ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สงครามสุดเพี้ยนของเหล่าเกรียนหลุดโลก

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 1 คัมภีร์บันทึกประวัติศาสตร์มืด -2-

    • อัปเดตล่าสุด 27 ธ.ค. 58


     

    “เอาเถอะ ข้าจะบอกให้เอาบุญ นี่คือ “อาณาเขตแห่งพิภพแดง” มันจะเกิดขึ้นเมื่อผู้ได้รับเลือกจากพระเจ้าได้มาเผชิญหน้าและทำการต่อสู้กัน อาณาเขตที่ถูกกางขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายในโลกแห่งความจริงไงล่ะ”

    ผมมึนหัว โอย รู้สึกได้เลยว่าผืนเริ่มขึ้นไปทั้งตัวแล้ว

    “เพ้ออะไรของแกฟะ ไอ้พิภพแดงอะไรนั่นน่ะ มันมาจากชานะไม่ใช่หรือไงกัน ก็อปเขามาทั้งดุ้นเลยนี่หว่า ของแบบนั้นจะไปมีจริงได้ยังไงกัน”

    สูทขาวหัวเราะในลำคอเหมือนกับว่าผมต่างหากที่เป็นคนบ้า

    “เจ้าคนโง่เขลา ที่ยึดติดอยู่ในความคับแคบของตัวเองเอ๋ย ถ้าเป็นแบบนั้น แกจะอธิบายยังไงกับสภาพแวดล้อมรอบตัวตอนนี้กันล่ะ ทั้งท้องฟ้าสีแดงฉาน ทั้งดวงอาทิตย์ที่ถูกกลืนกินด้วยความมืดมิด เหตุผลอะไรกันล่ะที่จะอธิบายเรื่องนี้ได้”

    เป็นดั่งที่เจ้าสูทขาวบอก สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นทำให้ผมไม่รู้ว่า จะไปสรรหาอะไรมาอธิบายเลยด้วยซ้ำ ต้องบอกว่า สถานการณ์ในตอนนี้มันเกินความเข้าใจของผมไปแล้วด้วยซ้ำ

    บางทีเรื่องอาณาเขตพิภพแดงที่เจ้าสูทขาวพล่ามเมื่อครู่นี้จะเป็นเรื่องจริงก็ได้ แต่ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าตอนนี้ผมคัน เวียนหัว และอยากอ๊วก

    “ถ้าที่พวกนายว่าเป็นจริงล่ะก็ พวกนายเป็นใครกัน”

    พอถูกแบบนั้น เจ้าสูทขาวก็ทำยกนิ้วขึ้นพลางส่งเสียง จุ๊ ๆ ออกมาจากปาก จากนั้นเจ้าสูทขาวก็ตั้งท่าเก็กออกหลายท่าจนผมเริ่มรู้สึกขึ้นมาว่า ไอ้หมอนี่มันโคตรขี้เก็กเลยให้ตายเถอะ

    จนกระทั่งเมื่อได้ท่าทางที่ดูจะเท่สุด ๆ ในสายตาของหมอนี่แล้ว ชายสวมสูทขาวคนนี้ก็เอ่ยนามของเขาออกมาด้วยความภาคภูมิใจ

    “ชื่อของข้าก็คือไชน์ จอมเวทย์ผู้ได้รับฉายาว่า ฟีลอสโซเฟอร์ (เจนจบหมื่นมนตรา) ยังไงล่ะ”

    “ว่าไงนะ?…”

    “เป็นยังไงล่ะ เจ้าทากเอ๋ย อึ้งไปกับนามอันยิ่งใหญ่ของข้าเลยล่ะสิ”

    “เออ... ถ้าหาโรงพยาบาลล่ะก็ ฉันติดต่อให้ได้นะ”

    “เฮ้ย เฮ้ย ข้าไม่ได้บ้านะเว้ย นี่แกไม่รู้จักชื่อของข้าเลยเหรอ”

    “ก็ไม่รู้นะสิ พึ่งเคยได้ยินชื่อนายเป็นครั้งแรกนี่ล่ะ”

    “อะไรนะ?”

