ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องของผมกับผี? 2

    ลำดับตอนที่ #6 : โบว์ -3-

    • อัปเดตล่าสุด 10 พ.ย. 52


     

    -3-

                เช้าวันรุ่งขึ้นผมถูกปลุกด้วยเสียงประหลาด

                    ตอนนั้นผมกำลังบุกเข้าไปในปราสาทจอมมาร ผมฝ่าฝูงมอนสเตอร์ด้วยความช่วยเหลือจากนัดดาบหัวเกรียนกับนักเวทย์เด็กชายหน้าสวย พวกเราสู้ร่วมกันมาจนถึงชั้นสามสิบ ในที่สุดพวกเขาสองคนก็สละตัวเองถ่วงเวลาต่อสู้กับอัศวินดำเพื่อให้ผมผ่านไปพบกับจอมมาร แต่ก่อนที่ผมเปิดประตูห้องที่แขวนป้ายบอกไว้ว่า “ห้องบอสใหญ่” เสียงคำรามของจอมมารก็ดังขึ้นจากภายใน

                    เสียงคำรามสั่นประสาทน่าเวียนหัวปลุกผมจากนิทรา ผมนึกอยู่นานกว่าจะนึกออกว่าเสียงนั้นมาจากไหน

                    ผมพาร่างสะโหลสะเหลไปยังห้องรับแขก ผมจำไม่ได้ว่าไม่มีคนโทรเข้าโทรศัพท์บ้านมานานแค่ไหนแล้ว นานจนผมลืมไปแล้วว่ามันวางไว้ตรงไหน

                    “ฮาโหล”

                    ผมจำเสียงปลายสายได้ทันที ยัยแว่นนั่นเอง

                    “มีธุระอะไร?

                    “อะ เอ่อ...”

                    ผมดูนาฬิกา ตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงเช้าของวันเสาร์ ผมถอนหายใจด้วยความเซ็ง

                    “โทรมาทำไม”

                    “หา... ก็นายปิดมือถือนี่”

                    ถึงผมจะไม่เห็นหน้ายัยแว่นแต่ก็จินตนาการหน้าตาเหลอหลาของเธอออกจากชัดเจน

                    “อ่า... แล้วมีธุระอะไรล่ะ”

                    “...เอ่อ”

                    “อืมมมมม” ผมลากเสียงยาว รู้สึกเหมือนตัวเองจะหลับอีกรอบทั้งๆ ที่ยังยืนอยู่

                    “คือว่า...”

                    “ว่า?

                    “นายว่างรึเปล่า” จู่ๆ ยัยแว่นก็ตะโกน ผมดึงโทรศัพท์ออกห่างจากหูแทบไม่ทัน

                    “ตอนนี้ไม่... โทรศัพท์อยู่” ผมคิดว่ายังแว่นเอ๋อไปประมาณสิบวินาทีได้

                    “อะ... อือ ขอโทษนะ งั้น เอ่อ... เดี๋ยวเราโทรมาใหม่”

                    ยัยแว่นวางหูไปจริงๆ

                    ผมกระพริบตาปริบๆ นั่งลงกับโซฟาแล้วกุมขมับ... เออก็ได้ฟะ

                    ผมกดสายโทรกลับหายัยแว่น ซึ่งรับสายแทบจะทันที

                    “ตอนนี้ยังโทรศัพท์อยู่ แต่ว่างกว่าเดิม มีเรื่องอะไร รีบว่ามา”

                    “คือว่า...”

                    ผมถอนหายใจ “ชั้นจะนับถึงสาม ถ้าเธอไม่เข้าเรื่องชั้นจะวางสายแล้วนะ”

                    “เอ่อ”

                    “หนึ่ง”

                    “คือว่า”

                    “สอง”

                    “นายว่างไหม”

                    “สาม”

                    “ออกมาเจอกันหน่อยสิ” เสียงตะโกนของยัยแว่นดังออกมาจากหูโทรศัพท์ที่ผมกำลังจะวางหู โชคดีที่คราวนี้มันไม่ได้แนบอยู่ที่หูผม

                    “หา?

                    “เอ่อ... คือว่า... เรามีเรื่องอยากจะปรึกษา”

                    “พูดทางโทรศัพท์ไม่ได้เหรอ”

                    “...”

