ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องของผมกับผี? 2

    ลำดับตอนที่ #8 : โบว์ -5- (จบตอน)

    • อัปเดตล่าสุด 23 ม.ค. 53


     

    -5-

    ในสมัยเด็กผมรู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปเชื่องช้าเหลือเกิน การรอคอยสักห้านาทีมันดูเนิ่นนานจนแทบทนไม่ไหว

    แต่บัดนี้ผมกลับรู้สึกว่าวันๆ หนึ่งผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน เผลอเพียงชั่วขณะเดียววันนี้ก็วิ่งผ่านไป ผมสงสัยว่ายิ่งนานไปเวลาจะยิ่งวิ่งผ่านไปเร็วขึ้นรึเปล่า ตัวผมในอนาคตจะมานั่งนึกเสียดายที่ไม่ยอมคว้าจับช่วงเวลาแห่งปัจจุบันไว้แต่กลับปล่อยให้มันวิ่งผ่านไปอย่างไรความหมายรึเปล่า ตอนที่ผมอายุเท่าๆ กับชายชราที่ผมเล่นหมากรุกด้วยเมื่อเช้าผมจะคิดยังไงกันน่ะ...

    ผมไม่รู้หรอก ปล่อยให้นั่นเป็นเรื่องของตัวผมในอนาคตก็แล้วกัน

    ท้องฟ้าเริ่มกลายเป็นสีส้มตอนที่นาฬิกาพกของผมบอกเวลาห้าโมงครึ่ง ในขณะที่เธอปรากฏตัว

    เด็กหญิงเดินเข้ามายังสนามเด็กเล่นที่ผมนั่งอยู่ช้าๆ เธอยังอยู่ในชุดนักเรียนแม้จะเป็นวันหยุด โบว์สีขาวอันใหญ่ยังประดับอยู่บนหัว

    เธอดูประหลาดใจมากที่เห็นผมนั่งอยู่บนชิงช้าอยู่ก่อน

                    “ว่ายังไง” ผมทัก

                    เด็กหญิงยิ้มให้ผม เธอนั่งลงบนชิงช้าที่เดิมของเธอ

                ผมนั่งอยู่อย่างนั้นโดยไม่เอ่ยอะไรออกมา

                    ความเงียบค่อยๆ กัดกินเวลา ผมรู้สึกว่ามันกัดกินหัวใจของผมไปพร้อมๆ กัน

                เด็กหญิงไกวชิงช้าเบาๆ เธอมองไปยังถนน เนิ่นนาน...

                    ไม่มีใครปรากฏตัว แน่นอนอยู่แล้ว ผมรู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางที่คนที่เธอรออยู่ จะปรากฏตัว คนที่ผมรออยู่ก็เหมือนกัน

                    พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว จิ้งหรีดเริ่มทำงานของมัน ไฟดวงสลัว กระพริบถี่ๆ ก่อนจะติดขึ้น

                ดาวทอประกายเต็มฟ้า พระจันทร์ครึ่งดวงส่องแสงจาง

                    ผมนั่งอยู่ตรงนั้น เนิ่นนาน ไม่มีการพูดคุย ผมได้แต่ก้มหน้าลง ถามตัวเองถึงคำถามเดิมซ้ำๆ คิดถึงเรื่องเก่าๆ ซ้ำๆ

                “ทำไม...” ผมเอ่ยถามขึ้นในที่สุด รู้สึกคอแห้งผาดเหมือนไม่ได้พูดอะไรมาสักร้อยปีแล้ว

                    “ค่ะ?

