ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องเล่าในคืนไร้ดาว

    ลำดับตอนที่ #9 : ต่างหู [ 1 ]

    • อัปเดตล่าสุด 23 ต.ค. 50


     

    -1-

     

                    เมื่อลืมตาขึ้น ฉันเห็นหลอดไฟสีเหลืองซีดๆ กับเพดานสกปรก กลิ่นเหม็นเปรี้ยวแทบอาเจียนอัดเข้าจมูก

                    ฉันนอนขดตัวอยู่บนพื้นห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ภายในห้องไม่มีอุปกรณ์ตกแต่งอื่นใด นอกจากโถส้วมเก่าๆ จับไปด้วยคราบหินปูนสีเหลือง และหลอดไฟที่ห้องลงมาจากเพดานดวงนั้น แสงสว่างที่ไม่เพียงพอทำให้ห้องเล็กๆ นี้ดูสกปรกกว่าเดิมเป็นเท่าตัว

                    นอกจากผนังที่มีคราบสกปรกทั้งสามด้านแล้ว เบื้อหน้าของฉันเป็นลูกกรงเหล็กดำทมึน เมื่อมองลอดช่องว่างระหว่างซี่กรงออกไปเบื้องหน้าเป็นความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด

                    นี่มันอะไรกัน?!

                    สมองของฉันมึนกับคำถามที่กระหน่ำมาทีเดียวเป็นชุด มันเกิดอะไรขึ้น? ฉันมาอยู่ที่นี้ได้ยังไง?

                    ฉันหายใจเอาอากาศเหม็นเปรี้ยวเข้าไปเต็มปอด พยายามสงบใจตัวเองให้เย็นลง พยายามนึกย้อนกลับไป

                    หลังเลิกเรียนพิเศษวันนี้... หรืออาจจะหลายวันก่อนหน้านี้ ฉันแยกกับเพื่อนที่สถานีรถไฟฟ้า ก่อนจะต่อรถเมล์กลับบ้าน ฉันลงรถ เดินเข้าไปในซอยตามปรกติ แล้ว... ขณะที่ฉันห่างจากบ้านไม่ถึงร้อยเมตรความทรงจำก็ขาดหาย

                    พอรู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ที่นี้ ฉันคงถูกจับไปในขณะนั้นเอง

                    ขนพร้อมใจกันลุกเกรียว ฉันเสียวสันหลังวาบจนยกมือขึ้นมากอดอกโดยไม่รู้ตัว ใครกัน ใครที่จับฉันมาขังไว้ในที่แบบนี้ และมันทำไปเพื่ออะไรกัน เมื่อนึกถึงจุดนี้ ฉันพึ่งรู้สึกว่าตัวเองกำลังสั่นด้วยความหวาดกลัว ฉันไม่อาจควบคุมร่างกายให้หยุดสั่นได้ อยากมากก็เพียงอดกลั้นไม่ให้อาเจียนออกมา

                    ไม่เอา ไม่มีทาง ฉันถล่าไปคว้าลูกกรงแล้วกระชากสั่นมันด้วยแรงทั้งหมดที่มี กรีดร้องบ้าคลั่ง อ้อนวอนทุกอย่างที่นึกได้หวังให้ประตูกรงเปิดออก ฉันพุ่งชนกระแทกมัน ถีบ ทุบ ประตูเพียงสั่นไหว ส่งเสียงโลหะกระทบกันก้องไปในความมืดเท่านั้น ไม่มีทีท่าว่ามันจะเปิดออกแม้แต่น้อย

                    ฉันทรุดตัวลง ไหลและมือเจ็บปวดบวมแดง มันไร้เรียวแรงตกลงไปกองที่หน้าตัก ทันใดนั้นเองฉันก็มีความหวัง มือของฉันสัมผัสกับโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากระโปรง ฉันลนลานรีบล้วงมันออกมา กดเปิดเครื่องด้วยมืออันสั่นเทา แสงไฟ เสียง และข้อความต้อนรับปรากฎขึ้น ก่อนที่หน้าจอจะแสดงข้อความบอกว่าไม่มีซิมการ์ด

