คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ข้อสอบ -3- (จบตอน)
-3-
ผมพอจะเข้าใจโนบิตะ ผมเข้าใจว่าไม่มีเด็กหนุ่มคนไหนไม่สนใจเด็กสาวหรอก... ถ้าเขาเป็นเด็กหนุ่มจริงๆ อ่ะนะ
ผมว่าโนบิตะเองก็ไม่ต่างกัน ถึงจะเป็นไอ้ห่วยยังไง ก็ต้องมีคนที่ชอบบ้างล่ะน่า
ผมคิดว่าโนบิตะคงกะอดเปรี้ยวไว้กินหวาน คงกะว่าพอตัวเองไปถึงอนาคตอะไรของมันได้แล้วก็จะมีผู้หญิงดีๆ เป็นสิบต่อคิวสมัครเป็นเจ้าสาว ก็เลยถือคติ “รักไม่ยุ่ง มุ่งแต่เรียน” สินะ
ผมอยากตบไหล่มันแล้วปลอบว่า “โลกมันก็เป็นแบบนี้แหละโนบิตะเอ๋ย สิ่งที่นายคาดการไว้มันไม่แน่หรอก อะไรจะเกิดมันก็เกิด ใครใช้ให้นายตายก่อนการใหญ่สำเร็จล่ะ ถ้าไม่ได้ทำใจตายกลางทางไว้ก่อนก็อย่าวางแผนระยะยาวสิวะ ปลงแล้วไปสู่สุขติเถอะว่ะ” แต่พอลองคิดในมุมกลับกันว่าถ้าผมอยู่ในสถานการณ์ของโนบิตะผมคงกระโดดถีบคนพูดประโยคนี้นี่แน่นอน
อ่าเรื่องนั้นช่างมันเถอะ... ว่าแต่ผมจะไปหาชิสุกะจังจากที่ไหนมาให้มันวะ
ผมออกมาเดินวนไป วนมา ตามทางนอกบ้านด้วยความช้ำใจ ผมคาดว่าคงจะมีผีสาวสักสองสามคนแถวๆ นี้ ถ้าทักไปพวกเธออาจจะอยากแต่งงานก็ได้มั้ง ไหนๆ ก็ตายไปแล้วนี่ อาจจะมีผีสาวที่คิดเหมือนโนบิตะก็ได้
แต่แน่นอนว่าโลกนี้ไม่มีภาคปฏิบัติที่ไหนที่ง่ายเหมือนทฤษฎี พอเอาเข้าจริง ผมเดินวนตั้งแต่เย็นจนค่ำ ก็ยังหาผีผู้หญิงไม่เจอเลยสักตัวเดียว ไม่เจอผีสักตัวด้วยซ้ำ
อะไรฟะ เมื่อวานผมยังเห็นเต็มไปหมดอยู่เลย ทำไมพอวันที่ผมอยากเจอหาไม่เห็นสักตัว หรือว่านี่คือ “กฎของเมอร์ฟี่” ที่เขาลำลือกัน!?
ในขณะที่ผมวนรอบที่สิบนั้นเอง ผมก็พบตัวการ
“อ้าว สวัสดีค่ะ” หญิงสาวผมสั้นทักผมอย่างร่าเริง ยมทูตนั่นเอง เธอยังอยู่ในชุดกระโปรงสีดำสนิทตัวเดิม นาฬิกาพกสีเงินที่เหมือนกับของผมร้อยติดสร้อยห้อยกับคอ เธอจีบกระโปรงถอนสายบัวให้ผมเหมือนทุกครั้ง
“เดินเล่นหลังอาหารเย็นเหรอคะ”
ผมพึ่งนึกได้ว่าตัวเองยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลยนี่หว่า ผมมองนาฬิกาของยมทูตก่อนจะสังเกตว่ามันหยุดอยู่ที่เลขตัวเดียวกับที่เห็นคราวที่แล้ว เข็มสั้นที่เลขห้า เข็มยาวที่เลขเจ็ด
ผมหยิบนาฬิกาพบของตัวเองที่พึ่งได้เป็นของขวัญวันเกิดที่ผ่านมาขึ้นมาดู ตอนนี้สามทุ่มกว่าแล้ว พอเห็นแบบนี้ผมก็รู้สึกหิวข้าวขึ้นมา
ผมถอนหายใจ พอเป็นพิธีแล้วตอบกลับไป “เปล่าหรอก ทำธุระนิดหน่อย แล้วเธอล่ะ”
“ดิชั้นพึ่งเสร็จงานค่ะ”
ผมสงสัยขึ้นมาตะหงิดๆ
“อย่าบอกว่าเธอส่งวิญญาณผีผู้หญิง สองสามคนแถวนี้ไปแล้ว”
“ใช่ค่ะ” ยมทูตยิ้ม “นานๆ ทีก็ควรขยันกับเขาบ้างใช่ไหมคะ”
ผมตบหน้าผากตัวเอง ทำไมยัยบ้านี้ต้องขยันในวันนี้พอดีด้วยฟะ
“มีอะไรรึเปล่าคะ”
“ช่างเถอะ...” ผมตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน
ยมทูตเงยหน้ามองผมด้วยท่าทางสงสัย
... เดี๋ยวก่อนสิ จะว่าไป ยัยนี่ก็เป็นผู้หญิงนี่หว่า ผมขอให้ยมทูตช่วยก็ได้นี่นา
“นี่... ชั้นขอร้องอะไรหน่อยได้ไหม”
“คะ?”
