คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : แว่น
-1-
ฉันเอาแต่ครุ่นคิดว่าจะฆ่าแม่ด้วยวิธีไหนอยู่เสมอ ฉันมักจะปล่อยให้ภาพจินตนาการเหล่านั้นฉายในหัวซ้ำไปมา ทั้งภาพตัวเองแอบถือมีดทำครัวเข้าไปในห้องของนอนแม่ขณะที่หลับอยู่ แล้วแทงเธอก่อนจะแทงผู้ชายของเธอให้ตายไปตามกัน ภาพตัวเองมองดูแม่ซัดดิ้นชักงอน้ำลายฟูมปากกับพื้นหลังจากดืมซุบที่ฉันใส่ยาพิษลงไป หรือภาพแม่ลอยละลิ่วหล่นจากที่สูงช้าๆ ก่อนจะกระแทกลงกับพื้น
ยิ่งจินตนาการบ่อยเข้าภาพพวกนี้ยิ่งเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ ฉันแทบจะได้กลิ่นคาวจากเลือดของแม่ แทบจะสำผัสถึงความรู้สึกหยุ่นๆ เมื่อมีดสำแรกผ่านเนื้อหนังของเธอ แทบจะสัมผัสได้ถึงแววตาอาคาตแค้นของเธอที่มองขึ้นมาขณะที่ตกลงจากที่สูง
แน่นอนว่าฉันเกลียดแม่ ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมผู้หญิงที่พาผู้ชายเข้าบ้านไม่ซ้ำหน้าในแต่ละวันต้องเป็นแม่ของฉันด้วย
ฉันยอมรับว่าแม่เป็นคนสวย ถึงแม้ว่าอายุจะย่างเข้าสามสิบปลายๆ แล้ว แม่ก็ยังดูไม่ต่างกับสาวๆ วัยรุ่น ผู้คนมักจะทักอยู่เสมอว่าเราเป็นพี่น้องต่างวัยที่หน้าตาคล้ายกันมากกว่าแม่ลูก ฉันเกลียดคำพูดแบบนั้น โดยเฉพาะที่บอกว่าฉันดูคล้ายกับแม่ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงข้อนี้ได้
สมัยเด็กฉันมักจะภาวนาให้ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่แม่ที่แท้จริงของฉัน ฉันได้แต่หวังลมๆ แล้งๆ ว่าสักวันหนึ่งพ่อแม่ตัวจริงของฉันจะมารับตัวไป ยังบ้านที่แสนอบอุ่นที่ไม่มีผู้หญิงใจแตกอย่างนี้ ทว่าใบหน้าของฉันที่นับวันก็ยิ่งคล้ายจนแทบจะเป็นฝาแฝดกันกับแม่ ก็ทำลายความหวังนั้นลง ฉันเจ็บแค้นทุกครั้งที่เห็นใบหน้าของตัวเองในกระจก ยิ่งใบหน้าของตัวเองเหมือนกับผู้หญิงแหลวแหลกที่ดีแต่ยั่วผู้ชายนั่นเท่าไหร่ฉันยิ่งโกรธแค้นแม่มากขึ้นเป็นทวีคูณ ทุกวันนี้เมื่อเห็นใบหน้าของตัวเองทีไรฉันจะเริ่มสาปแช่งแม่ ก่อนจะรู้สึกตัวอีกทีเมื่อตัวเองเคลิบเคลิ้มอยู่กับภาพจิตนาการของการสังหารแม่
ความประสงค์ร้ายนั้นเป็นเหมือนโรคระบาดที่แพร่ไปในจิตใจของฉัน ยิ่งฉันหมกมุ่นอยู่กับจิตนาการนั้นเท่าไหร่ฉันยิ่งรู้สึกว่ามันยิ่งแทรกซึมเข้าลึกในจิตใจมากขึ้นๆ เหมือนกับหมึกดำที่หยดลงไปในน้ำ หลังๆ มานี้ความรู้สึกเกลียดชังแม่เริ่มกระจายสู่มนุษย์คนอื่น เริ่มรู้สึกรำคาญทุกคนที่มองเห็นอยู่เบื้องหน้า และเริ่มรู้สึกว่ามนุษย์ทุกคนสมควรจะหายไปจากโลกใบนี้
