ตอนที่ 5 : ตอนที่ 5 What’s happen to me??
มันเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่!!
ร่างกายของผมรู้สึกว่าอบอุ่นขึ้นมากกว่าเมื่อสักครู่หรือเมื่อหลายชั่วโมงที่ผ่านมา ฮ่าๆๆตอนนี้เช้าแล้วสินะผมควรจะตื่นจากความฝันได้แล้วล่ะ เจ้ามินฮยอกก็ไม่ยอมมาปลุกสักทีตื่นขึ้นผมจะเดินไปที่ห้องของมัน แล้วจะชี้หน้าด่าเจ้านี่สักตั้ง เจ้าตัวแสบมินฮยอกนายทำหน้าที่บกพร่องแล้วหลังจากนั้นจะกระโดดแตะมันสักสองสามที และจะไม่เลี้ยงข้าวมันด้วย แม่ก็อีกคนคงลืมแล้วแน่ๆว่าลูกชายสุดหล่อกลับมาที่บ้านคงออกไปจ่ายตลาดหรือเม้าเมามันส์กับเพื่อนข้างบ้านแน่ๆ
ผมค่อยๆเปิดดวงตาของผมขึ้นมา รอบๆตัวผมยังคงมืดสนิท ดวงตาของผมเริ่มจะชินกับความมืดแล้วเล็กน้อย จึงยื่นมือไปหยิบนาฬิกาปลุกที่เป็นตุ๊กตาคิตตี้สีชมพูน่ารักหวานแหววซึ่งเหมาะกับผมเป็นอย่างที่สุดที่วางไว้บนหัวเตียงขึ้นมาสำรวจดูว่ากี่โมงแล้วตอนนี้ตีสอง วิ๊งงงง!!อาการงัวเงียแถมยังมึนงงกับความฝัน เมื่อไม่นานมานี้มันช่างเหมือนความจริงยิ่งกว่าเรื่องจริงซะอีก มือของผมยังคงรู้สึกเย็นๆเล็กน้อยแต่ก็อุ่นดีขึ้นมากแล้ว สายตาของผมเหลือบไปมองบางสิ่งบางอย่างที่นั่งกอดเข่าตะคุ่มๆอยู่ตรงมุมห้องอีกฝั่งของผม!!
มันเป็นไปโดยอัตโนมัติจริงๆผมรีบดีดตัวเองยังกับติดสปริง กระโดดเด้งดึ๋งลงจากเตียงอย่างเร็วจี๋ผมอยู่ในท่าเตรียมยิงแสงเลเซอร์อีกครั้งอยู่ในมุมตรงกันข้ามกับเธอคนนั้น เธอยังคงนั่งก้มหน้านิ่งฟลุบอยู่กับท่อนแขนเล็กๆของเธอโงนเงนไปมาเล็กน้อยและข้างๆตัวเธอผมได้ยินเสียงกรนเล็ดลอดออกมาด้วย
“เข้ามาในห้องเราได้ไงวะ?” ผมรีบหยิบหมอนที่ใช้หนุนเข้ามากอด แล้วค่อยๆย่องทำตัวลีบๆเดินไปหาเธออย่างที่คิดว่าเงียบที่สุด “เป็นผู้หญิงอะไร นั่งหลับลึกขนาดนั้นแล้วยังกรนได้อีก”
‘ไม้กวาดพูดได้’ ผมคิดไม่ผิดและฟังไม่ผิด ผู้หญิงบ๊องคนนี้พูดอยู่กับไม้กวาดและที่สำคัญมีการตอบสนองออกมาเป็นคำพูดและโต้ตอบกันไปมาด้วย พอเธอคุยๆไปได้สักพักเธอกลับเอาเท้าที่สวมรองเท้าบูทนั่นเตะเจ้าไม่กวาดพูดได้ซะกระเด็นหงายเงิบไปซะทีนึง เธอไม่ได้พูดภาษาเดียวกับผมและไม่รู้ว่าเธอพูดภาษาอะไร? ภาษาสัตว์ หรือภาษาสิ่งของ หรือภาษาของโลกดาวอังคาร มันเป็นภาษาชนิดไหนกันแน่ ถ้าผมไปเปิดพจนานุกรมหรืออาศัยปู่เกิ่ล ปู่จะให้คำตอบผมลีจงฮยอนได้ไหมน๊า?? แอบไฮโซซะด้วย ผมจะพบคำตอบไหม???
