คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : โบว์ -1-
-1-
ผมรู้สึกว่าพักนี้ยัยแว่นดูแปลกๆ ไป
ความจริงผมรู้สึกถึงความผิดปรกตินี้ตั้งแต่หลายวันก่อน แต่คร้านจะเอามันมาสนใจให้รกสมอง
ในตอนที่ยัยแว่นออกจากโรงพยาบาลใหม่ๆ ผมก็เริ่มสังเกตเห็นความผิดปรกติเล็กๆ น้อยๆ ตัวอย่างเช่น ยัยแว่นเริ่มนอนหลับในชั้นเรียน เหม่อลอยเวลาเดินตามทางเดิน เริ่มแยกตัวเองออกจากมิติเวลาที่ดำเนินอยู่ในชั้นเรียนแล้วจมอยู่ในโลกส่วนตัว
ในตอนนั้นคงอื่นยังไม่สังเกตเห็นความผิดปรกติที่ว่า ประมาณว่า ถ้ายัยแว่นเป็นหนูแฮมสเตอร์ก็คงจะมีแต่พวกผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเลี้ยงหนูแฮมสเตอร์ระดับมาสเตอร์ ที่สามารถมองหน้าหนูแล้วบอกได้ว่าหนูกำลังดีใจ เหงา หรือโกรธเท่านั้นจะดูออกยัยแว่นดูแปลกๆ ไป พอคิดแบบนี้ผมก็เริ่มอนาถตัวเองขึ้นมา... นี่ผมกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเลี้ยงยัยแว่นไปแล้วเหรอ?
แต่แล้วพอนานวันเข้าความผิดปรกติก็เริ่มทวีความรุนแรงขึ้น กลายเป็นความผิดปรกติระดับที่คนรอบข้างเริ่มสังเกตได้ ยัยแว่นมักจะมาเรียนแบบเบลอๆ โดยที่ลืมถักเปียมา ไม่ก็ไม่รู้สึกตัวว่าตัวเองลืมใส่แว่นอยู่ หรือไม่รู้สึกตัวเมื่อได้ยินอาจารย์ขานชื่อ... หลังๆ เธอไม่รู้ตัวเวลาตัวเองโดนแกล้งอยู่ด้วยซ้ำ
มีอยู่ครั้งหนึ่งยัยแว่นหลับในในห้องเรียน เธอไม่ได้ยินเสียงอาจารย์เรียกให้ไปทำโจทย์บนกระดานเลย
ผมถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายใจแล้วเอื้อมมือไปแตะไหล่ เขย่าตัวยัยแว่นเบาๆ แล้วก็ต้องตกใจเมื่ออยู่ๆ เธอก็ลุกขึ้นพรวดขึ้นแล้วพูดออกมาด้วยเสียงที่แทบจะเป็นการตะโกนว่า “ไม่ได้นะ!”
ผมได้แต่กุมขมับไว้อาลัยให้เธอ นานหลายวินาทีกว่ายัยแว่นจะรู้ตัวว่าตัวเองอยู่ที่ไหน เธอได้แต่ทำหน้าเหลอหลาท่ามกลางเสียงหัวเราะของทุกคน
ผมรู้สึกอนาถใจเมื่อเห็นยัยแว่นสะดุ้งตื่นแบบเบลอๆ เมื่อได้ยินเสียงกริ่งดัง แล้วเดินสะโหลสะเหลอออกจากห้องเรียนโดยไม่รู้ว่าแว่นของตัวเองหล่นไปนานแล้ว ก่อนจะตามมาด้วยเสียงโครมครามเมื่อเธอชนอะไรสักอย่างล้มลง
พักนี้ผมเริ่มเบื่อหน้าอาจารย์ที่ชอบโผล่มากวนใจผมในห้องเรียนตอนเย็น เลยลงไปเล่นบาสหลังเลิกแทนที่จะนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องหลังเลิกเรียนบ่อย ครั้ง ด้วยเหตุนี้ วันก่อนผมจึงถูกลากไปแข่งบาสกระชับมิตรไปด้วย ผมไม่รู้ว่าใครเริ่มแข่งบาสแบบนี้ไม่โรงเรียนขึ้น ทั้งๆ ที่ไม่มีรางวัล ไม่มีผู้จัดงาน แต่มันก็กลายเปลี่ยนเรื่องที่ถือกันจริงจังกันไปแล้ว ถึงขนาดว่าหลังๆ เวลาทีแข่งจะมีตัวแทนจากทีมที่เป็นกลางมาเป็นกรรมการและผู้จับเวลาให้เลยที เดียว