                “ทำไมถึงต้องรอล่ะ” พอพูดออกไป ผมจึงนึกขึ้นมาได้ว่าเลยมีเรื่องแบบนี้ ผมเคยถามคำถามนี้ไปแล้วครั้งหนึ่ง กับผีหนุ่มคนหนึ่ง

                    เด็กหญิงเอียงคอ

                    “นั่นสินะคะ หนูจำเหตุผลไม่ได้แล้ว” เธอยิ้ม “หนูจำได้แค่ว่าตัวเองมาอยู่ตรงนี้ แล้วก็อยากจะเจอเขา”

                    ผมไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว ทำไมต้องรอ ทำไมต้องพยายามถึงขนาดนี้ ทำไมถึงยังยิ้มได้

                    “พี่เองก็มีไม่ใช่เหรอคะ... คนที่อยากเจอขนาดนั้น”

                    ไม่ใช่ ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย

                    ผมเกลียดสีหน้านั้น สีหน้าของเด็กหญิงที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ผมอยากทำให้มันพังทลายไป

                    “ชั้นเคยรู้จักคนที่เคยทำแบบนี้ เขานั่งรอแฟนอยู่ที่ร้านกาแฟทุกวัน แต่พอพบอีกครั้งแฟนของเขาก็มีผู้ชายคนอื่นแล้ว การที่พวกเธอเฝ้าคอยคนคนหนึ่งแบบนี้มันไม่มีเหตุผลเอาซะเลย”

                    ทว่าเด็กหญิงกลับมองหน้าผมนิ่งๆ ราวกับไม่มีอะไรเปลี่ยนไปในใจของเธอเลย

                    “อาจจะใช่ เขาอาจจะไม่อยากเจอหนู อาจจะไม่เป็นอย่างที่หนูฝันไว้ แต่หนูก็อยากเจอเขา” เธอยิ้มจางๆ

                    “ทำไม?

                    “หนูรักเขา รัก รักมากที่สุดเลย รักกว่าโลกใบนี้ มากกว่าท้องฟ้า มากกว่าพื้นดิน ไม่ว่าอย่างไรชั้นก็อยากเจอเขาอีกสักครั้ง อยากจับมือ อยากคุยด้วย แค่นั้นเหตุผลอย่างอื่นไม่เห็นจำเป็นเลย”

                    ผมพูดไม่ออก ผมคิดอะไรไม่ออกเลย

                    “พี่เองก็มีเหมือนกันไม่ใช่เหรอ ความรู้สึกแบบนั้นน่ะ” เธอมองเข้าไปในดวงตาของผม

                    ผมหลบตาของเธอ ผมไม่อาจสู้สายตาของเด็กหญิงตัวเล็กๆ ได้ ได้แต่ส่ายหน้าช้าๆ ผมรู้สึกเจ็บตรงกลางอก เจ็บจนต้องเอามือไปกุมไว้

                    “มันไม่ใช่แบบนั้นหรอก ไม่ใช่แบบนั้น”

                ผมไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับเธอแบบนั้นหรอก เรารู้จักกันเพียงไม่นาน พบกันแค่ไม่กี่ครั้ง ใช้เวลาร่วมกัน เล่นดนตรี เดินกลับบ้าน แล้วเธอก็จากไป

                    เธอไม่เคยแสดงท่าทีว่าชอบผม ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองรู้สึกกับเธอขนาดนั้น

                    ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ผมอยากเจอเธอ อยากพบเธอ อยากได้ยินเสียงเธอ อยากได้ยินเสียงเพลงของเธอ           แต่มันไม่มีทาง ไม่มีทางเป็นไปได้ เธอตายไปแล้ว จากไปแล้ว ไม่ได้ดำรงอยู่แล้ว เหลือเพียงความทรงจำ เหลือเพียงเศษเสี้ยวความทรงจำที่กำลังถูกกัดกินโดยความลืมเลือน

                    ผมก้มหน้าลง กุมความปวดร้าวที่กลางหน้าอกไว้

                    “ไม่เป็นไรนะ?” เด็กหญิงลุกขึ้นจากชิงช้า ก้มตัวลง ยื่นหน้าเขามามองใกล้หน้าของผม ใบหน้าของเธอดูอ่อนเยาว์แต่ดวงตาดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าที่เห็น

                    “อืม”

                “ปวดใจเหรอ”

                    ผมไม่ตอบ

                    “หัวใจน่ะเอาแต่ใจ ถ้าเราไม่ยอมซื่อตรงกับมัน มันจะแกล้งให้เราเจ็บปวด...”

