ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สงครามสุดเพี้ยนของเหล่าเกรียนหลุดโลก

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 2 เพื่อนสมัยเด็กกับเจ้าหญิงแห่งแสง -2-

    • อัปเดตล่าสุด 27 ธ.ค. 58


     

    บ้านของผมเป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นขนาด 50 ตารางวาที่ตั้งอยู่ในเขตหมู่บ้านชนชั้นกลาง ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองไปเล็กน้อย แน่ล่ะว่า บ้านหลังนี้เป็นหนึ่งในบ้านที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับการขยายตัวของตัวเมืองในช่วงฟื้นตัวจากวิกฤตต้มยำกุ้งเป็นต้นมานั่นเอง

    พวกผมนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น เสียงเครื่องซักผ้าที่กำลังซักชุดของผมกับอายาเรียและชุดที่นอนอยู่ดังมาจากนอกบ้าน

    ฝั่งตรงข้ามของผมคือเด็กสาวสองคน อายาเรียใส่ชุดไซท์ของไอไม่ได้จึงกำลังใส่เสื้อยืดและกางเกงวอมของผม ส่วนไอยังอยู่ในชุดนักเรียน

    “นอกจากจะปิดผนึกพลังและความทรงจำแล้วยังลงคำสาปป้องกันไว้ด้วยงั้นเหรอคะ” นี่คือความเข้าใจแบบของอายาเรีย​ “เป็นคำสาปที่ร้ายกาจมาก เพียงแค่ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเวทมนตร์ร่างกายก็ส่งผลต่อต้านแล้วอย่างงั้นเหรอ”

    “หมายความนายเป็นโรคต่อต้านเรื่องเพ้อเจ้อสินะ” และนี่คือความเข้าใจแบบของไอ

    “ตามนั้นล่ะ” ผมบอก

    “แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ” ไอพูดต่อไป “การบอกว่าเมดกับสูทขาวนั่นเป็นนักมายากลก็ไม่สมเหตุสมผลหรอกนะชิน”

    “ไม่ได้หรอก” ผมบอก “เวทย์มนตร์ไม่มีจริงบนโลกหรอก”

    “เข้าใจแล้ว” ไอบอก “เอาแบบนั้นก็ได้”

    อายาเรียมองผมด้วยใบหน้าสงสารจับใจ

    “นายบอกว่าอายาเรียออกมาจากเรื่องที่เขียนไว้ในสมุดสีดำของนายสินะ ชั้นหมายถึงว่าลอกเลียนแบบคาแร็ตเตอร์น่ะนะ”

    “ใช่แล้ว อายาเรียบอก สมุดสีดำนี้คือ “คัมภีร์บันทึกประวัติศาสตร์มืด” ที่เขียนเรื่องราวสงครามครั้งก่อน และคำทำนายศึกที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไว้”

    “มันเป็นเรื่องเพ้อเจ้อที่ชั้นเขียนไว้สมัยเด็กน่ะ” ผมตอบ

    อายาเรียมองผมด้วยท่าทางพยายามให้กำลังใจสุดๆ

    “ถ้าอย่างนั้น” ไอพูดต่อไปอย่างใจเย็น    “หมายความว่า นายเป็นร่างอวตารของซาตานที่สังหารพระเจ้าในชาติที่แล้วสินะ ชั้นหมายถึงเรื่องที่นายเขียนลงสมุดน่ะนะ”

    “ประมาณนั้น”

    “และเธอคนนั้นคือ อายาเรีย อัศวินจากอีกโลกที่มาปกป้องนายจากพวกเทพเจ้าที่จะมาทำร้าย เพราะสัญญาที่ทำกันไว้ตั้งแต่ชาติก่อน”

    “ใช่แล้ว”

    “แล้วเพราะว่านายถูกยิงไปเมื่อตอนเย็น เธอจึงจำเป็นต้องใช้เวทย์รักษาใช่มั้ย ชั้นหมายถึงว่าแบบที่เธอเข้าใจน่ะนะ”