“...”
ทั้งๆ ที่คิดว่าง่ายๆ แต่พอจะพูดจริงมันดูบ้าพิลึก
“อาจจะฟังดูแปลกๆ แต่ชั้นจริงจังนะ” ผมจับไหล่ของยมทูตพยายามปั้นหน้าซีเรียสสุดชีวิต จริงๆ ผมก็ซีเรียสจริงๆ ล่ะ ยัยนี่เป็นความหวังสุดท้ายของผมแล้ว
ผมจับไหล่ยมทูต สูดหายใจเข้าลึก
“แต่งงานได้ไหม... ขอร้องล่ะ”
“คะ?” เธอเอียงคอ ดูเหมือนใช้เวลาหลายวินาทีในการตีความคำพูดของผม
“เอ๋!” หน้าของยมทูตกลายเป็นสีแดง
พอเธอเป็นแบบนี้ผมก็รู้สึกอายขึ้นมาเหมือนกัน
“ตะ ตะ ตะ ตะ แต่... ดิ... ดิชั้นยัง ละ ละ ละ แล้ว คุณก็เป็นมนุษย์ จ... จะ จู่ๆ... แบบนี้ แล้ว... เรา... เราก็... ถึงเมื่อก่อน...”
ยมทูตควันออกหูไปแล้ว
สองสามวินาทีหลังจากนั้นผมจึงเข้าใจความหมายของสิ่งที่เธอพูด
“เดี๋ยวๆๆๆๆ” ผมเองก็มีอาการไม่ต่างกัน “ไม่... ไม่ใช่แบบนั้น ชั้นไหมได้ขอเธอแต่งงาน”
“เอ๋?”
“คือว่า ไม่ใช่จะให้แต่งกับชั้น...”
“ฮะ?”
แล้วผมก็เล่าเรื่องโนบิตะให้เธอฟัง
ผมจะใช้คำไหนอธิบายหน้าตาของยมทูตตอนนี้ดี อืม...
ลองหาพวกสาวซ่าป่วนเมือง ที่ประจำเดือนมาผิดเวลา ท้องผูก ทะเลาะกับแฟน เสื้อตัวที่เล็งไว้ถูกซื้อตัดหน้าไป ถูกอาจารย์ด่าโดยที่ไร้ความผิด พึ่งต่อยกับเพื่อนมา ถ้าคุณไปเหยียบเท้าสาวซ่าที่มีคุณสมบัติดังที่กล่าวมาครบ เธอจะหันมาทำหน้าแบบที่ยมทูตทำอยู่ตอนนี้พอดี
เสร็จแล้วเธอก็ยิ้ม ยิ้มเหมือนเอาหน้ากากทาบลงบนหน้าจิ๊กกี๋ตะกี้
“ทำไมคุณไม่แต่งซะเองล่ะคะ”
“หา?”
********************
หลังจากกินข้าวกล่องร้านสะดวกซื้อเสร็จราวสิบห้านาทียมทูตก็กลับมาพร้อมกับถุงใบหนึ่ง ในนั้นมีชุดสีขาว วิกผม รองเท้า รัดทรง ยกทรง ฟองน้ำ เครื่องสำอาง ฯลฯ
“เอาจริงๆ อ่ะ?”