หลังแข่งเสร็จในขณะกำลังนั่งพัก ซดน้ำ พร้อมๆ กับสะบัดเสื้อนักเรียนที่ชุ่มไปด้วยเหงื่ออยู่นั้น เพื่อนร่วมทีมคนหนึ่งของผมก็นั่งลงข้างๆ แล้วเริ่มเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางจริงจังสุดๆ
เขาบอกว่า ตอนนี้พวกกลุ่มคนที่น่าจะเรียกได้ประมาณว่า “สมาพันธ์แกล้งยัยแว่นสากลโลก” หรืออะไรทำนองนั้น เริ่มประชุมกันแล้วถึงสภาพของยัยแว่น สมาพันธ์เริ่มมองเห็นถึงหายนะครั้งใหญ่ที่ส่งผลต่อความสนุกที่ได้รับจากการแกล้งยัยแว่น ซึ่งถ้าปล่อยไว้แบบนี้อาจจะทำให้ความเครียดของพวกเขาสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ เผลอๆ อาจจะระเบิดอารมณ์ออกมาจนกลายเป็นความขัดแย้งที่สามารถลุกลามไปเป็นสงครามระหว่างชั้นเรียนเลยทีเดียว
เพื่อนร่วมทีมที่ว่ายังบรรยายต่อไปอีกว่า สมาพันธ์หัวเสียมากกับเรื่องนี้ พวกเขาอุตสาห์เตรียมแผนเป็นร้อยๆ ระหว่างที่ยัยแว่นนอนอยู่โรงพยาบาล แต่พอเธอกลับมาดันกลายเป็นแบบนี้
ทางสมาพันธ์คิดว่าการที่ยัยแว่นเป็นแบบนี้อาจจะเป็นเพราะผลจากอุบัติเหตุที่เธอได้รับเมื่อหลายเดือนก่อน เป็นไปได้ว่าอาจจะมีน็อตสักตัวในหัวของเธอหลุดออกไป
ด้วยเหตุนี้ ผม ที่เป็นทั้งผู้ที่ต้องรับผิดชอบโดยตรงจากการเกิดอุบัติเหตุครั้งนั้นและยังเป็นเสมือนผู้ปกครองของยัยแว่นสมควรเป็นอย่างยิ่งที่จะแก้ไขสถานการณ์นี้ และทำให้โลกกลับสู่สมดุลโดยเร็ว
หลังจากนั่งฟังการบรรยายเงียบๆ จนแน่ใจว่าเขาพล่ามจบแล้ว ผมก็เขกตัวเพื่อนร่วมชั้นคนนั้นไปหนึ่งทีเป็นค่าตอบแทน
เอาล่ะ จบเรื่องงี่เง่าพวกนั้นแล้วมาทำตัวมีสาระกันบ้างดีกว่า
จริงอยู่ที่ไม่ว่าพวกบ้านั่นจะประชุมกันว่ายังไง ข้อเท็จจริงก็คือยัยแว่นดูแปลกไปจริงๆ เธอก็เป็นอย่างนี้ไม่นานหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลหลังจากหลับเป็นเจ้าหญิงนิทราไปเป็นเดือนจริงๆ และคนที่ส่งเธอเข้าโรงพยาบาลก็คือแม่ของผมที่ชวนเธอออกไปปิกนิคจริงๆ
พ่อของผมที่ขับรถที่มีเธอนั่งไปด้วยพลิกคว่ำลงข้างทางจริงๆ ในเมื่อทั้งสองคนตายไปแล้วในอุบัติเหตุครั้งนั้น ความรับผิดชอบนี้ก็ควรจะส่งถ่ายมายังผมจริงๆ นี่ยังไม่รวมกับการที่ผมที่นั่งไปด้วยในรถคันนั้นแล้วดันเป็นคนเดียวที่แทบจะเป็นอะไรเลยอีกด้วย
และจริงๆ แล้วก็ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมต้องรับผิดชอบเรื่องของยัยแว่น
