คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : เพลงของเธอ
เธอยังจำได้ไหม วันแรกที่เราพบกัน
ในเย็นวันหนึ่งปลายเดือนพฤษภาคมอันหนาวเหน็บ ฉันซุกมือเย็นเฉียบในกระเป๋าเสื้อกันหนาว แบกกระเป๋าเป้ที่เต็มไปด้วยหนังสือเรียน เดินออกจากห้องเรียนเป็นคนสุดท้าย
โรงเรียนแทบจะไร้ผู้คน ห้องเรียนรอบข้างว่างเปล่า มีเพียงฉันที่ยังย่ำบนอาคารที่ถูกแดดยามเย็นย้อมให้กลายเป็นสีทอง
นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินเสียงเพลงของเธอ
เสียงกีตาร์อ่อนหวานสลับสับเปลี่ยนเป็นทำนอง ลอยผ่านอากาศเย็นเยือก เข้าไปในหู แทรกสู่หัวใจ ดึงดูดให้ขาก้าวไปหาโดยไม่รู้ตัว
ฉันเดินตามเสียงออกนอกอาคาร ที่นั้น เธอนั่งบนม้าหินอ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่ ไขว่ห้าง โอบกอดกีตาร์สีน้ำตาลอ่อน มือซ้ายกดคอร์ด มือขวาปาดสาย ดีดเพลง ภาพนั้นสุดแสนจะงดงามน่าหลงใหล สะกดให้ฉันได้แต่จ้องมอง
ไม่นานเสียงเพลงก็สะดุดลง เธอหยุดมือ เงยหน้าขึ้นมอง
ฉันเองก็พึ่งรู้สึกตัวว่ากำลังยืนจ้องเธออยู่ใกล้ๆ ฉันตกใจที่ตัวเองเสียมารยาทได้ถึงขนาดนั้น
“มีอะไร”
เธอเอ่ยถาม มองจ้องหน้าฉัน
ฉันได้แต่อ้ำอึ้ง หลบตา ใบหน้าร้อนผ่าว
“เอ่อ... พี่... พี่เล่นเก่งจังเลยนะคะ”
ฉันหลุดปากออกมาแค่นั้น ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยอะไรหรือควรจะทำยังไงต่อ ได้แต่ก้มหน้าเงียบ
เห็นดังนั้นเธอก็หัวเราะ หัวเราะโดยไม่สนใจว่าคนที่ถูกหัวเราะอย่างฉันจะอายขนาดไหน
เธอมักจะหัวเราะอยู่เสมอ ทุกครั้งที่เราอยู่ด้วยกันทุกครั้งที่เธอเล่นดนตรี
นั่นเป็นครั้งแรกที่เราพบกัน หลังจากวันนั้นเธอมักจะมาซ้อมดนตรีที่นี้เสมอ
ไม่มีวันใดที่เธอขาดซ้อม และเมื่อไหนที่เธอมาซ้อมฉันจะอยู่ข้างๆ เธอ
นานๆ ครั้งเธอก็จะเปลี่ยนสถานที่ ดาดฟ้า ทุ่งหญ้า โรงอาหาร ทางเท้า แล้วแต่อารมณ์ แต่ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหน ฉันก็จะนั่งอยู่ข้างๆ เธอเป็นเงาตามตัว
ฉันมีความสุขที่ได้ฟังเพลงของเธอ ได้เห็นรอยยิ้มของเธอ ได้ฟังเสียงของเธอ ฉันรู้สึกเหมือน ความรู้สึก ตัวตน ความทุกข์ ความเศร้า อารมณ์ ความสุข รู้สึกเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างของเธอผ่านเข้ามาสู่ตัวฉันผ่านเสียงเพลง ฉันหลับตา โอบกอดมัน รับมันเข้าสู่หัวใจ รู้สึกราวได้สัมผัสหัวใจของเธอ พอคิดแบบนี้ฉันรูสึกสุขเหลือเกิน
ยิ่งนานวันเข้าเสียงเพลงของเธอยิ่งไพเราะ ฉันไม่ได้พูดยกย่องเกินไปนะ แต่เสียงเพลงของเธอสุดยอดที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้ยินมา มันเจ็บปวด เศร้าสร้อย งดงาม และมีพลังมากกว่าเพลงไหนๆ ที่เคยฟัง