    “ใช่ๆ เธอก็เห็นนี่ ไอ้โลกสีแดง สูทขาว กับเมดนั่นน่ะ มายากลพวกนั้นน่ะ”

    “แล้วอายาเรียก็บอกว่า บังเอิญว่าพลังในตัวนายเป็นธาตุความมืดเข้มข้น จึงต้องแนบตัวเพื่อรักษาสินะ”

    “ฮะๆๆ ลำบากจังเนอะ” ผมเกาหัวแกรกๆ

    “งั้นถามอะไรสักหน่อยสิ”

    “ว่ามาเลยครับ”

    “หมายความว่าเงื่อนไขในการใช้เวทย์มนตร์นี้ก็เกิดจากสิ่งที่เขียนไว้ในสมุดใช่มั้ย”

    “...เอ่อ เรื่องนั้น คือว่า...”

    “ที่สำคัญ นายรู้สึกว่าหน้าตาของอายาเรียนี่คุ้นๆมั้ย”

    ไอมองผมด้วยสายตาเสียดแทงไปถึงกระดูก

    ผมรู้สึกเสียวสันหลังวาบ เหงื่อเริ่มแตกพลั่กออกมาทั้งตัว แต่ก็ยังพยายามปั้นหน้ายิ้มสู้

    “บ... บังเอิญมั้ง คิดไปเองหรือเปล่า”

    “ชิน เป็นอะไรรึเปล่า สีหน้าไม่ดีเลยนะ”

    “ป... เปล่า... ไม่มีอะไร”

    “เหรอชั้นคิดไปเองหรือเปล่า ว่าอายาเรียนี่หน้าตาเหมือนชั้นจังเลยนะ”

    “ม... ไม่หรอก... เพราะอายาเรียเป็นชาวยุโรป ส่วนเธอเป็นลูกครึ่งใช่มั้ยล่ะ”

    “งั้นเหรอ...”

    “ใช่สิ เทียบขนาดหน้าอก ส่วนสูง สีผม สีตา ไม่เหมือนกันเลยจริงมั้ย”

    ดูเหมือนผมพูดอะไรผิดไปสักอย่าง คิ้วของไอรยาจึงยิ้มออกมา

    ไอรยาบอกด้วยน้ำเสียงอันแสนเย็นชา และยิ้มออกมา

    …ซวยแล้ว ตู

    ไอเป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ทางสีหน้าสักเท่าไหร่นัก

    ตั้งแต่สมัยเด็กแล้วมีกฎข้อหนึ่งที่ห้ามละเมิดเด็ดขาด

    คือ อย่าไปทำให้ไอยิ้มออกมาเด็ดขาด

    จะว่าไปมันก็เหมือนกฎตลกๆ เพี้ยนๆ แบบในการ์ตูนอย่าง อย่าไปทำให้ ชากะ ในเซ็นต์เซย่าลืมตาเด็ดขาด อะไรพวกนี้ เป็นโจ๊กตลก ๆ ที่ถูกเขียนขึ้นให้พวกตัวละครมีเอกลักษณ์นั่นล่ะ

    แต่กับไอแล้วไม่ใช่

    สำหรับเด็กสาวคนนี้นั้น มันคือ กฎที่ห้ามละเมิดอย่างแท้จริง

    เพราะ ถ้าเมื่อใดก็ตามที่ไอแสดงรอยยิ้มออกมานั้น หมายความว่า เธอกำลังโกรธจัดนั่นเอง

    ซึ่งผมไม่นึกว่า ตัวเองจะได้เห็นไอกำลังยิ้มแก้มปริให้แบบนี้

    “เดี๋ยว ไอ ใจเย็นก่อนนะ”

    “หืม? ทำไม ฉันต้องใจเย็นด้วยล่ะ”

    “เดี๋ยวสิ ฟังฉันอธิบายก่อนนะ”

