คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : Pluto 1
“มึงว่าตอนนี้ดาวพลูโตทำอะไรอยู่วะ”
“มันก็คงอยู่ที่เดิม โคจรของมันแบบเดิมๆ ถึงมันจะถูกตัดออกจากสุริยะจักรวาล แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันหายไปไหนหนิ”
“แล้วมึงว่ามันจะน้อยใจบ้างหรือเปล่าวะ”
“ก็ไม่รู้สิ แล้วมึงว่ามันน่าน้อยใจมั้ยล่ะ ที่ตอนแรกมันก็อยู่ของมันดีๆนักดาราศาสตร์ก็ให้ความสำคัญกับมัน ยกให้มันเป็นดาวเคราะห์ในระบบสุริยะดวงหนึ่ง แล้วจู่ๆก็ลดสถานะของมัน เพียงเพราะเหตุผลต่างๆนานาที่เอามาอ้างกัน ทั้งๆที่มันก็เป็นอย่างนั้นของมันตั้งแต่แรก กูตอบแทนมันไม่ได้หรอก เพราะกูไม่ใช่มัน”
ร่างบางหันไปมองคนที่นอนอยู่ข้างๆตัวเอง ดวงตาคมที่ทอดมองไปบนท้องฟ้ายามราตรี นัยน์ตาคู่นั้นเปล่งแสงแวววาวแข่งกับดวงดาวบนท้องฟ้า
“แต่ถ้าเป็นกู… กูคงเสียใจ”
“แล้วถ้ามึงเป็นดาวพลูโต กูจะเป็นอะไรวะ?” ร่างสูงหันมามองคนข้างกายเช่นกันพร้อมกับเอ่ยคำถามชวนคิด ดวงตาของทั้งคู่จับจ้องกันอยู่ชั่วคู่ ก่อนร่างบางจะหันกลับไปมองบนท้องฟ้าเช่นเดิม ร่างบางยิ้มให้กับคำถามของคนข้างกาย ไม่มีคำตอบสำหรับคำถาม ดวงตาคู่สวยค่อยๆหลับลงเข้าสู่ห้วงนิทรา ปล่อยให้คนข้างๆคิดหาคำตอบต่อไป แต่สำหรับเขา คนข้างๆก็คงเปรียบเสมือนนักดาราศาสตร์ล่ะมั้ง นักดาราศาสตร์ที่ค้นพบดาวพลูโต นักดาราศาสตร์ที่ให้ความสำคัญกับดาวดวงเล็กๆที่ไม่มีใครสนใจ และก็คงมีเพียงนักดาราศาสตร์เท่านั้นที่จะบอกได้ว่าดาวพลูโตดวงนี้ควรจะอยู่หรือไป
“’งั้นกูจะเป็นอุกาบาตร คอยพุ่งชนดาวพลูโต ฮ่าๆๆๆๆ” ร่างสูงหัวเราะร่า ชอบใจในความคิดของตน หลังจากที่คิดหาคำตอบอยู่นาน เขายังคงชี้ชวนคนข้างๆคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปเรื่อย อดตื่นเต้นไม่ได้ที่พรุ่งนี้จะได้ใช้ชีวิตนักศึกษาเป็นวันแรกจึงนอนไม่หลับ ผิดกับคนข้างๆที่จมสู่ห้วงนิทราไปนานแล้ว
……………………………………………….
วันแรกของการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยคงหนีไม่พ้นประเพณีรับน้อง เช้าเข้าเรียนตามปกติ ตกเย็นก็เข้ารับน้องตามคณะ เป็นประสบการณ์ที่คงหาได้ไม่บ่อยนักในชีวิต เสียงกลองจากเหล่าพี่ ๆ สันทนาการ รวมถึงบรรดาเฟรชชี่ทั้งหลายที่ต้องมานั่งแหกปากฝึกร้องเพลงเชียร์ ทั้งที่เต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตามที ยังคงกึกก้องไปทั่วอาณาบริเวณ
“ไอ้กัน ทางนี้”
“แฮ่กๆ ๆๆๆ ” ร่างบอบบางของชายหนุ่มในชุดนักศึกษา กำลังเหนื่อยหอบยู่ตรงหน้าเพื่อนรักของเขา จนร่างสูงของคนเป็นเพื่อนต้องคอยเอามือลูบหลังบางนั่น เพื่อให้คนตรงหน้าค่อยๆหายใจ ก่อนจะลากคนตัวเล็กมานั่งบนอัฒจันทร์เชียร์ข้างสนามกีฬา
เมื่อร่างบอบบางเริ่มหายใจเป็นจังหวะปกติแล้ว คนตัวสูงจึงเอ่ยปากชวน “กูหิวแล้ว ไปหาอะไรกินกันเถอะ”
“เอ่อ!!! แล้ว…” ร่างบางชี้มือไปยังชายหนุ่มหน้าตาน่ารักที่นั่งอยู่ข้างๆของเพื่อนสนิทของเขา
“อ่อ!!! กูลืมแนะนำ นี่ริท เพื่อนใหม่กู เป็นไงน่ารักป่ะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะริท” ร่างบางยิ้มให้กับเพื่อนใหม่ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มตอบกลับมาเช่นกัน
“ส่วนนี่ !!! ไอ้กัน เพื่อนรักเรา ” ร่างสูงล็อกคอของเพื่อนสนิทแล้วเอาแก้มนุ่มมาแนบกับแก้มของตัวเอง ก่อนจะยิ้มแฉ่งให้กับเพื่อนใหม่
“ไอ้เชี้ยโน่!!! กูหายใจมะออก” ร่างบางผลักคนตัวสูงออกห่าง ก่อนจะส่งสายตาอาฆาตไปให้
“ฮ่าๆๆ เพื่อนสนิทคู่นี้ดูรักกันดีเนอะ” เพื่อนใหม่เอ่ยแซวเพื่อนรักทั้งสองก่อนคนตัวบางจะยิ้มหน้าเจื่อนๆ ผิดจากอีกคนที่รู้สึกภูมิอกภูมิใจซะเหลือเกินกับคำพูดประชดเมื่อครู่
“ว่าไง จะไปหาอะไรกินได้ยัง กูหิวจนจะกินควายได้ทั้งตัวแล้วเนี่ย”
“ไม่ได้ว่ะ กูต้องเข้าประชุมเชียร์ต่อ มึงไปกินก่อนเลย กูไม่รู้ว่าจะเลิกเมื่อไหร่”
“งั้น!! เดี๋ยวกูรอ”
“ไหนมึงบอกว่าหิวไง หิวก็ไปกินดิ จะรออะไร กระเพราะไม่ได้ติดกันซะหน่อย”
“ไม่เอา!! กูจะรอกินพร้อมมึง”
“มึงนี่ยังไง…” ร่างบางเตรียมที่จะสวดคนเอาแต่ใจ รู้สึกเกรงใจเพื่อนใหม่ที่ต้องรอตน ส่วนไอ้คนดื้อก็ไม่ยอมท่าเดียว แต่ยังไม่ทันเริ่มบทสวด ก็ได้ยินเสียงรุ่นพี่เรียกให้กลับไปซ้อม จึงจำใจวิ่งไปอัฒจันทร์ฝั่งตรงข้ามเพื่อกลับไปซ้อมต่อ
เสียงเพลงเชียร์ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง เพลงต่อเพลงไม่ได้หยุดพัก โดยมีพี่เชียร์คอยส่งเสียงกระตุ้นอยู่เป็นระยะ บรรดาเฟรชชี่ทั้งหลายหน้าตาเริ่มไม่สู้ดีนัก เหนื่อยล้าจากการเรียนยังต้องเข้าร่วมกิจกรรมมากมาย ผิดกับชายหนุ่มหน้าหวานที่ดูจะสนุกกับทุกสิ่งอย่างเหลือเกิน
ทุกอากัปกริยาของกันตกอยู่ในสายตาของโตโน่ตลอด ไม่ว่าคนตัวบางจะยิ้ม จะหัวเราะ หรือทำอะไรก็ไม่เคยคลาดสายตาโตโน่ได้เลย จนเพื่อนใหม่ตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆโตโน่มาร่วมสองชั่วโมง แต่กลับไม่ได้อยู่ในสายตาคู่นั้นเลยพูดขึ้น