    ดูเหมือนผมจะทำให้เจ้าสูทขาวคนนี้เสียกำลังใจไปเสียแล้ว ทว่าสักพักเจ้าสูทขาวก็เหมือนจะฮึดขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุซะงั้น

    “ก็สมกับเป็นแค่ทากที่คลานอยู่ในบนพื้นจริงๆ ถึงได้ไม่รู้จักว่าข้าเป็นใคร พระเจ้าเองก็เหลือเกินนะที่เลือกสัตว์ชั้นต่ำที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยแบบนี้มาเป็นตัวแทนแบบนี้”

    “พูดบ้าอะไรของเอ็งวะ แล้วนี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย”

    “คริส ท่าทางเจ้าหมอนี่จะไม่มีคุณสมบัติพอที่ข้าจะเสียเวลาเสวนาด้วย เธอช่วยอธิบายธุระของเราให้มันฟังในสองบรรทัดทีได้ไหม”

    เจ้าสูทขาวหันไปบอกกับเมดสาวที่ยืนอยู่ข้างๆให้อธิบายสถานการณ์ให้ผมฟัง เธอพยักหน้าตอบกลับอย่างยินดีเหมือนได้รับรางวัลมากกว่าถูกสั่งด้วยคำสั่งบ้าๆแบบนี้

    ชักรู้สึกอยากต่อยไอ้สูทขาวนี้ขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุซะแล้วสิ

    “เอ่อ... คุณคนนั้นน่ะค่ะ กรุณาตั้งใจฟังที่ฉันพูดด้วยนะคะ”

    “อ่า...อืม”

    “เจ้านายของฉันกำลังตามหา “ปีศาจแห่งการทำลายล้าง” ที่เราทราบมาว่าอยู่ภายในโรงเรียนนี้ ไม่ทราบว่าคุณคือปีศาจแห่งการทำลายล้างหรือเปล่าคะ”

    “นี่มันเป็นสองบันทัดที่ไม่ทำให้เข้าใจอะไรเลยนะเฟ้ย!”

    “ไม่มีทางหรอก” สูทขาวตอบแทนผมเสร็จสรรพ “ข้าไม่รู้สึกถึงพลังความชั่วร้ายจากตัวของมันเลยสักนิด หมอนี่เป็นแค่ผู้ถูกเลือกลูกกระจ๊อกที่พลังยังไม่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น ถ้าเปรียบแล้วเป็นแค่พวก Lv.1 เท่านั้น รีบยึดคำภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของมันมา แล้วตามหา “ปีศาจแห่งการทำลายล้าง” ต่อดีกว่า”

    “เข้าใจแล้วค่ะนายท่าน” เมดตอบ

    เข้าใจอะไรล่ะฟะ

    แล้วเธอก็หันมาคุยกับผม

    “นายท่านต้องการให้คุณส่งสมุดดำเล่มนั้นมาแต่โดยดีน่ะค่ะ เมื่อได้สมุดแล้วพวกเราก็จะหมดธุระกับคุณ”

    “จะบ้าหรือไงฟะ เรื่องอะไร ฉันจะให้สมุดนี้กับพวกเธอล่ะ” ผมก็รีบเอาสมุดซ่อนไว้ด้านหลังทันที

    พวกนี้คิดเป็นพวกชอบแกล้งคนสินะ คิดจะเอาสมุดของผมไปซีร็อคแจก หรือไม่ก็ติดไว้ที่บอร์ดของโรงเรียนล่ะสิ ถ้าแบบนั้น ผมได้ไปผูกคอตายใต้ต้นแตงโมแน่ๆ ไม่สิ ถ้าคนอื่นรู้เรื่องนี้ผมจะต้องเลือดกำเดาออกจนเลือดหมดตัวแน่ๆ

    “สรุปว่า ปฏิเสธสินะคะ” เมดที่ถูกเรียกว่าคริส ถามด้วยท่าทางลำบากใจ

    “ก็ใช่สิ ไอ้นี่น่ะ ถึงตายก็ไม่ให้เด็ดขาด”

    คริสหันไปหาเจ้าสูทขาวเหมือนถามความเห็น

    “ฉันไม่อยากใช้กำลังกับสัตว์ที่อ่อนแอ แต่ถ้าพูดดีๆไม่ฟังก็ไม่มีทางเลือก คริส จัดการซะ”

    คริสมองเจ้านายด้วยสีหน้าเบิกบาน ความลังเลเมื่อครู่หายไปไหนหมดแล้ว

    “ค่ะ นายท่าน”

    เมดสาวชื่อคริสหันมามองผมอีกครั้ง ก่อนจะพูดกับผมด้วยน้ำเสียงขอร้อง

    “คุณคนนั้น ฉันขอเตือนอีกครั้งนะคะ กรุณาส่งสมุดนั้นให้ฉันเถอะค่ะ”

    “ไม่ให้เฟ้ย ก็บอกไปแล้วไง ว่ายังไงก็ไม่ให้เด็ดขาด”