                    เธอยิ้มจางๆ ปลอบผม ผมรู้สึกว่ารอยยิ้มของเธอดูเจ็บปวดเหลือเกิน

                    “พี่ต้องซื่อตรงกับหัวใจให้มากกว่านี้นะ” เด็กหญิงถอนหายใจ “เอาล่ะ! ต้องไปแล้ว แล้วเจอกันนะ” เธอบอกผม โบกมือให้ แล้ววิ่งออกไป

                    ผมมองตามเธอจนลับสายตา เด็กหญิงกลายเป็นหนึ่งเดียวกับความมืดยามค่ำคืน

                ความเจ็บปวดยังค้างอยู่ตรงหน้าอกของผม แต่ค่อยๆ จางลง จางลง

                    ผมต้องพยายามไม่สนใจมัน พยายามลืมเรื่องนั้นไป ผมพยายามลืมความเจ็บปวดนี้ไป พยายามคิดถึงเรื่องที่ต้องจัดการ คิดถึงปัญหาของยัยแว่น

                    ผมถีบพื้นโล้ชิงช้า มันส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด

     

    *******************

     

                จนแล้วจนรอดผมก็ไม่ได้เอ่ยเรื่องที่ควรพูดออกไป ผมไม่ได้ถามถึงเรื่องของยัยแว่นเลย

                    จะให้ผมทำยังไง ถามออกไปว่า “นี่ ช่วงนี้เพื่อนพี่วิญญาณหลุดออกจากร่างบ่อยๆ เธอเห็นเพื่อนพี่อยู่แถวนี้บ้างมั้ย คนที่ใส่แว่น ทำผมเปียเชยๆ น่ะ” งั้นเหรอ... ไม่ใช่แมวหายซักหน่อย

                    อย่างไรก็ตาม ผมพอจะเข้าใจหลายๆ อย่างแล้ว พอจะจับเรื่องราวได้จากสิ่งที่ยัยแว่นและเด็กหญิงพูด ยังเหลือสถานที่ที่อาจจะมีเบาะแสให้สืบสาว

                    ผมไกวชิงช้าที่นั่งอยู่เล่นเบาๆ มองไปที่ตึกแถวที่ยังสร้างไม่เสร็จ รู้สึกไม่สบายใจเลยกับลางสังหรณ์ของตัวเอง

                    “สนใจเหรอคะ?

                    ผมสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ๆ เสียงเล็กๆ ก็ดังขึ้นจากข้างหลัง เจ้าของเสียงเล็กๆ แต่ฟังดูนุ่มและกังวานอย่างน่าประหลาดนั้นคือยมทูตนั่นเอง

                    เธอยิ้มให้ผมเมื่อหันหลังกลับไปดู ยมทูตจีบชายกระโปรงสีดำถอนสายบัวทักทายเหมือนเคย นาฬิกาสีเงินที่ร้อยสร้อยแขวนอยู่กับขอของเธอสั่นไหวไปมา

                    “ชั้นบอกแล้วไงว่า จู่ๆ อย่าโผล่มาจากข้างหลังแบบนี้”

                    “อย่ายุ่งกับเรื่องนี้ดีกว่านะคะ” ดูเหมือนเธอจะไม่ได้ยินที่ผมพูดตะกี้เลยสักนิด เอาเถอะ ผมเองก็เริ่มจะชินแล้วล่ะ

                    “เรื่องไหนล่ะ”

                    “เรื่องที่คุณกำลังคิดจะทำอยู่ตอนนี้ยังไงล่ะคะ” เธอยังไม่หุบรอยยิ้มไปจากใบหน้า

                    ลองยมทูตพูดแบบนี้ ผมคิดว่าเรื่องที่ผมคิดอยู่อาจจะเป็นเรื่องจริง... ผมได้แต่แอบหวังว่าเธอจะหมายถึงเรื่องอื่น

                    “ได้ ตกลง เข้าใจแล้ว” ผมตอบ

                    “ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ได้ก็คงจะดี ใช่มั้ยคะ” เธอเอียงคอถาม

     “ถ้าเธอรู้ว่ายังไงชั้นก็ไม่ฟังแบบนี้อยู่แล้ว จะพูดมาอีกทำไมล่ะ”