“โน่ดูสนิทกับกันจังเลยเนอะ”
“อื้อ เราโตมาพร้อมกันน่ะ ตอนเด็กๆเวลามันโดนแกล้งมันก็จะร้องไห้ขี้มูกโป้งมาฟ้องเราตลอด หน้าที่ดูแลมันเลยตกเป็นของเราโดยปริยาย” โตโน่ตอบคำถามไปด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าทั้งที่สายตายังไม่ละไปจากบุคคลที่พูดถึงเลย พอนึกถึงวันวานทีไรก็อดยิ้มไม่ได้ทุกที
“คงเป็นห่วงกันมากเลยสินะ” เพื่อนใหม่ตัวเล็กยังคงส่งคำถามต่อไปเรื่อยๆ พอเห็นสายตาของโตโน่ที่มองกันก็พอจะเดาอะไรได้ เพียงแต่เจ้าตัวน่ะสิ!! จะรู้ตัวหรือเปล่าเท่านั้นเอง
“ห่วงดิ ห่วงมาก ตัวมันเท่าลูกหมา เกิดเป็นไรไปจะสู้ใครเค้าได้”
“ห่วงขนาดนี้ทำไมไม่เรียนคณะเดียวกันล่ะ”
“ขนาดดวงดาวยังมีวงโคจรเป็นของตัวเองเลย จักรวาลของชีวิตก็ย่อมต้องมีวงโคจรเป็นของตัวเองเช่นกัน ถึงเราสองคนจะไม่ได้อยู่วงโคจรเดียวกัน แต่เส้นทางของเรามันยังคงคู่ขนานกันเสมอ ”
“ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างโน่จะพูดอะไรแบบนี้นะ” เพื่อนตัวเล็กดูอึ้งๆกับคำพูดที่ไม่น่าจะออกมาจากปากของผู้ชายที่ดูเถื่อนๆอย่างโตโน่ได้
“ฮ่าๆๆ นั่นดิ คิดได้ไงวะ? สงสัยไอ้กันมันชอบเพ้อเจ้อให้ฟังบ่อยๆ เลยติดมันมาน่ะ” แค่นึกถึงคนที่ถูกพูดถึงก็สามารถเรียกรอยยิ้มบนใบหน้าของโตโน่ได้อีกครั้ง
“โน่รู้ตัวป่ะ ว่าเวลาโน่พูดถึงกันทีไร โน่ดูมีความสุขมากเลยนะ”
“กันมันเป็นคนน่ารัก ใครที่ได้อยู่ใกล้มันก็มีความสุขทุกคนแหละ”
“น่ารัก ก็รักซะสิ มัวแต่ชักช้า ระวังหมาคาบไปกินนะ” เพื่อนตัวเล็กหันมายิ้มให้กลับโตโน่ ต่างจากอีกคนที่ตอนนี้ใบหน้าเรียบสนิท ริทเริ่มรู้สึกใจเสียเล็กน้อย จึงปั้นหน้ายิ้มก่อนจะหัวเราะแห้งๆ
“เอ่อ!! คือเรา…”
“เรากับกันเป็นเพื่อนกัน ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น ต่อไปอย่าพูดแบบนี้ให้เราได้ยินอีก!!! ไม่งั้นเราต่อยนายแน่”
ริททำท่าเลิ่กลัก ตกใจไม่น้อยที่โตโน่พูดแบบนี้ และโตโน่เองก็ไม่มีท่าทีว่าจะพูดเล่นเลย เขาจึงขอตัวกลับ ก่อนที่จะเผลอพูดอะไรไม่เข้าหูอีก ถึงตอนนั้นคงได้โดนทั้ง หมัด เท้า เข่า ศอก ของโตโน่แน่ๆ
“’งั้นริทขอตัวกลับก่อนนะ” เพื่อนใหม่ตัวเล็กใส่เกียร์หมา วิ่งด้วยความเร็วแสง กลัวว่าถ้าปากแตกตั้งแต่วันแรกที่เปิดเทอมคงจะไม่ดีเท่าไหร่นัก
.
.
.
พอซ้อมเสร็จร่างบางก็ รีบวิ่งมาหาเพื่อนสนิทที่นั่งรอเขาตั้งแต่เย็นจนท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว ก่อนจะเอ่ยถามถึงเพื่อนอีกคนที่เพิ่งรู้จักกัน “อ้าววว!!! ริทไปไหนแล้วล่ะ เมื่อกี้ยังเห็นหลังไวๆอยู่เลย”
“เค้ากลับบ้านไปแล้วล่ะ อย่าใส่ใจเลย”
“แล้วทำไมมึงไม่ไปส่งเค้าวะ ปล่อยเค้ากลับคนเดียวแบบนั้นได้ไง”
“จะให้กูทิ้งมึงไปส่งเค้ารึไง มึงก็รู้ว่ากูจะเลือกใคร”
“….”