    “อธิบายเหรอ เมื่อกี้นายอธิบายจนหมดแล้วไม่ใช่เหรอ” ไอยังคงยิ้มอยู่แบบนั้น

    “ขอโทษด้วย ชั้นผิดไปแล้ว ยอมรับอย่างลูกผู้ชายเลย” ผมเอ่ยขออภัยด้วยความแมนก่อนจะก้มลงกราบ

    ทำกันขนาดนี้แล้ว ต่อให้เป็นไอก็เถอะ น่าจะคิดถึงความหลังสมัยเด็กและยกโทษให้กันบ้างล่ะน่า

    แต่สิ่งที่ผมเห็นคือรอยยิ้มหวานหยดย้อยของไอ

    ผมยิ้มตอบแห้งๆ อา... ทั้งๆ ที่คิดว่าจะมีเศษเสี้ยวของความเมตตาอยู่บ้างแท้ๆ

    ด้วยเหตุนี้ ครู่ต่อมา ผมก็ต้องรับโทษทัณฑ์ตัวตัวเอง

    เสียงร้องโหยหวนของผมดังลั่นไปทั้งบ้าน

     

    ++++++++++++

     

    “ทำไมคนคนนี้ถึงทำร้ายชินล่ะ... ให้ข้าเรียกเอ็กคาลิเบอร์ออกมาจัดการเลยมั้ย” อายาเรียกระซิบ

    “อย่าเชียวนะ” ผมกระซิบตอบด้วยใบหน้าจริงจัง​ “ถึงจะเป็นเธอก็ตาม... แต่ไม่ไหวหรอก เธอเห็นลูกเตะเมื่อกี้แล้วใช่มั้ยล่ะ ถ้าเกิดชั้นไม่ใช่ร่างอวตารของซาตานล่ะก็ชั้นคงจะตายไปแล้ว มีแต่ร่างจริงของซาตานเท่านั้น ที่จะชนะได้ เราต้องยอมรอไปก่อนจนกว่าจะปลดปล่อยพลังได้ นี่เป็นกลยุทธ”

    “แต่ถ้าเราสองคนรุม อาจจะมีโอกาส”

    “ไม่ได้!! ชั้นจะยอมให้เธอเสี่ยงไม่ได้เด็ดขาด สัญญากับชั้นสิว่าจะไม่สู้กับไอรยาเด็ดขาด”

    “ช... ชิน” อายาเรียพยักหน้าในที่สุด

    “ไอรยาเป็นเพื่อนสมัยเด็กของชั้น ชั้นไม่อยากให้พวกเธอทะเลาะกันด้วย...”

    “หมายความว่าพันธมิตรอย่างงั้นเหรอ”

    “ประมาณนั้นล่ะ”

    “อืมม แนวทางของซาตานต้องไม่ใช่การทำลายแต่เป็นการยึดครองแบบนั้นสินะ”

    “ทำนองนั้นล่ะ”

    พวกผมกระซิบกระซาบคุยกัน ในขณะที่ไอรยาเหมือนกำลังคิดอะไรบ้างอย่างอยู่ เธอกอดอกพลางส่งสายตามองมาทางผมอยู่ตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว

    “นี่” ไอรยาเรียกผม

    “ครับ” ผมสะดุ้งรับ

    “เจ้าสูทขาวกับเมดนั่นมีในคำภีร์ของนายหรือเปล่า”

    “ไม่มี” ผมตอบ ผมมั่นใจว่าไม่เคยเขียนคาแร็คเตอร์แบบนั้นแน่นอน “สิ่งที่เขียนในสมุดเล่มนั้น เป็นเรื่องของเด็กหนุ่มที่ชาติก่อนเป็นซาตานแต่ต่อสู้แพ้พระเจ้า จึงส่งบันทึกประวัตศาสตร์มืดข้ามมิติไปให้ตัวเองในชาติต่อไป เมื่อเด็กหนุ่มที่เป็นชาติต่อไปได้สมุดจึงอัญเชิญอายาเรียออกมาตามสัญญา และต่อสู้กับเทพเจ้าที่ถูกส่งมากำจัดเด็กหนุ่ม ในเรื่องไม่มีเจ้าสูทขาวแบบนี้”