                    ยมทูตถอนหายใจเล็กน้อย ผมพึงเคยเห็นเธอถอนหายใจเป็นครั้งแรก ผมไม่แน่ใจว่าควรใช้คำว่าถอนหายใจรึเปล่า ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ายมทูตนี้ต้องหายใจด้วยรึเปล่า

                    ผมคิดว่าตอนนี้เธอทำท่าทีเหมือนพี่สาวที่ลำบากใจกับความดื้อดึงของน้องชาย ผมเซ็งนิดๆ กับท่าทางแบบนี้ของเธอ

                    “ก่อนหน้านี้ ดิชั้นคิดว่าคุณเข้าใจแล้วซะอีก”

                    “อืม ชั้นก็เข้าใจว่าเรื่องทั้งหมดจะเรียบร้อย แต่ไม่ยักกะรู้ว่ายัยแว่นจะหลุดออกจากร่างอีกรอบนี่นา”

                    “นั่นเพราะคุณไม่ยอมให้ดิชั้น “จัดการ” เรื่องทั้งหมดให้นี่คะ ถ้าคุณตกลงแบบนั้นตั้งแต่แรก เธอก็กลับเข้าร่างโดยไม่มีปัญหาไปแล้ว”

                    “ใครจะไปรู้ล่ะ ตอนนั้นชั้นคิดว่าเธอจะทำให้ยัยแว่นตายนี่หว่า เธอไม่เห็นอธิบายเรื่องนี้เลยสักคำ”

                    “ก็คุณไม่ถามนี่คะ”

                    ยิ่งคุยกับยัยนี่ผมก็ยิ่งหงุดหงิด ผมยังไม่หายแค้นที่เธอยุโนบิตะเรื่องแต่งงาน กับเรื่องที่เธอหัวเราะเยาะผม

                    “นี่เป็นชีวิตของชั้น ชั้นมีสิทธิ์จะตัดสินใจด้วยตัวเอง”

                    ยมทูตส่ายหน้า

                    “คุณคิดว่าคุณตัดสินใจด้วยตัวเอง เพราะคุณตัดสินใจคิดด้วยตัวเอง หรือเพราะมีบางสิ่งทำให้คุณคิดโดยที่คุณไม่รู้สึกตัวล่ะคะ?

                    ผมถอนหายใจ

                    “อ่า ช่างเถอะ สรุปว่าชั้นจะเข้าไปสำรวจในตึกนั่น”

                    ผมบุ้ยหน้าไปทางตึกแถวร้าง

                    “ถึงจะบอกว่าเรื่องคราวนี้ไม่ใช่อะไรเล็กๆ เหมือนคราวที่แล้วงั้นเหรอคะ”

                    “ถึงเธอจะบอกว่า โลกจะแตก ชั้นก็จะไป”

                    “ถึงดิชั้นจะขอร้องว่าอย่าไปก็จะไปเหรอคะ”

                    “ถ้าเธอคุกเข่าอ้อนวอน ชั้นจะลองคิดดู”

                    ยมทูตถอนหายใจอีกครั้ง

     

    ********************

     

                ตึกร้างสูงห้าชั้น ยังสร้างไม่เสร็จดี แต่มีการก่ออิฐกั้นเป็นห้องๆ บ้างแล้ว พอเป็นเค้าของอาพาทเมนท์รางๆ

    สภาพของชั้นแรก เต็มไปด้วยอิฐวางระเกะระกะ ฝุ่นดินผสมกันเป็นส่วนหนึ่งของพื้นไปแล้ว พื้นกว้างโล่ง น่าจะทำเอาไว้เป็นสำนักงาน ล็อบบี้ หรือไม่ก็ยังไม่ได้กั้นเป็นห้อง

                    ภายในมืดไปหมด แสงจันทร์ที่ส่องลอดเข้ามาดูเป็นสีฟ้าผสมเงิน ผมพึ่งรู้ว่าแสงจันทร์สว่างได้ถึงขนาดนี้

                    เสียงฝีเท้าของผมกับยมทูตดังก้องตึก ผมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ใช้แสงสีฟ้าของมันแทนไฟฉาย