    “ยังไงก็ยังจะยืนยันเรื่องนั้นเหรอคะ”

    “ก็ใช่น่ะสิ ยังไงก็ไม่ให้เฟ้ย”

    “จัดการมันซะ คริส อย่าเสียเวลาเลย จัดการซะอย่าให้เหลือซาก” สูทขาดพูดแทรกด้วยท่าทางเหมือนรำคาญ

    “ค่ะนายท่าน” เธอตอบรับด้วยความยินดี ก่อนจะหันมาคุยกับผมต่อ

    “ถ้านั่นเป็นหนทางที่คุณเลือกแล้วล่ะก็ ฉันก็จะไม่เกรงใจแล้วนะคะ”

    “หา?”

    ฉับพลันนั้นคริสก็ก้มลงล้วงเอาบางสิ่งออกมาจากใต้กระโปรงของเธอ แน่ล่ะว่าผมไม่มีทางพลาดฉากนี้เด็ดขาด แม้แต่กระพริบตา 0.001 วินาทีก็ไม่มี

    อาจจะเพราะแบบนี้เองที่ทำให้ผมมองเห็นสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปคงจะหลับตาปี๋เมื่อเห็นมันพุ่งเข้ามาใส่

    จรวดมิสไซล์พุ่งเฉียดแก้มผมไปด้วยความเร็วสูง

    จากนั้นเสียงระเบิดก็ดังสนั่นมาจากแปลงเกษตรพอเพียงที่ตั้งอยู่ไม่ไกลกันนัก

    ผมรู้สึกว่าท้องใส้ปั่นป่วนไปหมด ของเหลวเกือบจะพุ่งออกมาจากกระเพาะอยู่แล้ว แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น

    ประเด็นคือ... บ้าชะมัด!! อีกแค่นิดเดียวก็จะเห็นกางเกงในแล้ว

    เพราะเป็นชุดที่ดีไซน์มาสำหรับเมืองอากาศร้อนเลยใส่รองเท้าเซนเดิลหุ้มข้อโดยไม่มีถุงน่องด้วย ถึงไม่มีพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ด้านบนของถุงน่อง แต่ต้นขาเมื่อครู่ก็ทำให้รู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่ดีโคตรๆแล้ว

    แต่บัดซบ ดันไม่เห็นกางเกงใน!! ไม่สิ เพราะไม่ก็เลยทำให้เกิดความรู้สึกค้างคาอันงดงาม และทำให้ภาพต้นขาเมื่อครูติดตาได้ถึงขนาดนี้ไม่ใช่เหรอ!!

    เฮ้ย!! ไม่ใช่ดิ!!

    ผมหันกลับไปด้านหลังแปลงเกษตรที่กลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ ต้นไม้บางต้นติดไฟอยู่ด้วย นี่มันล้อเล่นได้ลงทุนเกินไปแล้วนะเฮ้ย!!

    “ให้ตายสิ พลาดจนได้”

    คริสเอ่ยอย่างเสียดาย ในขณะที่ผมตะลึงกับสิ่งที่เมดสาวคนนี้แบกเอาไว้บนบ่า เมื่อครู่ผมกำลังใช้สมาธิอยู่เลยลืมสังเกตไปเลย

    มันคือ วัตถุแท่งสี่เหลี่ยมยาวที่ถูกทาด้วยสีเขียวตรงบริเวณด้านหน้าของมันมีรูสี่รูเจาะเอาไว้เพื่อปล่อยจรวด รูปร่างหน้าตาของมันนั้นราวกับหลุดมาจากเกมยิงซอมบี้ชื่อดังสักเกม

    ครับ มันคือร็อคเก็ตลันเชอร์นั่นเอง

    “นะ นะ นั่นมันบ้าอะไรเนี่ย”

    “อ๋อ M202 FLASH RPG ของสหรัฐ ไงคะ”

    “ชะ ใช่ RPG... แต่ว่า ทำไมเธอถึงได้มี RPG ฟะ!!”

    “ก็...นี่คือ “สกิล(ทักษะ)” ของดิฉันยังไงล่ะคะ”

    “สกิล(ทักษะ) เหรอ?”