ฉันชักรู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนโรคจิต ฉันเริ่มจิตนาการถึงภาพการสังหารคนทุกคนที่พบเห็นบนท้องถนน ฉันหวาดกลัวจนขนลุกเกรียวเมื่อพบว่าตัวเองคิดเรื่องแบบนั้น ฉันกลายเป็นคนที่สามารถคิดจะฆ่าคนอื่นนอกจากแม่ ทั้งๆ ที่ฉันไม่มีความแค้นอะไรกับพวกเขาเลย ทั้งๆ ที่ฉันไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ ฉันพยายามควบคุมตัวเองให้ห่างจากจิตนาการน่าขนลุกนั้น ทว่าเมื่อเผลอทีไรก็จะพบว่ากำลังฆ่าคนในจิตนาการอยู่ทุกที
ฉันคิดว่าตัวเองเกือบจะเป็นบ้าไปแล้วถ้าไม่เกิดเรื่องนั้นขึ้นมาซะก่อน... ไม่สิ บางทีฉันอาจจะเป็นบ้าไปแล้วก็ได้
ถ้าย้อนกลับไปยังจุดที่เรื่องประหลาดเกิดน่าจะเป็นวันที่ฉันพบกับหมอนั่น
-2-
ช่วงนั้นฉันเริ่มรู้สึกว่าสายตาของตัวเองแย่ลง ในขณะที่ภาพจิตนาการถึงการสังหารโหดของตัวเองเด่นชัดขึ้น ภาพที่ตาเห็นกลับเริ่มเบลอลงเหมือนมีหมอกปกคลุมอยู่ ตัวอักษรบนกระดานเริ่มเลือนลาง ฉันรู้ตัวทันทีว่าสายตาคงจะเริ่มสั้นลงแล้ว
แม่ของฉันไม่ได้สายตาสั้น การมีบางอย่างที่แตกต่างจากแม่ทำให้ฉันดีใจแทบตาย ฉันแทบจะร้องไชโยออกมา
อย่างไรก็ตามฉันยังไม่มีความคิดจะไปตัดแว่น เหตุผลคือฉันไม่มีเงิน ฉันไม่อยากเอ่ยปากของแบ่งเงินที่แม่ได้มาจากผู้ชายของเธอ และดวงตาของฉันก็ยังอยู่ในระดับที่ไม่เป็นปัญหาต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
วันนั้น ฉันกำลังเดินบนถนนของศูนย์การค้าทั้งๆ ที่ยังอยู่ในชุดนักเรียน ขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับจิตนาการว่าตัวเองถือมีดเล่มใหญ่กระโดดเข้าไปกลางฝูงชนลากปาดคมผ่านคอของเด็กชายคนหนึ่ง แล้วหันไปแทงผู้หญิงอีกคน ท่ามกลางเสียงกตะโกนโวยวายและพยายามผลักกันวิ่งหนีแตกฮือจนเกือบจะเหยียบกัน อยู่นั้นเอง ฉันก็ได้พบกับผู้ชายคนนั้น
ฉันเรียกเขาว่าเด็กหนุ่ม ถึงหากคะแนอายุแล้วเขาน่าจะอยู่รุ่นเดียวกันกับฉันก็ตาม เด็กหนุ่มสูงกว่าฉันเกือบหนึ่งศอก ใบหน้าขาวสะอาดแต่ผมดำกลับดูยาวฟูเหมือนรังนก เขาสวมแว่นตากรอบสีดำและอยู่ในชุดไปรเวททั้งๆ ที่อยู่ในวันธรรมดาซึ่งควรจะไปโรงเรียน
จู่ๆ เขาก็จับไหล่ฉันจากด้านหลัง ฉันหันเขาไปดูด้วยความหวาดระแวง เกือบจะคิดไปแล้วว่าตัวเองถูกตำรวจจับได้ถึงจินตาการอันน่าขยะแขยง
เด็กหนุ่มยิ้มให้ฉัน เหมือนดีใจที่พึ่งพบเพื่อนเก่า ฉันลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสรุปว่าฉันไม่เคยเจอเขาที่ไหนมาก่อนจริงๆ
“ในที่สุดผมก็พบเธอ”