                    แน่นอนว่าผมไม่กลัวผี ตอนแรกผมรู้สึกไม่ค่อยอยากให้ยมทูตตามมาด้วยเท่าไหร่ แต่พอเห็นบรรยากาศแบบนี้แล้วกลับรู้สึกว่าโชคดีที่ไม่ได้มาคนเดียว

                    บันไดอยู่ไม่ไกลจากประตูหน้ามากนัก มันทำจากอิฐ กับปูน ข้างๆ กัน มีห้องที่เป็นรูทะลุขึ้นไปข้างบน น่าจะสำหรับทำลิฟต์ ปกติผมเคยสงสัยว่าข้างนอกลิฟต์ที่เราใช้ขึ้นลงตกนั้นเป็นยังไงบ้าง แต่ตอนนี้ผมไม่อยากสำรวจหรอก

                ผมค่อยๆ เช็คความแข็งแรงของบันได ก่อนจะเดินขึ้นไปทีละก้าว ทีละก้าว

                    “ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ถ้าคุณตกบันไดตายดิชั้นจะจัดการที่เหลือให้เอง” ยมทูตข้างๆ บอกผม

                    “เออ ขอบใจ”

                    ชั้นสองเป็นทางเดินแคบๆ ทั้งสองฝั่งของทางเดินเป็นช่องที่เจาะไว้แต่ยังไม่ได้ใส่ประตู เรียงกันเป็นแถว

                    ผมเข้าไปสำรวจในห้องแรก

                    ห้องใหญ่กว่าที่ผมคาดไว้ มันถูกกั้นเป็นสี่ส่วน เป็นห้องใหญ่ สองห้อง ห้องที่น่าจะเป็นห้องน้ำ และระเบียง

                    พอสำรวจห้องที่สาม ผมก็เข้าใจ ในห้องย่อยบางห้องจะไม่มีหน้าต่างมันคงถูกออกแบบให้เป็นห้องนั่งเล่นกับห้องน้ำ ผมคิดถึงคำบรรยายของยัยแว่น ได้แต่ภวนาให้มันไม่ใช่อย่างที่คิด

                    ผมออกจากห้องที่สาม เข้าไปสำรวจห้องที่สี่ ก่อนจะพึ่งนึกขึ้นมาได้ว่ายมทูตหายไปแล้ว

                    จู่ๆ ผมก็รู้สึกขนลุก เหมือนอยู่ๆ ความมืดรอบตัวก็เย็นเฉียบขึ้นมา ผมรู้สึกเหมือนจู่ๆ ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะมีบางสิ่งที่น่ากลัวปรากฏตัวออกมาจากรอบข้าง

                    “เฮ้ เธออยู่ไหน” ผมเอ่ยเรียก มีเพียงเสียงสะท้อนของผมตอบกลับ

                ผมรู้สึกบ้าพิลึก อยู่คนเดียวในความมืด รู้สึกโหวงๆ เลยตะโกนเรียกหายมทูต มีตัวประหลาดอะไรที่จะโผล่มาให้ตกใจในที่แบบนี้แล้วน่าตกใจกว่ายมทูตด้วยเหรอ

                    ผมกลืนน้ำลายลงคอ พึ่งรู้สึกว่าฝ่ามือชื้นไปด้วยเหงื่อ

                    อย่างว่า ผมไม่กลัวผี

                    ผมออกจากห้อง เดินไปตามทางเดินแคบๆ รู้สึกท้องมวนแปลกๆ เหมือนมีอะไรยุบยับอยู่ในท้อง จู่ๆ ผมก็จินตนาการว่าจะเป็นยังไงถ้าอยู่ๆ แมงมุมเป็นล้านแหวกทะลุท้องออกมา ไต่ยุบยับวิ่งไปบนพื้น

                    ผมรู้สึกตัวว่าเท้าของตัวเองก้าวเร็วขึ้นจึงหยุดเดิน วางนิ้วซ้ายแตะที่เส้นเลือดบนข้อมือขวา หัวใจผมเต็นเร็วผิดปรกติ ผมสูดหายใจช้าๆ ลึกๆ แล้ว...

    จู่ๆ ก็รู้สึกถึงมือเย็นเฉียบบนไหล่

                    “ว้าก!