ในขณะที่ร่างของเธอหลับอยู่ที่โรงพยาบาล ผมกลับมองเห็นเธออยู่ในห้องเรียน นั่งอยู่ข้างๆ ผมเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในตอนนั้นผมคิดว่าเธอตายไปแล้ว คิดว่าถ้าทำให้เธอหายไปร่างของเธออาจจะหยุดหายใจ แต่แล้วในที่สุดผมก็ตัดสินใจเดิมพัน เคราะห์ดีที่มันสำเร็จ ยัยแว่นจึงตื่นขึ้นอีกครั้ง ถึงเธอจะไม่มีความทรงทำถึงช่วงที่เธอหลับอยู่เลยก็ตาม
ผมคิดว่าผมคงทำอะไรผิดพลาดไปบางอย่าง หากผมจัดการกับเรื่องนี้ได้เร็วกว่านี้ หรือไว้ใจปล่อยเรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของยมทูต ยัยแว่นอาจจะไม่เป็นแบบนี้
เห็นได้ชัดว่าอาการของยัยแว่นเริ่มแย่ลงทุกวัน ผมจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่างไม่ว่าพวกสมาพันธ์บ้าๆ นั่นจะว่ายังไงก็ตาม
อ่า... ถึงผมจะมีความคิดแบบนั้นแว้บขึ้นมาในสมองอยู่บ้างก็ตาม แต่พอรู้สึกตัวอีกทีมันก็กลายเป็นคำว่า “ช่างเถอะ ไม่ใช่เรื่องของเรานี่หว่า” ทุกที
*********************
ผมคิดแบบนั้นเหมือนกันในวันนี้
ผมปลุกยัยแว่นขึ้นมาหลังเลิกเรียน เธอลุกขึ้นเก็บของแบบเบลอๆ แล้วเดินสะโหลสะเหล ออกจากห้อง
ผมมองตามยัยแว่นที่เดินไปตามทางเดิน แล้วถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายก่อนจะตัดสินใจเดินตามยัยแว่นออกจากห้อง
แล้วก็เป็นดังคาดจนได้ ยัยแว่นเดินเซไปมาหน้าบันได ผมว่าเธอไม่มองทางด้วยซ้ำ ผมกระโจนหวังจะคว้าแขนยัยแว่นไว้...
ทว่า ผมชนกับชายที่ก้าวออกมาจากห้องข้างๆ เสียก่อน
เขาเป็นตาลุง หัวล้าน สวมแว่น สวมสูทที่ราคาน่าจะอยู่สักหลักหมื่น
ผอ. นั่นเอง...
เท่านั้นยังไม่พอ ผอ. กระเด็นไปกระแทกโถที่ประดับอยู่ ล้มลง...
“ว้าย!” ยัยแว่นอุทาน เธอคงได้สติเพราะเสียงแจกันหล่นลงพื้น
ผอ. แน่นิ่งอยู่กับซากแจกัน
ผมมองไปยังยัยแว่น ผมอ่านสีหน้าของเธอแล้วมันน่าจะหมายความว่า “ตายแล้ว ทำไมนายถึงทำแบบนี้ล่ะ”
ผมมองหน้าเธอด้วยสายตาที่หมายความว่า “ฝีมือเธอนั่นแหละ ทำอะไรสักอย่างสิ” แต่คิดว่าเธอคงจะแปลความหมายของผมคลาดเคลื่อน เธอน่าจะเข้าใจแค่ประมาณว่า “ถ้าไม่อยากซวยไปด้วย ทำอะไรสักอย่างสิ”
เธอทำหน้าเหลอหลา เหมือนเวลาถูกแกล้งแล้วร้อง “เหมียว” ออกมาเบาๆ
“ม... เหมียว” ยัยแว่นร้องอีกครั้ง ด้วยเสียงดังขึ้นกว่าเดิม
ผมกุมขมับ
ผอ. ขยับตัวแล้ว เขาหันมามองผม
ตายล่ะ ผมน่าจะวิ่งไปตั้งแต่เมื่อกี้
ผมสงสัยอยู่นานแล้วว่าใครเอาของแบบนี้มาวางแถวนี้ นึกอยู่แล้วว่าสักวันต้องมีคนมาชนมันล้มลง โรงเรียนไม่มีความรับผิดชอบซะเลย ผมอยากแก้ตัวแบบนี้ แล้วก็หัวเราะแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้นบ้างจัง แต่ดูจากหน้า ผอ. ตอนนี้แล้วผมว่ามันไม่ขำแหงมๆ
