ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องของผมกับผี? 2

    ลำดับตอนที่ #7 : โบว์ -4-

    • อัปเดตล่าสุด 27 พ.ย. 52


     

    -4-

     

                    ผมมาช็อปปิ้งแบบนี้กับแม่ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่หว่า เพียงชั่วเวลาแต่ไม่กี่เดือนทำให้ผมลืมความน่ากลัวของการช็อปปิ้งของพวกแม่ๆ ไปได้ยังไงกัน

    ทั้งๆ ที่ผมควรจะรีบชิ่งหนีไปทันทีที่มีโอกาส แต่เมื่อรู้สึกตัวอีกทีผมก็กลายเป็นเบ๊แบกของให้คุณป้า ของที่ต้องถือถุงแล้วถุงเล่า โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ จนเต็มทั้งสองมือ

    พอนึกได้ (อีกครั้ง) ว่า จริงๆ แล้วตอนนี้ผมกำลังหิวสุดๆ ผมก็รู้สึกหน้ามืดขึ้นมาทันที

    ในขณะที่ผมกำลังคิดว่าจะบอกเรื่องนี้แก่คุณป้าและทิ้งภาระทั้งหมดนี้คืนให้เธอแล้วชิ่งหนีไปยังไง คุณป้าก็ชิงทักหญิงวัยกลางคนอีกคนขึ้นมาก่อน

    ผมจะอธิบายลักษณะของเธอยังไงดี?

    ลองนึกภาพตัวละครบทคุณหญิงแม่ในละครย้อนยุคทำนองบ้านทรายทอง นั่นล่ะ!! แบบนั้นเลย! ไม่มีคำบรรยายใดจะชัดเจนไปกว่านั้นแล้ว

    ผมไม่ค่อยประหลาดใจเท่าที่ควรเมื่อเห็นประธานนักเรียนอยู่ข้างๆ คุณหญิงคนนั้น

    ผมเห็นสภาพของหมอนั่นแล้วรู้สึกสมเพช ประธานนักเรียนหอบของพะรุงพะรังเต็มสองมือ เดินตามหญิงวัยกลางคนด้วยท่าทางเจี๋ยมเจี้ยมประเภทที่ไปเป็นพระเอกหนังเกาหลีได้ชัวร์ๆ

                    เออ จริงๆ ผมเองก็มีสภาพไม่ต่างจากมันนักหรอก

    เสร็จแล้วป้าๆ ก็เริ่มเปิดบทสนทนากัน

    พระเจ้า! ผมรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดนี้ดี จำไว้เถิดสหาย ถ้าพวกป้าๆ บอกว่าคุณกับเพื่อนแป๊บเดียวแบบนี้ล่ะก็มันจะยาวเป็นชั่วโมงแน่นอน!! ...ถึงแม้เธอจะบ่นไปเป็นชาติถ้าเราปล่อยให้เธอรอสักสิบนาทีก็ตาม

    แต่เมื่อมองในมุมกลับกัน หากใช้วิกฤติให้เป็นโอกาส นี่ก็เป็นสถานการณ์ที่ใช้ชิ่งได้อย่างดียิ่ง

                    “ไง” ประธานนักเรียนก็เอ่ยทักผมขัดโอกาสทองพอดี

                    ผมพยักหน้าเซ็งๆ ตอบกลับ

                    “บังเอิญเนอะ?

                    “อ่า”

                    “พอเจอบ่อยๆ แบบนี้ก็นึกขึ้นมาได้ ความจริงเมื่อก่อนชั้นก็เห็นนายบ่อยตอนพาหมาไปเดินเล่นตอนเย็นๆ บ่อยๆ”

                    ผมไม่เห็นจะจำได้เลย ผมอยากตอบกลับไปแบบนั้น แต่เงียบไว้น่าจะสบายกว่า

                    “แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้ไปแถวนั้นแล้วน่ะนะ” ประธานนักเรียนยิ้ม ไม่เหมือนยิ้มในโฆษณายาสีฟัน แต่ดูเป็นรอยยิ้มของลุงแก่ๆ ที่เล่าถึงความหลังเก่าๆ

                    ผมคร้านจะสนใจเรื่องของประธานนักเรียน อยากจะรีบๆ ชิ่ง แต่พวกป้าๆ คุยกันไม่เปิดที่วางให้ผมเลย

                    ผมได้แต่ภาวนาให้ป้าๆ คุยกันจบๆ ซะที ผมจะได้ไปให้พ้นๆ จากที่นี่ ผมพยายามอดทนไม่ให้ตัวเองวางของทิ้งไว้แล้วหายไปจากตรงนี้ดื้อๆ อย่างสุดความสามารถ