                    เสียงของผมประสานพร้อมๆ กับเสียงตะโกนของหญิงสาว

                    ผมรู้สึกเหมือนตะกี้ หัวใจกระตุก เกือบกระโจนออกจากอก พึ่งรู้ว่าตัวเองสะดุ้งโหยง

                    แน่นอน ที่อยู่ข้างหลังผมคือยมทูตนั่นเอง

                    เธอกำลังกลั้นยิ้ม ก่อนจะปล่อยหัวเราะออกมาเสียงดัง

                    หลังจากตัวเย็นเฉียบ ผมรู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าว

                “ย... ยัยบ้า”

                    “กลัวขนาดนั้นเลยเหรอคะ” เธอเอ่ย พยายามกลั้นหัวเราะ

                    ผมอยากจะบอกว่าไม่ใช่สักหน่อย แต่พูดไม่ออก

                ยมทูตพยายามสูดหายใจ เธอหยุดหัวเราะแล้ว แต่ยังมีเลิกยิ้มขำไม่ได้ เธอส่ายหัวแล้วเริ่มร่ายเทศนาผม ท่าทางเหมือนครูประถม

                    “มนุษย์ก็แบบนี้แหละค่ะ สุดท้ายแล้วก็สู้ความกลัวที่จิตใจตัวเองสร้างขึ้นมาเอง... ว้าย!

                    จู่ๆ ยมทูตก็กระโดดเข้ามากอดผม

                    หนูตัวหนึ่ง วิ่งผ่านเท้าของเธอไป

                    ยมทูตก้มมองมันแล้ว ผลักตัวออกจากอกของผม

                    “ดิชั้นไม่ได้กลัวหนูหรอกนะคะ แค่ตกใจที่มันวิ่งชนเท้าเฉยๆ” เธอเอ่ย หันหลังหลบหน้าผม

                    อ่า ผมจะเชื่อก็แล้วกัน

                   

    *******************

                   

                    ชั้นสอง และชั้นสามผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก

                    ทว่าเมื่อผมจะเดินขึ้นบันไดไปชั้นสี่ ยมทูตก็คว้าแขนผมไว้

                    “อะไรอีกล่ะทีนี้” ผมหันกลับไปถามเธอ

                    “ดิชั้นขอเตือนอีกครั้งว่าคุณไม่ควรก้าวขึ้นไปบนนั้น”

                ทว่าผมส่ายหน้า ผมตัดสินใจแล้ว

                    ยมทูตเงยหน้าขึ้นมองหน้าผม ตึกมืดเกินกว่าที่จะเห็นว่าเธอมีสีหน้าอย่างไรชัดๆ เธอจ้องหน้าผมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปล่อยมือ

                    ผมก้าวขึ้นไปบนบันไดทีละขั้น ทีละขั้น เมื่อหักโค้งผมก็รู้สึกถึงมันอย่างชัดเจน

                    กลิ่นเหม็นเปรี้ยวโชยมาจากชั้นสี่ กลิ่นของเสีย กลิ่นเน่า ลอยมาตามอากาศ

                    ผมยกมือปิดจมูก ค่อยๆ เดินไปตามทางแคบๆ กลิ่นเหม็นค่อยๆ เด่นชัดขึ้น ผมแทบรู้สึกถึงความร้อนของกลิ่นในอากาศ

                    แล้วผมก็ถึงห้องอันเป็นที่มาของกลิ่น

                    ผมเดินเข้าไปในนั้น

                    กลิ่นแรงขึ้น แรงขึ้นทุกย่างก้าว แล้วผมก็หักเลี้ยวเข้าไปยังห้องย่อยที่ไร้หน้าต่าง

                    กลิ่นรุนแรงกระแทกหน้าทันที ไฟสีฟ้าจากมือถือผมส่องให้เห็นสิ่งนั้น

                    มือถือของผมหลุดจากมือ มันหมุนไถล่ไปกับพื้น เข้าไปใกล้สิ่งนั้น แสงสีฟ้าส่องมันอย่างชัดเจน