                    ฉันอึ้งไปนานก่อนจะหัวเราะ หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ทุบมือกับลูกกรง ดึงทึ้งผมตนเอง หัวเราะ ก่อนจะรู้สึกถึงน้ำตาที่ไหลผ่านแก้ม ไปรวมกันตรงคางแล้วหยดเผาะลงบนกระโปรง ฉันกลัว กลัวเหลือเกิน ฉันคิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่ คิดถึงเพื่อนๆ เวลานี้ทุกคนจะเดือดร้อน ออกตามหาตัวฉัน และจะมาช่วยฉันออกไปในไม่ช้าหรือเปล่า

                    พ่อบอกฉันเสมอว่า ไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์แบบไหนต้องมีทางออกเสมอ อย่างแรกต้องสงบสติอารมณ์ มองหาปัญหา มองหาทางออก และลงมือแก้ไข พ่อโกหก โกหก! ฉันไม่เห็นแม้แต่เศษซากของความหวังในสถานการณ์แบบนี้

                    ในขณะนั้นเอง ฉันได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ ท่ามกลางความเงียบ มันทำให้ฉันขนลุกซู่ แต่นั่นเป็นความหวังเดียวที่มีอยู่ ถ้ามีเสียงถอนหายใจแสดงว่าต้องมีคนที่ไม่ใช่ฉันอยู่ที่นี้ ใกล้ๆ นี้

                    ฉันถลาไปที่กรง แนวหน้าหาช้องว่างพยายามมองไปข้างๆ ใช่แล้ว ด้านข้างมีแสงสว่างส่องออกมาจริงๆ

                    ฉันล้วงมือออกไปทางซี่กรงริมสุด ควานมือคลำไปข้างๆ ฉันพบซี่กรงแบบเดียวกันกับห้องของฉัน แสดงว่าต้องมีคนอื่นนอกจากฉันถูกขังอยู่!

                    ฉันตะโกนเรียกด้วยความดีใจ มีใครอยู่ข้างๆ ไหม

                    ...ไม่มีเสียงตอบ บางทีคนที่อยู่ข้างๆ อาจจะกำลังตกใจ

                    ฉันลองอีกครั้ง บอกว่าฉันเองถูกจำมาเช่นกัน อยู่ห้องข้างๆ กับเขา

                    ไม่ได้ผลเช่นเดิม ไม่มีเสียงตอบกลับมา หรือว่าฉันจะคิดไปเอง?

                    ฉันพยายามตะโกนคุยกับเขา เสียงของฉันสะท้อนไปมาในความมืด

     

     

     

    -2-

     

                    ฉันถูกปลุกด้วยเสียงกุกกักเบาๆ ตามปรกติแล้วต่อให้แม่ปลุกเสียงดังกว่านี้ฉันก็ไม่ตื่นง่ายๆ แต่ดูเหมือนว่าประสาทของฉันถูกสถานการณ์บีบบังคับให้ตื่นตัวเช่นสัตว์ป่า

                    ในตอนแรกฉันมึนๆ ว่าตนอยู่ที่ไหน ในขณะนั้นก็มีเสียงสดใสทักท้ายขึ้น เป็นเสียงทุ้มของชายหนุ่ม เขากล่าวอรุณสวัสดิ์กับฉันด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

                    ฉันไม่เคยเห็นเขามาก่อน เขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี ประดับรอยยิ้มสดใสบนใบหน้า ดูอายุราวยีสิบกลางๆ ยังคิดว่าเขาเป็นลูกน้องของพ่อที่มาเยี่ยมบ้านเหรอ เปล่าเลย เมื่อนึกได้ถึงสถานการณ์ที่ฉันประสบอยู่ฉันก็ถอยกรูดด้วยสัญชาติญาณทันที