    “ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าเราไม่ได้อยู่ในสงครามศักดิ์สิทธิ์ที่นายเขียนไว้แล้วล่ะ” ไอสรุป “หมายความว่าพวกสูทขาวไม่ได้เลียนแบบสงครามที่นายเขียนไว้น่ะนะ”

    “นั่นสินะ” ผมลองคิดดู “บางทีนี่คงเป็นเกมส์ของพวกโรคจิตกลุ่มใหญ่ ที่จับเรื่องเพ้อเจ้อของหลายๆคนมายำรวมกัน เป็นเกมส์สวมบทบาทเรื่องที่ตัวเองเพ้อเจ้อ แล้วมาสู้กันก็ได้นะ”

    แต่ถ้าอย่างนั้นพวกสูทขาวก็เป็นตัวอันตรายมากๆน่ะสิ

    “จากนี้ไป ชิน จะเอายังไงล่ะ” ไอถาม

    “เอายังไงนี่คือ”

    “พวกนั้นอยากได้สมุดนี่ใช่มั้ยล่ะ ก็ให้สมุดไปสิ จะได้ไม่ต้องยุ่งกับเรื่องนี้”

    พอได้ยินไอ พูดแบบนั้น อายาเรียที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ส่งเสียงดังออกมาทันที

    “ทำแบบนั้นไม่ได้นะ” อายาเรียเอ่ยแทรกขึ้นเบาๆ

    “ทำไม?”

    “เพราะ...” อายาเรียก้มหน้าเหมือนพยายามคิดเหตุผล “เพราะการโค่นล้มพระเจ้าเป็นหนึ่งในสัญญาที่ผูดติดอยู่กับวิญญาณของข้ายังไงล่ะ ถึงจะไม่พอใจ แต่เพราะสัญญานี้ทำให้ยังไงข้าก็ต้องโค้นล้มพระเจ้าให้ได้”

    “ทำไมล่ะ มันขัดกันไม่ใช่เหรอ เธอเองก็ถูกบังคับเพราะสัญญานี่”

    “ตะ... แต่ ถึงไม่ได้อยากทำสัญญาอะไรนั่นก็เถอะ แต่จะให้ไปอยู่ในมือของไอ้คนแบบนั้น ข้ายอมไม่ได้เด็ดขาด เพราะงั้น เรื่องการมอบสิทธิใน คัมภีร์อัญเชิญพันธะวิญญาณ เป็นเรื่องที่ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่งและข้าขอคัดค้านค่ะ”

    “งั้นก็เผาสมุดนี้ทิ้งก็สิ้นเรื่องแล้ว สัญญาจะได้จบลง และเธอก็จะได้กลับบ้าน”

    เมื่อไอพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ผมก็พึ่งนึกได้ว่ามีพล็อตโฮลแบบนี้ด้วย เพราะตัวผมที่เป็นเด็ก ม.ต้น นั้นไม่คิดว่าจะมีคนหลบหนีจากชะตากรรมเช่นนี้ด้วยการเผาสมุดทิ้ง จริงๆถ้าทำแบบนั้นพระเจ้าอาจจะยกโทษให้ง่ายๆก็ได้

    “น...นี่หมายความว่า เจ้าจะบอกให้ข้าวิ่งหนีศัตรูที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่เหรอ” แต่เป็นอายาเรียที่โวยออกมา

    “เปล่าสักหน่อย ชั้นแค่เสนอทางออกที่เหมาะสมที่สุด พวกเธอไม่ได้อยากจะเป็นพระเจ้ากันไม่ใช่เหรอ งั้นแค่มอบตำแหน่งให้คนที่อยากเป็นไปก็จบแล้ว”