                    ผมมองมัน รู้สึกเหมือนสมองหยุดทำงาน ผมได้แต่มองไปทางนั้น ไม่รู้ว่าเนิ่นนานเท่าไหร่ จนแสงไฟสลัวจากโทรศัพท์ดับไป

                    ผมสั่งตัวเองให้หันหลัง ก้าวออกมาช้าๆ

                    ผมพิงหลังกับกำแพง หันหน้าหนีประตูบานนั้น แต่ภาพที่เห็นนั้นติดตา กลิ่นเหม็นคละคลุ้งเต็มปอด ผมกลืนของเหลวรสเปรี้ยวไว้ไม่ให้พุ่งขึ้นมาจากคอ รู้สึกแสบตาจมูก ราวกับถูกรมด้วยควันไฟ

                    ผมคิดว่าตัวเองเคยชินกับการเห็นผี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นศพในสภาพนี้

                    ศพที่กำลังเน่าเปื่อย เล็บหลุดลอก ดวงตาหลุดหายไป เนื้อส่วนของหน้าบางส่วนขาดหาย หนอนไต่ยุบยับอยู่ใต้ผิวหนัง เท้าขวาและมือทั้งสองของศพถูกล่ามด้วยโซ่ โบว์สีขาวหลุดลงมากองที่พื้นพร้อมๆ กับปอยผมและบางส่วนของหนังศีรษะ

                     เด็กหญิงตายอยู่ตรงนั้น

                เธอเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่พูดถึงความรัก

                    เด็กผู้หญิงที่พูดจาเป็นผู้ใหญ่เกินตัว เด็กหญิงที่ปลอบผม บอกให้ผมชื่อสัตย์ต่อหัวใจ

                    เด็กผู้หญิงที่งดงามน่ารัก

                    ผมไม่รู้ว่าเธอโดนอะไรบ้างหลังจากที่ถูกล่ามไว้ ผมไม่อาจจินตนาการถึงความหวาดกลัวและความโหดร้ายที่เธอได้รับ

    ผมอยากกรีดร้องให้ความอึดอัดนี้หายไปจากอก ทว่าเสียงที่เล็ดรอดออกมามีเพียงเสียงลมผ่านคอ

                    ผมอยากร้องไห้ ทว่ามีเพียงน้ำตาไม่กี่หยดที่ซึมออกมา

                    ผมทุบหมัดเข้ากับกำแพง ทุบหมัดเข้ากับกำแพงจนกำปั้นแตก ทว่าไม่อาจลดความอัดอั้นในอกลงได้

                    ใครกันที่ทำเรื่องแบบนี้ ใครกันที่ทำเรื่องโหดร้ายแบบนี้ ผมจะควานหาตัวมันออกมาและฉีกมันเป็นชิ้นๆ

                    ยมทูตเดินมาตรงหน้าผม เธอยัดโทรศัพท์มือถือลงในมือซ้ายของผม แล้วกุมมืออีกข้างของผมที่แตกไว้ กดแผลด้วยแขนเสื้อของเธอ

                    “...ใคร” ผมเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก “ใคร... กันที่ทำแบบนี้”

                    ยมทูตไม่ตอบ

                    “เธอรู้ใช่มั้ย! บอกมาสิ!

                    เธอช้อนตาขึ้นมองผม ผมพยายามสงบสติอารมณ์ลง ทว่าไม่ได้ผล แทนที่โทสะจะหายไป ความเศร้าแสนสาหัสกลับเข้ามาผสมโรง

                    “ขอร้องล่ะ”

                    ยมทูตส่ายหน้า

                    ผมสะบัดมือออกจากมือของเธอ

                    “ทำไมล่ะ? ชั้นไม่ได้ตำหนิเธอที่ปล่อยให้ใครตาย ชั้นไม่ได้ขอร้องให้เธอช่วยให้ใครพื้นขึ้นมา แค่บอกชั้นว่าใครเป็นคนทำ ทำไมถึงไม่ได้”

                    ยมทูตยื่นมือออกมา แล้วก็หดกลับไป เธอกุมนาฬิกาสีเงินที่อยู่ระดับอกของเธอไว้

                    “เพราะมันไม่สมควรค่ะ ไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น เพราะมันไม่ได้เชื่อมโยงให้เป็นแบบนั้น”

                    “อะไรล่ะที่บอกว่าไม่สมควร มันต่างหากที่ไม่สมควร มันฆ่า...”

