ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สงครามสุดเพี้ยนของเหล่าเกรียนหลุดโลก

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 2 เพื่อนสมัยเด็กกับเจ้าหญิงแห่งแสง -1-

    • อัปเดตล่าสุด 27 ธ.ค. 58


     

    บทที่ 2 เพื่อนสมัยเด็กกับเจ้าหญิงแห่งแสง

     

    เมื่อผมลืมตาขึ้นอีกครั้ง สิ่งแรกที่ผมมองเห็นก็คือ หลอดไฟบนเพดานที่เห็นจนชินตา เสียงจั๊กจั่นดังมาจากหน้าต่าง กระแสลมเย็นๆพัดผ่านเข้ามาในห้องนี้จนม่านหน้าต่างขยับพลิ้วเล็กน้อย

    เป็นเวลากลางคืน นาฬิกาบนผนังบอกเวลา 21.30 น.

     “ฝันไปงั้นเหรอ ?” ผมยกมือก่ายหน้าผาก ดูจากสถานการณ์แล้ว คงจะเผลอหลับไปหลังกลับมาจากกลับมาจากโรงเรียนแล้วฝันไปสินะ

    เป็นความฝันที่เพ้อเจ้อมาก นอกจากจะมีไอ้สูทขาวผมทรงเกาหลีที่พูดจาบ้าๆบอๆ แล้วยัยเมดของไอ้บ้านั่นยังล้วงเอาอาวุธออกมาจากใต้กระโปรงได้อีก แถม ไอ เพื่อนสมัยเด็กของผมยังเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้อีกด้วย แค่คิดถึงมันก็คันขึ้นมาแล้ว

    ยิ่งไปกว่านั้นไอ้ที่เรียกอัศวินสาวในชุดเกราะออกมาช่วยในตอนกำลังใกล้ตายนั่น ดูยังไงมันก็หลุดมาจากเรื่องเพ้อเจ้อที่ผมแต่งชัดๆ แถมยังใช้บทพูดที่เสี่ยงโดนฟ้องเรียกค่าลิขสิทธิ์นั่นอีก

    เฮ้อ...ให้ตายสิ นี่เรามันเพ้อได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอวะเนี่ย

    ทว่าระหว่างที่กำลังรู้สึกสับสนนั่นเอง สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นร่างหนึ่งกำลังนั่งคุกเข่าอย่างสงบอยู่ที่ปลายเท้า

    แสงสว่างจากดวงไฟบนเพดานทำให้ผมมองเห็นร่างนั้นได้อย่างชัดเจน แต่ผมก็ยังขยี้ตาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

    เพราะร่างนั้นคือ หญิงสาวในชุดเกราะหนาแบบยุคกลาง ผู้มีผมสีเงิน และใบหน้าเรียวงามเหมือนกับรูปปั้นเทพี คนเดียวกับที่ผมเห็นในฝันยังไงล่ะ

    ดูเหมือนว่า เธอจะรู้ว่า ผมตื่นขึ้นมาแล้ว จึงจับดวงตาสีม่วงอเมทิสต์อันสดใสที่กำลังจ้องมองมาทางผม

    ถึงจะขยี้ตาแล้วภาพนั้นก็ยังไม่หายไป ทำเอาผมนี่ปวดหัวเลย

    เพราะหญิงสาวหน้าตาเหมือน อายาเรีย ตัวละครในจิตนนาการที่เคยเขียนไว้สมัย ม.ต้น ไม่ผิดเพี้ยน

    “ตื่นแล้วเหรอ ท่านซาตาน”

    คำพูดของเธอทำให้ขนของผมลุก

    “หา? เธอเรียกใครนะ”

    “ก็เรียกท่านยังไงล่ะ ท่านซาตาน  บุตรของพระเจ้าผู้ทรยศจนเกิดสงครามครั้งใหญ่ที่ทำให้พระเจ้าต้องถึงคราวสิ้นชีวิตก็คือ ท่านไม่ใช่หรือยังไงกัน”

    ผมอ้าปากค้าง รู้สึกปวดหัว และคันจนต้องเกาที่แขน แน่นอนว่าไอ้เรื่องนี้ก็เหมือนเรื่องที่ผมเพ้อแต่งขึ้นมาไม่ผิดเพี้ยนเหมือนกัน

    “อะไรน่ะ นิยายที่ไหนล่ะนั่น”

    พอผมทำท่าไม่เข้าใจออกมาแบบนั้น อัศวินหญิงก็ทำท่าหงุดหงิดขึ้นมาในทันที

    “ให้ตายสิ เข้าใจอะไรยากจริงๆนะ ข้าเองก็ได้ยินมาเหมือนกันว่า ซาตานในชาตินี้สูญเสียความทรงจำและพลังไปจนหมดสิ้น แต่อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำเรื่องนี้ออกมาบ่อยๆ ได้ไหม ท่านซาตาน”