‘หิว หิว หิว’(ภาษาเฉพาะของเมืองแห่งเวทย์)
ผมได้ยินภาษาแปลกประหลาดนั่นอีกแล้วและแปลมันไม่ออกว่าพูดว่าอะไร และออกจะครวญครางอย่างทรมานจนน่ารำคาญ
“ธะ..เธอๆๆ!!” ผมรวบรวมความกล้าและพยายามตั้งสติอีกครั้ง ยกและตะแคงหมอนที่ผมกอดไว้เข้าไปเขี่ยๆแหย่ๆที่แขนของเธอแต่เธอยังคงนิ่งเงียบ สงสัยว่าคงจะหลับลึกจริงๆ ผมเดาว่าเสียงนั่นน่าจะต้องเป็นเสียงของเจ้าไม้กวาดที่โดนยัยนี่เตะจนกลิ้งไปก่อนหน้านี้แน่ๆ
ผมยังไม่รู้จักชื่อของเธอหรือควรจะเรียกเธอว่าอะไรดี จริงๆแล้วคนที่พบกันครั้งแรกน่าจะคุยหรือพูดกันให้สุภาพกว่านี้แต่พอมาเจอสถานการณ์แบบนี้เข้าผมกลับสติกระเจิดกระเจิงไปหมด จับต้นชนปลายไม่ถูกใน โลกนี้จะมีใครสักกี่คนกันจะได้พบกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันเช่นนี้
‘ฟลุ๊บบบ…ตึงงง..ง’
แค่ปลายหมอนที่ผมเขี่ยไปที่แขนของเธอเพียงเบาๆทำให้เธอถึงกับล้มตึงลงไปทั้งๆที่ยังนอนกอดเข่าตนเองอยู่ในท่าเดิม แสงเรื่อๆอ่อนๆสีเหลืองนวลของแสงจากโคมไฟส่องเข้ามากระทบกับใบหน้าเรียวของเธออย่างเหมาะเจาะ ดวงตากลมโตพร้อมกับแผลงขนตาดำยาวสนิทขับให้ใบหน้าของเธอคมเข้มมากขึ้น ผิวของเธอละเอียดเนียนเรียบจมูกนิดปากหน่อยหยักเป็นกระจับลำคอระหง นิ้วมือยาวเรียวรับกับท่อนแขนแบบบางของเธอ ผมมองเธอไม่วางตาแต่ในความงดงามนั้นผมยังไม่รู้หรอกว่ามันซ่อนอะไรไว้ในนั้นบ้าง
ผมไม่รู้ว่าเธอโผล่มาจากไหนหรือมาทำอะไร หรือต้องการสิ่งใดกันแน่ แต่ที่แน่ๆดูเธอจะทั้งเหนื่อยและอ่อนล้าเป็นที่สุด ใบหน้าของเธอเรียบเฉยในยามที่หลับสนิทผมสีอ่อนไม่ถึงกับดำสนิทปกหน้าของเธอเล็กน้อย ผมอยากจะเอื้อมมือแล้วช่วยจับให้มันเข้าที่เข้าทางแต่ยังไม่กล้าพอ ถ้าหากเธอตื่นขึ้นมาในขณะที่ผมกำลังจะทำเช่นนั้นเธอคงจะยกมือของเธอขึ้นมาตะกุยตะกายใบหน้าของผมจนเสียโฉมเป็นแน่
แต่ไอ้ที่ผมสงสัยเป็นที่สุดและอยากจะพิสูจน์ก็คือเจ้าไม้กวาดนรกนั่น ‘มันพูดได้’ แต่ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วไม้กวาดมักจะถูกทำขึ้นมาเพื่อใช้งานกวาดบ้านกวาดพื้นเป็นหลัก ทำขึ้นมาจากต้นไม้หรือใบไม้หรืออาจจะเป็นใยสังเคราะห์อะไรทำนองนั้นสักอย่าง แล้วเจ้านี่ที่พูดได้มันทำมาจากอะไร ผมเห็นเงาของมันแล้วมันไปซ่อนอยู่ไม่ไกลจากผู้เป็นเจ้าของๆมันมากนัก มันตั้งอยู่หรือจะเรียกว่ายืนกันแน่ล่ะสั่นไปก็สั่นมา อีกอย่างที่ผมสงสัยมันหนาวเป็นด้วยหรอนั่น