                    “เดี๋ยวพวกผมไปดูของตรงนู้นสักหน่อยนะครับ” ฮีโร่ที่ช่วยผมออกไปจากกับดักของป้าๆ กลับเป็นประธานนักเรียนที่พึ่งทำลายความหวังของผมเมื่อครู่ “เดี๋ยวผมไปรอที่ที่จอดรถนะครับ”

                    เขายิ้มเหมือนโฆษณายาสีฟันอีกครั้งก่อนจะให้สัญญาณให้ผมเดินตาม แน่นอนว่าผมไม่พลาดโอกาสนี้

    พวกผมเดินออกจากห้าง

                    “กำลังลำบากใจสินะ” ประธานถาม

                    “อ่า... เลิกทำหน้าตาเสแสร้งแบบนี้ซะทีเถอะ เห็นแล้วมันอยากอ้วก” ผมตอบกลับด้วยความเซ็ง

                    ตอนนี้ชะตาของผมไม่ได้ถูกควบคุมโดยเขาแบบเมื่อวาน และไม่ต้องคอยระวังว่าคุณป้าจะทะเลาะกับเพื่อนเพราะผมแบบเมื่อครู่อีกแล้ว

                    ประธานนักเรียนหัวเราะ

                    “นายมันน่ารังเกียจอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย”

    ในที่สุดก็ถอดหน้ากากออกมาแล้วสินะ

                    “เฮอะ สำหรับชั้นคนเสแสร้งอย่างนายน่าเกลียดกว่าเยอะ”

                    “ระวังปากหน่อย อยู่โรงเรียนชั้นมีอำนาจมากกว่านายเยอะ ถ้านายพูดอะไรก็คงไม่มีใครเชื่อหรอก ไม่เหมือนชั้นจริงมั้ย” เขายักคิ้วท่าทางดูดเท้าเป็นอย่างยิ่ง “ถ้าจะมีคนเชื่อก็คงเป็นหนูแว่นแฟนนายล่ะมั้ง”

                    “เปล่า ไม่ใช่แฟน”

                    “กิ๊กงั้นสิ? หรือว่าสัตว์เลี้ยง?

                ผมพยายามนับเลขในหัว ขันติ ขันติ

                    “สบายดีนี่ ไม่มีคนคอยบังคับ ไม่มีใครมาจู้จี้ จะเลี้ยงเด็กท่าทางนุ่มนิ่มเป็นกิ๊กกี่คนก็ได้ ยินดีด้วยนะที่พ่อแม่ไม่อยู่แล้ว

                    ผมต่อยประธานนักเรียน ตุ๊ยท้องเข้าไปเต็มๆ หมัดหนึ่งก่อนที่เขาจะไหวตัวทัน

                    ประธานนักเรียนงอตัวด้วยความจุก

                ผมพึ่งรู้สึกตัวว่าทำอะไรลงไป แต่ก็ช่างเถอะ โชคดีมากแล้วที่ผมไม่ได้ชกหน้า

                    “ฝากไว้ก่อนเถอะ” เขาบอกผมที่เดินจากมา

                    ยังมีคนใช้มุข ฝากไว้ก่อน หลังจากจบประถมไปแล้วอยู่อีกเหรอเนี่ย?

     

    ********************

     

                    กว่าผมจะไปถึงร้านกาแฟก็สายไปครึ่งชั่วโมง ทั้งๆ ที่ออกจากบ้านก่อนเวลาเกือบสามชั่วโมง แถมยังไม่ได้กินอะไรมาแม้แต่นิดเดียว

                ยัยแว่นนั่งอยู่ในร้าน ไกลจากโต๊ะประจำของผมไปมากพอดู จากสภาพโต๊ะที่เต็มไปด้วยถ้วยไอศกรีม กับแก้วเปล่า ผมคิดว่ายัยแว่นคงจะนั่งอยู่ตรงนี้อย่างน้อยสักชั่วโมงได้แล้ว

    แน่นอนว่าเธออยู่ในชุดไปรเวท อาจจะเป็นเพราะหิว ทันที่ที่เห็นผมก็รู้สึกเวียนหัวกับการแต่งตัวของเธอขึ้นมาทันที