พอฉันบอกเธอแบบนั้นเธอก็หัวเราะแล้วก็ขยี้หัวฉันแบบที่เธอชอบทำบ่อยๆ แต่ฉันไม่ชอบเลย เธอมักจะทำเหมือนกันว่าฉันเป็นน้องสาวทั้งๆ ที่อายุน้อยกว่าแค่สองปีแท้ๆ
วันหนึ่ง ฉันเอ่ยปากขอให้พอซื้อกีตาร์ให้ พ่อตกใจไม่คิดมาก่อนว่าลูกสาวจะอยากได้เครื่องดนตรีแบบกีตาร์ ทำไมล่ะ หน้าตาฉันดูเป็นเด็กเรียนขนาดนั้นเลยเหรอ
ทันทีที่เธอเห็นฉันถือกีตาร์ไปหาเธอ เธอก็หัวเราะ วันนั้นฉันโวยวาย ทำไมล่ะ ฉันถือกีตาร์มันแปลกมากหรือไง อย่ามาหัวเราะนะ ยิ่งโวยวายเธอก็ยิ่งหัวเราะ ยิ่งหัวเราะฉันก็ยิ่งโวยวาย ถึงฉันจะโวยวายแต่จริงๆ ฉันก็ชอบเสียงหัวเราะ ชอบรอยยิ้มของเธอมากกว่าสิ่งใด
“ไม่แปลกหรอก เดี๋ยวฉันจะสอนให้” เธอบอก หลังจากหัวเราะจนปวดท้อง ถึงขนาดหัวเราะต่อไปไม่ไหว พร้อมกับขยี้ผมฉัน
หลังจากนั้นฉันก็ค่อยๆ ซึมซับวิธีเล่นกีตาร์จากเธอ ค่อยๆ เรียนรู้เพลงของเธอ พยายามเข้าไปมีส่วนร่วมกับทำนองที่แสนจะงดงามนั้น แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไรก็ไม่ใกล้เธอเลย ยิ่งนานวันเธอยิ่งทิ้งห่างฉันไปจนแทบไม่เห็นฝุ่น ทำไมกันนะทั้งๆ ที่ฉันก็พยายามตั้งขนาดนี้แท้ๆ นี้คือสิ่งที่เรียกว่าพรสวรรค์สินะ
แต่ถึงเป็นแบบนั้นฉันกลับรู้สึกภูมิใจ ทั้งๆ ที่ พรสวรรค์นั้นไม่ใช่ของฉันแต่ฉันกลับภูมิใจ ภูมิใจที่เธอเก่งซะจนทิ้งฉันไม่เห็นฝุ่น คิดแล้วก็แปลก ทำไมฉันถึงรู้สึกแบบนี้กันนะ
แป๊บเดียวหนึ่งเทอมก็ผ่านไป ฉันซึ่งไม่มีปัญหาเรื่องผลการเรียนเลื่อนชั้นขึ้นสู่ ม.ปลายโดยอัตโนมัติ ส่วนเธอก็เลื่อนขึ้นสู่ปีสุดท้ายของมัธยมปลาย ถึงเวลาแล้วที่ต้องตัดสินใจเรื่องอนาคต แต่ดูเหมือนว่าเธอจะตัดสินใจแนวแน่แล้วว่าจะเดินในเส้นทางสายดนตรี ดังนั้นช่วงปิดเทอมเราจึงซ้อมกันเกือบทั้งวัน เสียงกีตาร์ของเราประสานกันเป็นเพลงบทเดียว ฉันมีความสุขเหลือเกิน เพียงแค่เห็นรอยยิ้มของเธอก็มีความสุขแล้ว
และแล้วช่วงเวลาแห่งความปิติสูงสุดก็มาถึง เมื่อเธอชนะการประกวดดนตรีระดับชาติ เมื่อฟังผลฉันกระโดดจนตัวลอย ถึงจะพอรู้ผลอยู่แล้ว เพราะดนตรีอันแสนงดงาม และท่าทางที่สง่างามกว่าใครของเธอบนเวที แต่ฉันก็ดีใจ ดีใจจนแทบคลั่ง ตอนนี้มหาวิทยาลัยทางดนตรีเปิดประตูรอเธออยู่แล้ว มีค่ายเพลงมาทาบทามเธอด้วยซ้ำไป ความฝันของเธอกำลังจะเป็นจริง ไม่นานคนทั้งโลกจะได้ยินเพลงของเธอ ฉันดีใจ ดีใจจริงๆ
เธอกอดฉัน กอดฉันแล้วร้องไห้ หัวเราะทั้งน้ำตา นั้นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นน้ำตา และเป็นครั้งที่ท้ายที่ฉันเห็นรอยยิ้มของเธอ