    “เออ...ขอโทษนะ แต่ฉันจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้วล่ะ ก่อนอื่น เธอเป็นใครงั้นเหรอ แล้วไง ฉันถึงมาอยู่ที่บ้านฉันได้ล่ะเนี่ย”

    แม้อัศวินหญิงถอนหายใจออกมาด้วยท่าทางเซ็งจริงๆ

    “ค่ะ ถ้าจะให้เป็นเช่นนั้น ข้าขอแนะนำตัวเองก่อน ตัวข้ามีชื่อว่า อายาเรีย เซเรย์น่า เฮสต้า เดอเซลาส แอสพีเรีย เออร์เนสดราก้อน คาราวา อัลเซฟอล ฟารานา ดาวิเดียน อารีปุส คาซานา ฮาเอล ผู้เป็นบุตรีของจูปิเตอร์ ราชันแห่งนครแสงสว่าง”

    ผมนี้ได้ยินแล้วรู้สึกคันเหมือนโดนบุ้งไต่ไปทั้งตัวเลยล่ะครับ

    ก็ชื่อนี้ผมเป็นคนตั้งขึ้นมาเองนี่หว่า พอมีคนมาพูดจริงนี้มันน่าอายโคตรๆ อยากตายชะมัด อยากมุดดินหนีแล้ว แต่ด้วยมารยาทจึงจำทนต้องให้เธอพูดชื่อที่ยาวเกือบสองนาทีนั่นจบ

    “ขอบอกไว้ก่อนว่าที่ข้าทำนี่ไม่ได้ทำเพราะความสมัครใจหรอกนะคะ” อายาเรียพูดพร้อมกับยกมือวางลงบนเกราะหน้าอกของตัวเอง “แต่เพราะตัวข้านั้นในอดีตคือ กาบริเอล เทพีแห่งสงครามผู้ได้ทำพันธะสัญญาทางวิญญาณกับท่านซาตานเมื่อครั้งบรรพกาล คำสัญญานั้นเป็นเหมือนคำสาปที่ติดตัวข้ามายังชาติปัจจุบัน ข้าจึงต้องมายังโลกใบนี้ตามคำอัญเชิญของท่านค่ะ ท่านซาตาน”

    ผมกุมขมับ

    “ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่ายังไงคะ ท่านซาตาน”

    “เออ เปล่าๆ ก็แค่กำลังจัดระเบียบความคิดใหม่น่ะ ขอเวลาแปปนะ”

    “???”

    เอาล่ะ ตรงหน้าของผมเป็นสาวสวยที่เหมือนตัวละครในจินตนาการเปี๊ยบ แถมยังรู้เนื้อเรื่องที่ผมเพ้อแต่งขึ้นเองเป๊ะๆ หรือว่านี่จะเป็นรายการล้อกันเล่น? มีใครสักคนรู้เนื้อหาในบันทึกประวัติศาสตร์มืดแล้วจัดฉากลงทุนแกล้งกันหรือยังไง

    ว่าแต่ว่า พูดถึงสมุดสีดำนั่นแล้ว มันอยู่ไหนกันล่ะเนี่ย

    “มีอะไรเหรอคะ ท่านซาตาน”

    “เออ...ไม่รู้ว่า สมุดสีดำหายไปไหนน่ะสิ เธอเห็นบ้างไหม เออ...”

    “เรียกข้าว่า อายาเรียก็พอค่ะ ท่านซาตาน”

    “อ่าหะ อายาเรีย เธอเห็นสมุดสีดำบ้างไหม”

    อายาเรียหน้าแดงขึ้นมาทันทีเมื่อผมเรียกชื่อเธอแบบนั้น เธอก้มหน้าหงุดลงทันทีพลางบ่นพึมพำด้วยภาษาแปลก ๆ ที่ผมไม่เข้าใจว่า เธอกำลังพูดอะไรอยู่ กระทั่งผมเอ่ยถามเธออีกครั้งด้วยคำถามเดิม

    “เออ อายาเรีย”

    อายาเรียสะดุ้งรับคำขานเรียกของเธอในทันที สีหน้าของเธอดูค่อนข้างตื่นเต้นไม่ใช่น้อย

    “ค่ะ ค่ะ มะ…มะ มีอะไรเหรอ ท่านซะ… ซะ ซาตาน”

    “ก็...เธอเห็นสมุดสีดำของฉันบ้างหรือเปล่า”

    “สมุดสีดำ? อ๋อ หมายถึงคัมภีร์บันทึกประวัติศาสตร์มืดใช่หรือไม่คะ?”