ยมทูตยิ้มอีกครั้ง ไม่รู้ทำไม ผมรู้สึกว่าถ้าไม่ทำตามชะตาผมขาดแน่ๆ
********************
โนบิตะสะดุ้งโหยงเมื่อยมทูตก้าวเข้าไปในบ้างของผม
เขามองผู้ที่เข้ามาในบ้านทั้งสองคน
“เจ้าสาว กับเพื่อนเจ้าสาวมาแล้วค่ะ” ยมทูตบอก
โนบิตะถามหาผม
“ทำธุระอยู่ค่ะ เป็นเงื่อนไขที่ได้เจ้าเจ้าสาวมาในวันนี้ เขาฝากแสดงความยินดีมาด้วย” ยมทูตตอบเสร็จสรรพ “งั้นเรามาเริ่มพอพิธีกันเถอะ... ตรงสวนนั่นก็แล้วกัน”
เธอเดินไปหยิบสารานุกรมปกสีเข้มของพ่อผมออกมาจากชั้น ดึงเปิดประตูกระจก ก้าวออกไปยังสนามหญ้า
“เจ้าสาวเจ้าบ่าวเชิญเลยค่ะ”
โนบิตะหันมามองหน้าผม เขาหลบตาลงด้วยท่าทางเขินอาย โนบิตะยื่นมือออกมาให้ผม ผมทำใจเล็กน้อยก่อนยื่นมือไปให้โนบิตะตามหน้าที่
โนบิตะควงผมออกไปยังสนาม
ระหว่างทางผมผ่านกระจกบานใหญ่ของแม่
ผมอึ้ง
ในนั้นไม่มีภาพ “ตัวผม” สะท้อนอยู่ ภาพในนั้นกลับเป็นผู้หญิงอีกคน
หญิงสาวสวย... เรียกว่าสวยเฉียบน่าจะบรรยายได้ดีที่สุด โครงหน้าออกไปทางฝรั่ง แต่สีผมสีตาดำสนิท ดูเหมือนลูกครึ่ง หรือไม่ก็สาวละติน เครื่องสำอางที่แตะอยู่บนหน้าแทบดูเหมือนไม่ได้แต่งหน้าเลย ราวกับหน้าขาวใสมีแก้มฝาด คิ้วโก่ง ปากแดงโดยธรรมชาติ ชุดแต่งงานสีขาวฟูพองที่สวมอยู่ทำให้โครงร่างใหญ่ดูดี ยังกับหุ่นนางแบบ เมื่อยืนเทียบกับโนบิตะที่สูงเป็นต้นตาลแล้วดูเตี้ยกว่าเล็กน้อย
ผมไม่รู้ว่ายมทูตใช้เทคนิคอะไร แต่ผมว่าถ้าตัวเองไปประกวดมิสทิฟฟานี่ ผมผ่านเข้ารอบสุดท้ายแหงมๆ
ในขณะที่กำลังสติแตกอยู่ โนบิตะก็หันมามองผมด้วยท่าทีสงสัย ผมปั้นหน้ายิ้มให้เขา
“ขอโทษนะครับ ที่รบกวนคุณแบบนี้” โนบิตะเอ่ยกับพื้นกระเบื้อง
ผมส่ายหน้า ไม่เลย อันที่จริงผมต่างหากที่รบกวนโนบิตะ
โนบิตะจูงผมออกไปยังสนามหญ้า
ยมทูตเปิดโคมในสวน กุหลาบของคุณนายแม่ ถึงมันจะเริ่มรกแล้วแต่ก็ยังดูเข้ากับบรรยากาศใช้ได้
ผมกันโนบิตะยืนอยู่ตรงนั้น ท่ามกลางแสงดาว
ผมรู้สึกหดหู่พิลึก ผมนึกคำสบทที่แรงพอกับอารมณ์นี้ไม่ออกเลย
ผมต้องเป็นเจ้าสาวจริงๆ งั้นเรอะ? ถึงมันจะเป็นความฝันสูงสุดของสาวน้อย แต่สำหรับชายหนุ่มนี่มันฝันร้ายขั้นสุดยอดชัดๆ
ถ้าผมต้องมายื่นอยู่ตรงนี้อย่างน้อยผมก็ไม่ควรมายืนในฐานะเจ้าสาวแบบนี้
ผมอยากอื่นอยู่ตรงนี้ข้างๆ ใครกัน...
เมื่อรู้สึกตัวยมทูตก็กางสารานุกรมราวกับกางพระคัมภีร์ แล้วกล่าวบททำพิธีแต่งงาน ผมมั่นใจว่ามันไม่มีเขียนอยู่ในสารานุกรมแน่นอน
“ไม่ว่าอับจน หรือร่ำรวย ไม่ว่าทุกข์ หรือสุข พวกเจ้าจะอยู่ด้วยกันหรือไม่”
ผมอยากอยู่กับใครในเวลามีความสุข ผมอยากให้ใครมาประคับประคองผมในเวลาที่แสนทุกข์สุดสาหัส
อา... ผมคิดถึง “เธอ” เหลือเกิน
“ครับ” โนบิตะตอบ
ผมเหม่อจนลืมว่าตัวเองต้องตอบ
“ค่ะ” ผมพยายามตอบโดยให้เสียงเป็นผู้หญิงอย่างเป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่ทำได้ ดูเหมือนว่าโนบิตะจะตื่นเต้นจนไม่ได้สังเกต
“คุณจะรับเธอเป็นภรรยาหรือไม่?”