                    ชายหนุ่มหัวเราะสดใส สอดถาดอาหารเข้ามาตรงช่องใต้ลูกกรง

                    ฉันเอ่ยด้วยนำเสียงตะกุกตะกักบอกให้เขาปล่อยฉันไป

                    เขามองหน้าฉันด้วยท่าทางประหลาด เหมือนฉันกำลังพูดเรื่องเพ้อฝันทำนองว่ามีเวทมนต์ หรือฉันบินได้ ก่อนจะยักไหล่ และบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้

                    ฉันควรจะขู่เขา บอกว่าไม่นานพ่อแม่ฉันจะมาช่วยและลากเขาเข้าคุก หรือไม่ก็อ้อนวอนให้เขาปล่อยฉันไป แต่เวลานี้ฉันพูดอะไรไม่ออกเลยสักคำเดียว

                    ฉันจ้องมองฉันด้วยแววตายากจะบรรยาย ก่อนจะเอ่ยขึ้นเหมือนพึ่งนึกขึ้นมาได้

                    เขาบอกว่านี้เป็นเกมส์...

                    กติกาก็ง่ายๆ เพียงแต่ฉันต้องกินอาหารเช้าและเย็นให้หมด เขากล่าวขอโทษที่ไม่มีเวลาว่างพอที่จะทำอาหารเที่ยงให้ฉันด้วย ก่อนจะบอกว่ามีผู้รวมเกมส์อีกคนอยู่ห้องข้างๆ ฉัน

                    ถ้ากินไม่หมดล่ะ... ฉันหลุดปากถาม

                    ชายหนุ่มยิ้มเจิดจ้ากว่าดวงตะวัน มันทำให้ฉันขนลุกเกรียว

                    เกมส์ก็จะจบลง เขาเอ่ยช้าๆ และไม่จำเป็นต้องอธิบายต่อว่าผู้แพ้จะมีสภาพเช่นไร

                    ไม่นานหลังจากสอบถาดอาหารเข้าไปในห้องข้างๆ ชายหนุ่มก็กล่าวขอตัวก่อนจะก้าวขึ้นบันได เวลานี้ฉันพึ่งสังเกตว่าเราน่าจะอยู่ในห้องใต้ดินที่ไหนสักที ฉันเห็นแสงสว่างรำไรลอดผ่านเขามาทางบันใดที่ชายหนุ่มก้าวเขาไป ก่อนที่เขาจะกระชากประตูเหล็กปิดดังทึม ความมืดเขาปกคลุม ตามด้วยเสียงลั่นกลอนอีกชั้น

                    ฉันรู้สึกขนพองสยองเกล้า แต่ก็ใจชื้นขึ้นเล็กน้อย อย่างน้อยก็ไม่รู้สึกมืดแปดด้านและยังใจชื้นขึ้นที่มีคนอื่นอยู่ด้วย

                    ฉันมองดูอาหารที่เขาสอดเข้ามา ภาวนาให้มันไม่ใช่อะไรแหยงๆ ที่ต้องอาเจียนเพียงแค่เห็น ผิดคาด มันเป็นอาหารเช้าที่หรูหราราวอาหารของโรงแรมสามดาว ช่างต่างจากสภาพห้องที่ฉันถูกขังเสียเหลือเกิน ฉันคิดว่าไม่มีปัญหาอะไรในการทำตามกติกาของเกมนี้

                    ในหนึ่งฉันก็ระแวงสงสัยในการกระทำของเขาไม่แน่ว่านี้เป็นเพียงบทเริ่มต้นของเกมนรก แต่ฉันก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากกินอาหารตรงหน้า และรอให้คนมาช่วย บางทีฉันจะพยายามคุยกับคนห้องข้างๆ เพื่อว่าจะมีวิธีติดต่อออกไปภายนอก หรือเข้าใจอะไรมากขึ้น

                    ฉันตักอาหารเข้าปาก นึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อคืน ความจริงมันก็รสชาติดีทีเดียว

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×