    ผมรู้สึกเหมือนมดเป็นร้อยไต่อยู่ตามตัวตอนได้ยินชื่อนั้น แต่ตอนนี้ปล่อยผ่านไปก่อน

    “ใช่ๆ เห็นหรือเปล่า”

    “ถ้าสิ่งนั้นล่ะก็ ข้าเก็บเอาไว้เองค่ะ”

    อายาเรียหยิบสมุดขึ้นมาพลางยื่นมันให้กับผม

    “ขอบใจนะ”

    “ช่วยรักษามันหน่อยนะคะ มันสำคัญมาก เกี่ยวกับความเป็นความตายของท่านซาตานและตัวข้าด้วยเหมือนกัน”

    “หา? หมายความว่ายังไง”

    พอผมพูดแบบนี้ออกไป อายาเรียก็ทำหน้าไม่พอใจขึ้นมาอีก สีหน้าของเธอตอนนี้มันเขียนขึ้นมาประมาณว่า ให้ตายสิ นี่ต้องอธิบายทุกเรื่องหรือยังไงกัน ลอยขึ้นมาทีเดียวเชียว

    “แสดงว่า ท่านซาตานยังไม่รู้เลยว่า ตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”

    “รู้สิ กำลังมีคนประหลาดที่พูดจาไม่รู้เรื่องอยู่ในห้องของชั้นไง เพื่อนๆซ่อนตัวอยู่ตรงไหนนะ อ๋อเดี๋ยวนี้ใช้กล้องขนาดเล็กแล้วสินะ ระดับฉันนี่ไม่หลงกลกันง่ายๆ หรอกน่า”

    “เฮ้อ... เอาเถอะค่ะ ฉันเองก็ไม่ได้คาดหวังว่า ท่านซาตานจะเป็นคนที่เลิศเลออะไรหรอกนะ แต่ก็ไม่คิดว่า จะเป็นได้ซะขนาดนี้ นี่ตัวข้าในอดีตทำพันธะสัญญาทางวิญญาณกับคนแบบนี้ไปได้ยังไงกันเนี่ย”

    “เดี๋ยวนะ นี่เธอกำลังว่าชั้นในระยะเผาขนอยู่ใช่ไหมเนี่ย”

    “ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อยนิ ก็แค่ต่อว่าตัวเองในอดีตที่ทำอะไรบ้าๆ แบบนี้ต่างหากล่ะ ไม่ได้ว่า ท่านซาตานสักหน่อย”

    “เหรอ?” ฟังดูยังไงก็ด่าผมชัดๆ

    “ก็ได้ค่ะ จะขอพูดแค่ครั้งเดียวนะคะ ท่านซาตาน ตอนนี้ท่านกำลังอยู่ในการต่อสู้ที่ถูกเรียกว่า สงครามพระเจ้าศักดิ์สิทธิ์น่ะค่ะ”

    “สงครามพระเจ้าศักดิ์สิทธิ์งั้นเหรอ”

    “ค่ะ ถ้าจะอธิบายก็คือ หลังจากที่ท่านสังหารพระเจ้าแล้ว เหล่าเทพเจ้าที่เหลืออยู่จึงแย่งชิงกันเองเพื่อขึ้นเป็นพระเจ้าองค์ใหม่ เพราะเหตุนี้ท่านที่มีพลังสูงสุดในบรรดาเทพเจ้าทั้งหมดจึงเป็นเป้าโจมตีของพวกเทพเจ้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ ท่าน... เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”

    อายาเรียเอ่ยถามผมที่กำลังหน้าซีดเป็นไก่ต้ม

    ทำไมผมถึงหน้าซีดเหงื่อแตกได้แบบนี้น่ะเหรอ คำตอบของมันก็ง่าย ๆ นั่นก็คือ ไอ้ที่เจ้าหล่อนว่ามาน่ะ มันคือ สิ่งที่เคยอยู่ในบันทึกประวัติศาสตร์มิดทั้งนั้นเลย เพราะอย่างนั้นผมก็เลยรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาอีกแล้ว

    “ปะ เปล่า ไม่มีอะไรหรอก  พูดต่อเถอะ”

     “ได้ค่ะ เพราะงั้น นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยพันธะสัญญาทางวิญญาณที่มีมาแต่ชาติปางก่อน ทำให้ข้าถูกอัญเชิญมาจากนครแห่งแสงสว่างเพื่อเป็นดาบ เป็นโล่ และเป็น...” อายาเรียทำสีหน้าลำบากใจเล็กน้อยเมื่อจะพูดคำต่อไป “...คนรักของท่านซาตาน”

    ...เรื่องที่เธอเล่า เป็นไปตามที่ผมเขียนเรื่องไว้ในสมุดบันทึกนั้นแหละ แต่พอมีเด็กสาวมาพูดแบบนี้จริงๆนี้รู้สึกเขินจนอยากตายเลย