    เมดสาวพยักหน้าพลางหยิบลูกมิสไซล์อันใหม่ขึ้นมาจากใต้กระโปรงนั้นอีก และเริ่มบรรจุใส่ M202 FLASH

    “ฉายาของดิชั้นคือ อาร์เมอรี่(สวมใส่แสนศาสตรา) ความสามารถของดิฉันก็คือ ใต้กระโปรงของฉันเนี่ยสามารถล้วงอาวุธอะไรก็ได้ออกมาได้อย่างอิสระยังไงล่ะคะ ดังนั้น RPG น่ะเป็นแค่หนึ่งใน 100,000 ชิ้นของคลังอาวุธที่อยู่ในนี้ก็เท่านั้นเองแหละค่ะ”

    เมดสาวอธิบายเรื่องความสามารถของเธอไปยิ้มไปจากนั้นก็เอาRPGที่ใส่ลูกเรียบร้อยแล้วประทับไว้บนไหล่พลางตั้งศูนย์เล็งมาทางผม

    แบบนี้นี่เอง เข้าใจแล้ว สรุปว่าเป็นมายากลซ่อนของในกระโปรงสินะ จริงๆตรงที่ที่เธอยินอยู่ต้องมีช่องอยู่ด้านใต้ แล้วหยิบของจากตรงนั้น แค่ทำท่าเป็นหยิบมาจากกระโปรง แล้วการที่ RPG ยิงจรวดออกมาได้เนี่ยก็ไม่แฟนตาซีเลยสักนิดเดียว ผมบอกร่างกายตัวเอง เพื่อบอกให้มันไม่ต้องส่งเลือดกำเดาออกจากจมูก

    แต่ถึงวิธีการเสกมันออกมาจะหลอกลวง RPC ก็เป็นของจริงแน่นอน

    ดังนั้น...

    “เอ่อ... ช่วยเอาสมุดเล่มนี้ไป แล้วทำเหมือนว่าไม่เคยมีเรื่องนี้เกิดขึ้นได้มั้ยครับ”

    พอผมบอกแบบนั้นเมดสาวก็ถอนหายใจด้วยสีหน้าลำบากใจ

    “เสียใจด้วยนะคะ เพราะนายท่านสั่งอย่างชัดเจนแล้วว่าให้กำจัดคุณให้ไม่เหลือซาก ดังนั้นเป้าหมายไม่ใช่สมุดแล้วล่ะค่ะ กรุณาช่วยตายไปแบบไม่เหลือซากเลยนะคะ”

    “หา”

    “คลิก”

    เมดสาวกดไกทำงานแล้วยิงกระสุนออกไปทันที แน่ล่ะว่า คราวนี้เธอจงใจยิงใส่ผมจริงๆแล้วนั่นเอง แต่ดีที่ผมกระโจนออกไปก่อนแล้วจึงหลบการโจมตีนั้นไปได้หวุดหวิด ส่งผลให้กระสุนถูกยิงไปโดนอาคารหลังอื่นจนพังไม่มีชิ้นดีแทน

    ผมคิด(เองเออเอง)ว่า RPG คงเหมาะกับการทำลายรถถังหรือป้อมปืนมากกว่าคนคนเดียวเมดเลยยังยิงไม่ถูก แต่การที่เธอบอกว่ามีอาวุธเป็นแสนหมายความว่าถ้าเธอล้วงเอาปืนกลหรือพวกลูกปรายออกมากราดผมคงไม่ดวงดีอีกแน่ๆ

    ด้วยเหตุนี้ผมจึงเลิกคิดเรื่องอื่นแล้วใส่เกียร์หมาโกยแน่บ

    “ไวจังเลยนะคะ คุณเนี่ย อยู่เฉยๆ สิคะ”

    “อยู่ก็บ้าแล้ว เรื่องอะไรจะโดนยิงง่ายๆเล่า”

    “ไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ ไม่เจ็บหรอกค่ะ” เมดบอกด้วยน้ำเสียงเหมือนพวกพยาบาลเวลาจะฉีดยา

    “ตอแหล โดนแบบนั้นแล้วไม่เจ็บนี่ตอแหลแล้ว!!”

    “แค่ตายโดยไม่ทันรู้สึกเจ็บแค่นั้นเองค่ะ”

    “นั่นยิ่งกว่าเจ็บซะอีกนะเฮ้ย”

    ผมตะโกนร้องโหวกเหวกพลางวิ่งซิกแซกสุดชีวิต ทรมานชมัด ปวดหัวจนอยากจะแหวะออกมา หายใจไม่ออก แต่ก็ไม่อยากตาย ก็เลยวิ่งสุดชีวิต

    ผมชำนาญพื้นที่กว่าเลยสรรหาทางวิ่งที่มีที่กำบังได้เรื่อยๆ จึงยังหนีจากแรงระเบิด RPG มาได้ถึงตอนนี้ แต่เมดสาววิ่งไล่ตามผมมาอย่างไม่ลดละ ยัยนี่เคลื่อนไหวได้เร็วมากทั้งๆที่แบกของหนักขนาดนั้น...