                    ผมเดาเอาว่ายัยแว่นกำลังส่ายหน้าอยู่

                    “เรื่องอะไรล่ะ”

                    “คือว่า... เรื่องสำคัญ”

                    “ขนาดที่พูดทางโทรศัพท์ไม่ได้?

                “...” คราวนี้เธอคงจะพยักหน้าแหงมๆ แล้วก็คงจะก้มหน้างุดไม่เงยขึ้นมาอีกเลย

                    ผมขยี้ผมตัวเองด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ

                “เออ ก็ได้”

                    “เอ๋” เธออุทานเหมือนผมพึ่งบอกว่าจริงๆ แล้วตัวเองเป็นมนุษย์ต่างดาวออกไป “อืมม งั้นเดี๋ยวเราให้คนไปรับนะ”

                    “ไม่ต้องเลย!!” ผมนึกถึงไอ้รถสีดำคันยาวๆๆๆ ของบ้านยัยแว่นแล้วสยอง “นัดที่มา ชั้นจะไปเอง”

                    “มาที่บ้านเราดีไหม”

                    “ไม่” ผมบอกชื่อร้านกาแฟแถวๆ บ้านและที่ตั้งออกไป

                    “อืมม ได้... เราน่าจะไปถึงในครึ่งชั่วโมง”

                    “เจอกันบ่ายสาม”

                    “หา?

                    “บ่ายสาม! ผมย้ำ

                    “อืมม ก็ได้”

                    “โอเค งั้นตามนี้”

                    ผมวางหู เดินกลับไปล้มตัวลงบนเตียง ขณะที่จมกลับเข้าไปในห้วงนิทราสมองยังมึนๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่เลย

                    น่าเศร้าที่ผมไม่ได้กลับมาอยู่ที่ปราสาทจอมมาร ทั้งๆ ที่เหลือแค่บอสใหญ่ก็กู้โลกได้แล้วแท้ๆ คราวนี้ผมดันมาโผล่ในสวนกว้างสุดลูกหูลูกตา ต้องมานั่งเก็บสตรอว์เบอรี่กับฝูงกระต่ายขนปุย ที่เอาแต่บ่นเรื่องหุ้นตกซ้ำไปซ้ำมาแทน

                    นี่เป็นความผิดของยัยแว่นเต็มๆ

     

    ********************

     

                ผมตื่นขึ้นมาอีกทีตอนสิบเอ็ดโมงครึ่ง เมื่ออาบน้ำแต่งตัวเสร็จผมพบว่าตัวเองหิวท้องกิ่ว แถมยังว่างจัด จึงตัดสินใจออกไปเดินเล่น หาอะไรกินข้างนอกแถวๆ ที่นัดหมาย พอถึงเวลาผมจะไปเข้าไปหายัยแว่นที่ร้านกาแฟได้ทันที

                    พอเดินออกจากบ้านได้ครึ่งทางผมก็รู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจพลาดสุดๆ

                ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ผมจำได้ว่าเมื่อเดือนที่แล้วผมยังต้องใส่เสื้อกันหนาวตัวบิ๊กเบิ้มออกมาเดินอยู่เลย แล้วไหงเพียงเวลาไม่กี่อาทิตย์มันอุณหภูมิมันถึงเปลี่ยนได้ขนาดนี้หว่า

    ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเดินทางข้ามทะเลทรายซาฮารา ผมสาบานว่าผมเห็นไอแดดกระเพื่อมระยับบนพื้นซีเมนต์ข้างหน้า ยังกับทะเลสาบภาพหลอนอะไรทำนองนั้น

                สุดท้ายผมก็ตัดสินใจนั่งพักลงตรงม้านั่งใต้ร่มไม้ข้างทาง

    ตรงนั้นเอง ผมพบชายชราคนหนึ่ง

    ผมลืมไปเลยว่าตรงนี้เป็นที่ประจำของเขา

    ผมมักจะเห็นเขากำลังโขกหมากรุกกับเพื่อนในขณะที่ผมเดินผ่านตรงนี้หลังกลับจากโรงเรียน

                    เขาเป็นชายชราประเภทที่เห็นได้ทุกที ผมขาว เหลือเพียงครึ่งหัว เต็มไปด้วยริ้วรอยจากความโหดร้ายของเวลา