ขนหัวผมลุกตั้งขึ้นมาอีกครั้งในขณะที่มือของผมกำลังจะยื่นไปหยิบเจ้าไม้กวาดพูดได้ แต่กลับมีมือของอีกคนงับข้อมือของผมไว้แน่นซะก่อน ผมสะดุ้งสุดตัวหัวใจแทบหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“ว๊ากกกกกกกกกกกกกกก แม่จ๋าพ่อจ๋า ช่วยผมด้วย!!!!” ผมส่งเสียงร้องเสียงหลงอย่างกับลูกแกะกำลังจะโดนเชือด ตอนนี้ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้วผมหลับตาปี๋ไม่กล้าจะเปิดดวงตามองด้วยว่ามือที่ยื่นมาคว้าหมับที่ข้อมือผมเป็นอะไรกัน คิดได้อย่างเดียวต้องสลัดให้หลุดจากพันธนาการนั้นออกไปให้ได้
ผมนึกขึ้นได้ว่า มือของผมจะบาดเจ็บหรือมีอันเป็นไปอะไรไม่ได้เป็นอันขาด เพราะฉะนั้นแล้วผมคงจะเล่นกีต้าร์และจะทำในสิ่งที่ผมอุตส่าห์ฝึกฝนมาตั้งหลายปีต่อจากนี้อีกไม่ได้แล้ว ดวงตาของผมดีดเบิ่งโพรงขึ้นมาทันที พยายามสลัดมือที่กำลังเกาะกุมมือของผมไว้อย่างแน่นหนาให้มันออกไป
“นายจะแตะต้องแซมไม่ได้ ไม่ว่าอะไรทั้งนั้น!!” เสียงหวานดังระฆังแก้วในยามที่เธอเปล่งคำพูดออกมากลับกลายเป็นเสียงเด็ดขาด! ถ้าอย่างงั้นผมขอถอนคำพูดที่เคยชื่นชมเธอไปก่อนหน้านั้น อย่างกับหน้ามือเป็นหลังเท้าในขณะนี้ แววตาของเธอเปล่งประกายออกมาเป็นสีเลือดนกมันเหมือนกับมีคลื่นรังษีบางอย่างที่ทำให้คนได้พบเห็นถึงกับตะคริวกิน ตัวผมแข็งทื่อเมื่อสบตากับดวงตาแข็งกร้าวคู่นั้น ผมจ้องไปที่ดวงตาวาวโรจน์นั่นชั่วครู่พอรู้สึกตัวเท่านั้นล่ะผมจึงใช้พละกำลังของผมทั้งหมดเท่าที่มีกระชากข้อมือเพื่อให้หลุดจาดพันธนาการของพลังอำมหิตนั้น
“นี่!เธอเป็นใครกันแน่” ผมเริ่มเหลืออดซ้ำยังตะโกนอย่างไร้มารยาทใส่แขกที่ไม่ได้รับเชิญแถมยังเข้ามาอยู่ในห้องนอนของผมอีก นั่นสินะ แล้วผมเป็นลมหมดสติแล้วผมขึ้นมานอนอยู่ในห้องของผมได้อย่างไง “เธอเป็นใคร ผมขอถามคุณอีกครั้งถ้าไม่ตอบผม คุณแจ้นกลับบ้านคุณไปได้เลยตอนนี้” อาการหัวเสียของผมแสดงออกมาแล้ว
“ฉันก็อยากจะกลับนะ แต่ฉันจะกลับไปทางไหนกลับอย่างไงฉันยังไม่รู้เลย และคิดอะไรไม่ออกด้วยตอนนี้” ดวงตาคู่สวยของเธอกลับเข้าสู่ภาวะโหมดปกติอย่างรวดเร็ว จะหวงอะไรนักหนากับไม้กวาดนั่นผมคิดในใจ
“ไม่ได้หวงแต่นายแตะต้องแซมไม่ได้ต่างหาก!!” เธอสวนขึ้นมาทันควัน
‘เง้อ!!ดันมารู้ว่าผมคิดอะไรอีกด้วย’ ซวยละสิลีจงฮยอน…ผมแค่เพียงคิดในใจไม่ได้คิดเสียงดังซะหน่อย
“ฉันเป็นคนลากนายขึ้นมาข้างบนนี้เอง ห้องนี้น่าจะเป็นห้องนอนของนายละสินะ”เธอเงยหน้าขึ้นลุกขึ้นเดินไปมาพลางสำรวจไปรอบห้องอย่างช้าๆ มือบางของเธอยื่นไปที่หนังสือกีต้าร์เล่มเก่าของผมแล้วทำใบหน้าอย่างสงสัย “นี่อะไร??”