    เสียงระเบิดตูม! ไล่มาจากด้านหลัง รู้สึกได้เลยถึงความร้อน และเศษดินที่กระจายมาโดน

    ผมไม่แม้แต่หันกลับไปมอง รู้เลยว่าถ้าหันกลับไปแล้วความเร็วตกล่ะก็ตายแน่นอน

    ผมได้ยินเสียงจรวดที่พุ่งตามหลังมา คราวนี้กลางตัวแน่นอน โชคดีที่ผมถึงมุมตึกก่อนพอดี จึงกระโจนไปทางซ้ายเต็มแรง เหมือนผู้รักษาประตูพุ่งตัวทำซุปเปอร์เซฟ

    กระสุนพุ่งผ่านผมไปอย่างเฉียดฉิว และพุ่งเข้าหาโรงยิม ก่อนจะระเบิดตูม!! โรงยิมกลายเป็นไฟกองใหญ่ไปเสียแล้ว

    ส่วนผมก็พึ่งรู้สึกตัวว่ากำลังทับใครบางคนอยู่ ใครสักคนที่เดินอยู่ตรงมุมตึกพอดี

    เป็นความรู้สึกนุ่มนิ่ม เย็น และหอม เธอเป็นเด็กสาวผมสีดำประบ่า ที่ตัวเล็กและบาง

    “โอย ระวังหน่อยสิ”

    “โทษที เฮ้ย... ไอเหรอ”

    ร่างๆ เล็กๆ ที่เคราะห์ร้ายถูกผมกระโจนเข้าใส่อย่างจังคือไอนั่นเอง ท่าทางจะเจ็บจริงๆ ด้วย โชคดีที่เป็นจังหวะพุ่งเปลี่ยนทิศความเร็วจึงถูกเบรกไปบ้างแล้วไม่อย่างนั้นอาจจะเจ็บหนักก็ได้

    “ชิน? เกิดอะไรขึ้น”

    “เอ่อ...”

    ไม่ทันได้อธิบายอะไร จู่ ๆ เจ้าบาซูก้าก็พุ่งเฉียดหัวของผมกับไอไปและระเบิดอาคารเรียนกระจุย แน่ล่ะว่า แรงระเบิดของมันนั้นรุนแรงมากจนผมต้องใช้ตัวบังไอไว้จากเศษอาคารที่กระเด็นมา

    “ระเบิดนั่นมาจากไหนกันเนี่ย”

    ไอถามด้วยความงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมทึ่งในความใจเย็นของเด็กสาวที่ยังคงไม่เปลี่ยนทั้งสีหน้าและโทนเสียงในเวลาแบบนี้ได้

    แต่ผมไม่มีเวลาอธิบาย เพราะยัยเมดสาวที่ชื่อ คริส นั้นกำลังเดินย่างสามขุมตรงมาหาผมกับไอที่นอนเจ็บอยู่บนพื้นอย่างประสงค์ร้าย

    “เอาล่ะ กรุณาตายเถอะนะคะ” ยัยเมดบอก

    ใครจะไปยอมล่ะเว้ย แน่จริงก็เข้ามาเลย

    อยากจะพูดแบบนั้นอยู่หรอก แต่มือดั้นมาสั่นซะนี่ แถมยังไม่รู้ด้วยว่าจะเอาตัวรวดได้ยังไง

    โถ่เว้ย ไอต้องรู้สึกว่าผมกำลังสั่นแน่นอนอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ผมจึงรีบผละตัวขึ้นจากเธอ และพยายามลุกขึ้น

    กลัวครับ ไม่กลัวก็บ้าแล้ว กลัวจนลืมคันไปเลย

    นี่มันอะไร โลกสีแดง คนบ้าๆ เมดถือ RPG

    แต่ไฟ ระเบิด และอาคารเรียนที่กลายเป็นซากไฟลุกนี้เป็นของจริงอย่างแน่นอน

    ความตายและบาดแผลก็ของจริง ผมรับรู้ได้จากแผลถลอกทั่วตัวที่เกิดขึ้นจากการล้มลุกคลุกคลานเมื่อครู่

    แต่ผมจะให้ไอมาบาดเจ็บด้วยไม่ได้

    ดังนั้นทางเดียวที่ผมทำได้ก็คือ

    “ไอ เดี๋ยวนับสามแล้วรีบวิ่งไปเลยนะ”

    “หา?” เป็นครั้งแรกของวันนี้ที่คิ้วขอไอเคลื่อนเข้าหากัน ไม่สิ นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่มากที่สุดเท่าที่ผมจำได้ในรอบปีเลย

    “ตอนนี้...ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันนั่นล่ะ รู้แต่ว่า ต้องหาทางช่วยเธอให้หนีไปจากที่นี่ให้ได้เท่านั้นแหละ”

    “ชิน?”