แต่แล้วความฝันก็พังทลาย ฉันแทบล้มทั้งยืนเมื่อที่ฟังข่าวร้าย ตอนแรกฉันเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องโกหก นานที่เดียวกว่าฉันจะนึกได้ว่าต้องรีบไปหาเธอที่โรงพยาบาล
ตอนแรกที่ฉันเห็นเธอในชุดขาวนอนอยู่บนเตียง พร้อมส่ายน้ำเกลือระโยงระยางฉันตกใจ แต่ก็ยังใจชื้นที่อย่างน้อยเธอก็ปลอดภัย แต่ถึงกับทรุดลงเมื่อมีคนบอกว่าแขนซ้ายของเธอไม่อาจขยับได้อีกต่อไป
เธอสูญเสียดนตรีไปแล้ว จากนี้เธอไม่ยิ้มอีกแล้ว ไม่แม้แต่มองหน้าฉัน
ฉันไม่รู้ว่าควรเอ่ยคำใด ฉันเขาใจดี เข้าใจว่าเธอเจ็บปวดแค่ไหน เช่นนั้น ฉัน ฉันจะปลอบเธอได้อย่างไร ฉันจะลดความเจ็บปวดมหาศาลนั้นได้ยังไงเล่า ฉันนึกไม่ออก คิดไม่ออกเลย ทำไม ทำไมถึงต้องเป็นเธอ ทำไมต้องเป็นเธอที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ ทำไมต้องเป็นเธอที่สง่างามกว่าใครๆ ทำไมต้องเป็นเธอผู้เป็นเจ้าของเพลงที่ไพเราะกว่าเพลงใดๆ ทำไมถึงต้องเป็นเธอ ไม่ใช่ฉัน ทำไมคนที่เป็นแบบนี้ถึงไม่ใช่ฉัน ไม่ใช่ฉัน ฉันที่อ่อนด้อย ฉันที่ทำอะไรไม่ได้เลย ฉันที่ได้แต่ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาเป็นสาย
เธอเห็นดังนั้นเธอก็วางมือบนหัวฉันแล้วขยี้ผมเบาๆ
ฉันได้แค่ขอโทษ ขอโทษนะที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย ขอโทษนะ ขอโทษ
อาทิตย์ต่อมาเธอก็จากไป
เธอกระโดดลงมาจากดาดฟ้าของโรงพยาบาล เธอผู้เคยเป็นเจ้าของดนตรีที่ไพเราะกว่าเพลงใดจากไปตลอดกาล
ไม่มีสัญญาณบอกกล่าว ไม่มีแม้คำร่ำรา เธอจากไปกระทันหัน เมื่อที่เราพบกันโดยบังเอิญ
ฉันใดแต่หลั่งน้ำตา ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากหลั่งน้ำตา
ในงานศพ ทุกคนหลั่งน้ำตา มีเพียงรูปของเธอที่ยิ้มอย่างงดงาม
เพลงของเธอเปิดบรรเลง ลอยแทรกผ่านอากาศเหน็บหนาวผ่านเข้าสู่หัวใจ เช่นเดียวกันวันที่เราเจอกัน ทำนองเศร้าสร้อย อ่อนโยน งดงาม
ฉันร้องไห้ ทำได้เพียงร้องไห้
ฉันคิดถึงเธอ อยากฟังเพลงที่เธอเล่นสด ไม่ใช่เพลงจากลำโพง ฉันคิดถึงเธอ อยากเห็นรอยยิ้มจากใบหน้าของเธอ ไม่ใช่จากรูปหน้าโลงศพ
แต่ฉันทำอะไรไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้เลย
วันสุดท้าย หลังจากร่างของเธอกลายเป็นเถ้าถ่าน ฉันขอแบ่งอัฐิของเธอบางส่วน เธอคงไม่รังเกียจใช่ไหม ก่อนฉันจะจากไป แม่ของเธอตัดสินใจมอบของสิ่งหนึ่งให้ฉัน มันคือกีตาร์สีน้ำตาลอ่อน กีตาร์ของเธอ แม่ของเธอบอกว่า เธอคงต้องการแบบนั้น
คืนนั้น ฉันไม่กิน ไม่หลับ ไม่นอน ฉันดีดกีตาร์ บรรเลงเพลงของเธอ ถึงสายจะขาดไป แต่ฉันก็ยังเล่นต่อ เล่นจนกว่าจะไม่เหลือน้ำตา
ความคิดเห็น