ร่างบางยืนนิ่งค้างอยู่กับที่ แก้มนุ่มขึ้นสีจางๆ ไม่ชินซะทีกับคำพูดของเพื่อนสนิท คำพูดที่เหมือนไม่ได้คิดอะไร แต่มันจะรู้มั้ยว่าคนฟังรู้สึกดีแค่ไหน
“เอ่า!!! มัวแต่ยืนบื้ออยู่นั่นแหละ จะไปกันได้รึยัง กูหิวจะแย่อยู่แล้ว” เมื่อเห็นร่างบางไม่ยอมเดินตาม โตโน่จึงเดินกลับมาลากคนที่ยืนนิ่งเป็นรูปปั้นอยู่ เมื่อคนตัวบางเริ่มรู้สึกตัวจึงท้วงขึ้น
“ไม่ต้องจับก็ได้ กูเดินเองได้น่า” ร่างบางพยายามสะบัดมือออกจากการเกาะกุมของเพื่อนสนิท แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีผลอะไรเลย โตโน่ยังคงลากกันเดินต่อไปเรื่อยๆ ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มผู้คนเริ่มบางตาจากเมื่อตอนเย็น มือที่กอบกุมเริ่มบีบมือบางแน่นขึ้น จนร่างบางรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
“โน่!!! มึงมีอะไรหรือเปล่า”
“เปล่า”
“มึงมีอะไรก็บอกกันดิวะ” ร่างบางสะบัดมือออก ก่อนที่จะหยุดเดินเสียดื้อๆ
“เฮ้อ!!!” โตโน่ถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับร่างบางของเพื่อนสนิทที่ตอนนี้จ้องเขาตาเขม็ง
“กูแค่ไม่ชอบให้ใครมองกูกับมึงด้วยสายตาแบบนั้น”
ร่างบางมองไปรอบๆ ถึงจะไม่ได้มีผู้คนมากมาย แต่สายตาเกือบทุกคู่ยังคงจับจ้องมาที่พวกเขาทั้งสองคนและกระชิบกระซาบกันอย่างสนุกปาก มันก็ดูแปลกๆอยู่หรอกที่ผู้ชายสองคนจะเดินจับมือกัน แต่สำหรับพวกเขามันคือเรื่องปกติไปซะแล้ว
“โน่!!! ถ้ามึงลำบากใจ… กูว่า… เราห่างๆกันบ้างก็ได้นะเว่ย” ร่างบางเองก็รู้สึกไม่สบายใจนัก รู้ว่าโตโน่ไม่ชอบให้ใครมองความสัมพันธ์ของเค้าทั้งสองในรูปแบบนั้น ซึ่งเหตุการณ์นี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกแต่ตอนนั้นถึงขั้นมีเรื่องชกต่อยและถูกเรียกผู้ปกครอง เหตุเพราะถูกเพื่อนๆแซวเล่นว่าพวกเขาคบกัน
“ช่างมันเถอะ อย่าคิดมากเลย ยังไงกูก็แคร์มึงมากกว่าคนพวกนั้น” โตโน่ยกมือขึ้นลูบศีรษะร่างบางที่ตอนนี้มีสีหน้าวิตกอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะจูงมือบางอีกครั้งพร้อมกระชับมือแน่นเพื่อให้คนข้างๆมั่นใจ
ขอบคุณจริงๆที่ให้ความสำคัญกับดาวดวงเล็กๆอย่างเขา
ขอบคุณนะนักดาราศาสตร์
คิดได้ดังนั้นร่างบางจึงส่งรอยยิ้มพิมพ์ใจไปให้ร่างสูงของคนข้างๆที่กอบกุมมือของเขาไว้
“ไม่ต้องทำหน้าซาบซึ้งขนาดนั้นก็ได้ รีบๆเดินเหอะ!!! กูหิวจะตายห่าอยู่แล้ว”
พูดจบโตโน่ก็ลากคนตัวบางมุ่งหน้าไปร้านข้าวอย่างไว ร่างบางมองมือที่กอบกุมมือตัวเองไว้ ก่อนจะยิ้มอีกครั้ง ถึงจะชอบทำลายบรรยากาศไปนิด ปากหมาไปหน่อย แต่ก็ช่วยจับมือกันไปแบบนี้นานๆนะ… นักดาราศาสตร์
ยังคงความกากได้อย่างต่อเนื่อง
ฟิคนี้ตั้งใจจะดราม่าแต่ยังหาทางเข้าดราม่าไม่เจอ
ไว้มีอารมณ์(?)แล้วเราจะได้พบกันใหม่
O W E N TM.
ความคิดเห็น