    “ขอย้ำอีกครั้งนะคะ ว่าข้าไม่ได้สมัครจะในทำแบบนี้ แต่จำเป็นต้องทำเพราะคำสาบานที่ผูกติดมากับวิญญาณของข้า” เธอหลบตาผม และพ้นลมออกมาจากจมูกด้วยท่าทางไม่พอใจ “และสมุดนั้นเป็นเครื่องมือเวทย์มนตร์ที่ท่านใช้เรียกข้าออกมาจากอีกมิติ จึงเป็นเครื่องพันธะสัญญาที่ท่านจะต้องเก็บรักษาเอาไว้ให้ดีจนกว่าจะจบการต่อสู้ครั้งนี้ค่ะ”

    อายาเรียชี้นิ้วไปยังสมุดที่ผมถืออยู่ด้วยสีหน้าจริงจังเล็กน้อย

    “งั้นเหรอ” ผมก้มมองสมุดเล่มนี้อย่างไม่แน่ใจ “แล้วถ้าสมุดนี่ตกไปอยู่ในมือของคนอื่นล่ะ จะเป็นยังไง”

    “ถ้าสมุดเล่มนี้เป็นสัญลักษณ์ของพันธสัญญาระหว่างข้ากับท่าน ถ้ามันถูกทำลายข้าจะหายไป แต่ถ้ามันตกในมือของคนอื่น... พันธสัญญาของข้าจะถูกโอนไปเป็นของเขาค่ะ”

    “ว่าไงนะ?”

    “สมุดเล่มนั้นเป็นเงื่อนไขที่ทำให้ท่านเป็น “ผู้มีคุณสมบัติสืบทอดตำแหน่งพระเจ้า” และเพราะสมุดเล่มนี้เป็นสื่อพลังงานที่ทำให้ข้ามีตัวตนอยู่ในโลกนี้ ถ้ามันถูกทำลายข้าจะหายไปจากโลกไปนี้ไปด้วย แต่ถ้าผู้ที่ได้มันไปเป็นจอมเวทย์ก็อาจจะแก้เงื่อนไขของสัญญาทำให้ข้าต้องตกเป็นทาสของเขาแทน...”

    น้ำเสียงของอายาเรียกล่าวย้ำแบบนั้นทำให้ผมรู้สึกขนลุก มันเป็นความรู้สึกที่คล้ายคลึงกับใครบางคนซะเหลือเกิน ถึงท่าทางอะไรพวกนั้นจะไม่เหมือนกันเท่าไหร่ก็เถอะ

    “หมายความ เธอมาจากโลกเวทย์มนตร์และชั้นก็ถูกพวกเทพตามฆ่าจริงๆ งั้นเหรอ”

    “แน่สิคะ”

    ผมพยักหน้า

    “อืม เข้าใจแล้ว แบบนี้นี่เอง”

     “ถ้าท่านเข้าใจก็ดีแล้วล่ะค่ะ ถ้าอย่างงั้นเราก็ควรจะมีเตรียมแผนรับมือศัตรูกันดีกว่า”

    “เธอเป็นพวกจูนิเบียวคอสเพลย์ที่บังเอิญแอบอ่านเรื่องที่ชั้นเขียนใช่มั้ยล่ะ”

    พอเข้าใจแบบนี้อาการของผมก็ดีขึ้นมา เรื่องมันมีเหตุผลแบบนี้นี่เอง

    “หา?”

    “เธอบังเอิญได้อ่านเรื่องที่ชั้นเขียน และเป็นเพราะอัจฉริภาพด้านงานเขียนของชั้นที่หลับไหลอยู่ ถึงทำให้เธอตกอยู่ภายใต้มนสะกดของเรื่องทันที ด้วยความที่เป็นจูนิเบียวอยู่แล้วเลยทนไม่ไหว ถึงกับลงทุนทำชุดครอสเพลย์นั่นเลยสินะ... พวกสูทขาวนั้นก็เป็นเพื่อนๆครอสเพลย์เยอร์ของเธอสินะ อืมม วางแผนจะเซอร์ไพรซ์ชั้นเลยรวมหัวกันทำเรื่องแบบนี้น่ะสิ ลงทุนไม่น้อยเลยนะ... ฮะๆๆ แล้วเพื่อนๆเธออยู่ไหนล่ะ ซ่อนกล้องไว้เตรียมถ่ายภาพไว้อัดคลิิปแกล้งคนด้วยใช่มั้ยล่ะ”

    อายาเรียมองผมด้วยสีหน้างงงวย ก่อนจะกลอกตา และทุบกำปั้นกับฝ่ามือเหมือนเข้าใจอะไรบ้างอย่างแล้ว

    “ท่านซาตานกลัวว่าจะมีเทพเจ้าที่แปลงกายได้มาหลอกลวงท่านสินะคะ... ช่างรอบคอบจริงๆ”

    “เอ่อ...”