    ยัยแว่นยังทำผมเปียคู่เหมือนเดิม แต่ชุดที่เธอสวมมันดูคุณหนูสุดๆ ผมจะอธิบายยังไงดี... เธอแต่งตัวเหมือนหลุดมาภาพยนตร์สักเรื่องที่มีท้องเรื่องอยู่แถวอังกฤษ ประเภทที่มีคฤหาสน์ใหญ่ๆ ของตระกูลอะไรสักอย่าง มีเจนเทิลแมนนั่งสูปไปป์หน้าเตาผิง โดยมีสุนัขโกลเดนรีทรีฟเวอร์หมอบอยู่แทบเท้า แล้วก็มีฉากเด็กผู้หญิงวิ่งบนทุ่งหญ้า กระโปรงขาวปลิวตามลม หมวกที่มีริบบิ้นขาวผูกโบว์ไว้โดนพัดลอยตามลม

    นั่นแหละ! ยัยแว่นแต่งตัวแบบนั้นเลย แถมยังมีหมวกปีกกว้างที่มีริบบิ้นขาวผูกอยู่วางอยู่บนเก้าอี้ข้างๆ เธอจริงๆ ด้วย!

    ผมคิดว่าจะเป็นเรื่องดีมากถ้าพนักงานของร้านคิดว่าเธอพึ่งซ้อมละครเวทีเสร็จ แทนที่จะสงสัยว่าเธอหลุดมาจากโรงพยาบาลแถวๆ นี้รึเปล่า

                    ยัยแว่นผุดลุกขึ้นด้วยความกระวนกระวายทันทีที่เห็นผม (ผมรู้สึกดีมากที่สังเกตเห็นว่าเธอไม่ได้สวมถุงมือสีขาวด้วย) ก่อนจะนั่งลงที่เดิม ผมเคยเห็นกริยาแบบนี้กำคนที่เฝ้ารอใครสักคนอย่างใจจดใจจ่อมาก่อน

                    “เรานึกว่าน่าจะไม่มาซะแล้ว... เอ่อ แต่เราไม่ได้ตำหนิที่นายมาสายหรอกนะ”

                    ผมรู้ ไม่ต้องย้ำน่า

                    “เธอไม่ร้อนบ้างเหรอ”

                    “หา?” ยัยแว่นเอียงคองงๆ

                    “เปล่าช่างมันเถอะ” ผมพึ่งนึกได้ว่าเธอพึ่งลงมาจากรถคันยาวๆๆ ที่เย็นฉ่ำไปด้วยแอร์ แล้วก็นั่งตากแอร์ต่อในร้าน

                    “อืมม” ยัยแว่นพยักหน้า เธอก้มหน้าลงมองโต๊ะ

                    ผมถอนหายใจเบาๆ กับท่าทางของเธอ

                    “มีเรื่องอะไรล่ะล่ะคราวนี้” ผมถาม พยายามให้น้ำเสียงอ่อนโยนลง

                    ยัยแว่นยังไม่เอ่ยอะไรออกมา ผมพึ่งสังเกตว่ามือของเธอขยุมกระโปรงขาวนั้นอยู่

                    ผมปล่อยให้เธอใช้เวลาตัดสินใจ หันไปสั่งอาหารกับบริกร ผมอยากกินอะไรธรรมดาธรรมดาอย่างกระเพรา แต่ร้านมีแต่พวกพาสต้าเท่านั้น

                    ยัยแว่นยังไม่เงยหน้าขึ้นจากโต๊ะ

                    ผมมองออกไปรอบตัว นอกจากพวกผมแล้วร้านยังมีลูกค้าอีกสามโต๊ะ เป็นเพื่อนผู้หญิงท่าทางเซ็งๆ สามคน คู่รัก และครอบครัวพ่อแม่ลูกสอง

                    ขณะที่ผมเกิดสงสัยขึ้นมาว่าคนอื่นจะมองมายังโต๊ะที่ผมนั่งอยู่ด้วยความคิดแบบไหน ยัยแว่นก็เอ่ยขึ้น

                    “นายคิดว่าเราบ้ารึเปล่า”

                    “เรื่องอะไรล่ะ” ผมได้แต่หวังว่าเธอจะไม่ได้พึ่งมาคิดว่าตัวเองแต่งตัวแปลกๆ ได้เอาตอนนี้

                    ยัยแว่นเงียบไปอีกพักหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นราวกับพึ่งตัดสินใจได้

                    “ช่วงนี้เรารู้สึกแปลกๆ”

    ผมเงียบ ปล่อยให้เธอเล่าต่อไป

    “บางครั้งจู่ๆ เราก็หลับไป เหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้าที่อยู่ดีๆ ปลั๊กก็หลุด อยู่ดีๆ ก็หลับไปเลย”

                    ผมบอกเธอว่า ผมรู้เรื่องนั้นดี

                    ยัยแว่นสายหน้าช้าๆ

    “ไม่ใช่แค่นั้น... เราฝัน”

                    “ฝัน?