“คะ?” ฉันยังไม่เข้าใจว่าเขาพยายามจะพูดถึงอะไรกันแน่
“อ๋อ ขอโทษที” ดูเหมือนแววดีใจจะจางหายไปจากใบหน้าของเขาในทันที “คือว่ายังไงดีล่ะ ผมไม่ได้เจอมนุษย์มานานมากแล้ว”
“หา?” ฉันขมวดคิ้ว รู้สึกเหมือนกำลังคุยอยู่กับคนบ้า ฉันไม่รู้ว่านี่เป็นวิธีจีบสาวแนวใหม่หรืออะไร แต่ฉันรู้สึกกลัว เด็กหนุ่มอาจจะเป็นคนบ้าจริงๆ ก็ได้ ทั้งๆ ที่ฉันสามารถฆ่าคนเป็นร้อยได้ในจินตนาการแต่ในชีวิตจริงฉันกลับขี้ขลาดอย่างไม่น่าเชื่อ ฉันหันหลังกลับพยายามเดินหนีมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ขอโทษ...” ดูเหมือนเขาจะพยายามเดินตามมา
“อย่ามายุ่ง ไม่งั้นชั้นจะแจ้งตำรวจ” ฉันหันกลับไปตะโกนใส่เค้า
ชายหนุ่มยิ้มให้ฉันเศร้าๆ รอยยิ้มที่ฉันจะเข้าใจความหมายของมันทีหลัง
“ใส่แว่นสิ” เขาเอ่ย “แล้วเธอจะเข้าใจทุกอย่าง”
ฉันเดินแทรกเข้าไปกลางฝูงชน เบียดกับหญิงสาวที่ฉันพึ่งฆ่าเธอไปในจินตาการ ดูเหมือนว่าเขาจะหยุดตามมาแล้ว
-3-
หลังจากนั้น นอกจากภาพจินตนาการสังหารโหด ฉันยังมีเสียงเสียงของเด็กหนุ่มที่คอยหลอนในหัว ฉันอารมณ์เสียที่ได้ยินเสียงบอกว่าให้ใส่แว่นสิในขณะที่กำลังนึกภาพตัวเองผลักเด็กชายตกลงมาจากสะพานลอย หรือไม่ก็ลากคมมีดผ่านหลอดลมของสาวออกฟิส เรื่องนี้ประกอบกับสายตาของฉันที่แย่ลงเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว ทำให้ฉันคงต้องพิจารณาเรื่องตัดแว่นจริงๆ จังๆ
วันนั้นฉันย่องเข้าไปในห้องนอนของแม่กลางดึก ฉันไม่ได้ถือมีด ค้อนปอนด์ หรือเลื่อยเข้ามาด้วยเหมือนที่เคยจินตนาการไว้ ฉันเข้ามาตัวเปล่าเพียงแค่เพื่อมาเอาเงินไปเป็นค่าแว่น ฉันใช้ตรรกะแบบแปลกๆ ว่าคิดว่าเงินที่ฉันขโมยมาจากแม่ ถือเป็นเงินที่แม่ควรจะให้ฉันอยู่แล้วตามหน้าที่ และเมื่อฉันขโมยมันมามันก็ไม่ใช่เงินที่ผู้ชายของแม่เต็มใจให้ฉัน
แม่นอนอยู่บนเตียงในสภาพเกือบจะเปลือยเปล่าซบอยู่กับผู้ชายคนใหม่ของเธอ มีเพียงผ้านวมเท่านั้นที่ห่มคลุมพวกเขาอยู่ ฉันรู้สึกขยะแขยงอยากฆ่าแม่ให้ตายทันที ทว่าต้องกลั้นใจหยุดจินตนาสังหารโหดนั่นเอาไว้ ฉันรีบหยิบเงินออกมาจากกระเป๋าของแม่ที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งก่อนที่จะมีคนตื่นขึ้นมาและออกมาได้อย่างปลอดภัย
วันรุ่งขึ้นฉันตรงเข้าไปยังร้านขายแว่นตา พร้อมเงินที่เตรียมมาในกระเป๋าทันทีหลังเลิกเรียน พนักงานร้านนำฉันไปวัดสายตา นำเลนส์ตัวอย่างมาให้ทดลองสวม ภาพที่เห็นทำให้ฉันประหลาดใจ
ฉันควรจะบรรยายภาพนั้นอย่างไรดี?