********************
หลังจากผมถูกบ่นอยู่เนิ่นนาน ย้ำว่าผมอยู่คนเดียว ยัยแว่นไม่มีเอี่ยวถูกบ่นอยู่เนิ่นนาน เรื่องจบลงอย่างปรานีโดยการที่ผมถูกสั่งให้คัดลายมือ
มันงี่เง่าพิลึก ผมต้องมาติดแหงกนั่งคัด “ผมจะไม่วิ่งบนระเบียงอีกแล้วครับ” “ผมจะไม่ทำให้ทรัพย์สินของโรงเรียนเสียหายอีกแล้วครับ” ซ้ำไปซ้ำมาไม่จบสิ้นอยู่ในห้องกรรมการนักเรียนที่มีเพียงผมและประธานนักเรียน
ผมคิดว่ากรรมการนักเรียนคงอื่นคงจะไปเรียนพิเศษหรืออะไรทำนองนั้น สมัยนี้ไม่มีนักเรียนคนไหนว่างทำกิจกรรมของโรงเรียนตอนเย็นจริงๆ จังๆ กันหรอก คงจะมีแต่ผม กรรมการนักเรียน กับพวกเด็กบ้าฟุตบอล บ้าบาสที่ส่งเสียงดังมาจากนอกหน้าต่างนั่นล่ะมั้ง
เสียงจอแจของนักเรียนดังผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง ผมรู้สึกราวกับมันเป็นเสียงของอิสรภาพที่ผมไม่มีทางได้รับ
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพนักงานกินเงินเดือนที่ถูกสั่งให้ทำโอทีแบบไม่ได้ค่าล่วงเวลา ที่เขาเรียกกันว่าโอฟรี โดยมีรอยยิ้มเยาะเย้ยของหัวหน้าฝ่ายที่นั่งคุมอยู่ส่งมาเป็นระยะ อะไรทำนองนั้น
กระดาษค่อยๆ เปื้อนรอยหมึกจนเต็ม เต็มแล้วก็ว่างเปล่าใหม่ ดูเหมือนมันเป็นอะไรที่ไม่มีวันสิ้นสุดชั่วกัปชั่วกัลป์ พอคัดไปสักสามร้อยตัวผมก็เลิกนับว่าคัดมาได้กี่คำแล้ว พอผ่านไปสักหน่อยผมก็เริ่มรู้สึกผิดบาปกับความผิดที่ผมไม่ได้ก่อ ผมอยากรู้ว่าถ้าผมมีปมทางจิตกลัวการวิ่งบนระเบียง หรือนำลายฟูมปากเมื่อมีคนทำข้าวของของโรงเรียนเสียหายจะมีใครชดใช้ให้ผมรึเปล่า... เอาเถอะ ผมขออุทิศความผิดบาปนี้ให้แก่ต้นไม้ที่ถูกโค่นมาทำกระดาษให้ผมเขียนอยู่นี่ก็แล้วกัน
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่กระดาษที่ผมคัดจนเต็มแผ่นก็ค่อยๆ หนาขึ้น พร้อมๆ กับความรู้สึกเกลียดขี้หน้าประธานนักเรียนที่มากขึ้นพร้อมๆ กัน
ผมนั่งอยู่ตรงนั้นจนพระอาทิตย์ลับฟ้าไปแล้ว เสียงจากสนามด้านนอกเงียบไปแล้ว เหลือเพียงเสียงของพัดลมบนเพดาน กับเสียงลากปากกาบนกระดาษของผม
อยู่ๆ ประธานนักเรียนก็ถามขึ้นมาว่า “นายจะคัดอยู่จนถึงเมื่อไหร่” ด้วยท่าทางสงสัยพอดีเกินไปจนน่าถีบ
ความรู้สึกตอนนั้นของผมน่าจะถึงขั้นช็อค ผมพยายามทำใจให้สงบก่อนจะตอบไปอย่างสุภาพว่า ผมจำเป็นต้องคัดไปเรื่อยๆ จนกว่าท่านประธานนักเรียนจะอนุญาตให้ผมไปได้