                    เธอพยักหน้า

    “เรารู้สึกเหมือนตัวเองหลุดออกจากร่าง ล่องลอยไปในความฝัน ถึงจะจำเรื่องราวได้ไม่ปะติดปะต่อ แต่ก็รู้ว่า สถานที่ที่ฝันถึงเป็นสถานที่เดียวกัน และคนที่พบเป็นคนคนเดิม”

    ยัยแว่นยิ้มแหยงๆ ผมพึ่งรู้สึกตัวว่ากำลังปั่นหน้าเครียดมองจ้องเธออยู่

    “มันดูบ้าๆ ใช่ไหม? ช่างมันเถอะนะ...”

    ผมส่ายหน้า “เปล่า เล่าต่อไปเถอะ”

    ยัยแว่นมองหน้าผมแบบไม่ค่อยมั่นใจนักครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มเล่าต่อ

    “เมื่อรู้สึกตัวเราจะมาอยู่กับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ถ้าเราไม่อยู่ที่สนามเด็กเล่น ก็เป็นในห้องมืดๆ... เราพยายามแล้วแต่ออกจากที่นั่นไม่ได้” ยัยแว่นเอ่ยอย่างร้อนรน

    “ใจเย็นๆ” ผมบอกเธอ พยายามเรียบเรียงเรื่องที่ได้ยิน “ค่อยๆ เล่า”

    “ดูเหมือนเด็กที่อยู่กับเราก็ออกจากตรงนั้นไม่ได้เหมือนกัน เราไม่รู้ว่าพวกเราย้ายจากสนามเด็กเล่นไปมากับห้องนั้นได้ยังไง พวกเราได้แต่พูดคุยกันในสนาม ไม่ก็ห้องมืดๆ นั้น”

    ผมเผลอถอนหายใจออกมาเบาๆ

    “ห้องมืดๆ เหรอ”

    ยัยแว่นพยักหน้า

    “ห้องที่ดูเหมือนอยู่ในตึกร้าง ห้องเก่าๆ โทรมๆ อัดแน่นไปด้วยอากาศอับๆ กลิ่นหืนๆ ในห้องนั้นอึดอัดกว่าสนามเด็กเล่นมาก เราพยายามจะออกจากห้อง แต่ทำไม่ได้...”

    ยัยแว่นเหลือบมาขึ้นมามองหน้าผม ตอนนี้ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองทำหน้ายังไงอยู่

    “พอตื่นขึ้นเรารู้สึกอึดอัดมาก มันเป็นความรู้สึกปุบปับเหมือนตอนหลับ เหมือนอยู่ดีๆ เพียงชั่วพริบตาเราก็ย้ายจากห้องมืดๆ หรือไม่ก็สนามเด็กเล่นนั้นมาอยู่ตรงนี้ บางทีเราไม่แน่ใจว่าความจริงตัวเองยังติดอยู่ในห้องมืดๆ แต่ฝันไปว่าอยู่ตรงนี้รึเปล่า... ฟังดูบ้าบอใช่ไหม”

    ผมได้แต่สายหน้าช้าๆ ผมรู้ว่ามันไม่ใช่แบบนั้นเลย

     “เด็กที่ว่าใส่ติดโบว์สีขาวใช่ไหม”

    “นายรู้ได้ยังไง!” ยัยแว่นลุกขึ้น ยื่นหน้ามาหาผม

    “เธอบอกเองเมื่อกี้ ชั้นแค่ทวนเฉยๆ... ใจเย็น”

    “เหรอ...” ยัยแว่นนั่งลงช้าๆ

    ผมพยักหน้า ผมโกหก ผมเห็นเธอ

    “พวกเธอคุยอะไรกันบ้าง”

    ยัยแว่นไม่ตอบ ผมเปลี่ยนคำถาม

    “ทำไมถึงเล่าเรื่องนี้ให้ชั้นฟังล่ะ”

    ยัยแว่นยังก้มหน้างุด เธอไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาจากตักของตัวเอง

    ไม่นานบริกรยกพาสต้าชามใหญ่วางลงบนโต๊ะ ผมเริ่มกินมันช้าๆ

    ผมรู้แล้วน่า การทำให้สาวแว่นร้องไห้มันเป็นความผิดที่พระเจ้าไม่ให้อภัยใช่ไหมล่ะ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×