ภาพที่เห็นผ่านเลนส์นั้นชัดขึ้นจริง ทว่ามันดูราวกับเป็นโลกคนละใบกับที่ชั้นอาศัยอยู่ ผนังสีขาวสะอาดของร้านกลายเป็นสีเหลือเต็มไปด้วยคราบสีสนิม โต๊ะ เก้าอี้ เครื่องมือต่างๆ ล้มกระจัดกระจาย ดูโทรมเก่าราวกับตากแดดตางฝนมาเป็นร้อยปี ตู้โชว์แว่น แตกร้าว แว่นที่ใส่อยู่ในนั้นกระจายเกลื่อน พนักงานของร้านหายไปจากสายตา ฉันถอดมันออก และพบว่าภาพที่เห็นกลับมาเป็นเหมือนเดิม โลกกลับมาสดใสดังเก่า
พนักงานสงสายตากังวลมาที่ฉัน เขาถามว่าภาพที่เห็นชัดเจนดีหรือไม่
ฉันไม่รู้ว่าตอนนั้นฉันคิดอะไรอยู่จึงพยักหน้าให้เขา
ครึ่งชัวโมงต่อมาฉันก็ออกมายังถนนของศูนย์การค้าพร้อมกับแว่นตาใหม่ในกระเป๋า ภาพโลกสีสนิมนั่นยังหลอกหลอนอยู่ในหัว มันรบกวนจิตใจของฉันจนไม่มีอารมณ์ฆ่าผู้คนที่เดินผ่านไปมาในจินตนาการด้วยซ้ำ
มันอาจจะเป็นเพียงภาพหลอน อาจจะเป็นเพราะฉันเหนื่อยเกินไป หรืออาจจะเป็นผลข้างเคียงจากจินตนาการน่าขยะแขยงของฉัน ฉันตัดสินใจหยิบแว่นตาไร้กรอบที่พึ่งตัดใหม่ขึ้นมาใส่ทดสอบดูอีกครั้ง
ย่านการค้าที่คึกคักหายไปทันทีที่เลนส์กั้นดวงตา สีสันสดใสซีดลงฉับพลัน ฉันยกมือขึ้นปิดปากโดยไม่รู้ตัว
เบื่องหน้าเกลื่อนไปด้วยศพ ศพที่นาจะตายมาหลายเดือนนอนระเกะระเกะราวกับขยะ แมลงวันบินหึ่งเป็นล้านๆ ตัว ใส้พุงของศพถูกฉีกทึ้งโดยอีกา แมว หรือสุนัข บางศพเหลือแต่กระดูกไปแล้ว กลิ่นเหม็นคละคลุ้งเกินกว่าจะทดไหว บ้านเรือนทั้งหมดทรุดโซม กระจกแตกกระจาย สิ้นค้าล้มลงระเนระนาด
ฉันปัดแว่นออกจากดวงตา มันไถลไปบนทางเท้า ภาพ เสียง ของศูนย์การค้ากลับมาแล้ว กลิ่นเน่าหายไปทันที
ฉันโล่งใจที่ตัวเองกลับมาอยู่ในโลกใบเดิม นั่นเป็นเพียงแค่ภาพหลอน เป็นแค่ฝันร้าย
แต่เด็กหนุ่มตรงหน้าฉันกลับไม่ยอมให้มันจบแค่นั้น เขามาอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เด็กหนุ่มก้มลงเก็บแว่น
“เธอเห็นมันแล้วใช่ไหม”
ฉันพยายามส่ายหน้า แต่ไม่อาจบอกไปได้ว่าไม่ใช่
“นั่นคือสภาพที่แท้จริงของโลก”
ฉันเอียงคอ พยายามเข้าใจว่ามันเป็นมุขตลก พยายามฉีกยิ้มแล้วหัวเราะแห้งๆ ออกมา ทว่าเสียงที่ผ่านลำคอกลับเป็นเสียงลมอึกอักเหมือนกับเสียงไอ
“โลกล่มสลายลงแล้ว เหลือแค่เธอกับผมเท่านั้น”
เขายื่นแว่นตาให้ ฉันปัดมันด้วยความรังเกียจ มันกระเด็นตกลงกลางทางเท้า ผู้คนมากมายเดินผ่านมันไป หลายคนเหยียบมันไปแล้วด้วยซ้ำ
เด็กหนุ่มก้มลงเก็บแว่นขึ้นมาอีกครั้งอย่างไร้อารมณ์ แว่นตาไร้กรอบในมือเขาไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน ทั้งๆ ที่มันถูกเหยียบไปแล้วแท้ๆ
ฉันสะบักหัวสายหน้าอย่างบ้าคลั่ง ก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้สึกตัว ทำราวกับเด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นปีศาจร้ายที่พยายามจะทำร้ายฉันด้วยมีดดาบน่ากลัวในมือ