    “เอาเป็นว่า ถ้านับสามล่ะก็ เธอรีบไปตามคนมาช่วยเลยนะ ฉันจะถ่วงเวลาเอาไว้เอง”

    “…”

    “สาม”

    ผมตะโกนดังลั่นแล้ววิ่งปรี่เข้าหาเมดสาวคนนั้นด้วยความเร็วเท่าที่ตัวเองจะทำได้ แน่ล่ะว่า การกระทำของผมนั้นทำให้เมดคนนั้นถึงกับคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

    “บ้าบิ่นซะเหลือเกินนะคะ”

    คริสกล่าวขึ้นเมื่อเห็นผมวิ่งปรี่ไป แค่เพียงเธอแตะเบาๆ ผมที่พุ่งเข้าหาเธอก็เสียหลักซะเอง ก่อนจะถูกจับทุ่มเหวี่ยงขึ้นบนฟ้า

    ผมเคยเรียนศิลปะการป้องกันตัวมาหลายแขนงสมัยเป็นจูนิเบียว จึงรู้ว่าฝีมือของเมดนี่ไม่ธรรมดาเลย นี่มันท่าไอคิโดหรืออะไรยังไงกัน! ผมคิดพลางพลิกตัวกลางอากาศ พยายามลงด้วยขา แต่ก็ไม่เป็นท่า

    ตอนที่ตั้งตัวได้เตรียมจะพุ่งเข้าไปใหม่นั่นเอง ผมก็เห็นสิ่งที่อยู่ในมือของเมด

    ปืนพก...

    “อย่าขยับ” คริสเล็งปืนพกมาทางผม สายตาของเธอบอกให้เห็นเลยว่าคราวนี้เธอเอาจริงแล้ว

    “ชิน!!”

    ไอที่วิ่งหนีไปได้ไม่ไกลนักหยุดเท้า และตะโกนเรียกผมด้วยความเป็นห่วง สวนทางกับผมที่อยากจะตะโกนบอกให้เธอรีบวิ่งต่อไปโดยไม่ต้องสนใจอะไรผมเสียเหลือเกิน

    “หนีไป ไอ ไม่ต้องห่วงฉัน หนีไป”

    “แต่ว่า...”

    โถ่เว้ย เอาแบบนี้ก็แล้วกัน

    “ไปสิ ยัยตัวถ่วงเอ้ย เพราะเธออยู่ด้วยชั้นเลยสู้มันไม่ได้เลย รีบๆไปได้แล้ว” ผมตะโกนไล่ไอสุดเสียง

    ไอสูญเสียความนิ่งไปโดยสิ้นเชิง เธอมีสีหน้าลังเลและสับสน ผมจึงเสริมอีก

    “ฟังนะถ้าชั้นปลดปล่อยพลังออกมาละก็ แค่ยัยนี่ก็ไม่คู่ควรจะยืนอยู่ต่อหน้าชั้นด้วยซ้ำ แต่พลังของชั้นรุนแรงเกินไป ถ้าใช้ล่ะก็อาจทำให้คนที่อยู่ใกล้ๆโดนลูกหลงไปด้วย ดังนั้นเพราะมีเธออยู่เลยใช้พลังนี้ไม่ได้ไง ไปไกลๆเลยนะยัยบ้า อยากให้ชั้นตายหรือไง”

    แน่นอนว่าแหลทั้งเพ ผมพูดไปอย่างนั้นล่ะ ทุกคำที่พูดผมต้องพยายามกลั้นไม่ให้ ของเหลวพุ่งออกจากลำคอ แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะห่วงเรื่องนั้น

    แต่ไอกลับไม่ขยับตัวเลย และนั่นทำให้สถานการณ์เลวร้ายมาก เมื่อจู่ๆเจ้าสูทขาวก็ปรากฎตัวขึ้น

    “จับได้แล้ว”