“ก็หนังสือไม่เห็นรึไง? ไม่น่าถาม” ผมกล้าๆกลัวที่จะเดินไปใกล้ตัวเธอ แต่นั่นหนังสือกีต้าร์เล่มโปรดของผมใครจะทำร้ายมันไม่ได้เป็นอันขาดไม่งั้นมีงอนกันไปจนถึงชาติหน้า ผมรีบคว้าหมับออกมาจากมือของเธอทันทีก่อนที่เธอจะทำมิดีมิร้ายสมบัติอันล้ำค่าของผม
“นี่!!นายหน้าตาเกาหลี คนที่นอนอยู่อีกห้องนั่นใคร?”เธอถามอีกแล้วๆเธอรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่กับใครในบ้าน หรือเธอเดินไปสำรวจบ้านผมทั้งบ้านมาแล้ว
“ทำไมฉันจะต้องไปเดินสำรวจให้เมื่อยล่ะ” เธอตอบกลับทั้งๆที่ผมยังไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาสักคำ ยัยนี่!!!.ให้ตายสิ
“งั้นเอายังงี้ดีมั้ย ยัยตัวประหลาด อ๊ะ!!ไม่ใช่สิ ผมขอโทษ….คือ ผม จะถามคุณนะ คุณตอบผมด้วย เข้าใจนะ”ผมพอจะตั้งสติและเริ่มจะปรับตัวให้เข้ากับบรรยากาศเช่นนี้ได้บ้างแล้ว
“ว่ามาสิ”เธอหันใบหน้าเล็กๆของเธอจ้องมองมาที่ผมอย่างตั้งใจอย่างที่ผมขอร้องและพยักหน้าหงึกๆแล้วเดินขึ้นไปนั่งอยู่บนเตียงนอนของผม มือบางลูบเบาๆไปที่ผ้าปูที่นอนอย่างแผ่วเบา แต่สายตาก็ยังมองมาที่ผม
“คุณชื่ออะไร?”
“แอลลี่…หรือเรียกแอล เฉยๆก็ได้ถ้าขี้เกียจเรียจเรียกชื่อยาว ฉันอนุญาตแต่กับแค่นายคนเดียวเท่านั้นน๊ะ”เธออมยิ้มแก้มป่อง
“นั่น…ล่ะ คืออะไร?” ผมชี้ไปที่ไม้กวาดที่ผมกำลังจะยื่นมือไปสัมผัสมันแต่กลับโดนตวาดซะเสียงดัง จากผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าผม
“นั่น แซม เพื่อนของฉัน...”