    ชายชราใส่เสื้อผ้าเก่าโทรมสกปรกจนดูเหมือนไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อด้วยซ้ำ ผมเคยได้ยินพวกป้าๆ ซุบซิบกันด้วยน้ำเสียงดูถูกว่า ทำไมถึงไม่มีลูกหลานมาดูแลแกนะ

    แต่ผมไม่คิดแบบนั้นหรอก หน้าตาแกตอนเล่นหมากรุกน่ะมีความสุขจะตาย มากกว่าพวกปู่ของเพื่อนรวยๆ ของผมด้วยซ้ำ

    ว่ายังไงดี มันดูเหมือนเด็กที่กำลังเล่นของเล่นมากกว่า ผมไม่เคยเห็นชายชราคนไหนมีสีหน้าแบบนี้นอกจากแก

    แต่ว่าวันนี้แกไม่ได้มีสีหน้าแบบนั้น ชายชราได้แต่นั่งเรียงหมากเล่นคนเดียวด้วยความหงอยเหงาตั้งแต่เที่ยงวัน

    ผมรู้ แกคงจะตายไปแล้ว

    สีหน้าของชายชราหงอยเหงามาก เขากลายเป็นตาแก่ธรรมดาๆ คนหนึ่ง เศษซากของความชราที่น่าเจ็บปวด... แต่ไม่ใช่เรื่องของผมนี่หว่า

    ไม่รู้ทำไม ผมคิดถึงกระต่ายในฝันเมื่อครู่

    และไม่รู้ทำไมผมจึงยื่นมือไปเลื่อนเบี้ยตัวหนึ่ง

    ชายชราเงยหน้าขึ้น มองผมด้วยความตกใจ ก่อนจะยิ้ม

    ดวงตานั้นเป็นประกายอีกครั้ง

    เขาเดินหมากตอบโต้ทันที

    ผมลืมไปแล้วว่าใครเป็นคนสอนวิธีเล่นเกมส์แบบนี้ให้ผม

    เกมส์เทิร์นเบสเชื่องช้า เก่าแก่ ไม่มีกราฟฟิก ไม่มีเสียงประกอบ ไม่ออนไลน์ ตัวละครไม่น่ารัก ตาเดินของหมากตายตัวไม่หลากหลาย ไม่มีไอเท็มให้เก็บ ไม่มีตัวละครลับ ไม่มีแผนที่ใหม่ น่าตกใจที่อยู่มาได้จนป่านนี้

    ผมลืมเรื่องหิว กับยัยแว่นไปแล้ว สมาธิอยู่กับกระดาน ผมค่อยๆ คิด เดินหมากช้าๆ ชายชราไม่ได้เร่ง เขาเดินอย่างคล่องแคล่ว แต่ไม่ได้ตำหนิความเชื่องช้าของผม

                    ผมค่อยๆ ถูกไล่ทีละนิด

                สู้ไม่ได้เลย อีกฝ่ายสามารถตอบโต้ได้ทันทีจากประสบการณ์ เขาอ่านล่วงหน้าได้เป็นสิบตาในขณะที่ผมยังมองไม่ทั่วกระดานด้วยซ้ำ

                    กระนั้นเขาก็เดินกับผมด้วยท่าทางสนุกสนาน กระนั้นผมก็ไม่ได้รู้สึกว่านั่นเป็นรอยยิ้มเยาะเย้ยเลย

                    หมากเริ่มต่างกันทีละตัว แล้วก็ห่างกันสองตัว

                    ผมค่อยๆ โดนไล่ต้อน

                    จากจะชนะยังไง ผมต้องคิดว่าจะเสมอยังไง จากเสมอยังไง ผมได้แต่คิดว่าเดินยังไงถึงจะไม่จนเร็วนัก

                    ผมกำลังจะจน ได้แต่ก้มหน้าครุ่นคิดว่าจะเอาตัวรอดยังไง ครุ่นคิดเนิ่นนาน

                    ในที่สุดผมก็คิดออก ผมเคลื่อนหมาก ทว่าเขาไม่โต้ตอบ

                    ผมเงยหน้าขึ้น ชายชราหายไปแล้ว

                    เจ็บใจ ชนะแล้วหนีงั้นเหรอ

                    เจ็บใจจนอยากร้องไห้ เจ็บใจชะมัดเลย!