    “นี่เธอไม่มีศักดิ์ศรีเลยหรือไง นี่เธอคิดว่า นามอัศวินแห่งแสงสว่างของข้า เป็นแค่ของไว้ประดับเล่นๆสวย ๆ แค่ไหนหรือยังไงกัน เจ้าสูทขาวนั่นมันหยามข้ากับชินไว้ ถ้าเรายังยอมแพ้ให้มันง่ายๆล่ะก็”

    “ไม่มีเหตุผลเลย แล้วศัตรูก็ใช่ว่าจะมีคนเดียวสักหน่อย ถ้ามีศัตรูคนอื่นๆอีกล่ะ”

    “ก็แค่ชนะให้หมดทุกคนก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ”

    อายาเรียเริ่มหงุดหงิดกับคำพูดของไอที่ยิงเข้าใส่อย่างไม่เกรงใจแบบนี้ กระนั้นเอง ไอก็ไม่ได้หวั่นไหวกับท่าทางของอายาเรียสักนิด

    แน่ล่ะว่า บรรยากาศของทั้งคู่ตอนนี้ต้องเรียกว่า มาคุ จนอึดอัดด้วยซ้ำ แถมการที่ทั้งคู่หน้าตาเหมือนกันแต่นิสัยคนล่ะขั้วแบบนี้ยิ่งทำให้เป็นเหมือนชนวนที่ทำให้ทั้งสองมีความเห็นไม่ตรงกันแบบนี้จนได้

    เพราะฉะนั้น

    “นี่…นี่ พวกเธอช่วยฟังความเห็นฉันหน่อยได้ไหม”

    ทั้งไอและอายาเรียหันควับมองมาที่ผมพร้อม ๆ กันคล้ายจะบอกว่า รีบ ๆ พูดออกมาซะ ไม่งั้นนายตายแทนแน่ๆ

    “เออ...ที่จริงแล้วต้องบอกว่า ฉันก็ไม่อยากจะไปร่วมสงครามอะไรนั้นหรอกนักหรอกนะ แต่...”

    อายาเรียตกใจกับคำพูดของผมจนออกสีหน้า ขณะที่ไอเอียงคอเล็กน้อย

    “แต่อะไร?”

    “ก็...นะ ถึงจะเลิกไม่ยุ่งเกี่ยวกับสงครามที่ว่านั่น แต่เราไม่มีหลักประกันเลยว่าสูทขาวจะไม่ทำร้ายเราอีก ถ้าเราเผาสมุดทิ้งตอนนี้ แล้วสูทขาวเกิดบุกเข้ามา เราไม่แย่เอาเหรอ”

    “อย่าห่วงเลยชิน ตัวข้าทำพันธะสัญญาทางวิญญาณของชินมาตั้งแต่ชาติปางก่อน ดังนั้น ข้ามีหน้าที่เป็นทั้งดาบ โล่ให้กับชิน ดังนั้นต้องบอกว่า มันคือ หน้าที่หนึ่งของข้าในสงครามการต่อสู้ครั้งนี้ด้วย” อายาเรียเอ่ยแทรก

    ไอถอนหายใจ

    “ถ้าอย่างนั้น ทางที่ดีที่สุดคือเก็บเจ้าสมุดนี้ไว้ก่อน และต่อรองกับสูทขาวก่อนค่อยตัดสินใจสินะ” ไอกล่าวอย่างจนใจ “เอาล่ะ จบเรื่องนี้สักที แถมนี่ก็ดึกมากแล้วด้วย”

    “นั่นสินะ ใกล้จะสี่ทุ่มแล้วด้วย”

    “พรุ่งนี้คิดจะหยุดมั้ย” ไอรยาถามผม

    ผมคิดอยู่พักหนึ่ง จึงเข้าใจว่าเธอหมายถึงบาดแผลของผม

    “ไม่หรอก พรุ่งนี้ไอ้สูทขาวอาจจะโจมตีที่โรงเรียนอีกก็ได้ใช่มั้ยล่ะ”