    ไอ้สูทขาวที่มีชื่อว่าไชน์อะไรสักอย่างนั้นคว้าแขนของไอไว้

    “ปะ ปล่อยไอ เดี๋ยวนี้นะ ไอ้สูทขาว”

    ผมตะโกนบอกหมอนั่นทันทีด้วยความเป็นห่วงในตัวเพื่อนสมัยเด็ก แน่ล่ะว่า ท่าทีของผมนั้นทำให้ เจ้าสูทขาวนั้นพึงพอใจขึ้นมาอย่างออกนอกหน้า

    “ยอมแพ้แล้วสินะเจ้าทาก” สูทขาวเอ่ยด้วยสีหน้าของผู้ที่เหนือกว่า “ถ้าเช่นนั้นจงมอบสมุดของแกมา และเอ่ยสรรเสริญนามของข้าเสียสิ”

    “แก...”

    “ทำหน้าทำตาโกรธเข้าไปก็ไม่ช่วยอะไรหรอก เพราะงั้นส่งสมุดนั่นมาซะ แล้วเอาตัวเพื่อนผู้หญิงของแกไปแค่นี้ง่ายๆ เข้าใจใช่ไหม”

    “…ก็ได้ ฉันให้สมุดกับแกก็ได้ ปล่อยไอซะ” ผมยกสมุดของผมขึ้นในท่ายอมแพ้

    สูทขาวยิ้มอย่างพอใจ

    ทว่าเวลานั้นเอง จู่ๆ แสงสว่างก็ส่องขึ้นจาก สมุดของผม และกระเป๋าเสื้อคลุมของเขา

    “บ้าน่า...” สูทขาวอุทานออกมา และมองไปยังไอที่เขาจับแขนอยู่ “อืมม ไม่สิ แบบนี้เอง นี่คือชะตากรรมสินะ”

    ทั้งเมด ไอ และผม มองดูเจ้าสูทขาวด้วยสายตางงงวย

    “พูดอะไรของแกวะ” ผมตะโกน “เอาสมุดนี้ไปแล้วปล่อยไอซะสิ”

    “เสียใจด้วย” สูทขาวบอกผม “แต่สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว ทั้งนายและผู้หญิงคนนี้จะต้องถูกกำจัด”

    “กำจัด?” ผมทวนคำถาม

    “ตามตัวอักษรนั่นแหละ เจ้าทากเอ๋ย จงหายจากโลกนี้ไปเสีย”

    “แกบ้าไปแล้ว” ผมโวย และคิดว่าจะต้องทำอะไรสักอย่าง

    ทว่าไอไวกว่าผม

    “อ้ากกกกกกกก” สูทขาวส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเมื่อถูกเหยียบเท้าเต็มแรง

    ไอสลัดตัวจากแขนของสูทขาว และวิ่งหนี

    “นายท่าน” เมดร้อง

    ดูเหมือนว่าเจ้าสูทขาวจะไม่ถนัดการต่อสู้ระยะประชิด เห็นแบบนี้ทักษะป้องกันตัวผมก็ดีใช้ได้ ผมมั่นใจแน่นอนว่าจะจับสูทขาวได้ และคิดโง่ๆว่าเป็นโอกาสดีที่จะต่อรองกับเมดแบบที่สูทขาวทำกับผม

    เพราะแบบนี้ผมเลยพุ่งตัวเข้าหาสูทขาว กระทั้งอยู่ห้างจากร่างของเขาเพียงไม่กี่ก้าว

    และเวลานั้นเองที่ผมรู้สึกว่าร่างกายถูกบางอย่างกระแทกเข้าที่เอวเข้าอย่างจัง

    ด้วยแรงกระแทกนั้นร่างของผมจึงพุ่งพลาดจากร่างของสูทขาวที่เป็นเป้าหมายไป และล้มลง

    ผมกุมท้องที่จุกเพราะกระแทกตอนล้มเมื่อครู่ และพยายามจะลุกขึ้นอีกครั้ง แต่กลับพบว่าตัวเองทรุดลงอีกครั้ง ขาไม่มีเรี่ยวแรงเลย

    ผมได้ยินเสียงไอกรีดร้อง

    แม้แต่ใบหน้าของสูทขาวยังบิดเบี้ยวด้วยความตกใจ

    มีเพียงควันจางๆ จากปลายกระบอกปืนของเมดที่สั่นไหว ปลอกกระสุนที่พึ่งถูกปลดออกจากรังเพลิงยังคงกระเด็นบนพื้น