“รับครับ”
“คุณจะรับเขาเป็นสามีหรือไม่”
เอาจริงอะ? แต่เรื่องมันเลยตามเลยมาไกลเกินกว่าจะถอยกลับแล้ว
“ค่ะ”
“มีใครในที่นี้จะคัดค้านหรือไม่ หากมีก็จงกล่าวออกมา หรือไม่ก็เงียบไว้ตลอดกาล”
ไม่ต้องหวังให้พระเอกผลักประตูโบสถ์เข้ามาได้จังหวะพอดีเหมือนในหนังน้ำเน่า ในสวนที่มีกันอยู่แค่นี้ จะไปมีใครคัดค้านเล่า
“งั้น ก็จูบสาบานได้”
“หา?”
ผมคิดว่ายมทูตทำหน้าสะใจมาก
โนบิตะหลับตา ค่อยๆ โน้มหน้าเข้ามาใกล้ ผมตั้งใจจะผลักเขาออก ทว่ามือของผมทะลุร่างของเขาไป
ม่ายยยยยยย
ริมฝีปากของโนบิตะหยุดอยู่ ห่างจากใบหน้าของผมไม่ถึงนิ้ว
เขาถอนตัวกลับไป
โนบิตะ ถอนหายใจ
“ขอโทษนะครับ แต่ผมคงจะแต่งงานแบบนี้ไม่ได้จริงๆ ในขณะที่ทำพิธีอยู่ผมกลับคิดถึงคนอื่น ผมแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักไม่ได้ ขอโทษจริงๆ”
โนบิตะก้มหน้าลง ถอดแว่นตาออก ยกฝ่ามือปิดตา หยดน้ำตาของเขาไหลอาบคางลงมา หยดลงบนพื้นหญ้า
ยมทูตเขย่งเท้า ซับน้ำตาของเขาด้วยแขนเสื้อของเธอ เหมือนปลอบเด็กตัวใหญ่
โนบิตะทรุดตัวลง โอบเธอร้องไห้โฮ ผมเกือบเข้าใจว่าเขาจะร้องเรียกโดเรม่อนออกมาซะแล้ว
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ต้องมีอนาคตของคุณรออยู่ข้างหน้า ต้องมีคนที่พร้อมจะเดินไปเคียงข้างคุณรออยู่ข้างหน้าแน่ๆ”
ยมทูตลูบผมของเขา โนบิตะค่อยๆ กลายเป็นละอองสีเงิน มันลอยขึ้นไปสู่ดวงดาวที่ทอประกายบนฟากฟ้า
ผมเงยหน้ามองมันจนลับตาไป
“เอาล่ะ” ยมทูตเอ่ยขึ้นในที่สุด เธอบัดฝุ่นที่กระโปรง “สำหรับคนที่เอาแต่ทำร้ายจิตใจคนอื่น”
เธอเดินมาหาผม
“ดิชั้นจะบอกให้ว่าเขาหลงรักเพื่อนของคุณ เด็กคนนั้นแอบมองเพื่อนของคุณทุกครั้งที่พวกคุณเข้าไปที่ห้องสมุด เขาอยากพูดกับเธอสักคำ แต่ไม่มีโอกาสนั้นเลยตลอดชีวิต”
ยมทูตเดินผ่านผมไป
“นั่นเป็นความผิดของชั้นเหรอ” ผมหันไปถามเธอ
ยมทูตหันกลับมา แลบลิ้นให้ผม แล้วเดินจากไป
ผมมองตามเธอจนลับตา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปบนฟ้า ดวงดาวยังทอประกาย
ยังไงก็เถอะ ผมง่วงนอนชะมัดเลย แถมยังหิวอีกรอบด้วย
********************
เช้าวันรุ่งขึ้นผมพบเรื่องซวยสามเรื่อง
เรื่องแรก ผมพบว่าตัวเองหลับไปบนโซฟา ขณะรอไมโครเวฟอุ่นข้าวกล่องรอบดึก
เรื่องที่สอง หลังจากตื่นขึ้นมาผมพึ่งนึกได้ว่าผมควรจะขอร้องยมทูตให้ส่งวิญญาณโนบิตะแต่แรกโดยไม่พูดถึงเรื่องแต่งงาน
เรื่องสุดท้าย วันรุ่งขึ้นที่คุณป้าเก็บภาพเด็ดได้ตอนที่จะมารับผมไปสอบในตอนเช้า
และตั้งแต่วันนั้น คุณป้าก็มีรูปผมเวอร์ชันแต่งหญิงปางนอนหลับอยู่บนโซฟา ประดับอยู่ในห้องรับแขกของเธอ
ความคิดเห็น