    “เข้าใจแล้วค่ะ” อายาเรียพูดพร้อมกับลุกขึ้น และยื่นมือออกมาเบื้องหน้า

    “ข้าแต่แสงสว่างผู้สูงศักดิ์ จงขึ้นรูปเป็นศาสตร์ให้ข้าใช้ประหารศัตรูผู้ชั่วช้า จงออกมาเอ็กซ์คาลิเบอร์!!” เธอท่องคาถา

    และเวลานั้นเองที่แสงสว่างรอบๆ สว่างจ้าขึ้น มันกลายเป็นละอองแสงรวมกันเป็นดาบใหญ่ในมือของเธอ

    ผมต้องยกมือขึ้นปิดปากไม่ให้ของเหลวพุ่งออกมาจากกระเพาะกระทันหัน

    โหสุดยอดเลย ถึงกับลงทุนฝึกมายากลมาเลยเหรอ...

    “นี่คือเอ็กซ์คาลิเบอร์ดาบ ที่มีพลังโจมตีถึง9999หน่วย ด้วยคุณสมบัติของแสงสว่าง ที่มีเพียงเล่มเดียวในจักรวาล นี่พิสูจน์ได้แน่ๆ ว่าข้าเป็นตัวจริง” อายาเรียชี้ดาบสีเงินในมือมาที่ผมและเอ่ยบอก

    แม่เอ้ย ไอ้การมีค่าพลังโจมตีเป็นตัวเลขนี้มันน่าอายชมัด ผมอยากต่อยหน้าตัวเองสมัย ม.ต้น ชมัด

    “แต่ท่านซาตานคะ ถ้าจำไม่ผิดร่างปัจจุบันของท่านสูงกว่านี้ไม่ใช่เหรอคะ” อายาเรียถาม เมื่อเห็นส่วนสูงของผมที่ยืนเทียบกับเธออยู่ ผมสูงประมาณ 175 เซนติเมตร ในขณะที่อายาเรียสูง 170 ผมจึงสูงกว่าเธอเพียงเล็กน้อย”

    พอดีว่า ในเรื่องเพ้อเจ้อผมเซ็ตให้ตัวเองสูง 190

    “หรือว่า... ท่านจะเป็นพวกเทพที่ปลอมตัวเป็นท่านซาตาน”

    “ถ้าใช่จะทำยังไงเหรอ” ผมลองถามดู

    “แน่นอนว่าต้องฆ่า” เธอบอกพร้อมกับตั้งดาบในท่าเตรียมตัว

    “ฮ... ฮะๆๆๆ” ผมหัวเราะแห้งๆ และกลืนน้ำลาย “นี่อายาเรีย ชั้นขอพิสูจน์อะไรอีกสักอย่างได้มั้ย”

    “คะ?”

    ผมหยิบกระดาษขยำเป็นก้อน และขว้างขึ้นไปบนอากาศ

    อายาเรียตวัดดาบด้วยความเร็วขนาดผมมองไม่ทัน

    ก้อนกระดาษขาดเป็นชิ้นๆ ก่อนที่ดาบจะถูกมันเสียอีก

    อืมมม ชัดแล้ว... เธอเป็นนักมายากล ที่มีฝีมือดาบด้วยอย่างงั้นสินะ แล้วก็เป็นคนเพี้ยนอย่างจริงจัง ถึงขั้นบ้า แล้วพอดีได้อ่านเรื่องที่ผมแต่งขึ้นมา แล้วคิดจริงจัง ถึงขนาดหนัก

    ผมคิดถึงตัวละครโรคชินในนิยายของสตีเฟนคิงส์ ในเวลานี้การไปขัดเธออาจจะตายจริงๆก็ได้ ทางที่ดีต้องตามน้ำไปก่อน

    “ท่านเป็นตัวปลอมรึเปล่าคะ”

    “เปล่า” ผมตอบอย่างรวดเร็ว “ชั้นนี่ล่ะซาตานตัวจริงแน่นอน”

    “แล้วทำไมส่วนสูงถึง... นอกจากนั้นดูรัศมีของท่านแล้วก็น่ากังขาอยู่” อาราเรียหรี่ตาพินิจผมหัวจรดเท้า ท่าดาบในมือของเธอบอกว่าเธอเอาจริงแน่นอน

    รุ่นพี่คามิน่าที่เคารพได้สอนผมไว้ว่า เวลาในเวลานี้จงโยนเหตุผลลงชักโครกไปซะ และรักษาชีวิตของตัวเองไว้ ถึงแม้ว่ามันจะทำให้เลือดกำเดาพุงเป็นน้ำตกก็ตาม

    ด้วยเหตุนี้ผมจึงพยักหน้าด้วยใบหน้าแคร่งขรึม

    “ฟังนะอายาเรีย” ผมจับไหล่ของเธอและบอกด้วยสีหน้าจริงจัง “ตอนนี้พลังของชั้นถูกสะกดไว้ไงล่ะ”