    สมุดสีดำหลุดหล่นจากมือของผม

    ผมพยายามจะเอื้อมไปเก็บมัน และพบว่ามือของผมแดงฉาน

    ผมก้มลงมองชุดนักเรียนที่กลายเป็นสีแดง เลือดทะลักออกมาจากท้องของตัวเอง

    ฮะๆ ผมคงจะสติหลุดไปจริงๆ แล้ว ถึงได้เห็นอะไรแบบนี้

    ผมชินกับเลือดกำเดาแล้ว แต่ไอ้เลือดที่ไม่ได้ออกมาจากจมูกเนี่ยมันไม่เหมือนกันจริงๆ

    และที่แย่กว่าคือ สูทขาวกำลังก้าวผ่านร่างของผมที่ล้มอยู่ ไปยังไอ

    ผมต้องทำอะไรสักอย่าง

    แต่อะไรล่ะ...

    ผมเอื้อมมืออันสั่นเทาไปเพื่อที่จะหยิบสมุด

    มือที่เปื้อนเลือดของผมแตะกลางสมุดสีดำ บริเวณวงเวทย์พอดี

    ผมรู้สึกว่าภาพที่เห็นเริ่มเลือนลาง เหมือนอยู่ในเมฆหมอกของแสงสว่าง

    และเวลานั้นเอง ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น

    ผมหัวเราะโดยไร้เสียง เลือดทะลักออกมาจากบาดแผลแทนเสียงหัวเราะ

    ปาฏิหาริย์งั้นเหรอ บ้าบอ จนราวกับการ์ตูนสูตรแนวเดิมๆที่สมควรถูกตัดจบได้แล้ว แค่คิดถึงก็รู้สึกอยากอ๊วกแล้ว

    เลือดจากปลายนิ้วของผมไหลไปตามเส้นตราดาวหกแฉกจนเปลี่ยนมันเป็นสีแดงฉาน แสงสีดำแต่กลับสว่างจ้าแผ่ความอบอุ่นไปทั่วบริเวณนั้น ขณะที่เหนือสมุด ปรากฏตราสัญลักษณ์บางอย่างขึ้น รูปร่างของสัญลักษณ์นั้นประหลาดจนไม่สามารถอธิบายได้ นอกเสียจากว่า เมื่อแสงสว่างได้ปรากฏขึ้นรอบล้อมตราเวทย์นั้นเองก็ปรากฏร่างหนึ่งค่อยๆ รวมตัวกันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา

    “นายท่าน!! ถอยออกมาจากวงเวทย์นั้นค่ะ” คริสร้องขึ้นอีกครั้ง และพยายามพุ่งเข้ามาหมายจะหยุดสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

    ทว่าร่างนั้น ปรากฎขึ้นมาแล้ว จากตรงกลางของวงเวทย์ ร่างนั้นพุ่งเข้าใส่เมดสาวคริสอย่างรวดเร็ว ดาบของเธอตวัดเป็นวงสีเงินอันน่าเกรงขาม จนเมดต้องถอยออกไปห่างๆ

    และเมื่อแสงสีขาวได้จางหายไปนั่นเอง ร่างเบื้องหน้าก็ทำให้ผมถึงกับพูดอะไรไม่ออก

    เพราะที่นั่นมีสตรีในชุดเกราะแบบนักรบยุคกลางยืนอยู่ ใบหน้าของเธองดงามจนผมไม่อาจจะสรรหาคำใดมาอธิบายได้ ผมสีเงินของเธอนั้นถูกมัดรวบเป็นทรงหางม้า ดวงตาสีฟ้านั้นจับจ้องมองมายังผมไม่เว้นวาง

    ดาบเล่มยาวนั้นแทบจะใหญ่กว่าตัวเธอ แต่เธอกลับถือมันอย่างง่ายดายราวกับไร้น้ำหนัก ทว่านั่นไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่เธอนั้นเอื้อนเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงไพเราะประดุจเสียงกระดิ่ง

    “ข้าคือ อายาเรีย เซเรย์น่า เฮสต้า เดอเซลาส แอสพีเรีย เออร์เนสดราก้อน คาราวา อัลเซฟอล ฟารานา ดาวิเดียน อารีปุส คาซานา ฮาเอล บุตรีแห่งนครแสงสว่างมาตามคำเรียกเชิญท่านแล้ว จงตอบมา ท่านคือ นายท่านของข้าใช่หรือไม่ ?”

    อา... เป็นบทพูดที่ทำให้ปวดหัวชมัดเลย...

    ผมอยากจะพูดแบบนั้น แต่กลับหมดสติไปก่อน

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×