ประธานนักเรียนอุทาน “อ้าวเหรอ แล้วไม่บอกกันก่อนล่ะ” ด้วยสีหน้าตกใจไม่มากหรือน้อยเกินไป
ผมพยายามบอกตัวเองว่าความหงุดหงิดทำให้ผมมองโลกในแง่ร้ายเกินไป ประธานนักเรียนคงไม่ได้จงใจแกล้งผม ไม่ได้จงใจปั้นหน้าให้พอดิบพอดีแบบนี้หรอก
“นายไปได้แล้ว” เขายิ้มโชว์ฟันขาวสะอาด
เอาเป็นว่าผมดีใจและอยากไปให้พ้นๆ จากที่ตรงนั้นจนไม่คิดอะไรมากมายไปว่านั้น ผมรีบกล่าวขอบคุณลวกๆ และก้าวออกจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
“ดีจังนะ” ประธานนักเรียนเอ่ยลอยๆ ตามหลังผม
“หา”
“เปล่าหรอก ช่างเถอะ กลับบ้านดีๆ ล่ะ” ประธานนักเรียนบอกก่อนจะหันกลับไปสนใจเอกสาร
ผมเดินออกมาจากห้องกรรมการนักเรียน คิดว่าจะไม่ไปเฉียดห้องนั่นอีกตลอดชีวิต
********************
นาฬิกาพกบอกเวลาหกโมงเย็นกับสิบนาทีตอนที่ผมก้าวเข้าไปในห้องเรียน แน่นอนว่าทั้งอาคารเรียนไร้ผู้คนไปแล้ว
ผมนั่งอ่านหนังสือหลังเลิกเรียนจนค่ำหลายครั้ง แต่คิดว่าครั้งนี้เป็นครั้งที่ผมเก็บของกลับบ้านค่ำที่สุดเท่าที่เคยทำมา จริงอยู่ผมเคยกลับบ้านค่ำบ่อยๆ แต่ตอนนั้นผมจะเก็บของย้ายไปที่ห้องดนตรีตั้งแต่เลิกเรียนแล้ว
“ว่าไง” เสียงทักทายที่คุ้นเคยดังขึ้น
ห้องเริ่มมืดแล้ว แสงสุดท้ายก่อนที่ดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้าไม่สว่างพอที่จะไล่ความสลัวออกจากห้อง แต่ก็เพียงพอที่ผมจะเห็นอาจารย์ยืนอยู่หน้ากระดานรางๆ
“วันนี้ก็ไม่มีงานอะไรทำอีกแล้วเหรอครับ” ผมเอ่ยตอบ
ไม่มีเสียงของนักเรียนจากนอกหน้าต่าง คงไม่มีใครเหลืออยู่แล้ว มีเพียงเสียงของแมลงแว่วมาจากไกลๆ
ผมกดสวิตเปิดไฟห้อง
อาจารย์หนุ่มยังยิ้มตอบกลับไม่เปลี่ยน แว่นตาที่เขาสวมสะท้อนกับแสงจากหลอดฟูออเรสเซนท์เหมือนมันเป็นรุ่นพิเศษที่ใส่ออปชั่นมาให้ทำแบบนี้ได้โดยเฉพาะ ตอนนี้ผมรู้สึกเอือมรอยยิ้มกับอะไรที่มีแสงปิ๊งๆ พิลึก
“ครูก็ทำงานอยู่นี่ไงล่ะ” อาจารย์ตอบอย่างไม่ยี่หระกับคำพูดของผม
ผมพยายามปั้นหน้ายิ้มแหยๆ ตอบกลับ “โรงเรียนคงไม่ได้จ่ายเงินจ้างคนมาดักรอผมทุกวันใช่ไหมล่ะครับ”
“ไม่หรอก จริงๆ หน้าที่ของครูทุกคนก็คือจับตาดูนักเรียนอยู่แล้วน่ะนะ และจริงๆ แล้ว นักเรียนที่ครูต้องดูแลในช่วงเย็นแบบนี้ก็ไม่ได้มีเธอคนเดียวหรอก”
“งั้นผมไม่รบกวนแล้วล่ะครับ” ผมเอ่ยเดินผ่านเขาไปโดยไม่สนใจว่าอาจารย์จะบรรยายอะไรต่อ
ความจริงผมสนใจคำพูดของเขาเมื่อกี้อยู่เล็กน้อย เท่าที่ผมรู้ เวลานี้นักเรียนที่เหลืออยู่ในโรงเรียนนอกจากผมแล้วก็มีเพียงประธานนักเรียนคนเดียว
แต่ช่างเถอะ นั่นไม่ใช่เรื่องของผม
ผมเอื้อมมือไปปิดสวิตช์ไฟ
ความคิดเห็น