    “ถูกสะกดงั้นเหรอคะ”

    “ใช่แล้วล่ะ” ผมพยักหน้าอย่างจริงจัง “เพราะร่างของมนุษย์นี้มันอ่อนแอมาก ตอนที่ชั้นเกิดจึงต้องสะกดพลังของตัวเองไว้ แต่เพราะความทรงจำที่ขาดหายตอนเกิดใหม่ทำให้ยังไม่รู้วิธีปลดผนึก พลังของชั้นจึงถูกกดให้เหลือเพียง 1 ใน 1000 ไงล่ะ”

    แบบนี้นี่เอง” อายาเรียพยักหน้าและลดดาบลง “หมายความว่าอันตรายมากเลยนะคะเนี่ย เพราะแบบนี้สินะท่านถึงสู้กับศัตรูเมื่อตอนเย็นไม่ได้”

    “ใช่แล้วล่ะ ถ้าชั้นได้พลังจริงมา... ไม่สิ แค่ 1 ใน 10 ของพลังจริงก็เป่าเจ้าสูทขาวนั่นหายไปได้ในสิบวิแล้วล่ะ”

    อายาเรียมองดูด้วยสีหน้าหนักใจ เธอคงกำลังคิดว่าจะปลดพลังของซาตานที่ถูกผนึกยังไงดีเป็นแน่

    โอยคันชมัดยาด ขอโทษนะครับที่ผมไม่มีพลังอะไรทั้งนั้นล่ะ ที่พูดมาตอแหลล้วนๆ

    แต่ถ้าอย่างนั้น หมายความว่าความฝันบ้าๆ บอๆ ที่ผมถูกไล่ฆ่า และเธอมาช่วย นั่นก็เป็นความจริงงั้นเหรอ

    นี่ในเมืองของเรามีแกงค์พวกเพ้อเจ้อ ที่มีอาวุธปืนและระเบิดของจริงสินะ นี่มันอันตรายชมัดเลย

    แต่เมื่อครู่ผมรอดมาได้ยังไง หรือว่ากระสุนที่เมดใช้จะเป็นกระสุนสีงั้นสินะ

    พอนึกไปตอนที่เกือบตายเมื่อครู่นี้ขึ้นมา ท้องน้อยก็รู้สึกเจ็บขึ้นมาทันทีจนส่งเสียงร้องออกไป

    ผมเปิดที่ท้องดูและพบว่า มันถูกพันอยู่ด้วยผ้าพันแผลที่เปื้อนไปด้วยเลือด

    นี่ก็คงเป็นของปลอมล่ะมั้ง ผมคิด แค่ช้ำเพราะกระสุนสี แล้วยัยหัวเงินนี่ก็เอาผ้าพันแผลสีแดงมาพันให้ดูเนียนสินะ

    “ท่านซาตาน ท่านเจ็บแผลยังงั้นเหรอคะ”

    “น... นิดหน่อยน่ะ ว่าแต่ เธอเถอะช่วยเรียกอย่างอื่นทีได้ป่ะ เรียกแบบนี้รู้สึกยังไงก็ไม่รู้”

    อายาเรียเอียงคอเล็กน้อยแล้วถามกลับ

    “แล้ว ท่านซาตานจะให้ข้าเรียกท่านยังไงงั้นเหรอ”

    “เอาเป็นว่า เรียก ชิน ก็แล้วกัน นี่เป็นชื่อของฉันตอนนี้น่ะนะ เข้าใจนะ... เอ่อ แล้วก็ไม่ต้องพูดสุภาพด้วย”

    “ตะ... แต่ว่า”

    นี่ประเทศไทยนะเฟร้ย การเรียกชื่อเล่นกันไม่ใช่เรื่องที่น่าอายขนาดนั้นซะหน่อย เธอจะจริงจังกับบทเกินไปหรือเปล่า...

    แต่เพราะอย่างนั้นผมเลยคิดว่าถ้าเนียนไม่พอล่ะก็เธออาจจะฆ่าผมจริงๆก็ได้ แต่ถ้าปล่อยให้เธอเรียกผมว่าซาตานต่อไป มีหวังเลือดกำเดาทะลัก ดังนั้นยอมปวดหัวทีเดียวดีกว่า

    “นี่ อายาเรีย” ผมจับไหล่ของเธอและพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เพราะพลังของชั้นยังไม่ฟื้นกลับมาเลยต้องปลอมตัวในสังคมมนุษย์ถ้ามีใครรู้ว่าชั้นเป็นซาตานแผนทั้งหมดก็จะแตกใช่มั้ยล่ะ”

    “ก... ก็จริงค่ะ” อายาเรียหน้าแดงเล็กน้อยพลางทำท่าเหมือนไม่ค่อยอยากจะทำตามที่ผมพูดสักเท่าไหร่นัก แต่สุดท้ายเธอก็พยักหน้ารับแต่โดยดี

    “ถะ ถะ ถ้าท่านต้องการให้ข้าเรียกเช่นนั้นก็ตามใจของท่านแล้ว ชะ ชะ ชะ ชิน”

    “อืม แบบนั้นล่ะ อายาเรีย เรียกแบบนั้นก็พอ”

    อายาเรียหน้าแดงแป้ดทันทีก่อนจะก้มหน้าหงุดลงอีกครั้งหนึ่ง

    ในตอนนั้นเองผมก็รู้สึกเจ็บที่บริเวณหน้าท้องขึ้นมาอีกครั้ง

    “โอ๊ย!!”