                    ผมก้มลงมองตัวหมากบู้บี้ ผมไม่มีโอกาสได้แก้มืออีกตลอดกาล

     

    ********************

     

                    ผมนั่งอยู่ตรงนั้นอยู่นานก้มหน้ามองกระดาน

                    ผมรู้สึกเหมือนหลับไปทั้งๆ ที่ยังลืมตาอยู่จนได้ยินเสียงแตรรถจากถนน

    เมื่อเงย หน้า ผมก็เห็นรถเก่งสีบรอนซ์จอดอยู่ข้างๆ คุณป้านั่งเอง

                    ผมพึ่งรู้สึกตัวว่า นอกจากหิวแล้ว ตอนนี้ผมรู้สึกกระหายน้ำสุดๆ เหงื่อโทรมกาย แดดเผาจนแสบผิวแสบหน้าไปหมด

    ถึงถนนจะโล่งแต่ก็ไม่ควรเอารถมาจอดกลางถนนอยู่ดี ด้วยเหตุนี้ผมจึงรีบเปิดประตูขึ้นไปนั่งข้างคนขับ

                “ทำไมถึงได้ออกมาเดินตากแดดตอนเที่ยงล่ะ”

                    นั่นแหละ ผมก็อยากรู้เหมือนกัน

                    คุณป้าสวมเชิ้ตสีขาว กระโปรงพลีตสีชมพูอ่อน ถือร่มกันแดดสีบานเย็น อย่างที่กล่าวไป เธอดูเหมือนพี่สาวของเพื่อนของผม มากกว่าแม่ ใบหน้าของเธอแทบไม่ต่างจากลูกสาวเลย เพียงแต่มีแววตาสงบนิ่งแทนแววตาดื้อรั้นและรวบผมมวยขึ้นไว้ไม่ได้ปล่อยลงมาเหมือนลูกสาวเท่านั้นเอง

    “แล้วคุณน้าล่ะครับ” ผมถามกลับ แทนที่จะตอบคำถาม

    “น้ากำลังจะไปซื้อของจ้ะ” เธอตอบคำถามโดยไม่ถือสากับความไร้มารยาทของผม ผมหวังว่าเธอคงจะชินแล้วล่ะมั้ง “พอดีว่าคิดจะทำเค้กขึ้นมาแต่แป้งหมด เลยกะจะออกมาซื้อของอื่นๆ ด้วยเลย”

    “ตอนเที่ยงเนี่ยนะครับ”

    “จ้ะ”

    ผมปาดเหงื่อที่ปลายคางด้วยแขนเสื้อ จริงๆ ผมเองก็ออกมาเดินกลางแดดตอนเที่ยงนี่หว่า

    เธอยิ้มให้ผม เริ่มขับรถออกไปโดยไม่พูดอะไร

    ชั่วขณะนั้นผมอดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าจะเป็นอย่างไรถ้าลูกสาวของเธอยิ้มให้ผมแบบนี้บ้าง รอยยิ้มของเธอจะเป็นแบบไหนกันหนอ

    ไม่รู้ทำไมผมจึงเอ่ยเรื่องชายชราเมื่อครู่ออกมา

    ผมเล่าเรื่องของยัยแว่นให้เธอฟัง

    เล่ากระทั่งเรื่องของกระต่าย กับพวกผู้กล้า

    “มันไม่ใช่เรื่องของลูกสักหน่อย” จู่ๆ คุณป้าก็พูดออกมา

    “หา”

    “ทั้งหมดนั่นไม่ใช่เรื่องของเธอเลยสักนิดเดียว ไม่ใช่เหรอ?

    หมายความว่ายังไงครับ เธอหมายถึงเรื่องไหน เรื่องของยัยแว่น ชายชรา กระต่าย พวกผู้กล้า? เธอเอ่ยแบบนี้เพราะเริ่มรำคาญเรื่องไร้สาระของผมเหรอ?

    คุณป้าหัวเราะเบาๆ

    ความจริงผมรู้สึกไม่พอใจนิดๆ แต่เมื่อเห็นเธอยิ้มแบบนี้กลับโกรธไม่ลง

    ด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่เอ่ยอะไรออกมาอีกเลย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×