เด็กหนุ่มมองฉันด้วยสายตาเวทนาสงสาร
“ผมของโทษ...” เขาพูดพลางหลบตาลง “ขอโทษจริง”
ฉันไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงต้องกล่าวแบบนั้น ฉันรู้สึกว่าเขาน่าสงสารขึ้นมาจับใจ แต่ก็ยังกลัวเกินกว่าจะรับสิ่งของน่ารังเกียจนั่นมาจากมือของเขา
เด็กหนุ่มหย่อนแว่นตาลงในกระเป๋ากระโปรงของฉัน ยิ้มให้เศร้าๆ ก่อนจะเดินจากไปทิ้งฉันให้ยืนอยู่เดียวดายท่ามกลางผู้คนมากมายที่เดินสวนกันไปมา ผู้คนที่ฉันพึ่งเห็นเป็นศพเกลื่อนกลาด
ฉันกอดกระเป๋านักเรียนของตัวเองแน่น ฉันอยากกลับบ้าน น่าแปลกที่เวลานี้ฉันกลับอยากเห็นหน้าแม่มากที่สุด ฉันไม่คิดอะไรอีกแล้วนอกจากพาตัวเองกลับบ้านให้เร็วที่สุด
ไม่มีภาพจิตนาการการฆ่าหมู่ในหัวของฉันอีกต่อไปแล้ว ฉันเคยอยากให้คนพวกนี้ตายๆ ไปซะ แต่ฉันกลับหวาดกลัวภาพซากศพของพวกเขาจนแทบจะเสียสติ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรทั้งๆ ที่มันขัดกับสามัญสำนึกอย่างรุนแรง แต่บางสิ่งบางอย่างในตัวฉันกลับบอกว่าภาพที่เห็นผ่านเลนส์นั้นเป็นความจริงมากกว่าภาพที่เห็นตอนนี้ และสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดนั้นเป็นความจริงมากกว่าสิ่งที่ฉันเห็น ณ ขณะนี้
-4-
ฉันประหลาดใจที่พบแม่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น ปรกติแม่จะไม่กลับบ้านเร็วขนาดนี้ และไม่เคยอยู่คนเดียวโดยที่ไม่มีผู้ชายของแม่อยู่ด้วย
แม่ละสายตาจากโทรทัศน์หันหน้ากลับมายิ้มทักทายฉัน ดูเหมือนแม่จะไม่โกรธฉันเรื่องที่ขโมยเงินไปเลย
แม่เรียกให้ฉันไปนั่งข้างๆ แน่นอนแม่ไม่เคยสังเกตุว่าฉันเกลียดเธอขนาดไหน และแน่นอนเหมือนกันว่าถ้าฉันไม่อยู่ในสถาวะสับสนแบบตอนนี้ ฉันไม่มีทางไปนั่งข้างๆ เธออย่างว่าง่ายแบบนี้แน่
“เราไม่ได้คุยกันแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ” เธอเอ่ยทั้งๆ ที่ตายังมองไปยังโทรทัศน์ ฉันรู้สึกว่าบรรยากาศเหมือนกำลังนั่งคุยอยู่กับพี่สาวมากกว่าแม่ “วันนี้เราออกไปหาอะไรกินข้างนอกกันดีไหม”
ฉันมองรอยยิ้มที่ดูแสนดีของแม่แล้วรู้สึกแปลกๆ ในท้อง พึ่งนึกขึ้นมาได้ว่านี่อาจจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ฉันไม่ได้จิตนาการว่าตัวเองกำลังฆ่าแม่ทันทีที่เห็นเธอ และนี่เป็นครั้งที่ฉันทำสถิติไม่ฆ่าคนในจินตนาการเลยนานที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา ฉันไม่ได้นึกเรื่องแบบนั้นเลยตั้งแต่สวมแว่นเข้าไป
แม่เอียงคอรอฟังคำตอบจากปากของฉัน ฉันได้แต่กลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ พยายามข่มใจไม่ให้นึกว่าถ้าฉันเอาแว่นขึ้นมาสวมภาพที่เห็นตอนนี้จะเป็นยังไง
ความคิดเห็น