    “นั่นสินะ แล้ว จะเอายังไงกับยัยอัศวินดีล่ะ”

    ผมมองอายาเรียที่นั่งอยู่ข้างๆ

    “ก็คงต้องให้อยู่ที่นี่ล่ะมั้งนะ”

    ผมพูดลอย ๆ ไปแบบนั้น โดยไม่ทันคิดว่า ตัวเองจะขุดหลุมฝังตัวเองอีกรอบจนได้ เพราะ ดูเหมือนไอจะไม่พอใจขึ้นมาอีกแล้ว

    “อยู่ที่นี่? หมายถึงนอนในบ้านหลังนี้กับนายเนี่ยนะ”

    “ชะ…ชะ…ใช่ แล้วทำไมเหรอ”

    “สมมุตินะ ถ้าเกิดว่ามีคนที่น่ารังเกียจพอๆกับแมลงสาป ที่เขียนเพ้อเจ้อลงสมุด ให้เพื่อนสมัยเด็กที่ดันมีหน้าอกโตกว่าเดิมมาเป็นอัศวินที่สาบานว่าจะปกป้องตัวเองล่ะก็ นายคิดว่าจะปล่อยให้คนแบบนี้อยู่กับผู้หญิงสองต่อสองในบ้านที่ไม่มีผู้ปกครองอยู่เพราะไปทำงานเมืองนอกกันหมดมั้ยล่ะ”

    “ไปกันใหญ่แล้ว ไอ ฉันไม่ได้คิดขนาดนั้นเลยนะ ก็แค่ ไม่รู้ว่าจะให้อายาเรียไปอยู่ที่ไหนเท่านั้นเอง”

    “เรียกกลับสมุดไม่ได้หรือไง ?”

    “ไม่ได้หรอก... คิดว่านะ” ผมถามพลางหันไปมองอายาเรีย

    แต่เจ้าตัวมองกลับมางงๆ จึงสรุปว่าไม่ได้

    ถ้าต้องให้ อายาเรีย ในสภาพชุดยุคกลางนั้นไปเดินข้างนอกได้โดนจับส่งศรีธัญญาแน่ ๆ เพราะงั้น ให้เธออยู่ที่นี่น่าจะดีกว่าแหละนะ

    แต่ผมก็ไม่คาดคิดนะว่า ไอจะพูดคำนี้ออกมา

    “บ้านฉันไง”

    “หา?”

    “บ้านฉันไง ให้ยัยอัศวินไปอยู่บ้านฉันก็ได้นี่”

    “แต่บ้านเธอน่ะ”

    “ไม่ต้องห่วง บ้านฉันน่ะนะ ไม่มีใครอยู่นอกจากฉันนี่ล่ะ พ่อแม่ไปธุระที่กรุงเทพสี่ห้าวันนี่ล่ะ ดังนั้นจะเอายัยอัศวินไปอยู่ในบ้านฉันก็ไม่มีปัญหาหรอกนะ จริงไหมล่ะ”

    ทว่าคำตอบของอายาเรียคือ “ไม่ ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น”

    อายาเรียปฏิเสธทันทีอย่างไม่ลังเลใด ๆ ทั้งสิ้น

    “ข้าทำพันธะสัญญาทางวิญญาณกับชินแล้ว เพราะฉะนั้นตัวข้าจะต้องอยู่เคียงข้างชินตลอดเวลา ดังนั้น การจะให้ข้าไปอยู่ที่บ้านของเจ้าน่ะ ข้าขอปฏิเสธ”

    นั่นคือเหตุผลของอายาเรียที่บอกออกมา แถมนอกจากนั้น

    “และอีกอย่าง ร่างกายของชินก็ยังไม่หายดีด้วย ตามพันธสัญญาที่ทำไว้ ข้าจะปล่อยให้ร่างกายของชินไม่สมบูรณ์ไม่ได้ ดังนั้น ตัวข้าจำเป็นต้องอยู่เคียงข้างเพื่อรักษาร่างกายของชินให้หายดีเพื่อรอรับการต่อสู้ที่จะมาถึงข้างหน้าค่ะ ดังนั้น”

    “ไม่อนุญาต”

    พูดไม่ทันจบ ไอที่นั่งฟังอยู่ก็เอ่ยขึ้นมาในบัดดลนั้น

    “อะไรนะ ?”