“>_____<!!!!!” เงียบบบบบบบ ผมอึ้งและพูดไม่ออก ก้อนบางอย่างจุกอยู่บริเวณลำคอหลังจากที่ได้ยินว่าไม้กวาดกลายไปเป็นเพื่อนกับผู้หญิงบ๊องคนนี้
“จริงจริ๊งงงงง นายไม่เชื่อหรอ ลองถามแซมดูสิ”เธอยื่นปากบุ้ยไปที่เจ้าไม้กวาด “แต่ตอนนี้แซมคงไม่มีแรงตอบนายหรอกนะ เพราะว่าพลังของแซมใกล้หมดแล้ว”
“พลังอะไรของคุณๆหมายความว่ายังไง?”ผมถามเธอออกไปอย่าง งงๆ
“ฉันจึงถามว่าคุณพอจะแบ่งขนมปังถั่วให้แซมสักเล็กน้อยจะได้ไหม ยังไงล่ะ”ใบหน้าเรียวลดลงราวจะอ้อนวอน
“คุณบอกผมมาก่อน ทุกอย่างทั้งหมด เอ่อ….เออ หรือถ้าเป็นความลับก็แค่บางอย่างก็ได้ แล้วผมจะพิจารณาอีกที”ผมตอบพลางขอไปที
“ไม่!!พอนายรู้แล้วนายจะไล่ฉันกับแซมออกไปใช่ไหม”
เรื่องรู้ทันต้องยกให้เธอ แล้วเธอรู้ได้ยังไง
“ตกลง งั้นผมจะแบ่งขนมปังถั่วให้คุณก็แล้วกัน”
ไม่อยากจะเชื่อครับ ปากบางสวยของเธอยกยิ้มเห็นฟันสีขาวเรียงสวยเกือบครบสามสิบสองซี่ แก้มป่องๆของเธอดันดวงตากลมโตของเธอเผยให้เห็นว่าดวงตายิ้มได้เป็นเช่นไร ดูเหมือนว่าหญิงสาวตรงหน้าจะดีใจจนออกนอกหน้า หลังจากที่ได้ยินจากปากของผม
“นายสัญญาแล้วนะ เฮ้อ!!ค่อยยังชั่วแซมนายรอดแล้วล่ะ”เธอรีบวิ่งตรงไปยังเจ้าไม้กวาดที่มีชื่อว่า แซม ที่ยังยืนสั่นๆอยู่ตรงมุมห้องมือบางลูบเบาไปที่ด้ามยาวของมันอย่างทะนุถนอม แล้วหันมายิ้มสวยให้กับผมอีกครั้ง ตอนนี้ใจผมเริ่มสั่นๆเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน
ยัยตัวประหลาดเดินเข้ามาหาผมจ้องมองมาที่ใบหน้าของผมด้วยแววตาสดใจพร้อมกับยิ้มหวานจับใจอีกครั้ง
“ฉันบอกชื่อไปแล้วว่าชื่อแอลลี่ และนั่นเพื่อนของฉัน แซม พวกเรามาจาก เมืองแห่งเวทย์ สถานที่อันไกลโพ้น แต่ฉันไม่รู้หรอกนะว่าไกลแค่ไหน แต่เท่าที่รู้ที่นี่เป็นสถานที่ที่พวกเราไม่เคยได้พบมาก่อน และพวกเราก็ไม่รู้ว่าจะกลับไปได้อย่างไรด้วย เพราะคริสตัสสีม่วง ที่ฉันทำหล่นไว้ระหว่างเดินทางมาได้หายไป จึงไม่รู้ว่าจะหาทางกลับไปเมืองแห่งเวทย์ได้ยังไง”แอลลี่ เล่าซะยืดยาว
ผมฟังเธอเล่าซะจนผมเริ่มงงเอง อะไรกันเมืองแห่งเวทย์ และคริสตัลสีม่วง มันคืออะไร หรือมันจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผมฝันมาตลอด
#######
อันฮยองงงงงงง ทุกๆคนค่าๆๆ
ตั้งแต่ปีใหม่ผู้แต่งหายไปเลยค่า ตอนนี้กลับมาแล้วกับตอนที่ 5
กำลังสนุกใช่มั้ยคะ ทั้งจงฮยอน และหนู่เม่ง เจอกันแล้วล่ะค่ะ
กำลังวุ่นวายได้ที่เลยทีเดียว
และช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยด้วยนะคะ
ยังไงระมัดระวังเรื่องสุขภาพกันด้วย
เดี๋ยวจะไม่สบายเหมือนกับผู้แต่งนะคะ
อีกแค่เดือนเดียวก็จะถึงเวลา คอน BST ของหนุ่มๆกันแล้ว ดีใจจังจะได้ไปดูคอนใหญ่ของ หนุ่มบลู
ฝากด้วยนะคะ รักทุกคนค่ะ love love love
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แต่รู้สึกว่าจะบ๊องด้วยกันทั้งคู่เลย 555+
สู้ๆนะค่ะ
เจอทั้งยัยบ็องทั้งไม้กวาดพูดได้
ไรเตอร์สู้ๆๆนะ^^
ไม่รู้จะสงสารใครดีระหว่างแอลลี่กับตาจง
ดูสับสนวุ่นวายดีแท้
ดูแลสุขภาพเช่นกันนะจ๊ะไรเตอร์