลย"
(แจ้งลบ)เราดีใจมากเลยค่ะที่ได้อ่านเรื่องนี้ เพราะดีใจที่ได้เห็นว่าเธอเขียนได้ดีขึ้นกว่าเรื่องก่อนหน้านี้มากๆ เลยค่ะ เราชอบเรื่องนี้มากกว่าเรื่องพระเจ้าอีก ดีใจจริงๆ เลยค่ะ เธอเคยบ่นในสเตตัสว่าไม่ถนัดเรื่องสะท้อนสังคม แต่ดูเหมือนว่าเธอจะสามารถเขียนเรื่องสะท้อนสังคมได้ดีมากๆ เลยนะคะ ถ้าหากจะมามุ่งสายนี้ก็ขอยินดีต้อนรับเลย เรื่องนี้เป็นเรื่องทีดีมากจริงๆ ... อ่านเพิ่มเติม
เราดีใจมากเลยค่ะที่ได้อ่านเรื่องนี้ เพราะดีใจที่ได้เห็นว่าเธอเขียนได้ดีขึ้นกว่าเรื่องก่อนหน้านี้มากๆ เลยค่ะ เราชอบเรื่องนี้มากกว่าเรื่องพระเจ้าอีก ดีใจจริงๆ เลยค่ะ เธอเคยบ่นในสเตตัสว่าไม่ถนัดเรื่องสะท้อนสังคม แต่ดูเหมือนว่าเธอจะสามารถเขียนเรื่องสะท้อนสังคมได้ดีมากๆ เลยนะคะ ถ้าหากจะมามุ่งสายนี้ก็ขอยินดีต้อนรับเลย เรื่องนี้เป็นเรื่องทีดีมากจริงๆ เรามีความอินเกี่ยวกับเรื่องเด็กขอทานมากอยู่แล้วยิ่งมาเจอเรื่องนี้ยิ่งซึ้งเลยค่ะ มีการหาข้อมูลเบื้องหลังที่ดี ทั้งเกี่ยวกับการมอมยาเด็กขอทาน การใช้ลูกคนอื่น ฯลฯ อารมณ์ที่สื่อออกมาในเรื่องก็ทำได้ดีมากแล้ว เปิดเรื่องกับจบเรื่องก็ดีค่ะ หลายๆ ฉากหนักได้ที่แต่กระชับดีไม่เลี่ยนเกินไป ภาษาก็ลื่นขึ้นกว่าเรื่องก่อนๆ เรียกว่ามีภาษาที่อยู่ในระดับดีมากแล้ว และตีความโจทย์ได้สมบูรณ์ ไม่มีแม่ ไม่มีแม่อยู่ตรงไหนเลย แต่มันคือเรื่องของแม่ที่เหมาะกับเป็นเรื่องสั้นวันแม่จริงๆ อ่านงานนี้แล้วคิดว่า เธอควรอยู่ในระดับสนามใหญ่ๆ ได้แล้วล่ะเธอพร้อมแล้ว จะรออ่านผลงานต่อไปของเธอนะ และเรื่องนี้สมควรได้รางวัลอะ คุณกรรมการ เรารู้ว่าคุณอ่านบทวิจารณ์นี้อยู่ และเรารู้! ว่าคุณคิดเหมือนเรา ปล. เราเชื่อว่าความรักมันเกิดได้ในสภาพแบบนี้ ไม่ยากเลย มันเกิดได้ง่ายมากจริงๆ มันเกิดได้แบบแน่นอนเลยล่ะ เราไม่รู้ว่าเราเชื่อมาก่อนหน้าที่จะอ่าน หรือเธอทำให้เราเชื่อได้กันแน่ แต่การเขียนของเธอทำให้คนอ่านเชื่อได้ในเรื่องที่อาจเชื่อยากค่ะ ยินดีด้วยนะ อ่านน้อยลง
ร เรือในมหาสมุท | 12 ส.ค. 57
5
0
ความคิดเห็น