    ผมมองไอด้วยความข้องใจ เช่นเดียวกับอายาเรียเองก็ด้วย

    “รักษานั่นหมายถึงต้องแนบตัวแบบเมื่อกี้ใช่มั้ยล่ะ”

    พอไอพูดแบบนั้น สีหน้าของอายาเรียก็แดงกล่ำขึ้นมาคล้ายกับนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นมาได้

    “หมะ… หมะ… หมะ ไม่ใช่ยังงั้นสักหน่อย ขะ…ขะ… ข้าก็ไม่ได้อยากทำเรื่องน่าอายแบบนั้นสักนิด ก็แค่ต้องรักษาอาการบาดเจ็บให้กับชินเท่านั้นเอง”

    อายาเรียโยนคำถามให้กับไอด้วยท่าทางตะกุกตะกักอีกครั้ง ซึ่งทำให้ผมรู้ว่า อายาเรียกับไอเป็นคนพาผมกลับมาที่บ้านนั่นเอง

    “อ... โอย จะว่าไปก็เริ่มรู้สึกเจ็บขึ้นมาอีกแล้ว... เพราะแผลที่ถูกเธอซ้อมเมื่อกี้ด้วย มันคงจะกระเทือนอวัยวะภายในแน่ๆเลย แค่กๆๆๆ”

    ไอมองดูสภาพของผมด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า

    “ถ้างั้นฉันจะมานอนที่นี่ด้วยแล้วกันนะ ชิน”

    “หา ?”

     

    เพราะเหตุนี้ตอนนี้ผมจึงมีสาวสองคนนอนขนาบสองข้าง สุดยอดไปเลย!!

     

    …ซะที่ไหนล่ะ

    ผมถูกจับมัดปิดตาอย่างมิดชิด และถูกยัดตัวใส่เข้าไปในถุงนอนก่อนจะโดนมัดปากถุงอย่างแน่นหนา และถูกมัดทับซ้ำเพื่อความมั่นใจอีกรอบ ผมในตอนนี้มีสภาพไม่ต่างจากศพที่ถูกมัดตราสังก่อนเอาไปเผาไม่มีผิดเพี้ยน

    ผมได้ยินเสียงลมหายใจเป็นจังหวะเบาๆของ อายาเรียที่อยู่ข้างๆ จึงรู้ว่าเธอหลับไปแล้วแม้จะยังถ่ายพลังเวทย์ให้ผมอย่างต่อเนื่องอยู่

    ส่วนไอที่นอนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง กำลังหันหลังให้ผมอยู่

    “นี่” จู่ๆ ไอก็เอ่ยขึ้น “สมัยก่อนเราเคยนอนด้วยกันแบบนี้สินะ”

    “อืม... สัก ป.2 ล่ะมั้ง”

    “ตอนนั้นนายบอกว่าจะเป็นเจ้าสาวของชั้นด้วย” ไอบอก

    “เฮ้ย บ้าเหรอ”

    “ใช่สิ พอชั้นบอกว่านายเป็นเจ้าสาวไม่ได้ นายก็ร้องไห้ขี้มูกโป่งเลย”

    “ไม่จริงอ่ะ”

    “จริงสิ”

    “...”

    “...”

    “นี่ไอ”

    “หืม...”

    “ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่เราไม่ได้คุยกัน”

    ไอไม่ตอบ ผมคิดว่าเธอคงหลับไปแล้ว

    ทั้งๆที่คิดว่าไม่มีทางหลับไปโดยที่มีสองสาวนอนขนาบข้างได้หรอก แต่ไม่นานผมก็หลับไปด้วยเช่นกัน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×