    เสียงนั้นทำให้อายาเรียเงยหน้าขึ้นมองผมอีกครั้งพลางหรี่ตามองเขม็ง

    “เจ็บแผลจริง ๆ ด้วยสินะคะ เพราะข้าไม่ถนัดมนตราสายรักษา และร่างของท่านมีคุณสมบัติความมืดเข้มข้นที่ต่อต้านมนตราแสงสว่าง ข้าจึงทำได้เพียงแค่ห้ามเลือดเท่านั้น อวัยวะภายในของท่านคงยังไม่หายสนิทดีกระมังคะ ท่านซาตาน ไม่สิ... ชะ ชะ ชิน คงต้องรักษากันต่อด้วยวิธีที่ส่งพลังได้มากขึ้นล่ะน่ะ”

    “วิธีที่ส่งพลังได้มากขึ้นงั้นเหรอ?”

    “ใช่ ข้าก็ไม่ได้อยากทำแบบนี้หรอกนะ” อายาเรียเหลือกตามองไปทางอื่น “แต่เพราะสัญญาที่ผูกมัดข้าอยู่ จะให้ชะ ชะ ชิน รู้สึกเจ็บแบบนี้ก็ไม่ดีกับข้าด้วยเหมือนกันเพราะถือว่าข้าบกพร่องต่อหน้าที่ เพราะงั้น จะทำการรักษาต่อก็แล้วกันนะ”

    อายาเรียบอกผมแบบด้วยน้ำเสียงเหมือนขัดเสียมิได้ยังไงยังงั้นแหละ พูดจบ เธอก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะชูมือขึ้นเหนือศรีษะพลางหลับตาลง

    พริบตานั้นเองก็บังเกิดแสงสว่างขึ้นล้อมรอบๆ ร่างกายของอายาเรีย จากนั้นไม่กี่วินาทีเจ้าแสงสว่างล้อมรอบร่างของอายาเรียไว้ก็สลายไปเกิดเป็นแสงสว่างจ้าไปทั่วห้องในชั่วขณะหนึ่ง

    เมื่อแสงสว่างได้จางหายไปอายาเรียก็อยู่ในสภาพที่ไม่ได้สวมชุดเกราะแล้ว เธออยู่ในชุดกระโปรงแบบยุคกลางสีแดง

    ใบหน้าของอายาเรียเป็นสีเดียวกับชุดเมื่อเธอค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ผม จนผมต้องนั่งลงบนเตียง

    “ทะ... ทำอะไรของเธอน่ะ”

    ผมพยายามเคลื่อนตัวหลบ แต่ไม่มีที่ไป จึงทำได้แค่นอนลงบนเตียง

    “ง... เงียบเถอะค่ะ!! ข... ข้าเองก็ไม่ได้อยากทำอะไรแบบนี้หรอกนะ แต่เพราะพลังของท่านซาตาน ไม่สิ... พลังของชินเป็นธาตุมืดเข้มข้น ค... คราวนี้จึงต้องแนบตัวให้สนิทเพื่อให้ถ่ายพลังเวทย์รักษาซึ่งเป็นเวทย์แห่งแสงเข้าไปในร่างของชะ…ชินได้มากขึ้น ยังไงล่ะ”

    รู้สึกว่าผมจะเป็นคนเขียนเอาไว้ว่า เนื่องจากพลังเวทย์ของกาบริเอลนั้นเป็นลบกับซาตานดังนั้นเมื่อทั้งสองถ่ายพลังให้กันจะต้องแนบกายได้สัมผัสซึ่งกันและกัน พอนึกได้แบบนั้นยิ่งรู้สึกอายกว่าเดิมเสียอีก

    “หยุดก่อนอายาเรีย”

    แต่ก่อนที่ผมจะห้าม อายาเรียก็เคลื่อนตัวเข้าหาผมแล้ว

    เมื่อเห็นใกล้ขนาดนี้ผมจึงได้สังเกตว่า นอกจากใบหน้าเรียวงามและเส้นผมสีแดงอันแสนโดดเด่นแล้ว อายาเรียเป็นผู้หญิงที่มีรูปร่างสมส่วนอย่างมาก ทั้งทรวดทรงองค์เอวที่เรียวงามได้รูปเหมือนนาฬิกาทราย ผิวของเธอก็ขาวนวลราวกับหิมะจนดูโดดเด่นเมื่อร่างนั้นกระทบกับแสงไฟที่สาดส่องลงมาจนส่องสว่างวิบวับราวกับอัญมณี