                    ผมทุบกำปั้นใส่กำแพงอีกครั้ง                                                                            

                   “เธอบอกว่าให้ชั้นปล่อยไอ้คนที่ทำให้เด็กคนนี้เป็นแบบนี้ไป งั้นเหรอ?

                    ยมทูตมองเข้าไปในดวงตาของผม

                    “ค่ะ” เธอเอ่ยขึ้นในที่สุด “คุณไม่ควรยุ่งกับเรื่องนี้ เดิมทีคุณไม่น่าจะรู้จักเด็กคนนั้นด้วยซ้ำ มันเป็นเช่นนี้ เกิดขึ้นแล้ว ดำรงอยู่ และจะเป็นไปแบบนี้”

                    “เธอจะบอกว่าเพราะชะตากรรม หรือพรหมลิขิตอะไรทำนองนั้นเหรอ?

                    “คุณจะเรียกว่าชะตากรรม วิบากกรรม พรหมลิขิต พระประสงค์ หรืออะไรก็ได้ค่ะ ถ้ามันทำให้สบายใจ”

                    ผมมองเธอ ผมไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเธอสักนิดเดียว รู้สึกเหมือนจู่ๆ พื้นเอียงวูบ ผมหัวเราะขื่นๆ ยกมือขึ้นกุมขมับ

                    ผมผิดเอง ผมไม่ควรหวังอะไรกับยมทูตแต่แรกแล้ว เธอไม่ใช่แม้แต่มนุษย์ด้วยซ้ำ

    ชะตากรรม? วิบากกรรม? พรหมลิขิต? พระประสงค์?

    ถ้าไม่ต้องการให้ผมยุ่งกับเรื่องบ้าๆ นี่ให้ดวงตานี้แก่ผมมาทำไม?

    ถ้าไม่ต้องการให้ผมโศกเศร้ากับการจากไปของผู้คนแล้วให้ผมพบเจอพวกเขาทำไม?

    ผมควรจะทำอะไร? หัวเราะ? ร้องไห้? กรีดร้อง? ด่าทอ?

                บ้าไปแล้ว? พระเจ้า โลก สวรรค์ ยมทูต ผม โลกใบนี้มันบ้าไปแล้ว...

                    ผมพยุงตัวให้ลุกขึ้น ทว่ารู้สึกราวกับขาไร้เรี่ยวแรง ขาผมสั่นไปหมดจริงๆ

                    ผมเกาะผนัง ค่อยๆ พาตัวออกจากห้องโดยไม่มีแสงไฟ แล้วก็ล้มลง

                    ผมไม่รู้ว่าผมสะดุดอะไรสักอย่างล้ม หรือเพราะขาผมไม่มีแรงเอง

                    ยมทูตพยุงผมยืนขึ้น แต่ผมปัดมือของเธอทิ้งไป

                    ผมต้องออกไปจากที่นี่ ผมอยากออกไปให้ไกลจากทีนี่

                    ผมพยุงตัวเอง ลงจากบันได แล้วก็ล้มลงอีก ยมทูตคว้าตัวของผมไว้ไม่ให้กลิ้งลงบันได แต่ผมก็ปัดมือของเธอออกไปอีกครั้ง

                    ผมไม่รู้ว่าตัวเองล้มไปกี่ครั้ง แต่ผมก็ปัดมือของยมทูตออกไปทุกครั้ง

                    ไม่รู้ว่าในการล้มครั้งที่เท่าไหร่ ผมก็ตัดสินใจได้แน่วแน่

    ผมจะหาตัวฆาตกรด้วยตัวเอง

                    ผมจะไม่ขอให้ยมทูตช่วย ผมจะไม่ขอให้ตำรวจช่วย ผมจะหามันด้วยตัวของตัวเอง

                    ผมจะจับมันมาบนตึกหลังนี้ ล่ามมันไว้ในห้องข้างๆ ปล่อยให้มันตายอย่างทรมาน

                    ผมสาบาน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×