    “เออ...อย่ามองแบบนั้นได้ไหม ข้าอายน่ะ”

    อายาเรียบิดตัวไปมาด้วยความเขินอายอย่างที่สุด ฟังจากน้ำเสียงของเธอแล้วดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ค่อยชอบใจกับการกระทำแบบนี้สักเท่าไหร่นัก

    “เพราะงั้น ชะ…ชะ…ชิน อยู่นิ่ง ๆ นะ ดะ…ดะ…เดี๋ยว ข้าจะรักษาให้” เธอบอกพร้อมๆกับคลานมาหาผมแบบพวกลูกแมวที่กำลังย่างเข้ามาหาอาหาร

    “ดะ…เดี๋ยวสิ อายาเรีย  หมะ…หมะ…ไม่มี ไม่มีวิธีอื่นหรือยังไงกันน่ะ ไอ้การรักษาอะไรเนี่ย”

    “อยู่นิ่ง ๆ สิ อย่าทำให้ข้าอายไปกว่านี้เลย ชะ…ชะ…ชิน”

    อายาเรียกล่าวด้วยน้ำเสียงเชิงตำหนิ ขณะที่เธอนั้นค่อย ๆ ขึ้นมาคร่อม แล้วนั่งทับบนตัวของผมที่นอนอยู่บนฟูกนี้

    น้ำหนักตัวของอายาเรียกดลงบนตัวผม ทั้งเส้นผมที่ทิ้งตัวลงมา และหน้าอก

    “เอาล่ะ อยู่นิ่ง ๆ หน่อย”

    ขณะที่คิดแบบนั้น อายาเรียก็แนบตัวลงมาบนตัวของผม

    กลิ่นของเธอหอมมาก ตัวก็นุ่มนิ่มและลื่น

    “หยุดก่อน!!” ผมบอก

    “อย่าดิ้นสิคะ” อายาเรียบอก “ข้าก็อายเหมือนกันนะ รีบๆทำให้มันจบๆไป”

    “ไม่ใช่แบบนั้น” ผมบอกเธอ “แต่ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็ผมทนไม่ไหวแล้วล่ะ”

    “...” เด็กสาวไม่ตอบแต่กลับแนบตัวกับผมมากขึ้น

    “ไม่นะ...​ ผมทนไม่ไหวแล้ว”

    ผมพยายามขัดขืนทว่าอายาเรียกลับจับมือของผมไว้

    ไม่ไหวแล้ว น่าอายนัก แต่ร่างกายของผม กลับไม่ยอมฟังคำสั่งเลย

    แล้วของเหลวของผมก็พุ่งออกมา

    สู่ท้องฟ้า ก่อนจะตกลงสู่พื้นดิน

    ขอใส่โมเสก และเซนเซอร์ในฉากนี้

    ตัดฉากไปเลยก็แล้วกันครับ

    ตัดฉากสิครับ บก. หรือใครก็ได้ ผมขอร้องละ

    นิยายที่มีฉากหญิงสาวเปื้อนไปด้วยของเหลวที่พระเอกพ่นออกมามันขายไม่ออกหรอกนะ

    แต่แล้วจู่ๆ ประตูห้องของผมก็เปิดออก

     และที่สำคัญกว่านั้นคือ คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูนั้น คือ คนที่ผมไม่อยากให้เห็นมากที่สุดในตอนนี้

    “ชิน” เสียงของเด็กสาวที่อยู่ตรงประตูเอ่ยเรียกผม

    หญิงสาวร่างเล็กในชุดนักเรียนโรงเรียนยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ครับ เธอคือ ไอรยา เพื่อนสมัยเด็กของผมนั่นเอง

    ภาพที่เธอเห็นคือ อายาเรียกำลังคร่อมตัวผมอยู่ บนแอ่งของเลือดกำเดาที่พุ่งออกมาจากจมูกของผมเป็นน้ำพุ

    อายาเรียผละออกจากตัวผมด้วยความอับอายทำอะไรไม่ถูก

    ไอมองผมด้วยสายตานิ่งเฉย เป็นการแสดงทั้งความสงสารและสมเพชออกมาพร้อมๆกัน

    “ขอโทษนะ” เธอพูดออกมา โดยที่ผมไม่เข้าใจว่าขอโทษเรื่องอะไร ก่อนจะปิดประตูเบาๆ โดยไม่มีเสียง

    เฮ้ยเดี๋ยว กลับมาก่อน~! ไม่ใช่อย่างนั้นนะเฮ้ย!!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×